“ไปปิตุ๊โกรกันไหมพี่ ผมอยากไป” เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งไถ่ถาม “เพิ่งไปมาเองปีก่อน” ผมตอบ “แก้มือใหม่สิพี่ ปีที่แล้วขึ้นไม่ถึงยอดมะม่วงสามหมื่นไม่ใช่เหรอ คราวนี้ขึ้นให้ถึง” เขาคะยั้นคะยอ พอเอาคำว่ายอดดอยมะม่วงสามหมื่นมาล่อ ผมก็ต้องจำใจตอบตกลงน่ะสิ
น้ำตกปิตุ๊โกรคือน้ำตกรูปหัวใจแห่งอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของคนชอบเที่ยวธรรมชาติ และรู้กันอีกนั่นแหละว่านอกจากน้ำตกขนาดใหญ่ บนเส้นทางเดียวกันยังมียอดเขาสูงกว่า 1,600 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลชื่อว่าดอยมะม่วงสามหมื่นให้พิชิตอีกด้วย
ปีก่อนผมไปเที่ยวเล่นน้ำปิตุ๊โกรมาแล้ว แต่พลาดขึ้นยอดมะม่วงสามหมื่นไปได้เพียงจุดชมวิว คราวนี้เลยถือเป็นโอกาสแก้มืออย่างที่รุ่นน้องว่าไว้นั่นเอง
การท่องเที่ยวน้ำตกปิตุ๊โกร และดอยมะม่วงสามหมื่น มีบ้านกุยเลอตอ หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง ซึ่งอยู่ใกล้กับน้ำตกที่สุดคอยดูแลจัดการ ร่วมกับผู้ประกอบการนำเที่ยวในอำเภออุ้มผาง จะติดต่อผ่านผู้ประกอบการที่อุ้มผางก็ดี หรือหาไกด์ท้องถิ่นในหมู่บ้านก็ได้ แต่แนะนำให้ติดต่อผ่านผู้ประกอบการจะสะดวกที่สุด เพราะชาวบ้านไม่ได้พูดภาษาไทยคล่องแคล่วทุกคน สัญญาณโทรศัพท์ก็มีน้อยนิดโทรนัดแนะกันลำบาก แถมยังมีเรื่องรถรับส่งอีกด้วย เพราะกุยเลอตออยู่ห่างตัวอุ้มผางตั้ง 70 กิโลเมตร
จุดเริ่มต้นการเดินทางสู่อุ้มผางอยู่ที่อำเภอแม่สอด ใครอยากได้อารมณ์แบ็คแพ็คเกอร์เต็มที่สามารถนั่งรถสองแถวที่ บขส. แม่สอด สายแม่สอด-อุ้มผาง แต่บอกเลยว่ากินเวลายาวนานมาก ใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมง และเรายังต้องต่อสองแถวสายอุ้มผาง-เปิ่งเคลิ่ง เพื่อไปบ้านกุยเลอตอ เพราะฉะนั้นทริปต้องประหยัดเวลาเช่นนี้ เหมารถดีที่สุดครับ
ผมเลือกเหมากระบะจากผู้ประกอบการนำเที่ยวในอุ้มผางแบบตลอดทริปคือ ไปกลับ แม่สอด-อุ้มผาง และไปกลับ อุ้มผาง-กุยเลอตอ ปกติราคาอยู่ที่ประมาณ 7,500 บาท กรุ๊ปผมแปดคน (นั่งเต็มที่ได้สิบคน) หารกันคนละไม่ถึงพัน สำหรับระยะทางทั้งหมดกว่า 600 กิโลเมตร บอกเลยว่าคุ้มและประหยัดเวลากว่านั่งสองแถวครับ
ทริปของเราต้นเดือนกรกฎาคม วันธรรมดาก่อนหยุดยาวเข้าพรรษา รวมพลแปดคน ออกจาก บขส.แม่สอด หกโมงครึ่ง วิ่งมาตามถนนลอยฟ้า ทางหลวงหมายเลข 1090 ผ่านอำเภอพบพระ แวะพักกลางทางที่บ้านอุ้มเปี้ยมก่อนเข้าอำเภออุ้มผาง เส้นทางอย่างที่รู้กันคือโค้งไปโค้งมาชวนเวียนหัว ใครเมารถง่ายควรกินยาแก้เมากันไว้ ไม่อย่างนั้นจะโดนตัดกำลังก่อนเข้าป่าเสียเปล่า (ฮา...)
วิวสวยหน้าฝนบนเส้นทาง ทล.1090 สวยมาก สดชื่นชุ่มฉ่ำ เต็มไปด้วยสายหมอก
ถึงตัวอำเภออุ้มผางสิบโมงเศษ ก็เตรียมข้าวของครั้งสุดท้าย หาซื้อของสด กินข้าว พอพร้อมแล้วค่อยไปต่อสู่บ้านกุยเลอตอ ระยะทางจากอุ้มผางไปประมาณ 70 กิโลเมตร
เราเที่ยวกันวันธรรมดา นอกจากรถแล้วไม่ได้ติดต่ออย่างอื่นไว้ก่อน เพราะฉะนั้นต้องเข้าไปหาไกด์นำทางที่บ้านกุยเลตอ ซึ่งไม่ยากเลยแจ้งชางบ้านไปว่าต้องการไกด์ไปปิตุ๊โกรหนึ่งคน ค้างสองวัน แป๊บเดียวก็ได้หนุ่มนำทางเรียบร้อย ราคาคืนละ 1,000 บาท เป็นมาตรฐาน
พร้อมแล้วก็เล็ทส์โกลุยกัน เส้นทางเดินเข้าน้ำตกปิตุ๊โกร อยู่เยื้องกับทางเข้าบ้านกุยเลอตอแค่สองร้อยเมตร เดินที่นี่เตรียมรองเท้าพร้อมเปียกไว้เลย เพราะต้องลุยน้ำแน่นอน
เราเริ่มเดินกันตอนใกล้บ่ายสองโมง ช่วงแรกเส้นทางยังผ่านไร่ของชาวบ้าน เป็นช่วงที่หลงได้ง่าย เพราะมันมีร่องทางพาเลี้ยวไปโร่คนโน้นไร่คนนี้ คราวก่อนผมมาได้ไกด์ไม่ดีทำให้หลงกันระนาวมาแล้ว ฝนตกตลอดเส้นทางชุ่มฉ่ำและเละเทะกันไปครับ
เราเดินกันหนึ่งชั่วโมงนิดๆ
จึงเริ่มเข้าเขตป่าทึบ จากตรงนี้สภาพทางจะต่างจากช่วงที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา ก่อนสี่โมงเย็นเล็กน้อยเราจึงถึงจุดตั้งแคมป์ริมลำธาร แต่ก่อนจุดตั้งแคมป์ในการเที่ยวปิตุ๊โกรมีหลายจุด นอกจากตรงนี้ยังมีด้านล่างน้ำตก ทางลงน้ำตก บนจุดชมวิว ทว่าปัจจุบันมีการจัดระเบียบใหม่ให้กางเต็นท์เฉพาะจุดนี้เท่านั้น
มีเพิงสังกะสีใหม่เอี่ยมหนึ่งหลัง พวกเราเป็นกรุ๊ปเดียวเพราะฉะนั้นใช้หลบฝนไม่ต้องแย่งใคร นอกจากนี้ยังมีการสร้างห้องน้ำใหม่ด้วยนะ เป็นส้วมซึมโอเคเลยล่ะ พร้อมต่อท่อดึงน้ำจากลำธารมาให้ใช้ทำความสะอาดกัน เรียกว่าเลิศหรูขึ้นเป็นกอง
พวกเราตั้งแคมป์ กางเต็นท์ ผูกเปล หุงข้าว ทำกับข้าวกันไปครับ สบายๆ
กินข้าวเสร็จสักทุ่มครึ่ง สงสัยด้วยความเหนื่อยจากการเดินทางยาวนานตั้งแต่สามทุ่มเมื่อวาน พวกเรานัดกันสลบเหมือดแบบไม่มีใครสนใจใคร เป็นการนอนที่ไวมาก และตื่นกันสายโด่งมากครับ นอนกันยาวนานสิบกว่าชั่วโมงเลยทีเดียว (ฮา...)
ตื่นเช้ามาแบบสดชื่นสุดๆ ไม่สดชื่นได้ไงนอนซะขนาดนั้น ภารกิจวันนี้คือพิชิตยอดมะม่วงสามหมื่น แล้วลงมาต่อที่น้ำตกปิตุ๊โกร แต่เริ่มแรกกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ทำข้าวเช้ากินกันก่อน แล้วก็ผัดมาม่าเตรียมกันไปกินเป็นข้าวเที่ยงด้วย
ส่วนผมฝีมือการเป็นพ่อครัวห่วยสุดในกรุ๊ป ขอปลีกตัวไปถ่ายภาพน้ำตกข้างแคมป์แล้วกัน สังเกตได้ว่าวันนี้น้ำน้อยและใสขึ้นกว่าตอนมาถึงเมื่อวาน ถือเป็นสัญญาณอันดีว่ายอดดอยอากาศคงดีขึ้นครับ
กินอิ่ม ล้างจาน เก็บข้าวของ พร้อมแล้วลุยยยยย... มองนาฬิกาอีกสิบนาทีสิบโมง เริ่มเดินโลด
เส้นทางจากตรงนี้ไปเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนขาเข้ามายังแคมป์ที่จะส่วนใหญ่จะเป็นทางราบหรือเนินเล็กๆ
เล่นเอาหอบกินเหมือนกันทั้งที่เดินตัวเปล่า
ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงก็ถึงจุดตั้งแคมป์เก่าก่อนลงน้ำตก สภาพรกร้างอย่างที่เห็นไม่เหมือนปีก่อนที่จัดทำแคมป์อย่างดี เพราะอย่างที่บอกครับคือเขาพยายามจำกัดให้ตั้งแคมป์ข้างล่างเท่านั้นเพื่อความเป็นระเบียบ
จุดนี้เป็นจุดที่เราจะเดินลงไปยังน้ำตกปิตุ๊โกรด้วยนะ แต่เอาไว้ทีหลังเพราะต้องขึ้นไปยอดมะม่วงสามหมื่นก่อน
ถ้าช่วงที่ผ่านมาเรียกว่าชัน จากนี้ไปคือโคตรชัน แต่ว่าจะเริ่มได้เห็นวิวสวยๆ เอาความสดชื่นทางสายตามาช่วยให้มีกำลังใจกันหน่อยครับ
ขึ้นมาสักพักก็เห็นน้ำตก ถึงจะเห็นภาพเดิมที่ผมเคยเห็น
แต่ก็ยังร้องว้าวเหมือนเดิม
ฮึดอีกเฮือก ประมาณ 11.30 น. ขึ้นถึงจุดชมวิวแลนด์มาร์คของดอยมะม่วงสามหมื่น เฮฮาถ่ายรูปกันไปสิครับ น้ำตกอย่างสวย หมอกอย่างงาม ป่าอย่างเขียว ชื่นใจเป็นที่สุด
ตรงนี้ถือเป็นจุดไหล่เขา สูงประมาณ 1,300 เมตร แต่ยอดเขาสูงประมาณ 1,600 เมตร ฉะนั้นเราต้องเดินไต่ระดับกันต่อ ถามน้องคนนำทางขี้อายว่าสองชั่วโมงถึงไหม น้องหัวเราะหึหึบอกว่า “แล้วแต่พวกพี่เดินครับ”
เราพักโซ้ยมาม่าให้เกลี้ยงที่จุดชมวิวนี่แหละ มองไปทางยอดดอยฟ้ายังปิดหมอกคลุมหนา แต่ถึงตรงนี้ไม่สนใจอะไรแล้วครับ รอวัดดวงกันข้างบน ตอนนี้ในหัวคิดเพียงอย่างเดียวคือเราจะพิชิตยอดดอยให้ได้
จากจุดชมวิวขึ้นสู่อีกสันที่สูงขึ้นไปนี่มันโหดจริงๆ
ชันให้ท้อใจเหลือเกิน
แต่พอขึ้นพ้นมาแล้วต้องร้องโอ้โห แถมสภาพอากาศเริ่มเปิดพอดี หมอก ป่า น้ำตก เป็นส่วนผสมกันลงตัวและงามมาก ที่สำคัญยังเป็นจุดแรกที่มีสัญญาณโทรศัพท์ (AIS) ดังนั้นแน่นอนว่าพักนานหน่อย (ฮา...)
จากจุดนี้เราต้องเดินขึ้นไปตามสันเขาอีกหลายลูกครับ
พ้นลูกหนึ่งก็เจออีกลูกหนึ่ง พ้นอีกลูกก็เจออีกลูก ให้มันได้อย่างนี้สิ แต่วิวที่เห็นก็ต้องบอกว่าสุดยอดตามระดับความสูง
ทำให้เดินเพลินมาก
เดินถึงตรงนี้มองย้อนกลับไปฟ้าเปิดสุดๆ
งามชนิดบรรยายเป็นภาษาคนไม่ถูกเลยครับ (ฮา...)
และในที่สุดประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง เราก็มาถึงยอดดอยมะม่วงสามหมื่น เห็นใครหลายคนเรียกว่ากองหินชูธง เพราะมีธงปักอยู่บนกองหิน แม้เราจะมาถึงบนนี้ตอนฟ้าปิดพอดี ขาวโพลนมองไม่เห็นอะไร แต่เรียกว่าสุขใจทุกคน ภารกิจสำคัญลุล่วงลงแล้ว
ถามไกด์ของเราว่าชื่อมะม่วงสามหมื่นได้มาอย่างไร ไม่เห็นมีมะม่วงสักต้น ไกด์ตอบเต็มปากเต็มคำครับว่า “ไม่รู้เหมือนกัน”
ตอนลงคือสุดยอดในการขึ้นมาพิชิตมะม่วงสามหมื่นสำหรับกรุ๊ปพวกเราครับ
เพราะลงจากยอดสักพัก ฟ้าก็เปิดแบบกระจ่างเต็มที่ อะไรที่ขาขึ้นมาไม่ได้เห็นก็เห็นตอนนี้แหละ
ชื่นใจเหนือคำบรรยายใดๆ
หลังลงรวดเดียวมาถึงจุดตั้งแคมป์ (ร้าง)
ทางลงน้ำตก เราพักแค่แป๊บเดียวแล้วรีบไปต่อเพราะเริ่มเย็นย่ำ เส้นทางไปน้ำตกปิตุ๊โกรจากตรงนี้เป็นขาลงอย่างเดียว
ข้ามลำธารสองสามครั้ง ใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาที
และน้ำตกรูปหัวใจแห่งผืนป่าอุ้มผางก็มาอยู่ตรงหน้า
ชื่นใจเหมือนที่เคยมาไม่ผิดเพี้ยน
พวกเราแวะเล่นน้ำอยู่ธารน้ำด้านล่างสักครู่
พอหกโมงเย็นก็โบกมืออำลาหัวใจสีขาวเพื่อเดินกลับไปที่ตั้งแคมป์
ประมาณหนึ่งชั่วโมงเราก็เลียบน้ำตกกลับถึงแคมป์ ทันเวลาหนึ่งทุ่มตรงฟ้ากำลังจะมืดพอดี มีชาวบ้านและชมรมนำเที่ยวอุ้มผางมาเตรียมพื้นที่สำหรับรับนักท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวทำให้บริเวณแคมป์ไม่เงียบและมืดสนิทเหมือนเมื่อคืน
มืดแล้ว ลงมือทำกับข้าวสิครับจะรออะไร (ฮา...)
คืนนี้เพราะประสบการณ์ดีๆ วิวสวยๆ ที่พานพบมาทำให้เราค่อนข้างตื่นตัว นั่งกินข้าวและคุยกันถึงเกือบสี่ทุ่มเชียวล่ะกว่าจะแยกย้ายเข้านอน ช่วงกลางดึกฝนเทลงมาตูมใหญ่ การได้เพิงสังกะสีแบบนี้ช่วยกันฝนถือว่าเยี่ยมยอดทีเดียว
รุ่งเช้าอีกวันไม่มีภารกิจอะไรแล้ว ตื่นมาก็ชิลๆ ทำกับข้าว กินข้าว เก็บของ พอสิบโมงนิดๆ เริ่มออกตัวเดินทางกลับ ชาวบ้านเอาป้ายนี้มาติดไว้ทำให้พวกเราเป็นกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ของปิตุ๊โกรที่ได้ถ่ายกับป้ายนี้ครับ (ฮา...)
นั่นแหละครับเป็นอันจบภารกิจทริปน้ำตกปิตุ๊โกร พิชิตยอดดอยมะม่วงสามหมื่น
สำหรับผมเส้นทางนี้อาจไมได้โหดหินท้าทายสุดๆ แต่อาจด้วยความโชคดีของจังหวะเวลาและหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ได้เห็นวิวที่พอเหมาะพอเจาะ ทำให้บอกได้เลยว่าเส้นทางนี้ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดความทรงจำของผมเลยล่ะ
สรุปทริป
การเดินทาง
- รถทัวร์ กทม. – แม่สอด ของ บขส. ขึ้นจากหมอชิต มีทั้ง ป.1 373 บาท และวีไอพี 580 บาท
- รถกระบะเหมา แม่สอด – อุ้มผาง – กุยเลอตอ ไปและกลับตลอดทริป 7,500 บาท นั่งได้สิบคน ผมขอแนะนำติดต่อที่ดอกเสี้ยวทัวร์ 089-860-5070, 089-958-9347 บริการรถกระบะ พร้อมสถานที่อาบน้ำก่อนขึ้นและลงจากเขา
- หากต้องการเดินทางด้วยรถสาธารณะ มีสองแถว แม่สอด-อุ้มผาง ออกเที่ยวแรก 7.30 น. ค่าโดยสาร 150 บาท ถึงอุ้มผางให้ต่อรถ อุ้มผาง-เปิ่งเคลิ่ง ค่าโดยสาร 100 บาท ไปลงที่บ้านกุยเลอตอ
การเดินเท้า
- จากจุดเริ่มต้นบ้านกุยเลอตอ ไปยังแคมป์พักแรมริมน้ำ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง จากแคมป์หากเดินไปน้ำตกปิตุ๊โกรอย่างเดียวใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง หากเดินขึ้นดอยมะม่วงสามหมื่น จะใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง ถึงจุดชมวิว และจากจุดชมวิวขึ้นยอดอีกสองชั่วโมง
- ถ้าต้องการเที่ยวเฉพาะน้ำตกและจุดชมวิว ค้างแรมหนึ่งคืนก็พอ แต่หากต้องการขึ้นยอดมะม่วงสามหมื่น ควรค้างแรมสองคืน
- ทากอาจจะพบเจอได้บ้างแต่ไม่มาก ตลอดทริปนี้เราเจอเพียงแค่ตัวเดียว แถวจุดตั้งแคมป์
ไกด์และลูกหาบ
- หากใช้บริการทัวร์ของผู้ประกอบการในอุ้มผางจะจัดเตรียมไกด์ให้อยู่แล้ว หากต้องการหาไกด์เองติดต่อได้โดยตรงที่บ้านกุยเลอตอ คิดราคา 1,000 บาท ต่อคืน ต่อคน ช่วยแบกของได้นิดหน่อย แต่หากต้องการลูกหาบแบกหนักๆ อาจต้องจ่ายเพิ่ม
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller
นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller
วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.14 น.