เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดสุโขทัยและได้มีทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย รวมไปถึงการได้เข้าพักที่รีสอร์ทในสุโขทัยอีก 2 แห่ง ผมก็เลยถือโอกาสนำประสบการณ์ที่ได้รับมาเล่าให้ทุกคนฟังกันครับ แต่เพื่อไม่ให้ยืดยาวจนเกินไป ผมจึงแบ่งเป็นตอนๆ โดยเริ่มจากตอนนี้ที่จะเล่าถึง Legendha Sukhothai Resort (เลเจนด้า สุโขทัย รีสอร์ท) เพราะที่นี่เป็นอะไรที่ผมประทับใจที่สุดในทริปนี้เลย
สำหรับจุดเด่นของเลเจนด้า สุโขทัย ในความคิดผมก็มีตามนี้เลยครับ
• เป็นรีสอร์ทที่ออกแบบได้สวย งดงามอย่างไทยๆ ทั้งภายในและภายนอก
• บรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม้มากมาย แถมมีมุมสวยๆ ไว้ถ่ายรูปเพียบ
• มีการคุมธีมให้เป็นไทยในอดีตตั้งแต่การตกแต่งส่วนต่างๆ, การแต่งกายของพนักงาน, อาหาร จนไปถึงกิจกรรมภายในรีสอร์ท เช่น การทำพระพิมพ์, การร้อยพวงมาลัย, การสานปลาตะเพียน และการแต่งกายด้วยชุดไทย เพื่อถ่ายรูปภายในรีสอร์ท
• อาหารอร่อย และมีอาหารไทยให้เลือกทานมากมายรวมไปถึงไลน์อาหารเช้าที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร
• มีการแสดงนาฏศิลป์ไทยให้ดูฟรีในช่วงหัวค่ำ
• รีสอร์ทอยู่ข้างๆ กับเจดีย์วัดช้างล้อม เจดีย์สำคัญในสมัยสุโขทัยที่สวยงามและมีอายุกว่า 600 ปี ทำให้เราสามารถเดินไปชมความงามของเจดีย์แห่งนี้ในเวลาใดก็ได้
• รีสอร์ทอยู่ติดถนนสายหลักและอยู่ไม่ไกลจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยเราสามารถยืมจักรยานจากทางรีสอร์ท เพื่อปั่นไปชมความงามของอาณาจักรไทยในอดีตได้ในระยะเวลาไม่ถึง 10 นาที
เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ ผมให้ดูแผนที่ของโรงแรมและอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเลยว่าทั้งสองที่นี้อยู่ใกล้กันมากแค่ไหนครับ
เอาล่ะ หลังจากรู้ข้อมูลคร่าวๆ และจุดเด่นของรีสอร์ทแห่งนี้แล้ว คราวนี้เราไปรีวิวแบบเจาะลึกกันเลยดีกว่า โดยสำหรับคนที่ขับรถมานั้นสามารถจอดรถที่บริเวณด้านหน้าของโรงแรมได้เลยครับ เค้ามีที่จอดรถกว้างขวางเลย หลังจากจอดรถแล้วก็ให้เราเดินข้ามสะพานไม้สีแดงสุดสวย เพื่อไป Check in ที่ lobby ของรีสอร์ท ซึ่งคุณจะพบกับ lobby สวยๆ สไตล์ไทย และพนักงานในชุดไทยที่รอต้อนรับคุณอยู่
อ้อ ....Welcome Drink ของที่นี่จะมาในภาชนะที่เก๋มากเลยนะครับ โดยวันที่ผมไปนั้นเป็นน้ำฝรั่ง หวานชื่นใจดี
หลังจากที่เราทำการ Check in และรับ Key Card เสร็จแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาที่เราจะไปสำรวจห้องพักของเรากันซักที โดยห้องพักของเลเจนด้า สุโขทัยนั้นจะมีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่
• Superior (ขนาดห้อง 28 ตร.ม.)
• Deluxe (ขนาดห้อง 32 ตร.ม.)
• Villa (ขนาดห้อง 60 ตร.ม.)
สำหรับห้องที่ผมพักนั้นคือห้อง Deluxe โดยตัวห้องจะอยู่ติดกันเป็นเรือนแถวสไตล์ไทยที่ดูสวยงาม และพอเปิดประตูห้องเข้าไปก็จะพบกับห้องสไตล์ไทยที่มีกลิ่นหอมจางๆ ดูแล้วน่านอนพักผ่อนมากๆ แบบนี้ครับ
ภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครันไม่ว่าจะเป็น TV, ตู้เย็น, กระติกน้ำร้อน, ไดร์เป่าผม, ร่ม รวมไปถึงเก้าอี้และโซฟาสไตล์ไทยพร้อมหมอนอิง บอกเลยว่าใครที่ชื่นชอบบรรยากาศไทยในอดีตนี่ต้องประทับใจในที่นี่แน่ๆ และตัวผมเองก็ชอบห้องพักนี้มากเช่นเดียวกันครับ แต่ถ้าจะมีอะไรที่ต้องหักคะแนนหน่อย ผมก็ขอหักคะแนนเรื่องการไม่มีตู้เสื้อผ้าในห้องนี่แหละ โดยทางรีสอร์ทเลือกใช้ราวแขวนแบบเปลือยแทน และก็ไม่มีราวตากผ้าขนาดเล็กไว้สำหรับตากผ้าเปียกเลย ซึ่งจุดนี้ทำให้ผมและเพื่อนๆ ประสบปัญหามากเพราะต้องเอาเสื้อผ้าเปียกไปตากไว้บริเวณเก้าอี้หน้าห้องแทนครับ
ในส่วนของห้องน้ำนั้นกว้างขวางดีและยังคงรักษาความเป็นไทยได้สอดคล้องกับส่วนอื่นๆ เริ่มตั้งแต่ประตูที่เป็นประตูไม้และใช้การขัดกลอนด้วยไม้แบบในอดีต ซึ่งมันเก๋และพาเราย้อนยุคมากๆ ส่วนการตกแต่งอื่นๆ ก็เป็นใช้ปูนเปลือยผสมการติดกระเบื้องโดยมีภาพสวยๆ ติดที่ผนังเพิ่มเพิ่มสีสันครับ
สำหรับอุปกรณ์อาบน้ำที่ทางรีสอร์ทมีให้นั้นก็ถือว่าครบครันในระดับมาตรฐานโดยจะมีสบู่, ครีมอาบน้ำ, แชมพู, หมวกคลุมอาบน้ำ แล้วก็ Cotton Bud มาให้ใน Package ขนาดเล็กๆ ที่สามารถใช้ได้ 1-2 วัน ส่วนชักโครกเองก็มีสายฉีดชำระ และฝักบัวอาบน้ำก็ไหลแรงอาบได้สะใจดีครับ
อ้อ....ในห้องน้ำจะมีอ่างอาบน้ำด้วยนะครับ แต่จะรวมอยู่ในจุดเดียวกับฝักบัวอาบน้ำเลย ซึ่งข้อดีก็คือประหยัดพื้นที่ แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกันคือหากจะอาบน้ำธรรมดาๆ ก็ต้องก้าวข้ามไปมา และหลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่
และด้วยความที่ห้องประเภท Deluxe นั้นเป็นห้องที่ทางเลเจนด้ามีจำนวนห้องมากที่สุด ก็เลยทำให้ห้องประเภทนี้มีหลากหลายวิวตามไปด้วย อย่างห้องที่ผมพักก็จะเป็นวิวสวนสีเขียวๆ ส่วนห้องข้างล่างนี้ก็จะเป็นวิวสระว่ายน้ำ โดยก็จะมี lay out ห้องที่ต่างกับห้องที่ผมพักนิดหน่อยครับ
นอกจากนี้ยังมีห้อง Deluxe โฉมใหม่ที่ทางรีสอร์ทกำลังปรับปรุงอยู่แบบนี้ด้วย ซึ่งรูปแบบห้องนี้เป็นอะไรที่ผมชอบมากกกกก โทนสีเขียวดูหรูแต่สบายตา ที่สำคัญห้องน้ำของห้องแบบใหม่นี้จะไม่มีอ่างอาบน้ำแล้วครับ ก็เอาเป็นว่าใครที่จะจองห้อง Deluxe ก็สอบถามทางรีสอร์ทให้ละเอียดนะครับว่ามีห้องแบบไหนบ้าง เราจะได้เลือกห้องพักที่ถูกใจเราที่สุดครับ
เอาล่ะครับ ทีนี้เราไปดูห้องประเภทอื่นๆ เพิ่มเติมดีกว่าเผื่อใครสนใจจะไปพักที่นี่จะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ โดยห้องแรกที่ผมจะพาไปดูก็คือห้อง Superior ครับ ลักษณะห้องจะคล้ายๆ กับ Deluxe เลยเพียงแต่ขนาดห้องจะเล็กกว่าเล็กน้อยและไม่มีระเบียงที่ด้านหน้าหรือหลังห้อง
ส่วนห้องประเภทสุดท้ายก็คือห้องแบบ Villa โดยห้องนี้จะอยู่บนชั้นสองของอาคารและมีเพียง 2 หลังเท่านั้น โดย 1 หลังจะมี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ สามารถพักได้ 4 คน หรือหากจะพักมากกว่านั้นก็จะใช้การเสริมเตียงตรงกลางระหว่าง 2 ห้องครับ สำหรับห้องประเภทนี้ทางรีสอร์ทจะขายยกหลัง 2 ห้องพร้อมๆ กัน ดังนั้นผมเลยคิดว่าห้องประเภทนี้น่าจะเหมาะกับครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนขนาดเล็กที่ต้องการความเป็นส่วนตัวครับ
ดูห้องพักกันไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราไปดูกิจกรรมต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกรีสอร์ทดีกว่าว่ามีอะไรให้ทำบ้าง โดยอันดับแรกสุดก็คือ เรือนนวดแผนไทยแล้วก็สระว่ายน้ำครับ ทั้ง 2 อย่างนี้จะอยู่ใกล้ๆ กัน ใครสนใจอันไหนก็ลองแวะเวียนไปดูได้ ส่วนผมกับเพื่อนๆ เราเลือกไปใช้บริการสระว่ายน้ำเพราะสระสวยงาม ดูแล้วเหมาะกับผู้ชายหน้าตาดีอย่างพวกผมครับ ><
สระว่ายน้ำของเลเจนด้านั้นจะเป็นสระเกลือ มีสระเด็กแยกออกมาต่างหาก รวมทั้งมีหัวจากุชชี่ภายในสระด้วยครับ ใครที่สนใจก็ลองไปใช้บริการได้ โดยสระว่ายน้ำจะเปิดบริการตั้งแต่ 9.00 น. จนถึง 22.00 น. ส่วนนวดแผนไทยนั้นจะเปิดบริการตั้งแต่ 10.00 น. จนถึง 22.00 น. ครับ
กิจกรรมภายในรีสอร์ทอันถัดมา คือการเดินถ่ายรูปเล่นพร้อมกับชมความงามต่างๆ ภายในรีสอร์ท โดยจุดถ่ายรูปที่ผมน่าสนใจนั้นมีหลายจุดเลย ทั้งสะพานไม้สีแดงข้ามบริเวณด้านหน้า, สะพานแขวนเก๋ๆ บริเวณด้านหลัง, ห้องสมุด จนไปถึงสวนและเก้าอี้ต่างๆ ที่สะท้อนความเป็นไทยออกมาได้อย่างลงตัว และสำหรับคนที่ต้องการอะไรที่สุดๆ ผมแนะนำเลยว่าให้เช่าชุดไทยจากทางรีสอร์ทใส่ด้วย รับรองว่ารูปที่ได้จะเก๋มาก โดยการเช่าชุดนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่ 250 บาท/ชุด แต่บอกเลยว่าคุ้มค่าแน่นอน เพราะนอกจากคุณจะได้รูปสวยๆ เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำมากมายแล้ว หากคุณอัพภาพเหล่านั้นขึ้น Social ให้เพื่อนๆ ดูเมื่อไหร่ ผมรับรองว่าคนกด like กระจาย แถมอยากจะรู้อีกว่าคุณกำลังอยู่ที่ไหนอย่างแน่นอนครับ ><
หมายเหตุ : การเช่าชุดไทยนั้นจะเปิดให้บริการตอน 17.30 น. จนถึง 21.00 น. นะครับ โดยเราสามารถสอบถามพนักงานได้เลยว่าต้องเช่าที่จุดไหน
นอกจากนี้ในช่วงตอนเย็นของทุกวัน ทางเลเจนด้ายังได้เปิดพื้นที่กิจกรรมบริเวณตรงข้ามกับสวนอาหารใกล้ๆ กับสะพานไม้สีแดง โดยใช้ชื่อว่า “ศิลป์สุโข” โดยจะเป็นศูนย์รวมกิจกรรมดั้งเดิมของสุโขทัยเอาไว้อย่างเช่น การร้อยมาลัย, การสานปลาตะเพียน, การทำขนมไทยหรืออาหารไทย จนไปถึงกิจกรรมสุดพิเศษอย่างการพิมพ์พระและเผาอบด้วยเตาทุเรียง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของการพิมพ์พระเข้าวัดของชาวสุโขทัยตั้งแต่โบราณ ใครที่สนใจกิจกรรมไหนก็ลองเข้าไปดูได้เลยครับ บางกิจกรรมก็ฟรี บางกิจกรรมก็มีค่าใช้จ่าย อย่างการพิมพ์พระนี่ก็จะมีค่าใช้จ่ายคนละ 250 บาทครับ
จบจากกิจกรรมในรีสอร์ทแล้ว คราวนี้เราขยับไปด้านนอกกันบ้างดีกว่า เริ่มตั้งแต่ด้านนอกแบบชนิดที่เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงอย่าง “เจดีย์วัดช้างล้อม” เจดีย์เก่าแก่สมัยสุโขทัยที่มีอายุกว่า 600 ปีกันก่อนเลย การเดินทางไปก็ง่ายมากครับ เพียงแค่เราออกจากรีสอร์ททางประตูที่มีสะพานแขวนจากนั้นข้ามถนนเล็กๆ เท่านั้นก็ถึงเลย เรียกว่าอยู่ใกล้สุดๆ
ชมความงามของเจดีย์วัดช้างล้อมเสร็จแล้ว คราวนี้เรามุ่งหน้าไปยังอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกันเลยดีกว่า สำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัวมาหรือต้องการชิวๆ และออกกำลังกายไปในตัว ผมแนะนำว่าให้ขอยืมจักรยานจากทางรีสอร์ทแล้วปั่นไปเลยครับ ใช้เวลาปั่นไม่เกิน 10 นาทีถึง โดยการยืมจักรยานนี้เราสามารถยืมได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และเมื่อเราปั่นไปถึงอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเราก็แค่ซื้อตั๋วเข้าชมในราคา 20 บาท (ราคาคนไทย) แล้วก็ปั่นจักรยานเข้าไปชมความงานของเมืองเก่าของเราได้เลย บอกเลยว่าสะดวกและสบายเงินในกระเป๋าสุดๆ
ส่วนคนที่ขับรถส่วนตัวมานั้น เมื่อถึงทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ก็ต้องหาที่จอดรถและเลือกว่าจะเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์อย่างไรระหว่างการเช่าจักรยานปั่นในราคาคันละ 30 บาท/วัน หรือจะนั่งรถรางเก๋ๆ ในราคา 30 บาท/คน (ราคาคนไทย) ซึ่งหากว่าเรายังวัยรุ่น สู้แดดไหว และอยากถ่ายรูปเยอะๆ ผมแนะนำว่าให้เช่าจักรยานปั่นดีกว่าครับ เพราะจะสนุกและเป็นอิสระกว่าเยอะ ส่วนใครที่กังวลเรื่องจะหลงทางนั้นก็ไม่ต้องกังวลไปครับ ไม่หลงแน่นอนหรือถ้ากลัวหลงจริงๆ ก็หยิบแผนที่ติดตัวไปด้วย รับรองว่าทริปนี้จะเป็นทริปที่คุณสนุกและประทับใจแน่ๆ
จริงๆ แล้วนอกการการปั่นจักรยานและนั่งรถรางแล้ว เรายังสามารถเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยอีกวิธีนึงได้ นั่นก็คือการนั่งเกวียนเทียมวัวเหมือนในสมัยอดีต โดยมีค่าใช้จ่าย 300 บาทต่อเที่ยว สามารถนั่งได้สูงสุด 6 คน (เฉลี่ยคนละ 50 บาท) โดยเส้นทางที่นิยมที่สุดก็คือจากหน้าหอพระพุทธสิริมารวิชัยไปจบที่วัดศรีชุม ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากแห่งนึงในสมัยสุโขทัยและอยุธยา โดยเฉพาะตำนานเรื่องพระพูดได้อันเลื่องชื่อ
ปล. บนเกวียนเค้าจะมีงอบไว้กันร้อนให้ด้วยนะครับ แต่ไกด์เค้าบอกว่าตามธรรมเนียมโบราณนั้นจะมีเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่ใส่ แต่ผมว่าถ้าใครร้อนก็ใส่ไปเถอะครับ อย่าทนเลย T____T
สำหรับใครที่อยากจะทราบประวัติของวัดศรีชุมโดยคร่าวๆ ก็อ่านตามนี้ได้เลยครับ แต่ถ้าใครขี้เกียจก็ข้ามย่อหน้านี้ไปได้เลย
วัดศรีชุม มาจากคำเรียกพื้นเมืองเดิมที่หมายถึง ต้นโพธิ์ ตัววัดนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยเป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ที่มีหน้าตักกว้าง 11.30 เมตร สูง 15 เมตร นามว่า "พระอจนะ" ซึ่งเป็นที่เลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ในสมัยนั้น ทั้งนี้ได้มีการสันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ต่อมาเมื่อครั้งสมเด็จสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประกาศอิสรภาพในปี พ.ศ. 2127 ที่เมืองแครง ก็ได้ทำให้หัวเมืองต่างๆ ยกเลิกการส่งส่วยให้กับพม่า แต่ยังมีเมืองเชลียง (สวรรคโลก) ที่ไม่ยอมทำตามพระราชโองการของพระองค์ พระองค์จึงนำทัพเสด็จมาปราบเมืองเชลียง โดยได้มาชุมนุมทัพที่วัดศรีชุมแห่งนี้ก่อนที่จะไปตีเมือง แต่ด้วยการรบในครั้งนั้นเป็นการรบระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ทำให้เหล่าทหารไม่มีกำลังใจในการรบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงได้วางแผนสร้างกำลังใจให้กับทหารโดยให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระและพูดให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร ทำให้ทหารเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดตำนานพระพูดได้ที่วัดแห่งนี้ และนอกจากนี้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยังได้มีการทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาขึ้นที่วัดแห่งนี้อีกด้วย
หมายเหตุ : ปัจจุบันนี้ทางขึ้นด้านหลังองค์พระได้ปิดไม่ให้บุคคลทั่วไปขึ้นแล้วนะครับ
หลังจากที่เราท่องเที่ยวนอกรีสอร์ทกันมาพักใหญ่ๆ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่ควรจะกลับไปพักผ่อนเติมพลังกันแล้ว ซึ่งผมแนะนำเลยว่าควรจะกลับไปถึงรีสอร์ทไม่เกิน 17.00 น. เพื่อที่จะได้เดินเล่มชมวิวสวยๆ ช่วงที่พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า พร้อมทั้งชมกิจกรรมต่างๆ ที่ “ศิลป์สุโข” และรับประทานอาหารเย็นอร่อยๆ พร้อมชมการแสดงนาฏศิลป์ไทยที่สวนอาหารน้ำค้าง ซึ่งจากที่ผมได้มีโอกาสชิมอาหารของที่นี่ไป 5-6 อย่างนั้น ต้องบอกเลยครับว่าอาหารรสชาติดีมาก อร่อยถูกปากผมและเพื่อนๆ เลย
หลังจากที่เรากินอาหารอร่อยๆ พร้อมชมการแสดงสวยๆ ไปเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาอาบน้ำและเข้านอนกันซักที ซึ่งถ้าเป็นโรงแรมหรือรีสอร์ททั่วไป กิจกรรมในตอนเช้าอีกวันก็คงไม่มีอะไรมากนอกไปจากการตื่นมากินอาหารเช้าแล้วก็ Check out แต่สำหรับคนที่มาพักที่นี่ผมอยากจะแนะนำหนึ่งกิจกรรมดีๆ อย่างการตื่นไปใส่บาตรที่วัดตระพังทอง วัดเก่าแก่ที่มีความสวยงามและมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ภายในบริเวณวัด โดยสระนี้เป็นสระที่ใช้เก็บน้ำไว้อุปโภคบริโภคมาตั้งแต่โบราณ และบริเวณเกาะกลางของสระจะเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสำคัญของวัดที่มีความสวยงามมาก
สำหรับการเดินทางมายังวัดแห่งนี้ก็ไม่ยาก เพียงแค่ยืมจักรยานจากทางรีสอร์ทแล้วก็ปั่นไปทางเดียวกับที่จะไปอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จากนั้นเราก็จะเห็นตลาดและวัดตระพังทองอยู่ซ้ายมือของเราอย่างเด่นชัดภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 นาที ส่วนเรื่องข้าวปลาอาหารแห้งในการใส่บาตรนั้นก็ไม่ต้องกังวลไป ที่ตลาดเค้ามีการจัดขายเป็นชุดๆ ไว้ให้เราเรียบร้อยแล้วครับ
หมายเหตุ : เวลาที่พระบิณฑบาตรนั้นจะอยู่ช่วงประมาณ 6.20 น. โดยจะเริ่มเดินจากในวัดผ่านสะพานไม้ไปยังเกาะกลางที่มีเจดีย์เก่าและเดินข้ามสะพานไม้อีกอันเพื่อออกมายังถนนครับ ดังนั้นสำหรับใครที่เล็งมุมถ่ายรูปดีๆ ไว้ รับรองว่าจะได้รูปพระบิณฑบาตโดยมีเจดีย์เก่าอยู่ด้านหลังแน่ๆ ครับ แต่สำหรับผมผู้ไม่ทราบมาก่อน มันก็เป็นที่แน่นอนว่าผมพลาดมุมนี้ไปอย่างน่าเสียดาย T____T
ใส่บาตรพระเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลากลับไปทานอาหารเช้ากัน โดยบริเวณทานอาหารเช้าของเลเจนด้าก็คือสวนอาหารน้ำค้างนั่นเองครับ
ไลน์อาหารเช้าของเลเจนด้านั้นอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้เยอะมากมายนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจที่สุดก็คือซุ้มขนมไทยโบราณอันนี้ที่มีขนมอย่างขนมครก, ขนมบ้าบิ่น, เค้กมะพร้าว, เค้กกล้วยหอม และขนมอื่นๆ ให้เรากินครับ บอกเลยว่าไปพักมาตั้งหลายที่แต่พึ่งเคยเจอที่นี่นี่แหละที่มีซุ้มอาหารแบบนี้
ส่วนอาหารอื่นๆ ก็จะมีเบคอน, ไส้กรอก, เบเกอรี่, สลัด, กับข้าว 2-3 อย่าง, Egg Station, ซีเรียล แล้วก็ของหวานกับผลไม้ครับ รสชาติโดยรวมๆ ถือว่าดี ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้ไม่ประทับใจ และสำหรับคนที่อยากจะสัมผัสอากาศดีๆ ผมแนะนำว่าควรเลือกโต๊ะที่ติดกับคลองนะครับ อากาศตอนเช้าๆ นี่ดีมากๆ เลย
และทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์จากที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปพักที่ Legendha Sukhothai Resort (เลเจนด้า สุโขทัย รีสอร์ท) ในระหว่างวันที่ 29-30 มิถุนายน 2560 สุดท้ายนี้เพื่อความเข้าใจง่ายๆ ผมขอสรุปการรีวิวออกมาเป็นเรื่องๆ ตามนี้นะครับ
การออกแบบ : เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก สวยหรู ดูมีสไตล์ แถมงดงามอย่างไทยและมีการคุมธีมได้ครบถ้วนตั้งแต่รูปแบบห้อง, ชุดพนักงาน, กิจกรรม จนถึงไลน์อาหารครับ เรียกได้ว่าเหมาะเหม็งกับการตั้งอยู่ใกล้ๆ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมากๆ
ความสะอาด : สะอาดสะอ้านทั้งบริเวณส่วนกลางและภายในห้อง ถึงแม้อาจจะมีใบไม้ร่วงหล่นตามพื้นบ้างแต่ก็เป็นเรื่องปกติของการมีต้นไม้ใหญ่อยู่ภายในรีสอร์ท
สิ่งอำนวยความสะดวก : มีสิ่งของจำเป็นพื้นฐานภายในห้องมาให้ครบครัน สัญญาณ wifi ก็ดี เสถียร และครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ส่วนพื้นที่ส่วนกลางก็มีทั้งนวดแผนไทย, ลานกิจกรรม, สระว่ายน้ำ, ห้องสมุด จนไปถึงการให้ยืมจักรยานเพื่อปั่นไปยังจุดต่างๆ เรียกได้ว่าข้อนี้ได้คะแนนจากผมไปเต็มๆ
การเดินทาง : ในความคิดผมนั้นทำเลที่ตั้งของเลเจนด้าถือว่าดีมากๆ เลยนะครับ อยู่ติดกับถนนสายหลักที่เดินทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ดังนั้นน่าจะมองหาได้ไม่ยาก ส่วนกรณีที่เราต้องใช้บริการรถเหมาต่างๆ ภายในเมือง คนขับก็น่าจะรู้จักรีสอร์ทแห่งนี้ดีครับ
การนอนหลับพักผ่อน : หลับสบาย เตียง หมอน ผ้าห่ม นุ่ม ส่วนแอร์ก็เย็นสบาย ไม่มีปัญหาอะไรแถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ภายในห้องด้วย เรียกได้ว่าดีงามเลยครับ ส่วนถ้าจะมีอะไรที่ผมต้องเตือนก็คือด้วยความที่รีสอร์ทแห่งนี้มีความเป็นธรรมชาติมากดังนั้นในช่วงเวลากลางคืนจึงมียุงอยู่พอควร ใครที่แพ้ยุงก็คงต้องเตรียมตัวดีๆ หน่อยนะครับ แล้วก็เวลาเข้าออกห้องตอนกลางคืนเราก็ต้องรีบเปิดปิดประตูหน่อยไม่งั้นเดี๋ยวยุงเข้าห้องแล้วจะนอนหลับไม่สบาย ^^
การบริการของพนักงาน : บริการดี และอัธยาศัยดีมากครับ ยิ้มแย้มแจ่มใส เดินไปเจอที่ไหนก็ทักทายตลอด
อาหารเช้า : ปริมาณไลน์อาหารอยู่ในระดับปานกลาง แต่รสชาติดี บรรยากาศดี ที่สำคัญยังเก๋ไก๋สุดๆ ด้วยซุ้มขนมไทยที่ไม่มีที่ไหนเหมือน ข้อนี้ผมว่าน่าจะเรียกคะแนนจากชาวต่างชาติได้เยอะมากๆ
สรุป : เลเจนด้า สุโขทัย คือหนึ่งในรีสอร์ทที่ผมประทับใจมากๆ และถ้าได้มีโอกาสกลับไปที่สุโขทัยอีก ผมจะเลือกรีสอร์ทแห่งนี้เป็นอันดับแรกๆ ในการเข้าพักเลย และด้วยบรรยากาศแบบไทยๆ ที่มีความร่มรื่นสูง มีการออกแบบที่สวยงาม รวมไปถึงกิจกรรมภายในรีสอร์ทที่สะท้อนความเป็นไทยออกมาได้อย่างเด่นชัด แถมยังอยู่ใกล้ๆ กับเจดีย์วัดช้างล้อมและอยู่ไม่ไกลจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ดังนั้นผมคิดว่ารีสอร์ทแห่งนี้น่าจะถูกอกถูกใจทั้งชาวต่างชาติ และคนไทยกลุ่มใหญ่แน่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่เที่ยวแนวครอบครัวต้องการพาพ่อแม่ที่สูงอายุมาพักผ่อน หรือพาลูกเล็กๆ มาเรียนรู้ความเป็นไทยในอดีต และแน่นอนว่าบรรยากาศและราคาของรีสอร์ทนี้คงไม่เหมาะกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่เน้นที่พักราคาประหยัดๆ อย่างแน่นอนครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ หากขาดตกบกพร่องประการใดผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ และการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ สำหรับใครที่ชอบการรีวิวของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
ภรรยาหา สามีใช้
วันพฤหัสที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.26 น.