'คะน้าน้อย' สวัสดีค่าาา ^O^
ในที่สุด...คะน้าเดินทางมาถึงบล็อคที่เก้าแล้วนะคะ แอร๊ยยยย!!
บล็อคนี้ปล่อยลัดคิวทริปญี่ปุ่นแบบหน้าด้านๆ (คือยังเขียนไม่จบ เหลืออีก 2 ที่) 5555
แต่คะน้ารู้ว่าเพื่อนๆ คะน้าไม่ถือสาคะน้าหรอก เพราะเราน่าจะถือคติเดียวกันว่า...
"จะจัดทริปไปไหนก็ไปเหอะ ขอแค่ได้เที่ยว!!"
เมื่อคิดเองเออเองได้แล้วนั้น คะน้าเลยขอลัดคิวพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวไทยเท่ๆ กันก่อน...
โดยโจทย์ของทริปนี้ก็คือ...
"หนีเข้าป่า นอนกางเต๊นท์ เดินลุยหมอก ใกล้กรุงเทพฯ"
โจทย์มาขนาดนี้ คิดอะไรไม่ออก ร้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทริปนี้คือ...
ทริปล่าท้าฝน...แบคแพคไป 'กาญจนบุรี้!!'
(ออกเสียงจังหวัดให้ดังลั่น มาดมั่น มี Ad lib ประดุจมิสแกรนด์ 2017)
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
และตามประสาทีมแบคแพค เช่นคะน้าและผองเพื่อน
ที่สุดแสนจะเฮไหนเฮนั่น ในที่สุดทริปนี้ก็เกิดขึ้น...
เช้าวันที่ 27 กรกฏาคม 2560
~เช้าลืมตาขึ้นมามองเธอในยามเช้าตรู่...รถคันสีน้ำเงินมาจอดหน้าบ้านตอนไหนไม่รู้
พวกเราเก็บของกัน เดินขึ้นรถคันนั้น นี่คือรถเพื่อนฉัน แค่ได้เจอหน้ากันก็มีความสุขเหลือเกิน~
(ต้องมีความสุขแค่ไหน ถึงฮัมเพลงหน้าหนาวที่แล้ว แบบแปลงเนื้อได้ขนาดนี้ 55555)
และนี่คือรถสีน้ำเงินคันเท่ ของคุณชาย "อาม" แห่งวังจุฑาเทพ วิศวกรหนุ่มรูปงาม
สุภาพบุรุษแสนดีอย่างกะหลุดมาจากนิยายอมตะ วันนี้อิมพอร์ตเข้ากรุงฯ มาจากชลบุรีค่ะ
เข้า กทม. มาทำไม? อามเข้ามา กทม. เพื่อมารับสองศรี ชะนีเรียกแม่ ผู้ร่วมทริป...
"แอ๋มศรี"
ชะนีสวยสุดซอย (บ้านอยู่ซอยท้ายสุด) ที่ปรากฏโฉมอยู่แทบจะทุกทริปที่คะน้าเขียนรีวิวมา
และอีกหนึ่งชะนี ก็คือตัว "คะน้า" เอง คะน้าบินมาจากเกาะสมุย เมื่อคืนวันที่ 26 ส.ค.ค่ะ
นอนค้างที่บ้านแอ๋มศรี เพื่อเดินทางไปพร้อมกันในเช้านี้นั่นเอง...
และยังค่ะ...ยังไม่หมดสมาชิก รถคันนี้ยังเหลืออีกหนึ่งที่นั่งสำหรับ "เฮียตั้ม"
โอปป้าที่ปรากฏหน้าหล่อๆ อยู่ในทริปญี่ปุ่นด้วยกันจำได้บ่ และทริปนี้เฮียก็ไม่พลาด!
เราเริ่มออกเดินทางจาก กทม. ตั้งแต่ 7 โมงเช้า จริงๆ เรามีภารกิจแรกของวัน
คือการไปแวะวัดใหม่เจริญผล ที่ อ.ท่ามะกา เพื่อทำสังฆทาน ไหว้พระด้วยกันก่อนค่ะ
ระหว่างทางในจังหวัดกาญจนบุรี เราจะเห็นภูเขาลูกโตๆ ตลอดสองข้างทาง
ภูเขาลูกไหนสวยๆ อามก็จะแบบนี้แหละ ตบไฟกระพริบ จอดเทียบข้างทาง
คว้ากล้องลงไปถ่ายภาพด้วยความตั้งอกตั้งใจ แต่ประเด็นคือ...มันแวะตลอดทางไง 5555
จนกระทั่ง...มาถึงจุดหมายแรกของเราในทริปนี้
Check in @ ช่องเขาขาด
เมื่อเรามาถึงที่นี่ เราก็ได้พบกับผู้ร่วมทริปสุดน่ารักอีกสองคนค่ะ
นั่นคือ...คู่ฮาหน้านิ่ง "พี่มิ้นท์ & พี่พง" นั่นเองงงงง
พี่ทั้งสองคนขับมาคนละทางกับเรา และมานัดกันเจอที่ช่องเขาขาดนี่ค่ะ
แต่...คะน้าไม่รู้ว่าใครจะเป็นเหมือนกันมั้ย ที่เสิร์ชใน Google Map ว่า...
"ช่องเขาขาด" แล้ว GPS จะบอกทางไปเลี้ยวลงข้างทางด้านซ้าย พุ่งเข้าทุ่งไปเลย 5555
เป็นทุ่งตีนเขา ที่บริเวณนั้นเรียกว่า "หินตก" ค่ะ (มีรถเลี้ยวผิดเยอะนะคะ)
ซึ่งจริงๆ แล้ว ช่องเขาขาด จะอยู่ในค่ายทหาร ให้สังเกตข้างทาง
จะมีรั้วสีขาว เป็นค่ายทหาร ก็เลี้ยวเข้าไปแลกบัตรเข้าไปโลด~
แนะนำให้เสิร์ชคำว่า "พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด" น่าจะนำพาได้ถูกต้องกว่าค่ะ
ตรงลานจอดรถ มีป้ายบอกทางไปห้องน้ำชัดเจน มีร้านขายของชำเล็กๆ
รวมไปถึงมี ร้านกาแฟ "มุมช่องเขา" ด้วย
ตรงอาคารพิพิธภัณฑ์ คะน้าพามาทักทายเจ้าของบ้านกันก่อนค่ะ
แต่เหมือนแกจะไม่ค่อยต้อนรับนะคะ ดูเมินๆ 5555
ซึ่งอาคารนี้ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอนุสรณ์สถานทางรถไฟ
และข้อมูลเกี่ยวกับสงครามโลกครั้ง 2 ไว้อย่างสมบูรณ์มากๆ ดูไปก็จะเศร้าๆ หน่อย
หดหู่และสงสารความต่อสู้ดิ้นรนของเชลยศึกในสมัยนั้นค่ะ
พอออกมาจากพิพิธภัณฑ์ ด้านขวามือของอาคารฯ จะมีทางเดินลงไปยังช่องเขาขาดค่ะ
วิวสวยดีงามตามรูป แต่ทางเดินเป็นหินเป็นดินบ้าง รองเท้าควรจะสตรองนิดนึง
ทางลงเป็นสะพานไม้ลงไป แต่เมื่อถึงเส้นทางรถไฟ จะเป็นหิน ช่วงหน้าฝนนี้บางจุดจะเป็นโคลน
และบางจุดมีหินก้อนใหญ่ๆ ระวังสะดุดและโดนบาดข้อเท้านะคะ ควรระวังการเดินด้วยค่ะ
ดูจากป้ายต้องเดินไกลมากค่ะ มีแผนที่บอกทางให้
จุดสวยๆ ต้องเดินไกลราวๆ 2-4 กิโล ขุ่นพระ!!
อย่างกะวาร์ปมาอยู่ที่ป่าไผ่อาราชิยามา เมืองเกียวโต แต่จริงๆ จากใจ คะน้าบอกเลยว่า...
ป่าไผ่ที่นี่สวยสมกับคำว่า "ป่าไผ่" มากค่ะ คือไผ่เกิดขึ้นซับซ้อน มีเทคนิคในการงอกเงยสูงมาก
สกิลเทพในการเอนเอียงปาดป่ายกันเองขั้นสุด ดูงดงามธรรมชาติ เขียวอลังการไปทั้งเทือกเขา
ใครที่อยากเที่ยวป่าไผ่สวยๆ ไม่ต้องไปไกลเลยค่ะคุณขาาา~ กาญจนบุรีบ้านเรา มาโลดดดด!!
เฉพาะป่าไผ่ ลั่นชัตเตอร์ไปแล้วสุทธิประมาณ 379 รูป
ประเมินปริมาณจากการตั้งท่า...
ตลอดทางเดินจะเป็นการเดินริมผา บนภูเขานะคะ เดินไปชมวิวไป แบบนี้เลยยย~
คะน้าคิดว่านี่คือขั้นบันไดที่คลาสสิคสุดๆ ตอนนี้เป็นหน้าฝนด้วย
ความฉ่ำน้ำทำให้ป่าเขากลับมาดูมีชีวิตชีวา ที่พวกเราติดใจการเดินป่า เพราะมันสวยแบบนี้แหละ
เดินมาตามทางหินเรื่อยๆ ได้ชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติกันฉ่ำชื่น
แต่เมื่อเราเจอรางรถไฟและไม้หมอนเก่าแก่จากสมัยสงครามโลก
ความหดหู่ก็จะแฝงมาในความรู้สึกหน่อยๆ บรรยากาศรอบตัวดูเหงาหงอยขึ้นมาทันที
เพราะสถานที่แห่งนี้จะเกิดขึ้นจากความทุกข์ทรมานของเชลยศึกหลายเชื้อชาติ
ความอดอยากและการต่อสู้ที่รู้ว่ามันไม่มีความหวังเลยก็ตาม
รางรถไฟเก่ายังคงสภาพดีวางให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ แต่ไม่ได้มีตลอดทางนะคะ
เดินไปเจอเป็นพักๆ นี่ถ้าทางรถไฟสายนี้เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน
คิดว่าคงเป็นเส้นทางรถไฟที่มีวิวสวยงามที่สุดในไทยแห่งหนึ่งแน่ๆ เลย
งานมโนก็มา ณ จุดๆ นี้ ขอให้หลับหูหลับตา คิดว่าตรงนี้คือ จุดชมวิวช่องเขาขาด
เพราะพวกเราเดินไปไม่ถึงครึ่งทาง (จากระยะของป้ายบอกทาง) ด้วยซ้ำไป 5555
แต่จากประสบการณ์ที่เที่ยวป่ามา คาดว่าการเดินไปไกลกว่านี้ บรรยากาศคงไม่ต่างกัน
คิดได้อย่างนั้น เราก็เชิญเจ้าแม่ไปยืนถ่ายภาพคู่กับ Teaser ช่องเขาขาดกันก่อนกลับ
(รอบนี้เวลาน้อยเอา Teaser ไปก่อน เพราะ Official ต้องเดินไปอีกไกลโขเลยค่ะคุณขาาาา~)
ใกล้ๆ กัน จะมีอนุสรณ์สถาน ไว้รำลึกถึงบุคคลสำคัญสมัยสงครามโลก
พร้อมทั้งมีรางรถไฟ และไม้หมอน วางอยู่บริเวณนี้ด้วย ตามรายละเอียดในภาพ
พวกเราเดินชมความงดงามของป่าเขา ณ ช่องเขาขาด กันมาร่วมสองชั่วโมง...
บ่ายแก่เข้าไปทุกที ท้องฟ้าเริ่มบอกเป็นนัยน์ๆ ว่าฝนกำลังจะตกแล้วนะเฮ้ยยยย
เราต้องรีบกลับไปหาที่พักสำหรับคืนนี้กันแล้วค่ะ ฟิ้ววววว~~
ขับรถออกจากพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดมาได้สักพักใหญ่ๆ ถนนหนทางร่มรื่นได้ใจมาก
สัญญาณโทรศัพท์มือถือมาๆ หายๆ เป็นพักๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกหัวเสีย
ดีด้วยซ้ำไปที่ไม่มีสัญญาณ เพราะคะน้ารู้สึกว่าตัวเองได้พักผ่อนจริงๆ สนใจแต่บรรยากาศ
สนใจแต่เรื่องที่คุยกับเพื่อนระหว่างทาง สนใจแต่ขนมที่ผลัดกันป้อนบนรถ สบายใจมาก
ผ่านมาราวๆ สี่สิบนาทีเศษ...
ถนนหนทางเริ่มร่มรื่นขั้นสุด ร่มรื่นแบบเงยหน้าขึ้นก็แทบจะไม่เห็นท้องฟ้าเลยทีเดียว
สถานที่ที่เราจะมาพักผ่อนกันในคืนนี้ รถต้องสภาพดี ยางรถต้องดีมากๆ และควรคาดเข็มนิรภัย
ตลอดการเดินทาง เพราะถนนไม่เรียบนัก ยิ่งฝนตกยิ่งลื่น โคลน หิน ดิน หลุมบ่อ มาครบ!!
Check in @ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
ที่นี่คือ ที่ซุกหัวนอนของเรา เรา เรา เรา!! (แอคโค่เพื่อ) ทว่า...ฝนตกซะงั้น ซู่ซ่าาาาา!!~
เออไง! ออกทริปหน้าฝน มันก็รู้แหละว่าต้องโดนฝนแบบนี้ ความห้าวหาญทำให้เรากล้าแกร่ง
ตอนเริ่มจัดทริปก็แบบ...นี่หน้าฝนนะเว้ย! แต่ทุกคนก็ไม่แคร์ใดๆ ฝนแล้วไง เปียกแล้วก็แห้ง
โหหหห~ ตรรกะเท่ชิบเป๋ง เปียกกันสมใจเลยค่ะ 5555
ขับเข้ามาในอุทยานฯ เจอป้อมพี่ทหารต้อนรับอยู่ คะน้าก็ถามพี่เขาว่า...
"จะสามารถนอนกางเต๊นท์ตรงไหนได้บ้างคะ"
พี่ทหารตอบว่า "นอนไม่ได้ครับ ฝนตกพายุเข้า และกิ่งไม้จะหักมาอันตราย"
พวกเราแอบเสียดายหน่อยๆ ที่ไม่ได้กางเต๊นท์นอน (สไตล์เราสะดวกแบบนี้)
แต่ในเมื่ออันตราย เราก็ไม่ดื้อ จัดการเปย์ค่าเข้าอุทยานฯ คนละ 30 บาท รถคันละ 40 บาท
และค่าบ้านพักสองชั้น ชื่อ "บ้านริมผา 3" ราคา 1500 บาท หาร 6 คน สบายตัว~
จากภาพ เราจะเห็นว่ามีบ้านพักหลายสไตล์นะคะ บ้านทาร์ซาน บ้านชมดอย บ้านริมผา
ราคาต่างๆ กันไป เรทไม่เกินสองพันค่ะ อย่างบ้านริมผาที่เราเลือก เป็นบ้านสองชั้นด้วย
ขับรถเข้ามาตามป้าย ตรงไปบ้านริมผา ทางรถวิ่งภายในอุทยานฯ คือวิบากมาก
เนินเขาสูง ทางเป็นหิน แอ่งโคลน ไต่เขา เซาะร่อง คือสกิลการขับรถต้องแข็งไปถึงแข็งมาก
อาม สุภาพบุรุษจุฑาเทพของเราก็นำพา Eco Car คันเท่เดินทางอย่างมีสวัสดิภาพ
รวมถึงเฮียตั้มเอง ยังไปขับรถให้พี่มิ้นท์-พี่พงเลยนะคะ ตอนขึ้นเขา เพราะทางลื่นโคลน
และเป็นหินภูเขาใหญ่ๆ ที่ทำให้ล้อรถลอย และไม่เกาะถนนค่ะ ต้องสังเกตทาง และขับตามไลน์กัน
อย่างระมัดระวังมากพอสมควร ที่สำคัญ...ฝนตกหนักด้วยไงตอนนั้น อืมมม...
ขับเข้ามาสักระยะ ภายในอุทยานฯ มีร้านอาหาร (เรียกว่า ร้านค้าสวัสดิการ)
เพื่อบริการขายอาหารให้นักท่องเที่ยวด้วย ถ้าจำไม่ผิด ร้านจะปิดประมาณหกโมงเย็น
แต่พวกเราซื้ออาหารมากันแล้ว จาก 7-11 เพราะตอนแรกตั้งใจว่า จะนอนเต็นท์
และทำอาหารปิ้งย่างกันหน้าเต๊นท์ นั่งดูดาวไรงี้ (แต่ฝันสลายเพราะฝนตก)
เราเลยไม่ได้ใช้บริการร้านอาหารของอุทยานฯ ค่ะ จากนั้นเราก็ขับรถเลยไปต่อ...
พอมาถึงจุดที่เป็นลานจอดรถ เราต้องจอดรถไว้ที่ลานชมวิว "เนินกูดดอย"
แล้วเดินเท้าต่อไปอีกราวๆ 200 เมตร ทางเดินเป็นทางลาดลงเขาไปทางริมหน้าผาค่ะ
ทางเดินง่ายมีบันไดให้เดินสะดวก แต่อย่างที่บอกว่าตอนนั้นฝนตก แล้วต้องแบกของกัน
มันก็กลายเป็นไม่สะดวก แต่ต้องเดิน 55555 เอาลงรถแค่ชุดที่นอน และเสื้อผ้าที่จะใช้
ในภาพจะเห็นว่าฝนตกหนัก เราคงไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนต่อวันนี้...
และอย่างที่บอกไปแล้วว่า บ้านริมผา มีสองชั้น มีที่นอนชั้นละสองชุด
พวกเราก็นั่งคุยกันว่า...ไปยกที่นอนมานอนเรียงกันหกคนที่ชั้นบนด้วยกันเถอะ
ในที่สุด! เราก็นอนกันตามภาพค่ะ รวมกันมันดี
ข้อแนะนำ...การนอนพักในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
ไฟฟ้าจะเปิดให้ใช้ตอน 18:00 - 21:00 น. เท่านั้น!! ควรมีไฟฉาย และ Power Bank ค่ะ
สำหรับสัญญาณมือถือ นอกจากจะไม่มีสักขีดแล้ว ยังขึ้นว่า "ไม่เปิดบริการ" ด้วยซ้ำไป
แต่จะมีจุดรับสัญญาณที่เดียวตรงที่จอดรถ บริเวณจุดชมวิว "เนินกูดดอย" เท่านั้น
และข้อระวังก็คือ...อุทยานฯ มีปลิง ทาก แมลง ยุง (สิ่งมีชีวิตเบสิคของป่าทั่วไปนั่นแหละค่ะ)
แนะนำให้ทายากันยุงแขนขากันประดุจโลชั่นไปเลย เพื่อการนอนหลับพักผ่อนที่ดีงาม
หรือจะทำตามพวกเราก็ได้นะคะ พวกเราเอาสำลีอุดหูนอนด้วย กันแมลงเข้าหูค่ะ
เช้าวันที่ 28 กรกฏาคม
วันนี้พวกเราไม่ได้ตื่นเช้า...โดยเฉพาะคะน้าตื่นสายที่สุดในทีม นอนตอนสามทุ่ม (ตั้งแต่ไฟดับ)
ตื่นสิบโมงเช้า ขุ่นพระ!! อามบอกว่า "นี่ซ้อมตายใช่มั้ย อามให้ผ่าน!!" 55555555
ตื่นมาฝนยังตกปรอยๆ อยู่ค่ะ พวกเราแต่งตัวกันไม่เร่งรีบอะไร เพราะฝนตกออกไปก็ไม่สะดวก
แอ๋มศรีชวนถ่ายรูปเล่นที่ระเบียงหลังห้อง ซึ่งวิวหน้าผาควรจะเป็นผืนป่าสีเขียวแบบเวิ้งว้าง
กลับถูกแทนที่ด้วยไอหมอกหนาจนขาวทึบไปทั้งหุบเขา เห็นป่าเป็นสีขาวบ้าง ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
พอฝนเริ่มตกเบาลง แบบพอเดินเล่นได้
พวกเราก็ขนของกลับมาไว้ที่รถ แล้วเดินเล่นมายังจุดชมวิว "เนินกูดดอย" ใกล้ๆ ที่พัก
พื้นดินเปียกแฉะ ลมเย็นๆ ปะทะ และไอหมอกหนาจนปกคลุมไปทั้งป่าเลย
ป้าแม่บ้านที่ดูแลความสะอาดในอุทยานฯ แนะนำว่า ให้เดินก้าวเท้าเร็วๆ ปลิง ทากจะได้ไม่เกาะ
และควรทายากันยุงตลอดเวลาที่เราจะเดินเล่นในป่ากัน พวกเราก็ทำตามค่ะ
คะน้าสูงขายาว เดินเร็วเป็นปกติ แต่แอ๋มศรี และพี่มิ้นท์เป็นผู้หญิงไซส์มินิมอล
เวลาเดินก็จะดูเป็นจังหวะเขบ็ดหน่อยๆ นี่หันไปนึกว่าซอยเท้าซ้อมเซิ้ง 55555
และนี่คือจุดรับสัญญาณโทรศัพท์แห่งเดียวในบริเวณนี้ค่ะ อามบอกว่าอินเตอร์เน็ตไวใช้ได้
แต่คะน้าไม่ได้เปิดมือถือเลยตั้งแต่ออกทริปนี้มา เพราะคะน้าอยากพักผ่อน ไม่อยากรับรู้อะไรใดๆ
ขอเทบทบาทหน้าที่ตัวเองสัก 3-4 วันเนอะ
และเมื่อเดินมาถึงริมหน้าผา ของจุดชมวิว เอิ่ม...ชมวิว?
ช่างภาพสายเดินป่า ถนัดถ่ายภาพวิวภูเขาและป่าเขียว ถึงกับยืนสตั๊นท์เท้าเอว...
ก่อนพ่นออกมาเบาๆ ว่า "อามถ่ายไม่เห็นอะไรเลยอ่ะ" โถ! เอ็นดูลู๊กกกก 5555555555
ไหนๆ ก็ไหนๆ ถ่ายกับหมอกนี่แหละ เก็บบรรยากาศไว้ว่า ครั้งนึงเราก็เคยเจออะไรแบบนี้
สวยไปอีกแบบ ถึงเราจะอยากเจอเขา แต่เขาไม่มาให้เจอ ก็ไม่เสียใจเลยนะ
ลงจากเนินกูดดอย ขับออกมาตาม GPS ตั้งพิกัดไปที่ "เนินช้างศึก"
เป็นการขับรถบนถนนไหล่เขา ระวังหินภูเขาถล่มนะคะ มีถล่มเล็กๆ เป็นระยะๆ เหมือนกัน
ริมหน้าผาไม่มีอะไรกั้น มีแต่พุ่มหญ้าเขียวๆ กั้นไว้ให้ระวังตัวเอง
ยิ่งการเที่ยวหน้าฝน ฝนตก หมอกหนา พวกเราเลยขับช้ามากๆ เพราะมองทางไม่เห็น
ขาวโพลนไปทั่วทั้งบริเวณ และลื่นมากด้วยค่ะ จริงๆ ไม่น่ากลัวเลยนะ สนุกดี
Check in @ เนินช้างศึก
อย่างกะหลุดมาในดินแดนหิมะแห่งนาร์เนีย นี่ถ้ามีสิงโตโผล่มา จะมโนว่าเป็นอัสลานไปอีก! 5555
ตอนถ่ายถ้าไม่ถ่ายติดยอดต้นไม้สองข้างด้านล่างมาด้วย ภาพนี้คงจะไม่ชัดเจนเท่านี้ว่า...
ตอนนี้เรากำลังยืนอยู่บนยอดเขา เบื้องหน้ามีไอหมอกหนา ปกคลุมภูเขาทุกลูกแน่นตึ๊บ!
เบื้องหน้าเป็นหน้าผา แต่ตรงที่เรายืนอยู่คือลานจอดเฮลิคอปเตอร์ (และจอดรถด้วย)
ใต้ความหมอกขาวและหนาวสั่น เปิดไฟหน้ารถก็ไม่ได้ช่วยเบิกเนตรให้เห็นอะไรมากขึ้น 5555
ถึงบรรยากาศบนเขาจะไม่เขียว แต่พวกเราก็ชอบนะ...มันก็หนาวๆ ดี
ขับรถกลับลงมาจากเนินช้างศึก...มาถึงหน้าอุทยานฯ แวะถ่ายรูปสักหน่อย
เมื่อวานเราไม่ได้แวะ เพราะฝนตกหนักมากอ่ะ
ตอนนี้เรากำลังขับรถออกจากอุทยานฯ ซึ่งพอขับมาถึงโค้งนี้
ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องจอด อยากได้ภาพมุมนี้มากกกกกก
โค้งตามแนวภูเขา มีต้นไม้เขียวๆ ตัดกับไอหมอกหนาที่กำลังลอยเป็นไอขึ้นไปบนฟ้า...
โอ้ยยยย~ ภาพมันไม่สวยเท่าของจริงเลยอ่าาาาา T^T
ปล.ตอนแรกรถพี่มิ้นท์ (แต่เฮียตั้มขับ) ขับตามหลังมาค่ะ แต่พออามจอดถ่ายรูป
เฮียก็ขับนำหน้าไปจอดบังวิวซะงั้น โบกมือไล่ก็ไม่ไป จะโทรบอกว่าบังเฟรมก็ไม่มีสัญญาณอีก
เออ! ยอมแพ้... 55555
และเมื่อเราขับออกมาจากอุทยานฯ เรื่อยๆ...
เราจะต้องผ่านจุดชมวิว ซึ่งเป็นจุดพักรถค่ะ ที่นี่มีห้องน้ำบริการด้วย
แต่ถ้ายังไหว คะน้าแนะนำให้อดกลั้นอีกสักนิดและไปต่อ 5555
ตรงนี้คะน้ากับอาม ดี๊ด๊าลงไปเก็บภาพวิวทิวทัศน์มาได้พอสมควร
ในขณะที่แอ๋มกับเฮียตั้มหลับอยู่เบาะหลังในรถโน่น zzZZ
ขาขับรถลงขับไประหว่างทางเจอคารวาน Big Bike ด้วยนะคะ โหหหหห~ โคตรเท่เลย
ยังไม่หนำใจ เจอกลุ่มจักรยานพับ ปั่นขึ้นเขากันหน้านิ่งๆ คือคะน้าก็มองแบบ...
จิตใจทำด้วยอะไร??
ทำไมปั่นกันหน้านิ่งขนาดนี้ นี่คะน้ามารถยนต์ยังรู้สึกสงสารตัวเองเลยนะ 555555
ปลายทางต่อมา...คือ 'เหมืองปิล๊อก' ค่ะ เปิด GPS นำทางกันอีกแล้ว
GPS สำหรับติดตั้งในรถยนต์นะคะ ไม่ใช่จากมือถือ เพราะสัญญาณมือถือไม่มีในหุบเขา
ระหว่างทางไปเหมืองปิลีอก ซึ่งเราจะเลยไปยัง 'หมู่บ้านอิต่อง' นั้น...ความหิวก็มา
มีร้านค้าข้างทาง ขายอาหารตามสั่ง หมูปิ้ง ขนมและผลไม้ เรียกว่าดีงามสุดซอยในย่านนี้
Check in @ เหมืองปิล๊อก / หมู่บ้านอิต่อง
มาถึงแล้วววว! และสิ่งที่ตามเรามาด้วยก็คือ "หมอก" 55555
นี่ถ้าไม่แต่งรูปเลย มันจะขาววอกไปทั้งเฟรมเลยค่าาาา
พอเราจอดรถเสร็จ ฝนตกปรอยๆ พอเดินได้ แต่มันแฉะมากกกกก
เราปรึกษากันอยู่สามนาทีว่า จะเดินหรือจะไปที่อื่นต่อดี??
คะน้าเลยบอกว่า "ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ลงไปเดินเที่ยวกันเถอะ"
เพื่อนๆ ก็โอเคนะ ถึงเราจะไม่ได้ภาพถ่ายที่มีสีสันน่ารักๆ ของหมู่บ้านนี้กลับไป
แต่เราได้บรรยากาศ "เมืองในหมอก" ของหมู่บ้านนี้ไปแทน ส่วนสีสันของอาคารบ้านเรือน
เราเห็นด้วยตาเปล่า เราสนุกของเรา เรามีความสุขที่ได้มาเที่ยวที่นี่ ก็พอแล้วมั้ยล่ะ...
มีความนูนาเกาหลีไปอีกเพื่อนฉัน มุมนี้เป็นมุมแขวนป้ายเขียนชื่อกับคู่รักค่ะ
ใครพาแฟนมาฟิน ก็มาแขวนป้ายเพิ่มปริมาณและสีสันให้กับมุมนี้กันได้นะคะ
แต่ป้ายไม้ซื้อที่ไหนไม่รู้ พอดีมาคนเดียวเลยไม่สนใจ จบนะ!! (<<--- เดี๋ยวๆ ทำไมต้องเหวี่ยง?)
เสนอตอน..."ยัยฮาหน้านิ่งกับนายเจี๋ยมเจี๊ยม"
พี่สาวกับพี่ชายที่คะน้ายอมใจยกให้เป็นไอดอลคู่รักในไดอารี่คะน้าเลย
ตลอดทริปนี่ดูแลกันดี๊ดี คนโสดอย่างเราแค่เห็นอิริยาบทต่างๆ ยังฟินตาม
ไม่ว่าพี่มิ้นท์จะงอแง พี่พงก็ยิ้มหวานๆ ตามใจ มุ้งมิ้งน่าเอ็นดู๊ววว!
หรือช่วงที่ลำบากๆ ก็ประคองกันน่ารักมากกก เวลาหยอกเล่นกันไม่ต้องพูดถึง
อิคะน้านี่ลงไปนอนกองแดดิ้นตายอย่างสงบ ศพสีชมพูไปเลยข่าาาาา~
ถึงขนาดถามพี่พงว่า "พี่มีแฝดอีกคนมั้ยคะ?" เออ! หนูอยากได้แบบนี้ 555555
จากนั้นเราก็เดินเล่นกลางหมอก หนาวเย็นจนหมายังฟินเบาๆ ชมหมู่บ้านไปพักใหญ่ค่ะ
หมู่บ้านเล็กๆ แต่อบอุ่น ดูน่ารัก มีความสวยงามของธรรมชาติโอบล้อมทุกทิศทาง
ในน้ำนั่นมีปลาด้วยนะคะ ตัวใหญ่ และจำนวนเยอะด้วย แต่หมอกหนา ถ่ายปลาไม่เห็นค่ะ
แล้วนี่...มันยิ้มอะไรของมัน!?
เป็นไงบ้างคะ "เมืองในหมอก / หมู่บ้านอิต่อง" ชอบกันมั้ย คะน้าชอบนะ
ขับออกมาจากหมู่บ้านอิต่อง เพื่อไปตะลอนต่อ...
ถนนในจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนมากเป็นแบบนี้ คือดีแบบนี้ วิวก็สวยมากตลอดทางเลย
การท่องเที่ยวในจังหวัดนี้ ถนนดีๆ ทำให้เราเพลินกับการเดินทางระดับหนึ่งเลยนะ
คือไม่ต้องนั่งรถแบบหัวสั่นหัวคลอน หรือรถเยอะๆ เบียดเสียด ชอบแบบนี้ ฟิลพักผ่อนมันได้
ถ้ายิ่งขับผ่านภูเขาสวยๆ มีไอหมอกลอยๆ คะน้านี่กรี๊ดๆๆ ตื่นเต้นกับวิวไปตลอดทางแหละ
เป็นจังหวัดที่ใกล้กรุงเทพฯ แต่ความชิลต่างกันเยอะ ใครอยากพักจากความวุ่นวายในเมือง
ที่นี่เหมาะมากๆ เลยค่ะ อากาศก็เย็น ไม่ต้องเดินทางไกลมาก เที่ยวง่าย ไม่มีอะไรแพงเลย
ขับออกมาไม่นานนัก (ราวๆ 20 นาทีน่าจะได้) เราก็มาแวะ...
Check in @ เขื่อนวชิราลงกรณ์
จริงๆ ที่นี่ไม่ได้อยู่ในทริปลิสต์ของเรา แต่พอดีเป็นทางผ่าน เราเลยไม่ผ่านมันไปง่ายๆ
แวะมาค่ะ พวกเรามาเที่ยว ไม่ได้รีบไปไหนซะหน่อย ไม่ต้องสนใจเวลาอะไรทั้งนั้น 5555
ด้านหน้าทางเข้า มีสวนเขียวๆ ให้เราชื่นตาชื่นใจกันด้วย
ตั้งแต่ออกทริปนี้มา เพิ่งเห็นสีเขียวเต็มๆ ก็ตรงนี้แหละ 55555
ขับขึ้นมาจนถึงสันเขื่อน จอดรถได้ ทุกคนแยกย้ายหามุมตัวเองกันอย่างไว
คือแดดเริ่มออก ฝนไม่ตก และหมอกจางลง ความสวยของป่าเขาก็ปรากฏโฉมแก่เราสักที
พวกเราตื่นเต้นมากกกก ในที่สุดก็เจอแดด เลยแยกย้ายไปเก็บภาพ มุมใครแล้วแต่จะโปรด
และนี่คือมุมคะน้า ป่าเขา น้ำใส และไอหมอก มันสดชื่นมากเลยค่ะคุณขาาาา~
แฟนไม่มี ชะนีสายนก...เอาพี่ชายมาเป็นคนข้างๆ ก่อนก็ได้วะ 55555
โอ้ยยยย!! พ่อจ๋าแม่จ๋า หนูรักเขาาาาาาา >O<
ใช่ค่ะ! คะน้าก็คิดแบบนั้น...
ทุกคนกำลังคิดว่า...ถ้าไม่มีไอ้มินิมานั่งตรงนั้น วิวจะสวยกว่านี้ใช่มั้ยคะ 55555
แนวสตรีทก็มาาาา สตรีทป่ะล่ะะะ ฟุตบงฟุตบาธ แบริเออร์ มาครบ!
ข้ามค่ะ...
แอ่ะ! บอกให้เลื่อนข้ามไง ยังดูต่ออีก!! ใช่ซี้~ แอ๋มศรีมันสวยใช่มั้ยล่ะะะ
~คนมีคู่เขาไม่รู้หรอก ความเหงาที่แยกไม่ออก มันคอยหลอกหลอนจิตใจ~
เห็นคู่นี้แล้วเพลงก็มา...เฮ้อออ~
ที่นี่โคตรครบ ฝั่งหนึ่งเขียว ฝั่งหนึ่งฟ้าคราม โอ้ยยยย! อามนี่วิ่งเปลี่ยนแบตกล้องเลยค่ะ
คือทุกคนตกใจตอนอามบอกว่า "กล้องแบตหมดว่ะ" แล้วมันก็เฉลยหน้านิ่งๆ ว่า "มีมาสองก้อน"
ไอ้ @%^$^*(*^*)*%+$^%&( !!!!
เอาล่ะ ดื่มด่ำบรรยากาศกับแดดแรกของทริปจนซัมบาลาเฮ่กันแล้ว (แปลว่าไรวะ?) 55555
เราก็เดินทางกันต่อไปยังที่พักผ่อนของเราในคืนนี้กัน กัน กัน กัน กัน~
Check in @ อุทยานแห่งชาติเขาแหลม / ป้อมปี่
(**ภาพนี้จริงๆ ถ่ายวันต่อมา แต่คะน้าของจัดคิวให้ภาพได้เล่าเรื่องสักเล็กน้อยนะคะทูนหัววว)
ขับเข้ามาในเขตอุทยานฯ เราจะเจอป้อมนี้เป็นด่านแรก พี่ทหารใจดี๊ดี
แนะนำสถานที่ให้เราอย่างเป็นกันเอง พูดเพราะ ยิ้มแย้มมากๆ เลยค่ะ
ค่าเข้าที่นี่ รถยนต์คันละ 30 บาทต่อคัน และ 40 บาทต่อคนนะคะ
นี่คือลานกางเต๊นท์ที่เราเลือกนอนในค่ำคืนนี้ค่ะ
ริมน้ำเลย >///< ได้กางเต๊นท์สมใจแล้ววว
ลานกางเต๊นท์ตรงนี้ เราขับเข้ามาจากป้อมพี่ทหารเมื่อครู่ แล้วเลี้ยวซ้ายแยกแรกเลย
ไม่ไกลค่ะ เลี้ยวปุ๊บเห็นลานนี้ทันที เราจะกางเต๊นท์ตรงไหนก็ได้แล้วจะโปรด
แต่เพราะตรงบริเวณนี้เป็นสนามหญ้า บางจุดเป็นแอ่งโคลน ก็ต้องเลือกกันนิดนึง
แถมตอนนี้เป็นหน้าฝน หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ดินจะเป็นโคลน แต่เราก็ยังยืนยันจะนอนริมน้ำ
และในที่สุด...เราก็นอนกันตามภาพค่ะ สะเปะสะปะสไตล์ 5555
ตกเย็น...ควรรีบอาบน้ำนะคะ เพราะอากาศจะเย็น และบริเวณนี้จะมืดสนิทมาก
ไฟฟ้าจะส่องแค่บริเวณห้องน้ำเท่านั้น ซึ่งห้องน้ำที่นี่สะอาด โอเคมากๆ ค่ะ
ที่นี่ห้ามตั้งเตาปิ้งย่างนะคะ ถ้าไม่ได้อิ่มท้องก่อนเข้ามาในอุทยานฯ
ก็สามารถไปทานได้ที่ร้านอาหารภายในอุทยานฯ ค่ะ ราคาเบามาก แต่รสชาติอร่อยแรง
เวลาราวๆ ตีสอง...ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว มีเพียงความเงียบและแสงไฟจากสปอร์ตไลท์
ของเต๊นท์นักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ บนท้องฟ้ายังคงมีเมฆ แม้เมฆจะไม่หนามาก
แต่ดาวก็ออกมาไม่เยอะนักค่ะ (ดาวน้อยกว่าทริปลำพูนมากค่ะ เพราะเป็นหน้าฝนนั่นเอง)
คุณขาาาา~ ถึงดาวจะออกมาไม่ระยิบระยับมากนัก แต่แอพฯ ส่องหาดาวช้างเผือก
ก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเล้ยยยย!! ทริปนี้คะน้าถอดใจแล้วเชียวว่าคงล่าช้างไม่ได้แน่ๆ เลย
ทว่า...ฮืออออ~ ดีจ๊ายยยย! ตื่นเต้นมากตอนเห็นภาพในกล้องมีแสงรำไรๆ ขาวๆ แบบนั้น
เห็นแบบนี้แล้ว...คะน้านี่ใจชื้นกว่าน้ำค้างบนยอดหญ้าอีกนะ บอกเลย!
แสงเหนือ เวอร์ชั่น เที่ยวไทยเท่ ก็มานะเหวยยยย!!!!
ไม่ต้องไปไกล #ตามกันไป แค่กาญจนบุรี เหตุเกิดจากการตั้งกล้องจะถ่ายดาวช้างเผือกค่ะ
แต่เซตกล้องตอนเก็บแสง (ISO) ไปเก็บแสงไฟเขียวๆ จากเรือหาปลา
หรือเรือนแพของชาวบ้าน ไม่แน่ใจอ่ะ ฟ้าเขียวมาเลยทีนี้ 555555
อ่ะ! ก็ถือว่าซ้อมถ่ายแสงเหนือไปก่อนละกันนะอามนะ สู้เค้าลู๊กกกก!!
นี่ถ้าไม่ติดยอดไม้มา นึกว่าอามลอยขึ้นไปถ่ายบนอวกาศแล้ว 55555
รูปนี้เราพยายามจะหันหลบต้นไม้แล้วจริงๆ แต่ได้แค่นี้...แต่แค่นี้ เราก็นอนฝันดีแล้วมั้ยล่ะ zzZZ
เช้าวันที่ 29 กรกฏาคม
เราอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อย ก็ขับรถจากลานกางเต๊นท์ด้านนอก เข้ามาชมด้านในอุทยานฯ บ้าง
จากภาพคะน้าถ่ายย้อนกลับออกไปนะคะ คือลานจอดรถที่เราจอดรถก่อน แล้วเดินเข้ามาด้านใน
เดินเข้ามาเราจะเห็นว่า ด้านขวามือเป็นลานกางเต๊นท์ค่ะ
และด้านซ้าย จะเป็นบ้านพักให้เช่า แล้วแต่สะดวกเลยว่าใครโปรดจะพักแบบไหน
และนี่คือร้านอาหารที่คะน้าพูดถึงไปตอนก่อนหน้าค่ะ
พร้อมกันนี้ ก็เป็นที่ให้เช่าเต๊นท์ และเบาะนอนด้วยค่ะ สำหรับใครอยากนอนเต๊นท์
แต่ไม่มีของตัวเองก็มาเช่าได้ เต๊นท์หลังใหญ่ นอนได้สามคนสบายๆ
กะจะสะใภ้ซะหน่อยว่าเราจะไปไหนกันต่อ...
แอ๋มศรีเอ้ย!! ชี้แบบนี้ โป๊ะแตกหมดเลยอ๊าาาา~ >[]<
ลองลงรูปอะไรๆ ที่ดูจะมีสาระเหมือนใครๆ เขาดูบ้าง ง่อววว!!~
ด้วยความปรารถนาดี จาก...เฮียตั้มเองงง
จิ้นกันอยู่ดีๆ โดนแอบถ่ายซะงั้น! นี่ไม่รู้ตัวว่าโดนถ่ายอยู่เลยนะ อืม...จริงๆ!
อามชอบหาว่าคะน้าถ่ายรูปไม่ชัด ชอบหน้าเบลอหลังชัดตลอด 55555
ก็เลยหาตัวช่วยแบบที่แตะจอตรงไหนก็ชัดตรงนั้นมาซะ ใช้ง่ายดี
ทุกคนกำลังคิดว่า...ทำไมจากภาพบน เลื่อนมาภาพนี้มันไกลจัง?
ไม่ค่ะ คะน้าไม่ได้กด Enter เยอะ ก็กดสองครั้งปกติเนี่ยแหละ
แต่พื้นที่สีขาวด้านบนคือท้องฟ้าที่ก้อนเมฆหามีไม่ วันนี้ฟ้าเปิดสว่างวาบจนขาวโพลนเลยเนี่ย
ได้ภาพริมน้ำกันสมใจสมหมายสมปองแล้ว เราก็เดินมาเล่นกันต่อที่สะพานแขวนค่ะ
(ริมน้ำเมื่อครู่ อยู่ฝั่งขวา ฝั่งเดียวกับลานกางเต๊นท์ และห้องอาหาร)
แต่สะพานแขวน เราต้องเดินมาทางฝั่งซ้าย เดินผ่านห้องน้ำ และอ้อมหลังบ้านพักมาตรงนี้ค่ะ
มันก็จะรกๆ ต้นไม้ใบหญ้าไปสักหน่อย ระวังลื่นนะคะ คนมีคู่เค้าก็จะประคองกันไปแบบนั้นอ่ะ
คนโสดๆ ถ้าใจกล้าก็เดินฉับๆ ไป ถ้าไม่ไหวก็นั่งลงเอาก้นแถ่ดๆ ลงไปก็ได้ สนุกดี (ประชด!) 5555
ดูเหมือนจะเป็นสะพานไม้ธรรมดาๆ แต่พวกเราก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ
คือเราจะไม่ปล่อยรายละเอียดอะไรแม้ว่าจะเล็กน้อยผ่านไปเลยในทุกทริปของเรา
ทุกอย่างคือโมเม้นท์ที่ดีกับพวกเราหมด เราชอบที่จะรู้จะเห็นทุกซอก ทุกมุม ทุกที่ที่เราไป
สะพานไม้ธรรมดาที่พวกเราผลัดกันวิ่งถ่ายรูปเล่นกันไปๆ มาๆ เกือบ 20 นาที...
ตรงเกาะที่ยื่นออกไป...คือจุดกางเต๊นท์ที่เรานอนเมื่อคืนนั่นเองค่ะ
หากมองจากลานกางเต๊นท์ด้านในออกไป ก็จะเป็นภาพแบบนี้ ที่นี่มันสงบมากจริงๆ
เอาล่ะค่ะ...ได้เวลาออกเดินทางต่อแล้วนะพวกเราชาวคณะ
จากก่อนหน้าที่แอ๋มศรีได้เอานิ้วจิ้มลายแทงบอกใบ้เป็นนัยๆ ไว้แล้ว ว่าเรากำลังจะไปไหน?
ใช่แล้วค่ะ สถานีต่อไปของวันนี้ก็คือ...สังขละบุรี / สะพานมอญ นั่นเองงงง
ระหว่างทางมีหมอกบนยอดเขาให้เราได้มองเพลินๆ ไปกับ
ความสวยงามของป่าเขาที่แท้ทรูไปตลอดสองข้างทาง
ถนนดีงามราวกับเทถนนใหม่ทุกสามวันเจ็ดวัน
คือไม่มีเส้นทางไหนเลยในกาญฯ ที่เรารู้สึกว่าไม่โอเค
(**ยกเว้นทางขึ้นเขาในอุทยานฯ ที่เราได้เม้ามอยไปก่อนนี้ ต้องเข้าใจว่าเป็นถนนตัดบนภูเขาเนอะ)
ระหว่างทางไป อำเภอสังขละบุรี ตอนนี้มีปั๊มน้ำมันปตท. และปั๊มแก๊สแล้วนะคะ
มีร้านอาหาร มีร้านสะดวกซื้อ 7-11 มีอู่ซ่อมรถในปั๊มพร้อมเลยค่ะ อะไหล่ น้ำมันอะไหล่ พร้อม!!
คือจะรถอะไรก็ไปได้ง่ายๆ แล้ว แม้ว่าหนทางยาวไกล แต่ถนนเป็นมิตรกับยางรถยนต์มาก
ทัศนวิสัยตลอดเส้นทางดีงามตามท้องเรื่อง ไม่แปลกใจค่ะ ที่ อ.สังขละบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง
Check in @ สะพานมอญ / สะพานอุตตมานุสรณ์
เอาล่ะ มาถึงแล้ว และซุ้มนี้คือทางเข้าเพื่อไปเดินบนสะพานมอญค่ะ
คุณป้าสองข้างซ้าย-ขวา ขายแป้งค่ะ แป้งทานาคาที่ทาแก้ม
ถ้าใครอยากทาแป้งแต่งหน้าให้เข้ากับบรรยากาศ เราจะเห็นคนเดินขายเยอะมากเลยค่ะ
เมื่อเดินขึ้นมาบนสะพาน วิวก็ประมาณเนี้ย...
พอเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ น้องคนนี้ก็เดินมา...
ยิ้มแฉ่งมาเลยค่ะ ขาวกว่าแป้งในตะกร้าก็ฟันน้องแล้วอ่ะ 55555
"พี่ครับทาแป้งหน่อยมั้ยครับ พี่ให้ผมเท่าไหร่ก็ได้ครับ"
...น่าเอ็นดู๊ววว...
สักพัก...น้องอีกคนก็เดินมาค่ะ แต่เป็นเด็กไทย และไม่ได้ขายแป้ง น้องขายความรู้ค่ะ
และถ้าจำไม่ผิด น้องเด็กมอญ น่าจะชื่อ น้องมิน และน้องเด็กไทยชื่อ น้องวิน ค่ะ
น้องจะถามก่อนค่ะว่า เราอยากจะฟังมั้ย ถ้าอยากฟังประวัติสะพาญมอญ น้องจะยืนเล่าให้ฟัง
แล้วคะน้าก็ตกลงกับน้อง ว่าคะน้าอยากฟัง...สิ่งที่คิดคือ การเล่าประวัติสไตล์มัคคุเทศน์น้อย ใสๆ
ทว่าความจริง...วรรคแรกมา นี่นึกว่าน้องเค้า Cover เพลงเดอะทอยส์ให้ฟัง จะแร็พไปไหนลู๊กกกก!
น้องค๊าาาาา! เสียงระดับ 8 เดซิเบล ไอ้อามแอบตดยังดังกว่า แต่โอเค! พี่ไม่ว่า...
พี่เข้าใจว่ามันคงเป็นคาแรคเตอร์ แต่เบาแล้วแร็พแบบก่อนฤดูฝนอ่ะ เก่งไปมั้ยลู๊กกกก!!
หนูหายใจกันทางไหนเรอะ! 5555555 แซวค่าาา จริงๆ พอจับใจความได้อยู่นะ...
แล้วพอน้องเล่าจบ เราก็ให้ทิปน้องตามที่เห็นสมควรค่ะ
ภาพนี้คือเรียล ร้อนเรียลๆ 5555
เฮียหน้าตาร้อนแดด เพราะแดดเบอร์แรงมากค่ะวันนี้
ไม่ต้องงงค่ะ ตอนมาก็ใส่กางเกงมาเนี่ยแหละ
ผ้าซิ่นนี่มานุ่งทับ ให้เข้าบรรยากาศตอนเดินเล่นเฉยๆ
เตรียมมาจากบ้านเลยนะ ลงรถปุ๊บ คว้าผ้ามาผูกเอวปั๊บ โคตรเตี๊ยมเลย 55555
และตอนนี้เราเดินมาถึงกลางสะพานแล้วค่ะ นอกจากมีแป้งทานาคา
มีมัคคุเทศน์น้อย ก็ยังมีขนมพื้นบ้านหน้าตาแปลกๆ ขายด้วย
ที่นี่เป็นแหล่งวัฒนธรรมที่เดินชมเพลินดีนะคะ
ช่างภาพเยอะค่ะทริปนี้ พี่พงนี่สายแคนดิดเลยนะ อย่าเผลอเชียว! 5555
นี่ง่ะ! พอเผลอมันก็จะเป็นเงี้ย 555555
และตรงนี้คือ "สะพานแดง" เชื่อมระหว่าง หมู่บ้านมอญ และกะเหรี่ยงค่ะ
คือเราเดินข้ามสะพานมาถึงอีกฝั่งแล้วนั่นเอง และน้องสองคนในคอสตูมสุดชิคนั้น
กำลังขายแป้งทานาคาให้เฮียอยู่ค่ะ เห็นมั้ยบอกแล้ว ที่นี่มีแต่เด็กๆ น่ารักทั้งนั้นเลย
และนี่คือมุมที่เราถ่ายจากบนสะพานแดงค่ะ สวยเนอะ
เมฆแน่นเชียว อีกแป็บ...ฝนตกแน่ๆ เอาแน่เอานอนกับอากาศไม่ได้เลยจริงๆ
ตะกี้แผดเผาไม่เกรงใจไวท์เทนนิ่งที่โบกมา นี่ฝนจะตกซะอีกแล้ว เอาเข้าไป!
และแล้วฝนก็ตกจริงๆ พวกเราเลยหาร้านข้าวนั่งทานกันระหว่างรอฝนซา...
ร้านนี้อยู่ฝั่งมอญนะคะ แต่เป็นอาหารไทยตามสั่งปกติ ราคาพอรับได้ ไม่แรงมาก อร่อยดี
ครั้นอิ่มหนำจนเพลียพุง...ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลย แงงงง้!!
ทว่าฝนตกก็เท่านั้นอ่ะ เพราะคะน้าและผองเพื่อนตัดสินใจลุยฝนไปเลยค่าาาา!~
พวกเราจะลุยฝน ลงเรือ เพื่อไปชมวัดกลางน้ำที่สุดแสนจะ Unseen Thailand กัน
ทาดาดามมม~ เรือแล่นมาไกลพอสมควรเลยนะ...ฝ่าสายฝนมา แต่คะน้ากางร่มบังตัวไว้ค่ะ
(**ถือร่มเหมือนถือโล่ เอาบังตัวไว้ข้างหน้า จะเปียกก็แค่ตรงกางเกงนิดหน่อย)
พี่คนขับเรือเล่าให้พวกเราฟังย่อๆ ว่า...วัดแห่งนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2498
อยู่ในบริเวณที่เรียกว่าสามประสบ หมายถึงจุดที่แม่น้ำสามสายมาบรรจบกันค่ะ
คือ แม่น้ำบิคลี่ แม่น้ำซองกาเลีย และแม่น้ำรันตี ซึ่งเมื่อแม่น้ำทั้งสามมารวมกัน
ก็เกิดชื่อเรียกว่า "แม่น้ำแควน้อย" จนกระทั่งการไฟฟ้ามาสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ขึ้น
พอกักเก็บน้ำในเขื่อนแล้ว ตัวอำเภอเก่าในบริเวณนี้ก็เกิดน้ำท่วมค่ะ วัดนี้จึงจมอยู่ใต้น้ำ
และเป็นที่รู้จักกันในตอนนี้ว่าเป็น "วัดใต้น้ำ" สถานที่ท่องเที่ยวไปโดยปริยาย
เราลงไปเดินคงไม่ได้ค่ะ ฝนตก และน้ำขึ้นขนาดนี้ พี่คนขับเรือจึงพาขับเข้ามาดูใกล้ๆ แทน
เราก็ไม่เสียดายอะไรนะคะ เพราะจริงๆ แค่ได้มาเห็นว่าที่นี่เป็นยังไงนะ ประมาณไหนก็พอแล้ว
ผ่านวัดแรก พี่คนขับเรือก็พามาจอดเทียบริมน้ำ แล้วบอกให้พวกเราเดินเท้ามายังวัดที่สอง
"วัดสมเด็จ(เก่า)"
วัดนี้ต้องเดินขึ้นมาบนเขาค่ะ ไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้มาก ยังไงนะ? 55555
วัดนี้พี่คนขับเรือบอกว่า "ให้ขอพรดีๆ เพราะศักดิ์สิทธิ์มากนะครับ"
เดินมาถึงแล้ว ฉ่ำเลย...ที่นี่มีแค่โบสถ์หลังนี้ค่ะ กับต้นไม้ใหญ่ ไม้เล็กขึ้นเต็มไปหมด
รอบๆ โบสถ์เราจะสะดุดตากับก้อนหินที่ถูกวางตั้งซ้อนกันเป็นชั้นสูงๆ หลายกองมากกกก~
ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าตั้งเพื่ออะไร แต่ถ้าให้เดาก็คงตั้งเพื่อขอพรให้สมปรารถนาล่ะมั้ง
เข้ามาด้านใน เราก็เจอพระสมเด็จ(เก่า) ค่ะ
ระหว่างทางเดินขึ้นมายังโบสถ์ มีร้านของชาวบ้านขายดอกไม้แบบนี้อยู่ค่ะ
ไม้ละ 10 บาทพร้อมธูปเทียน เพื่อใช้กราบไหว้บูชาพระสมเด็จในโบสถ์
เสร็จจากวัดสมเด็จ(เก่า) เราก็ลงเรือเพื่อมาต่อที่...วัดวังก์วิเวการาม
เป็นวัดที่สาม ที่สุดท้ายแล้วค่ะ พอเรือแล่นมาถึงวัดนี้ คุณพระ!! ฝนเทหนักเลยทีนี้
เราเลยแค่แชะภาพเก็บไว้ที่ระลึกกันไม่กี่ภาพ แล้วก็บอกพี่คนขับเรือให้ขับกลับเข้าฝั่งเลย
เมื่อเราใกล้มาถึงฝั่ง ตอนแรกเราขึ้นเรือจากทางฝั่งสะพานแดงค่ะ แต่เพราะเราต้องกลับฝั่งไทย
เลยขอให้พี่เขาเลี้ยวเรือมาจอดให้ทางฝั่งนี้แทน ขอชื่นชมพี่คนขับเรือมากๆ พี่เขาเฮฮา คุยสนุกกันเอง
บริการดีตลอดการเดินทาง มีเล่าเรื่องให้เราฟังคร่าวๆ รอพวกเราเดินถ่ายภาพกันพักใหญ่
ตอนลงเดินที่วัดสมเด็จ(เก่า) พี่เขาก็ไม่แสดงท่าทีรำคาญอะไรนะ ชาวบ้านที่นี่น่ารักมากจริงๆ
เมื่อเรือจะเข้าท่าจอด พีคตรงที่เรือจอดกันเต็ม เด็กๆ เหล่านี้เห็นเรือของเราเข้ามา
ก็ช่วยผลักๆ ดันๆ เรือลำอื่นให้ออกไป เพื่อให้เรือเราเข้าจอดในช่องว่างได้ สุดอ่ะ!!
จังหวะจะลงเรือเด็กๆ ช่วยจับเรือไว้ให้ด้วย น่าเอ็นดูเนอะ สายเปย์จะไม่เปย์ได้ไงล่ะทีนี้...
ปล.สังเกตุแอ๋มศรี พี่มิ้นท์ และคะน้า จะมีผ้าคลุมกันทุกคน จำกันได้ใช่มั้ยคะ...มันคือผ้าซิ่น 5555
ผ้าซิ่น ผ้ามหัศจรรย์กันฝน กันหนาว เช็ดตัว ครบในผืนเดียวค่าาาาา
กลับมาจากสะพานมอญ...ค่ำคืนสุดท้ายในกาญจนบุรี
เรายังคงกลับมากางเต๊นท์นอนที่ป้อมปี่นะคะ
กางเต๊นท์จุดเดิมเป๊ะๆ เป็นมุมที่พวกเราชอบที่สุดแล้วอ่ะ
พอมืดแล้วพี่เจ้าหน้าที่จะแจกเทียนให้ค่ะ เราก็จุดกันไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรจะทำ 5555
ฟ้าก็ปิด ไม่มีดาวให้ถ่ายช้างเผือก แถมดึกๆ ฝนลงเม็ดเป็นระยะๆ อีก คุยกันแป๊บๆ หลับเฉยยย~
เช้าวันที่ 30 กรกฏาคม...
Check in @ สะพานข้ามแม่น้ำแคว
สะพานคลาสสิคที่คะน้าเชื่อว่าใครๆ ต้องเคยมาแน่ๆ คะน้าเองยังมาทานข้าวที่นี่ทุกปีเลย
และรอบนี้ก็เช่นกันค่ะ เรามาทานข้าวกัน เดินเล่น ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกปีต่อปีกันไปเรื่อยเปื่อย
พอมองจากสะพานลงไป ก็จะเห็นร้านอาหารร้านโปรดที่คะน้ามาทานทุกปี ร้านนี้นี่เองงงงง
บางทีเฮียตั้มก็แก่ไวไป! =O=; 55555 ล้อเล่นนนน!~
เอ้า! ขอเสียงปรบมือต้อนรับแขกรับเชิญของคะน้า "คุณพ่อพี่มิ้นท์" ค่าาาาา
คุณพ่อกับคุณแม่ ขับรถตามมาหาพวกเราที่กาญฯ โดยนัดกันที่สะพานข้ามแม่น้ำแควค่ะ
ใช่แล้ววว และนี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเรามาแวะที่นี่
ส่วนเฮียตั้ม ขอตัวกลับไปก่อน เพราะมีงานด่วนเข้ามากะทันหันค่ะ
"เฮ้ยๆ รถไฟมา ไหนทำท่าโบกรถไฟเล่นกันหน่อยเร็ว" เสียงคะน้าร้องบอกเพื่อนๆ
จากภาพ...ชนะเลิศต้องยกให้คุณพ่อค่ะ จ้าง 500 แอ็คติ้งไปแล้ว 5 ล้าน น่ารักกกก~
ส่วนแอ๋มศรี...บางทีนางก็ Abstract ไปอีก! นี่ให้โบกรถไฟ ละดูท่ามันดิ อะไรของมัน 55555
เมื่อรถไฟจอดสนิท พวกเราก็ขึ้นไปเล่นกันแบบนี้ค่ะ...
การที่ให้คนตัวใหญ่มาอยู่หน้ากล้อง วิถีเอาตัวรอดอิงแอบไปกับประตูรถไฟ
มันก็เป็นสกิลอย่างนึงที่คะน้าคิดว่าคะน้าต้องมี! =[]=;
ในความจริงจัง มีความเกร็งซ่อนอยู่ 55555 คือต้องได้รูปสวยๆ ภายในเวลาสั้นๆ
ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนขบวนค่ะ และขอเม้า!!! เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น พร้อมกระชากตัวออก
คะน้ากับแอ๋มศรี คือยังอยู่บนบันไดทางขึ้นของรถไฟ แล้วยังไง? กรี๊ดลั่นนน!!!
พร้อมกระโดดลงมาจากรถไฟ ด้วยความเร็วประดุจทะลุมิติมาจากกระจกทวิภพ TOT
อายประชาชนทุกหมู่เหล่าในตอนนั้นม๊ากกกก!!
และเพื่อเป็นการหลบหนีความอับอายเมื่อครู่...
เรากลับกันเถอะ ปู๊น! ปู๊นนน! 55555
Check in @ ต้นจามจุรียักษ์
อ่ะ! นี่มาตามใจแอ๋มศรี...นางอยากมามากกก นางรีเควสตั้งแต่วันแรก พวกเรารักนาง
เราเลยพามาซะวันสุดท้าย แถมมาเพราะเป็นทางผ่านอีกด้วยนะ รักแค่ไหนถามใจดู 5555
คู่ลูกก็หวาน คู่พ่อแม่ก็หวานนน...
บ้านนี้เขากินอ้อยเป็นอาหารกันเหรอคะ (<<---- ทำไมอิคะน้าดูพาลๆ)
สมใจแอ๋มศรีก็ครานี้ ต้นจามจุรียักษ์ เป็นไงล่ะ??
ยักษ์ล้นเฟรมไปอีกกกก เห็นแต่กิ่งเลยทีนี้ 5555
เฮ้ออออ ได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะค่ะ พวกเราคงไม่แวะที่ไหนแล้วล่ะ
สำหรับทริปหน้า ทีมของเราจะไปเที่ยวไหนกันต่อ...ไว้มาเที่ยวไปด้วยกันอีกนะคะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนนี้...คะน้าขอขอบคุณเพื่อนๆ ก่อน ขอบคุณทุกๆ คนเลยที่ติดตามกันมาค่ะ
และเช่นเคย ต้องขออภัยที่แต่ละ Blog เขียนออกมาช้าเหลือเกิน
คะน้างานยุ่งมากๆๆๆ จริงๆ ค่ะ เพราะทำธุรกิจส่วนตัว งานทุ่มเทต้องมา 5555
สโลแกนเดิมค่ะ... "ทำงานหนัก เพื่อหาเงินเที่ยว และเปย์เครื่องสำอางค์" วะฮ่ะฮ่าาา
ใครสะดวกจะพูดคุยกันมาได้ที่ Comment Box ด้านล่างนี้ได้เลยจ้า
>>> แล้วเจอกันทริปต่อไปน้าาาาา <<<
เพจ >> https://web.facebook.com/TheLocationKana จิ้มๆ เลย >///<
คะน้าน้อย
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 01.48 น.