แสงที่มองไม่เห็น


นี่อาจเป็นเพียงบันทึกการเดินทางฉบับย่อทีสุดเท่าที่ผมเคยเขียนมา
แต่มันก็เป็นบันทึกการเดินทางที่ทำให้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจความหมายของ "ธรรมชาติ" มากขึ้น
เราใช้เวลาในการปีนป่ายจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงน้ำตกชั้นสุดท้ายไม่เกินสองชั่วโมง
ทว่าความรู้สึกที่พบเจอระหว่างการเดินทางกลับมากไปกว่านั้น
บางทีการค้นพบมุมมองใหม่จากสิ่งแวดล้อมเดิมๆอาจจะกำลังเกิดขึ้นทุกเวลา
เพียงแค่เรากลับไปสนใจและเอาใจใส่กับบางสิ่งที่เคยคิดว่ามันได้ขาดหายไปจากกาลเวลา



**กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่เราตั้งใจเขียนขึ้น หากมีความผิดพลาดประการใดหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
สามารถติดชม แนะนำหรือสอบถามได้เลยครับ ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น ขอบคุณครับ**


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



(1)


ครั้นยังจำความได้ผมเคยเข้ามาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้แล้วตั้งแต่วัยเด็ก ในวันวัยที่ความคิดยังไม่ปะติดปะต่อและยังไม่ประสีประสา ในความทรงจำของผม "ป่า" เปรียบได้เสมือนดั่งหมู่มวลต้นไม้ที่มาอาศัยอยู่รวมกันคล้ายกับชุมชนขนาดใหญ่ ในความทรงจำของเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยเข้าใจว่าป่านั้นมีความสำคัญอย่างไร เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ป่าช่างดูห่างไกลจากบ้านที่เราอยู่ ในวันวัยนั้นที่เห็นได้ชัดเจน ก็คงจะมีเพียงแต่ต้นไม้ที่ถูกปลูกไว้สองข้างทาง และเราก็แค่เรียนรู้ว่าต้นไม้ช่วยสังเคราะห์อากาศที่บริสุทธิ์ให้แก่เราเท่านั้นก็พอ

ทว่าวันนี้ผมเดินทางกลับมายังป่าแห่งเดิมแห่งนี้อีกครั้ง หากนี่ไม่ใช่การเดินป่าอันแสนหฤโหดอย่างที่ผมเคยผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง แต่มันเป็นการกลับมาพิสูจน์ว่าป่าในความหมายของวันวานที่ผมรู้สึก วันนี้มันเปลี่ยนแปลงไปเป็นเช่นไร



(2)



วันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนแสนอบอ้าว โชคดีที่มันยังเจือไปด้วยร่มเงาของต้นไม้จากสองข้างทาง แม้คณะเดินทางของเราจะมาถึงช่วงบ่ายคล้อยไปเสียหน่อย แต่ก็ยังมีเวลาเหลือพอให้เราค่อยๆก้าวเท้าขึ้นไปพิชิตน้ำตกชั้นสุดท้ายได้อย่างสบายใจ

บรรยากาศป่าไผ่เปิดทางตอนรับขับสู้เราอย่างหนาตา ทว่าเสียงฝีเท้าของฝุงชนที่เดินสวนกลับมา กำลังส่งเสียงบอกให้เรารับรู้ว่า คณะเดินทางของเราต้องเพิ่มสปีดในการไปให้ถึงอย่างเร็วไวก่อนที่สวนน้ำชั้นบนสุดจะปิดตัวลง



(3)



"ไหลคืนรัง วังมัจฉา ผาน้ำตก อกนางผีเสื้อ เบื่อไม่ลง ดงพฤกษา ภูผาเอราวัณ"

ผมกำลังไล่เรียงสายตาดูชื่อของน้ำตกแต่ละสาย เพื่อตรวจสอบระยะทางจากชั้นที่หนึ่งสู่ชั้นที่เจ็ดอย่างรอบคอบ เพราะการเดินขึ้นเขาในระยะทางไปกลับเกือบสามกิโลเมตร กับเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งอาจไม่เพียงพอให้เราได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่อยู่สองข้างทางนัก ยิ่งได้ข่าวจากเจ้าหน้าที่ว่าทางขึ้นไปชั้นห้าจะปิดตอนบ่ายสามโมงครึ่ง พวกเราจึงไม่รีรอที่จะสาวเท้าเข้าใส่โดยพลัน

ผมเดินผ่านน้ำตกวังมัจฉา พร้อมกับการลั่นชัตเตอร์เก็บภาพสวยๆเอาไว้อย่างใจเย็น น้ำบริเวณนี้ดูใสคล้ายสีหยก อีกทั้งบริเวณนี้ก็ดูกว้างขวาง น้ำตกวังมัจฉาดึงดูดให้ผู้คนมากมายเข้ามาจับจองพื้นที่เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน แม้น้ำตกชั้นที่สองนี้อาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางของเรา แต่มันก็เป็นเหมือนพื้นที่ที่ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า พื้นที่ความสุขอาจไม่จำเป็นต้องไปถึงจนไกลที่สุด แค่เพียงเรารู้ว่าเราควรจะหยุดอยู่กับใครและสถานที่แห่งใดก็พอ



(4)



เราเดินลัดเลาะกันอย่างสบายใจเฉิบ เพราะระยะทางจากชั้นที่หนึ่งจนถึงชั้นที่สี่อยู่ห่างกันไม่มาก อีกทั้งทางเดินทางก็ไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด เราเดินผ่านป้ายควบคุมเวลาปิดในบริเวณซุ้มของเจ้าหน้าที่ในชั้นที่สี่มาอย่างฉิวเฉียด ต่อจากนี้เราเลยมีเวลาทอดน่องถ่ายรูปกันอย่างอิ่มหมีพีมัน แต่ทว่าความชะล่าใจอาจทำให้เราไปไม่ถึงยังจุดหมายที่ตรงเวลา

พวกเราเริ่มค้นพบว่าความไกลของระยะทางจากน้ำตกชั้นที่สี่สู่ชั้นที่ห้าดูเนิ่นนานกว่าชั้นไหนๆ เราลัดเลาะเกาะแก่งกันจนรองเท้าชุ่มไปด้วยน้ำ แถมยังมีอุปสรรคจากความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อมาเป็นกำแพงขวางกั้นอีก การไม่ฟิตร่างกายให้พร้อมก่อนการขึ้นเขา ย่อมก่อให้เกิดอันตรายและอาการบาดเจ็บได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่เส้นทางเดินเขานั้นจะโหดหินหรือราบเรียบเพียงใด

พวกเรานั่งพักกันสักครู่ เมื่อพบเห็นป้ายน้ำตกชั้นที่ห้าที่ยืนจังก้าอยู่ไกลลิบ แน่นอนว่าอีกไม่กี่อึดใจพวกเราจะข้ามผ่านความกลัวนี้ไปอย่างแข็งแรง



(5)



พวกเราเดินผ่านน้ำตกชั้นที่ห้าและหกอย่างเร็วไว พร้อมๆกับหัวใจที่เฝ้ารอการปรากฏของน้ำตกชั้นบนสุดอย่างตื่นเต้น ทว่าตอนนี้อุปสรรคที่ขวางหน้าเราคือก้อนหินก้อนโตที่เราต้องใช้มือและเท้าไต่รอดไปอย่างช้าๆ หากความลื่นขอตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่บนดขดหินชื้นอาจทำให้เราลื่นตกลงมา ก็คงจะมีแต่ความกล้าที่จะร่ำร้องให้เราก้าวผ่านมันไป

เราสวนกับคณะเดินทางต่างชาติหลายต่อหลายครั้ง บ้างก็พาลูกเด็กเล็กแดงมาเดินเขากันอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย เด็กต่างชาติคนหนึ่งถึงกับพูดกับพ่อของเขามาที่นี่ช่างน่าประทับใจกว่าทุกที่ที่เขาเคยไปมา เราจึงไม่รีบรอช้าสำหรับการปรากฏตัวตรงหน้าของน้ำตกชั้นสุดท้ายที่รอคอย

เมื่อปีนป่ายกันมาจนเหนื่อย เราจึงได้พบกับสระมรกตที่อยู่ตรงหน้า ป้ายผู้พิชิตตั้งแผ่หลาเพื่อรอคอยให้นักเดินทางอย่างเราเข้าไปสวมกอด พวกเราต่างบิดเหงื่อไคลทิ้งลงจนหมดสิ้นเมื่อก้าวมาถึงเป้าหมายที่เฝ้าคอย ความสำเร็จที่ต้องแลกด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาในตัวเองคือรางวัลที่เราต่างเฝ้าคอย



(6)


ไม่ทันไรเสียงนกหวีดยาวจากเจ้าหน้าที่ก็ชวนให้เราตื่นตระหนกกันอีกครั้ง แม้เราจะได้ใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่ถ้ามันกลับทำให้เราค้นพบความหมายดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ภาพผู้คนกับรอยยิ้มดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมจดจำเอาไว้อย่างชัดเจน เสียงหัวเราะปะปนมากับความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ต่างเป็นแรงผลักดันให้เรามีเรียวแรงพอที่จะเดินไปให้ถึงยังจุดหมายตามที่ต้องการ

ผมค่อยๆสูดหายใจเข้าจนลึกพร้อมๆกับแหงนหน้ามองธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า ใครกันที่เป็นผู้สร้างป่าผืนนี้ให้คงทนมาจนถึงทุกวันนี้ ใครกันที่คอยดูแลเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของป่าให้ยืนยง หากคำตอบนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง ทว่าป่าจะอยู่ยั้งยืนยงได้ก็ต้องอาศัยผู้อยู่อาศัยช่วยกันดูแล

พวกเราต่างเป็นผู้บุกรุกเพียงชั่วคราว เป็นเพียงผู้ที่ก้าวเท้าเข้ามาชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติแล้วหันหลังกลับไป เราอาจทิ้งรอยเท้าให้สัตว์ป่าไว้เหยียบย่ำ หรืออาจทิ้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ต้นไม้ไว้สังเคราะห์แสง เราอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนไป

ผมกลับมาเข้าใจความหมายของ "ป่า" ในมุมมองที่ต่างไป ป่าได้ทำหน้าที่มากกว่าเป็นเพียงที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า แต่ป่าเป็นศูนย์บ่มเพาะความสุขที่ผู้คนมากมายต่างทำมันหล่นหายเมื่อเขากลับออกจากป่าไป

ป่าอาจเหมือนกับแสงสว่างที่ส่องลงมาจากฟากฟ้า แม้ไม่เคยสัมผัส แต่เราก็รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของมันได้อย่างชัดเจน



ขอบคุณ

ความคิดเห็น