“ไต้หวัน” (Taiwan) ประเทศหมู่เกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ประเทศจีน มีรูปร่างคล้าย ๆ มันเทศ ประเทศที่กำลังนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทย และออกจะดูน่าอายไปนิด ถ้าจะบอกว่าทริปนี้ เป็นทริปแรกที่ได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวไต้หวัน แต่การไปครั้งนี้ยอมรับว่าเป็นการไปแบบ “ไม่คาดหวัง” เพราะเป็นทริปสั้น ๆ แค่ 3 วัน 3 คืน (กับอีก 1 เช้า)
อ่อ…คราวนี้จะของเล่าในรูปแบบของการทำภาพให้เป็นแนว Cinematic Photography นะครับ
TAIWAN Unexpected
เริ่มจากการที่มีเพื่อนที่ชื่นชอบไต้หวันเป็นชีวิตจิตใจ บอกต่อเรื่องความน่าประทับใจของไต้หวัน ก็ได้แต่จดจ่อว่าจะได้ไปตอนไหนดี สุดท้ายก็ได้โปรฯ เที่ยวบินไปไต้หวันของสายการบิน NokScoot ช่วงวันที่ 26 – 29 พ.ค. 2560 ที่เพิ่งผ่านมานี้ หลังจากจองตั๋วได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “เตรียมตัว”
- แลกเงิน ค่าเงินของไต้หวัน 1 NT$ (ไต้หวันดอลล่าห์) = 1.14 – 1.16 บาท ค่าเงินไม่ค่อยจะแตกต่างกันสักเท่าไหร่ คิดเงินง่ายดี
- หาข้อมูลสถานที่เที่ยว เนื่องจากเวลาที่เราเดินทาง เริ่มออกจากเมืองไทย ตี 2 ถึงไต้หวัน 6 โมงเช้า ลงเครื่องก็เที่ยวต่อกันได้เลย แต่เวลากลับ เช้าชะมัด 9 โมงกว่า ๆ ก็บินกลับแล้ว แทบจะเรียกว่าวันสุดท้าย มีเวลาเดินทางไปสนามบินอย่างเดียว ทำให้มีเวลาจริง ๆ แค่ 3 วัน ก็เลยตกลงกันว่าจะเที่ยวกันแค่ “ไทเป”
- เตรียมกล้องถ่ายรูป ไต้หวันเป็นประเทศหมู่เกาะ คล้าย ๆ ญี่ปุ่น ทำให้แม้ในหน้าร้อน ก็มีฝนตกได้ พยากรณ์อากาศคาดเดาไม่ได้สักเท่าไหร่ ขออย่างเดียวว่าอย่าเจอพายุเป็นพอ นอกจากกล้องหลักก็เลยต้องขอติดกล้อง Action Cam ไปด้วย เจอฝนก็ยังลุยได้
การเดินทางครั้งนี้ เราได้จองโปรฯ ของทางสายการบิน Nok Scoot ที่จัดโปรฯ มาราคาดีงามมาก ตกไป - กลับ ราคาต่อคนตกคนละประมาณ 4,500 บาท บินวันศุกร์ กลับวันจันทร์ ถือว่าลงตัวมาก ได้เที่ยว 3 วันเต็ม ๆ
เราออกเดินทางกันตอนตี 2 ของวันที่ 26 (ก็มานั่งรอตั้งแต่คืนวันที่ 25 หล่ะ แบบว่าง่วงกำลังดี ขึ้นเครื่องได้ก็นอนเลย) ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 4 ชม. เวลาที่ไต้หวันจะเร็วกว่าเรา 1 ชม. ถ้าจะตั้ง Time zone ของนาฬิกา ก็ใช้ของ Hong kong ก็ได้ รูปนี้เป็นรูปแรกที่ถ่ายได้แผ่นดินไต้หวันครั้งแรก มองด้านล่างแล้วรู้สึกชื่นชมเค้าอย่างนึงนะ ว่าถนนทุก ๆ เส้นที่มองเห็นเค้าจะมีไฟเปิดไว้แทบจะทุกจุด แม้ในต่างจังหวัด
หลังจากรับกระเป๋าที่สายพานแล้ว ก็ต้องเดินทางเข้าเมืองกันหล่ะ การเดินทางเข้าเมืองมีอยู่หลายทางมาก แต่สำหรับเรา เน้นสะดวกสุด ก็คือรถไฟฟ้า ต่อเดียวจบ ถึงสถานี Taipei Main Station เลย
แล้วก็โชคดีตอนที่เราไป ตั๋วบัตรโดยสารแบบ One Day Pass มีโปรฯ แบบว่าซื้อ 1 แถม 1 จากที่ต้องจ่าย 700 NT$ ก็จ่ายแค่ 350 NT$ ตกเหลือคนละ 175 NT$ เอง ส่วนทำไมถึงซื้อเป็นแบบ One Day Pass หน่ะเหรอ….เดี๋ยวมาเฉลย
ด้านในไม่แตกต่างจากรถไฟฟ้าทั่วไปสักเท่าไหร่ มีมุมให้วางกระเป๋า (แต่ก็เหมือนจะไม่พอสักเท่าไหร่นะ) ซึ่งขบวนนี้เป็นแบบธรรมดา ไม่ใช่แบบรถด่วน ข้อดีของรถไฟที่นี่คือ มี Free Wifi ให้ได้ใช้ด้วย แล้วความเร็วก็ไม่ธรรมดานะ เปิดหา Google Map ได้สะดวกเลย
ความรู้สึกของเราทั้งคู่ ก็คงไม่ต่างจากเด็กน้อยคนนี้ ที่มองไปทางไหนก็ดูเป็นสิ่งดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ยอมรับว่าประทับใจเมื่อแรกเห็นเหมือนกัน เพราะไต้หวันเองมีสภาพเป็นเกาะ และมีเนื้อที่ 2 ใน 3 เป็นภูเขา แต่เค้าก็มีการจัดการได้ดี มองเห็นโรงงานตั้งอยู่ตามแนวเขา พอเข้ามาด้านในหน่อย ก็เริ่มเห็นเป็นเขตอุตสาหกรรม พอเข้ามาอีกหน่อย ค่อยเป็นอาคารสูง เป็นบ้านเรือน
อย่างแรกที่เรามาถึงคือเอากระเป๋าไปฝากที่พักกันก่อน ที่พักที่เราพักตลอดทริปครั้งนี้เป็น Hostel ครับ ชื่อว่า “Muiu Capsule inn Taipei” (รีวิวเล็ก ๆ ของที่พักที่นี่ ทางนี้จ้า…. MUIU Capsule Inn โฮสเทลน่ารัก ๆ กลางไทเป)
เรามาฝากกระเป๋ากันก่อน เพราะที่นี่เช็คอินได้ตอนบ่าย 3 (ที่อื่นก็น่าจะเวลาใกล้เคียงกัน) รูปนี้เป็นรูปห้องพักของเรา เป็นห้องเตียงแฝด 2 ชั้น ถ่ายตอนเช็คอิน ขนาดไม่ใหญ่มาก ถ้าไม่มีสัมภาระเยอะ ก็ได้อยู่
Journey begin…
สภาพบ้านเมืองของไทเป ผมคิดว่ามันคล้าย ๆ กับฮ่องกง แต่ไม่แออัดเท่า และผังเมืองเดินง่าย มีถนนเป็นบล็อค เดินไม่ยาก รถที่นี่ขับพวงมาลัยซ้าย แรก ๆ ก็งง ๆ หน่อยเวลารถเลี้ยว สัญญาณไฟของที่นี่ ไม่ได้เข้มงวดมาก แต่รถจะหยุดเมื่อเจอคนเดินข้ามถนน (ไปเที่ยวที่ไหนก็เป็นแบบนี้ มีแต่บ้านเรานี่แหล่ะที่แปลก) ที่นี่นิยมใช้มอเตอร์ไซค์กันเหมือนกันนะ แต่ดูแล้วส่วนใหญ่จะเป็นขนาดเล็ก ประมาณสกู๊ตเตอร์ วิ่งกันไม่เร็ว ไม่น่ากลัว แล้วก็ไม่น่าเจอเด็กแวนซ์ที่นี่ และชอบตรงทางเดินของตึกแถวเค้าจะสร้างตึกคร่อมทางเดิน ทำเป็นทางเดินในร่มไปเลยในตัว ถือเป็นการใช้พื้นที่ได้ดีมาก ฝนตกก็ยังเดินได้สบาย ๆ
รถไฟฟ้าใต้ดินของที่นี่ในตอนเช้า ไม่แออัดสักเท่าไหร่ น่าจะเพราะยังเป็นเวลาในช่วงเช้า คนเลยไม่เยอเท่าไหร่ ตัวภายในตู้โดยสาร สะอาดพอสมควร แต่ก็เก่าใหม่ตามสภาพ คนไต้หวันหลายคน ก็ติดโซเชียลเหมือนกัน เห็นหลายคนเลยที่หยิบมือถือขึ้นมาเล่น ตรงนี้แหล่ะที่รู้สึกไม่ค่อยต่างกันกับไทย
วัดหลงซาน (Longsan Temple)
ที่ ๆ เราจะไปกันที่แรก ก็คือวัดหลงซาน (Longsan Temple) ขอมาไหว้พระ เอาฤกษ์เอาชัยกันก่อน วันนี้เป็นวัดดังที่ใครไปใครมา ก็ต้องมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่กันก่อน การเดินทางก็มาไม่ยาก นั่งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (BL – Bannan Line) ไปลงที่สถานี Longshan Temple (BL10) ทางออกที่ 1
พอขึ้นจากสถานีก็จะพบเจอวิถีชีวิตของผู้คนแถวนี้เลย มีทั้งมานั่งพูดคุยกัน มานั่งเล่นหมากรุก หรือแม้กระทั่งยึดเป็นที่พักเกือบจะถาวรก็มี
วันนี้ท้องฟ้าขมุกขมัว แต่ไม่มีแววว่าจะมีฝน ซุ้มประตูลายมังกรกับกระเบื้องหลากสี ตั้งเด่นเป็นสง่าอย่างเห็นได้ชัด วัดหลงซาน เป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับต้น ๆ และเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในไทเป เคยโดนทำลายด้วยระเบิดตอนช่วงสงครามโลก แต่ก็บูรณะฟื้นฟูครั้งใหญ่ โดยระดมบรรดาช่างระดับครูมาช่วยกันบูรณะกลับมาอย่างสวยสดงดงาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัดนี้คือรูปสลักเจ้าแม่กวนอิม ที่แทบจะไม่ได้รับความเสียหายจากระเบิดเลย ทั้ง ๆ ที่บริเวณโดยรอบเสียหายกันหมด (ถ้าเทียบกับที่บ้านเราก็คงจะไม่พ้นวัดเล่งเน่ยยี่ ที่เยาวราช ยังไงยังงั้นเลย)
การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่จะมีรูปแบบที่ตายตัว เข้าทางประตูด้านขวามือ ออกทางประตูทางซ้ายมือ ธูปของที่นี่จะก้านยาว ๆ หน่อย ตอนแรกก็สงสัยว่าจะยาวไปไหนเนี่ย….
นี่คือคำตอบว่าทำไมธูปถึงย๊าว ๆ ครับ เพราะเค้าจะเล่นปาก้านธูปลงกระถางกันเลย ถ้าสั้นแล้วมาปักก็คงจะโดนธูปจี้กันพอดี แต่ละวัฒนธรรมก็แตกต่างกันไป แต่มันมีวิถีของแต่ละที่
แต่เอาเข้าจริง ๆ นะ ผมก็งงในทิศทางการไหว้ของคนที่นี่จริง ๆ นะ บางคนก็ไหว้ตามธรรมดา บางคนก็ไหว้คนละทิศ การจับธูปก็มีแตกต่างกัน บางคนก็จับธูปกดคว่ำลงแล้วไหว้ แต่ทุกคนต่างมาสักการะด้วยความศรัทธา
จักรยานให้เช่า เป็นสิ่งที่เห็นได้คุ้นตาตามสถานีไฟฟ้าเกือบจะทุกที่ จะยืมที่นึงไปคืนอีกที่นึงก็ยังได้ ค่าบริการก็ไม่แพงแค่ไม่กี่สิบเหรียญ ถนนของเค้าก็ออกแบบให้สำหรับคนใช้จักรยานใช้ได้อย่างสบาย ในเมืองไทยก็เห็นว่าเร่ิมมีอยู่ แต่ปัจจัยสำคัญเลยคือถนนที่ใช้ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่
และนี่คือเหตุผลที่เราใช้ตัว One Day Pass ของรถไฟฟ้า Taoyuan Airport เพราะเราจะมาช้อปปิ้งที่ Mitsui Outlet Park Linku เพราะเนื่องจากเรามีเวลาน้อย การจะแวะมาตอนขากลับก็เป็นไปไม่ได้เลย ก็เลยมาช้อปกันก่อนในวันแรก ๆ เพราะเราไม่ได้ย้ายที่พัก ไม่ต้องแบกกระเป๋าไปไหนมาไหน ถ้าใครจะแวะมาตอนขากลับก็ยังได้ (อาจจะลำบากหน่อยตอนต้องแพ็คกระเป๋า)
แต่ถ้านั่งขบวนที่นั่งมาเป็นรถด่วน (สังเกตที่ป้ายที่จอดกับลักษณะที่นั่งจะไม่เหมือนกับรถธรรมดา) ให้ลงที่สถานี Chang Gung Memorial Hospital (A8) แล้วต่อรถธรรมดามาอีกสถานี Linku (A9) แล้วเดินต่อไปอีกเล็กน้อย หรือจะรอ Shuttel Bus ของ outlet ก็ได้
หลังจากล้มละลายกันที่ outlet แล้วก็กลับเข้าที่พัก เก็บของ แล้วก็ออกไปที่ Ximenting แหล่งท่องเที่ยวช้อปปิ้งกลางคืนที่สะดวกสุด ๆ ดูแล้วถ้าจะให้เทียบก็คงเหมือนสยามสแควร์บ้านเรา แต่ดีกว่ามาก ที่สำคัญคือเปิดกันจนถึงดึกเลย ทำให้ไทเปนี่เที่ยวได้ทั้งวันจริง ๆ ย่านนี้จะเป็นย่านที่มีทั้งร้านอาหาร ร้านค้าสินค้าแฟชั่น หรือแม้กระทั่งโรงหนัง เป็นที่นิยมทั้งนักท่องเที่ยว และคนไต้หวันเอง
Mala Yuanyang Hotpot, Taipei
ชาบูหม้อไฟไต้หวัน (ชาบูหมาล่า) อาหารขึ้นชื่อของไต้หวัน
ได้มาลองเองแล้วไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนถึงเชียร์ให้มาลองสักครั้ง
ร้านที่เรามาลองชื่อว่า
Mala Yuanyang Hotpot อยู่ที่
Ximenting นี่แหล่ะ บอกได้คำเดียวว่า “เด็ดมาก”
เพราะเป็นบุฟเฟ่ต์ชาบูที่เราใช้เวลาเต็ม 2 ชั่วโมงแล้วยังรู้สึกไม่พอ
เพิ่งจะเคยเจอบุฟเฟ่ต์ที่จัดเนื้อ Angus มาให้กว่าจะรู้ตัวก็ปาไป 3
ถาดแล้ว พลาดตรงจะมากินอีกรอบ แล้วรอบเต็ม อีกวันก็ต้องกลับ…ไม่ทันซะแล้ว
เคยโพสต์ไว้ทีนึงแล้วนะ ไปดูกันได้ที่นี่….
https://www.facebook.com/
อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค(中正紀念堂) Chiang Kai-Shek Memorial Hall
เราออกจากที่พักกันตั้งแต่เช้าเพื่ออยากจะมาเก็บภาพตอนเช้าที่นี่ การเดินทางก็ไม่ยาก จากสถานี Taipei Main Station ใช้รถไฟฟ้าสายสีแดง (Tamsui-Xinyi Line) มาลงที่สถานี C.K.S. Memorial Hall Station ออกทางออกที่ 5 เป็นอนุสรณ์สถานที่มีบริเวณกว้างใหญ่มาก และในบริเวณเดียวกัน ก็มีอาคารสำหรับการแสดงคอนเสิร์ต และโรงละครแห่งชาติ ในส่วนของอนุสาวรีย์จะเป็นอาคารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางด้านหลัง
และที่นักท่องเที่ยวมักจะไม่พลาด คือพิธีการเปลี่ยนเวรยามของทหารรักษาการณ์ ซึ่งจะเปลี่ยนทุก ๆ ต้นชั่วโมง ภายในอนุสรณ์สถานแห่งนี้ เป็นพิธีที่ดูงามสง่า น่าชื่นชม และถือเป็นสีสันของสถานที่แห่งนี้ ข้อแนะนำคือพอใกล้ ๆ เวลาช่วงที่เปลี่ยน ให้รีบจับจองมุมให้ดี เพราะเค้าจะกันพื้นที่คนออก ทหารจะออกมาจากทางประตูข้าง ๆ เพื่อมาเปลี่ยนเวรกับทหารที่ยืนอยู่เดิม (โชคดีที่โดนไล่มาตรงนี้)
ตลาดกลางคืนซือหลิน (Shilin Night Market / 士林夜市)
หลังจากช่วงเช้าที่เราไปอนุสาวรีย์เจียงไคเช็คแล้ว ก็ไม่ได้ไปไหนไกล เพราะฝนตกจนถึงเย็นเลย แพลนที่วางไว้ก็พังไปโดยปริยาย กลายเป็นหาที่เที่ยวแบบหลบฝนกัน กว่าจะได้หยิบกล้องมาถ่ายอะไรก็ตอนเย็นแล้ว จากแพลนเดิมที่กะจะไปขึ้น Elephant Hill กันก็ขอเปลี่ยนมาที่ช้อปปิ้งตอนกลางคืนแทน (ช้อปอีกละ) วิธีการเดินทางก็ไม่ยาก นั่ง รถไฟฟ้าสายสีแดง (Tamsui-Xinyi Line) มาลงที่สถานี Jiantan Station ทางออกที่ 1
ตลาดกลางคืนซือหลิน เป็นตลาดกลางคืนเริ่มคึกคักตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น และเปิดยาวไปจนถึงประมาณเที่ยงคืน มีทั้งของกิน ขอบช้อปที่ไม่ใช่ของแบรนด์ รวมไปถึงของแบรนด์ก็ยังหาได้ อย่างพวกรองเท้า เสื้อผ้า แต่ที่ขึ้นชื่อจริง ๆ ก็จะเป็นเรื่องของกิน ที่มีให้กินหลากหลาย เป็น Street foods แบบเรียงกันยาว ๆ ตามแนวถนน ให้สังเกตง่าย ๆ ตามรูปจะเห็นตึกสีส้ม ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงแยกหลังจากเดินออกมาจากสถานีรถไฟฟ้า ทางด้านซ้ายมือจะเน้น Street Foods ตั้งยาวไปตลอดแนว ส่วนทางด้านร้านค้า ก็จะอยู่ด้านขวามือ แต่ถ้าเดินไปทางใดทางหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเดินย้อนกลับมาก็ได้ เพราะช่วงท้าย ๆ จะมีตลาดที่สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้ทั้ง 2 ฝั่ง
เรามาดูกันดีกว่าว่า ของกินมีอะไรบ้าง บอกเลยนะว่านี่คือส่วนนึงที่เราพอจะเอามาบอกต่อได้ ให้เก็บหมด รับรองพุงแตกแน่ ๆ
เต้าหู้เหม็น (35 NT$)
เป็นอย่างแรกที่เรานำเสนอ อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ที่กลิ่นไม่เป็น 2 รองใคร สำหรับคนที่เคยลองกินแล้ว เค้าก็จะบอกว่ามันกรอบ ๆ ไม่เหม็นอย่างที่คิด แต่สำหรับผมแล้ว ขอผ่านครับ ก็ไม่ชอบก็คือไม่ชอบอ่ะนะ (แต่ไม่ต้องห่วง จานนี้คุณแฟนจัดการเอง….ยกนิ้วให้เลย)
เนื้อแองกัสย่างไฟ (100-200 NT$)
เป็นแฟรนไชส์ที่เห็นอยู่ไปทั่ว (ในตลาดนี้อย่างต่ำ ๆ ก็ 3 ร้านเข้าไปละ) เป็นการเอาเนื้อแองกัสก้อนใหญ่ ๆ มาเผาไฟกันใหม่ ค่อย ๆ เอาไฟเผาแล้วมาหั่นเป็นทรงลูกเต๋า แบ่งใส่กล่อง มี 2 ขนาด เล็ก กับใหญ่ เลือกผงปรุงรสได้ ซึ่งผง Spicy ในก็คือโรยหมาล่านะ (ตอนนี้เข้าใจแบบนี้ไปแล้ว) สำหรับสายเนื้อ ถือว่าใช้ได้อยู่ ทานได้เพลิน ๆ ยิ่งถ้าได้เบียร์สักกระป๋องนี่สบายเลย
ทาโกะยากิชีส (100 NT$)
ทาโกะยากิที่ใส่ปลาหมึกชิ้นใหญ่เต็มคำ เรียกว่าตัวเล็ก ๆ ยังได้ ใส่ส่วนผสมแบบล้น ๆ แถมด้วยลีลาการทำเป็นตัวเรียกลูกค้า ที่ทำให้ไม่พลาดที่อยากจะลองดู ถ้าเทียบกับที่เคยกินแล้ว ออกจะคล้าย ๆ กับของโอซาก้า เป็นทาโกะยากิแบบไม่กรอบนักแต่เนื้อนุ่ม ไม่เหมือนอย่างกินดาโกะที่เป็นแบบแป้งกรอบ กล่องนึงมี 6-8 ลูก
น้ำมะระหวาน (60 NT$)
ถ้าเห็นว่ามีลูกมะระสีขาว ๆ แขวนไว้ที่หน้าร้าน นั่นแหล่ะร้านนั้นขายน้ำมะระหวาน ลองแล้วก็ชอบนะ หวานไม่มาก กินแล้วรู้สึกเย็น ๆ แต่มีขมเล็ก ๆ ที่ท้ายคำ ไม่ขมเหมือนมะระบ้านเราเลย กินง่าย
ไก่ทอด Hot Star
ไก่ทอดเจ้าดังที่ไปเปิดที่ไทยแล้ว อันนี้ถ่ายมาให้ดูนะ อันนี้ไม่ได้กินนะ เพราะถ้ากินไป อันอื่นไม่ต้องชิมกันพอดี ชิ้นใหญ่มาก แล้วก็แถวยาวมากด้วย
ปลาหมึกย่างไม้ยักษ์ (100 NT$)
ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นเนื้อไก่ย่างไม้ ซอสบาร์บีคิว ก็รอต่อคิวตั้งนาน ที่ร้านไม่มีรูปหรือตัวหนังสือภาษาอังกฤษบอกด้วย มารู้อีกทีก็ตอนกัดคำแรกนี่แหล่ะ เหนียวเกินคาด ยังไงก็สู้น้ำจิ้มซีฟู๊ดบ้านเราไม่ได้ น่าจะเป็นเนื้อปลาหมึกยักษ์ สำหรับคนชอบก็คงจะโอเค แต่สำหรับเรา อันนี้ไม่ผ่านนะ
ลูกชิ้นปลาต้ม (50 NT$ 2 ไม้)
ลูกชิ้นปลาต้มร้อน ๆ มี 2 สูตร แบบน้ำซุปธรรมดา กับแบบซุปหมาล่า (อีกแล้ว) ขายกันง่าย ๆ เลยครับ เอาแบบไหนจิ้มเอา โรยด้วยผงอะไรก็ไม่รู้สีเขียว ๆ ตามด้วยพริกไทย ตอนแรกเข้าใจผิดดูป้ายผิดนึกว่าไม้หล่ะ 10 NT$ ที่ไหนได้ ไม้ละ 25 NT$ ก็ลองชิมกันไป ที่ไทยแซบกว่าครับ แต่ไอ้ไม้นี้อย่างประมาท เล่นเอาเผ็ดร้อนลิ้นกันเลยแหล่ะ น่าจะเพราะพริกไทของเค้า ต้องไปหาน้ำมากินกันเลยทีเดียว
ของกินของที่นี่ยังมีอีกเยอะมาก เอามาบอกหมด ก็ยังจะยาวไป
เราพักเรื่องของกินไว้ก่อนดีกว่า ไปดูกันว่าที่ตลาดนี้มีอะไรอีกบ้าง นอกจากของซื้อของขายที่วางแผงขายกันตามร้านแล้ว ก็ยังมีเกมให้เล่น เหมือนงานวัดบ้านเราด้วยนะ จะเป็นปาโป่ง บิงโก หรือช้อนลูกปลาก็มี ในส่วนของร้านค้าก็ขายของน่าสนใจครับ บางร้านก็เป็นของที่ร้านนั้นทำขึ้นมาเอง พวกสินค้าแฟชั่นนี่เพียบ เดินกันได้เพลิน ๆ เลย เพราะเราเองก็เดินกันจนถึงเกือบเที่ยงคืนเลยทีเดียว อ่อ สำหรับรถไฟฟ้าที่นี่ปิดเที่ยงคืนนะครับ แต่ต้องเช็คด้วยว่าขบวนสุดท้ายออกจากสถานีกี่โมง
Xiangshan (ปีนเขาช้าง ชมวิวไทเป 101)
ในเช้าวันที่ 3 เราออกกันตั้งแต่เช้าครับ ไปขึ้นรถไฟฟ้าขบวนแรกกันเลย เป้าหมายคือการเดินขึ้นไปถ่ายรูปตึกไทเป 101 จากบนเขาช้าง แก้มือจากที่ไม่ได้ขึ้นไปตอนเย็นเมื่อวาน ที่ต้องขึ้นกันตั้งแต่เช้าเพราะไม่อยากให้สายเกินจนร้อน แล้วก็เผื่อจะได้แสงสวย ๆ บ้าง และข้อดีของการออกแต่เช้าแบบนี้อีกอย่างคือ ได้พบเห็นภาพในบางมุมที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันในช่วงเวลาทั่ว ๆ ไป
วิธีการเดินทางมาก็ไม่ยากครับ นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง (Tamsui-Xinyi Line) มาลงที่สถานี Xiangshan ซึ่งเป็นสถานีสุดท้าย แล้วเดินต่อมาตามทางเดินเท้าอีกประมาณ
800 เมตร ก็จะมาถึงทางขึ้นเขาช้างแล้วครับ
ทางเดินเป็นบันไดปูนเดินสะดวกครับ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เหนื่อยนะ
เราเห็นคุณลุงคุณป้าค่อย ๆ เดินแซงเราไปเรื่อย ๆ…..ไม่เป็นไร เราไม่รีบ
เดินขึ้นมาประมาณ 400-600 เมตร (ระยะจากในแผนที่ Google Map)
ก็จะเจอจุดชมวิวที่เรียกว่า
The Six Giant Rocks
เป็นหินก้อนใหญ่ ๆ 6 ก้อน ที่หลาย ๆ คนปีนขึ้นไปถ่ายรูป
(รูปเดียวกับหน้าเปิด) แต่ถ้าต้องการวิวที่นั่งสบาย ๆ มองวิวได้เพลิน ๆ
ขึ้นไปอีกนิดนึงครับ เป็นลานกว้าง ๆ ให้นั่งพักและชมวิวเมืองไทเปและตึกไทเป
101 ได้สบาย ๆ เลย ถ่ายมาได้หลายรูปครับ
แต่รูปนี้เป็นรูปที่เลือกมา…..เราใช้เวลาทั้งหมดร่วม ๆ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว
วัด Hsing Tian Kong
วัดสิงเทียนกง เป็นวัดที่ชาวไต้หวันนิยมมาขอพรเรื่องหน้าที่การงาน ความมั่นคงและโชคลาภเงินทอง ภายในวัดมีพิธีสวดกันเป็นหมู่คณะ คนอย่างเยอะเลย การเดินทางมาที่วัดนี้ เราก็เดินทางด้วยรถไฟฟ้าเหมือนเดิม ใช้รถไฟฟ้าสายสีส้ม (Zhonghe-Xinlu Line) ลงสถานี Xingtian Temple ออกทางออก 3 แล้วเดินตรงมาขวามือเรื่อย ๆ ข้ามถนนก็ถึงแล้ว
ตลาดปลาไทเป Addiction Aquatic Development (AAD) (Taipei Fish Market)
การเดินทางมาตลาดนี้ เราเดินทางต่อมาจากวัน สิงเทียนกง เดินมาตามทาง ให้ Google Map พามา แป็บเดียวครับไม่นาน ระยะทางประมาณ 700 เมตร ก็ประมาณ 10 นาที
ตลาดปลาไทเปใหม่ ตรงนีทำเป็นเหมือน Super Market ของทะเลสด ๆ จะซื้อเป็นวัตถุดิบไปทำอาหารต่อ หรือจะจัดซาชิมิสด ๆ แบบพร้อมกินก็ได้ สนนราคาก็เรียกว่าไม่ถูกไม่แพง เพราะถ้ากินแบบนี้ที่เมืองไทย ราคาก็น่าจะสูงกว่านี้ ซึ่งถ้าใครอยากกินแบบสด ๆ แล้วราคาไม่แพงจริง ๆ ก็สามารถหาได้ในตลาดด้านนอกได้ ตรงนี้จะเหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวกมากกว่า
ตู้ไปรษณีย์แอ่นเอว (彎腰郵筒)
จุดหมายต่อไปที่อยากจะขอแวะไปเก็บภาพสักครั้ง ก็คือตู้ไปรษณีย์แอ่นเอว จากตลาดปลา เราจะเดินกลับไปนั่งรถไฟฟ้าก็ได้ แต่มาไต้หวันทั้งทีก็อยากลองขึ้นแท็กซี่ดูสักครั้ง ระยะทางก็ไม่ไกลมาก แท็กซี่ไต้หวัน ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของที่นี่ ที่ไทเปนี้ ราคาเริ่มต้นของแท็กซี่คือ 70 NT$ ที่ 1.25 กิโลเมตรแรก และเพิ่มขึ้น 5 NT$ ในทุก ๆ 200 เมตร
ตู้ไปรษณีย์แอ่นเอว ที่ตู้ไปรษณีย์เป็นแบบนี้ เพราะว่าตอนที่ไต้ฝุ่นเซาเดโลร์ พัดเข้าไต้หวันเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ค่อนข้างรุนแรง (ถึงขนาดรถมอเตอร์ไซค์ทั้งคันลอยเพราะแรงลมเลย) และได้พัดป้ายร้าน ป้ายโฆษณาหล่นมาโดน พอหลังจากพายุสงบ ก็มีการสำรวจความเสียหาย สุดท้ายเจ้าตู้ไปรษณีย์คู่นี้ ทางการสรุปว่าไม่ซ่อม แล้วก็ทำให้เป็น Landmark แห่งใหม่ของไต้หวันไปเลย แรก ๆ ต้องต่อคิวกันถ่ายรูปกันเลย แต่ตอนนี้ ไม่มีคิวแล้ว แต่ต้องวัดดวงกันหน่อยว่าจะมีรถจอดขวางมั้ย (ตอนไปถ่าย ก็มีจอดบังอยู่นิดหน่อย)
Taipei 101 Observatory & Din Tai Fung
พิกัดต่อไปคือตึกไทเป 101 เป้าหมายของเราคือ จะไปกิน Din Tai Fung กับขึ้นไปชมวิวด้านบนที่ชั้น 89
สำหรับใครที่วางแผนไว้ที่จะมากิน Din Tai Fung อยู่แล้ว ขอแนะนำให้มาที่นี่ เพราะเป็นร้านใหญ่ ที่นั่งมีเยอะ และสะดวกในการเดินทาง (สารภาพว่า เคยจะไปกินที่สาขาอื่นแล้วคนเยอะเกิ๊น จนต้องหาอย่างอื่นกินแทน) นอกเหนือจากนั้น ยังมีครัวโชว์ให้เราได้เห็นวิธีการทำเสี่ยวหลงเปาให้เราดูด้วย
หลังจากนั้นเราก็ไปที่ชั้น 5 ที่เป็น Lobby ที่ขายตั๋วสำหรับขึ้นไปด้านบน สนนราคาก็ตกคนละประมาณ 500 กว่าเหรียญได้ แนะนำว่าให้หาแอพที่ใช้ซื้อตั๋ว Online เพราะบางทีจะมี Code สำหรับใช้เป็นส่วนลดในการซื้อตั๋ว ก็ได้ลดไปประมาณ 100 เหรียญ หลังจากนั้นก็ไปเข้าคิวเพื่อขึ้นลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก ใช้เวลาประมาณ 10 วิกว่า ๆ ก็ถึงชั้น 89 แล้ว เราสามารถเดินดูได้รอบทั้ง 4 ด้าน แต่ด้านที่สวยที่สุดน่าจะเป็นฝั่งที่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก โชคดีมากที่วันนี้ เราได้เห็นแสงทะลุเมฆลงมาด้วย ถือว่าการขึ้นมาชมวิวครั้งนี้ ไม่เสียเปล่าจริง ๆ
เวลา 3 วัน 3 คืนที่ไทเป รู้สึกเลยว่า มันน้อยไป ยังมีอีกหลายที่ ที่เราอยากไป แม้แต่ที่ที่เราเพิ่งไปมาก็ยังคิดว่า ถ้ามีโอกาสได้มาอีกครั้งก็จะมาใหม่ ในวันสุดท้าย เราก็ออกจากที่พักเพื่อมาขึ้นรถไฟเที่ยวแรกกันเลย แล้วก็คิดถูกเพราะยอมรับว่าเสียเวลาตอนเช็คอินพอสมควร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพราะนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ (เผื่อเวลากันด้วย) แม้แต่ข้าวเช้าก็ยังมากินด้านในสนามบินเลย
สำหรับทริปนี้ ถ้าถามความประทับใจ ก็คงจะให้ได้ถึง 8/10 สำหรับคะแนนที่ไม่ได้ก็น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมนูภาษาจีน ที่บางร้านเราไม่รู้จริง ๆ ว่าจะสั่งอะไร รูปก็ไม่มี แต่สำหรับการเที่ยวที่ไทเปนี้ชอบมาก เพราะเราสามารถเที่ยวได้จนถึงดึก สังเกตได้อย่างนึงคือ ร้านค้าของที่นี่จะเปิดประมาณ 10 – 11 โมงเช้า และเปิดกันจนถึงดึก ทำให้เราไปเที่ยวที่อื่นแล้วยังกลับมาเที่ยวกลางคืนที่นี่ต่อได้
สำหรับความรู้สึกที่ได้มาไต้หวัน ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดว่าเป็นประเทศที่อยู่ในลิสต์ แต่หลังจากมาแล้วก็ขอบอกเลยว่า ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน….
“Travel is… discovery new experience”
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดนะครับ
สำหรับใครที่มีข้อคิดเห็นหรืออยากสอบถามอะไรตรงไหน สามารถถามมาได้เลยนะครับ
หรือสามารถติดตามการท่องเที่ยวของผมกันได้ที่แฟนเพจของผมที่
https://www.facebook.com/naisoop
หรือช่องทาง Social อื่น ๆ
Website : http://www.naisoop.com/
Instragram : https://instagram.com/naisoop
พบกันอีกทีในรีวิวหน้านะครับ
จูงมือกันเที่ยว by NaiSoop
วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.19 น.