เป็นทริปต่อเนื่องจาก เดินซนที่แม่กำปอง และ เชียงดาวที่เจียงดารา เราได้คนแนะนำจากพี่ชาติ เจ้าของเจียงดารา ให้ลองไปเมืองคองดู สงบ ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้เห็นดอยหลวงเชียงดาวในอีกมุมมอง
การเดินทางเริ่มจากเชียงดาว ขึ้นรถสองแถวเชียงดาว-เมืองคอง ตรงใกล้แยกที่เลี้ยวมาทางวัดอินทาราม สอบถามให้แน่ใจว่าถึงเมืองคอง ไม่อย่างนั้นเราจะโดนพาไปที่ระเบียงดาวก่อนเพื่อรอรถเมืองคองอีกที
เราโชคดีที่ได้น้ำใจจากพี่ชาติส่งมอเตอร์ไซค์มารับและให้รอขึ้นรถที่หน้าร้านพีระการเกษตรเลย แกจัดการให้หมดแล้ว วันนี้ (21 สิงหาคม 2560) เราได้ขึ้นรถลุงบุญ แกเป็นคนขับรุ่นแรกที่ยังขับจนถึงทุกวันนี้
ระหว่างทางไปเมืองคองจะเป็นเส้นทางเดียวกับระเบียงดาว จะได้เห็นหมอกลอยรอบๆ ดอยหลวงเชียงดาว หลายจุดแทบจะเป็นถนนลอดอุโมงค์ต้นไม้กันแล้ว
ตลอดเส้นทางอันคดเคี้ยวลุงจะเร่งตามจังหวะที่ควรเร่ง ช้าในจุดจุดที่ควรช้า ส่งสัญญาณในจุดเสี่ยงอันตรายต่างๆ นั่งหน้าก็จะได้ฟินๆ หน่อย ชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงเมืองคอง แจ้งลุงแกได้เลยว่าพักที่ไหน แกพามาส่งถึงที่ ค่าโดยสาร 100 บาท
คืนนี้นอนที่นี่ เมืองคองอ้ายด่องโฮมสเตย์ มีความฟินกับทุ่งนา สงบมาก อากาศดี นอนเปลสบายๆ ได้เห็นดอยหลวงเชียงดาวในอีกมุมมอง ราคาคืนละ 250 บาทต่อคน ไม่รวมอาหาร ใครสนใจมาพักติดต่อตามเพจได้เลย http://m.me/dingdongmuangkhong ที่นี่ก็เป็นอีกแห่งที่ไม่บวกเพิ่มสำหรับการเดินทางคนเดียว แถมเราได้บ้านทั้งหลังที่นอนได้ 6-8 คน มานอนคนเดียว (เราไปวันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560) จะต้องบอกว่าทั้งหมู่บ้านมีเราเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวจะถูกต้องกว่า ตามมาดูบรรยากาศบ้านหลังที่ 1 ที่เราได้กัน
ชานบ้านพักจะมีเปลให้นอนเล่น หรือจะล้อมวงทำหมูกระทะที่นี่ก็มีอุปกรณ์ให้ยืม จะนอนชมวิวทุ่งนาก็มีที่นอนพร้อมหมอนสามเหลี่ยมให้
ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำรวมแบบชักโครก และฝักบัว น้ำที่ใช้เป็นน้ำธรรมชาติจากต้นน้ำในหมู่บ้าน ถ้าอยากนั่งยองๆ ก็มีให้เลือกด้วย
นั่งจิบกาแฟ เราเป็นพวกชอบขนเอามาเองทั้งชาและกาแฟสดแบบห่อ กระบอกไม้ไผ่ที่เราพกมานอกจากจะเป็นที่ตั้งเลนส์ที่เชื่อมกับมือถือและก็ยังเป็นถ้วยกาแฟได้ด้วย
พักจนหายเหนื่อยจากการเดินทางก็ออกมาหาอะไรกิน ที่นี่มีร้านอาหารร้านเดียวที่อยู่ใกล้ๆ แต่ในตัวหมู่บ้านมีอีกหลายร้าน คนที่นี่ยิ้มแย้มดี เจ้าของร้านกับแฟนก็ใส่ใจเราดี จัดให้เราได้มานั่งในศาลาริมน้ำ นั่งห้อยขากินก๋วยเตี๋ยวเป็นมื้อบ่าย แต่ขาสั้นไปหน่อยเลยไม่ถึงน้ำ ชามนี้ 25 บาท
พออิ่มก็มีแรงซนในนาข้าวแล้ว ไปเดินลุยนากัน มาที่นี่ก็ต้องเดินตามคันนาไปถ่ายรูปนาสวยๆ ขั้นบันไดอาจจะไม่สูงมากแต่ก็สวย เดินสบาย ถ่ายรูปฟินมาก
วิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนก็อยู่กับท้องไร่ท้องนา
มุมมองแบบ 360 องศาแบบเคลื่อนไหว ไหวจนภาพสั่นไปหมด ยืนบนคันนาและกำลังโดนมดรุมกัดอย่างเมามัน
ซนจนพอใจก็ออกมาจากนาผ่านโฮมสเตย์ที่เราพัก เปิดประตูรั้วแบบไม้ไผ่สอด พี่ที่ยืนแถวนั้นบอกปิดไว้ไม่ให้ควายเข้ามาในนาข้าว เราก็สะดุ้งแล้วเราเข้าไปได้ยังไง เขาห้ามเราเข้า ฮ่าๆๆๆๆ
ออกมาเดินซนชุมชน นั่งฟังเรื่องผ้าทอมือและการปักลาย ได้คุยเรื่องกาแฟสดที่นักท่องเที่ยวชอบถามหาในแบบไม่ยุ่งยาก ได้ฟังเรื่องอาหารของปกาเกอญอ (ฟังไปก็น้ำลายสอไป) หลายอย่างเรายังไม่มีโอกาสได้ชิม ลุงป้าน้าอาที่นี่แทนตัวเองว่าพ่อกับแม่ ให้ความรู้สึกว่าเรามาเที่ยวบ้านญาติมาก ชุมชนน่ารักแบบนี้คงต้องกลับมาอีกแน่นอน
คุยกันจนเย็นย่ำค่ำมืดก็กลับมาที่โฮมสเตย์ อ้ายด่อง (เรียกตามน้องๆ เราน่าจะแก่กว่า) จุดไฟไล่แมลงและต้มน้ำ เราก็ได้น้ำร้อนชงชา จิบชาอุ่นๆ ก่อนนอนพอดี อ้ายด่องเอาต้มยำไก่กับข้าวนึ่งมาให้เป็นมื้อเย็นด้วย เราก็ตุนข้าวเหนียวหมูปิ้งกับลูกชิ้นมาแล้ว ยิ่งอิ่มไปกันใหญ่
เช้าวันสุดท้ายของทริปนี้ ตื่นมาด้วยความสดชื่น และโชคดีก็เป็นของเรา เช้านี้มีหมอกจางๆ ตัดกับนาข้าวเขียวๆ เป็นอีกวันที่ดวงอาทิตย์ขี้อายหลบอยู่หลังเมฆ อากาศเย็นสบายมากๆ
ภาพเคลื่อนไหวจากชานบ้าน
เดินมาล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็ปีนหอชมนา (ตั้งเองเรียกเอง) ถ่ายภาพมุมสูงกันสักหน่อบ
รถสองแถวประจำทางจากเมืองคองไปเชียงดาวลงไปตั้งแต่ตี 5 ไม่ทันรถก็ออกสายๆ นั่งจิบกาแฟกินมาม่าไปก่อน
สายๆ แดดก็ออกมาจ้าอีกแล้ว แดดมาฟ้าสวยก็ถ่ายรูปต่อ
เราออกจากที่นี่ 11 โมง อ้ายด่องแว้นซ์ไปส่งเราที่จุดรอรถเพื่อรอรถลงเชียงดาว ระหว่างรอก็ซนไปเรื่อย
รออยู่พักใหญ่ๆ เจอเจ้าของร้านชำมาส่งข้าวเที่ยงให้พ่อที่นาพาเราไปรอรถที่ด่านป่าไม้ ตรงจุดนั้นทุกคันลงเชียงดาวแน่ๆ พี่ๆ ที่ด่านป่าไม้โบกรถของอ้ายด่อง (อีกด่อง คนนี้น้องชายเป็นบุรุษไปรษณีย์) เราก็ลงมาถึงเชียงดาวด้วยความมีน้ำใจของคนเมืองคอง
ขากลับไปตัวเมืองเชียงใหม่เราได้รถตู้ ขึ้นจากเชียงดาว 70 บาท มาลงที่สถานีขนส่งช้างเผือก
ความประทับใจ
- ความเป็นธรรมชาติ เงียบสงบ ได้สัมผัสวิถีปกติที่ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมากมาย
- ความเป็นมิตรและน้ำใจที่ล้นหลามของคนที่นี่
- อ้ายด้องดูแลดีมาก มีอาหารมาให้กินอีก พาไปดูเสื้อปกาเกอญอและอธิบายเกี่ยวกับประเพณีให้ฟัง
- ขอบคุณอ้ายด่อง (พี่ชายของบุรุษไปรษณีย์) ที่ให้เราอาศัยลงมาถึงเชียงดาว
- ขอบคุณแม่หญิงร้านชำที่แว้นซ์มอเตอร์ไซค์มาส่งด่านป่าไม้และขอบคุณพี่ๆ ที่ด่านที่ช่วยโบกรถให้
- เสื้อปกาเกอญอผ้านิ่มใส่สบาย ไม่ร้อน
มาถึงสถานีขนส่งช้างเผือกเราเลือกที่จะเดินเสพเมืองเชียงใหม่ไปเรื่อยๆ เดินมาเจอร้านอาหารตามสั่งตรงข้ามช้างเผือกเฮ้าส์ กะเพราเนื้อจัดจ้าน อร่อยถูกปากเรามาก จานนี้ 50 บาท
เดินทะลุมาเจอวัดโลกโมฬี ที่นี่สงบเงียบมาก แต่ก็มีการปรับภูมิทัศน์หน้าอุโบสถอยู่
เดินต่อมาในเส้นทางที่คุ้นเคยผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา ด้านหน้ามีดอกบัวดินสีสดใสสวยงามด้วย
จุดหมายปลายทางของการมาเชียงใหม่เกือบทุกครั้งต้องมาวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร พระธาตุประจำปีเกิดเราอยู่ที่นี่ จุดแรกจะเข้าวิหารพระศรีสรรเพชญ
เดินวนขวามาที่วิหารลายคำ สักการะพระพุทธสิหิงค์ ช่วยกันดูแลรักษาภาพจิตรกรรมฝาผนังให้อยู่ได้นานขึ้นด้วยการไม่จับ และไม่เปิดแฟลชเวลาถ่ายรูป เหงื่อและแสงแฟลชจะทำให้ภาพเสียหายเร็วขึ้น ก่อนหน้านี้มีป้ายเตือนแต่ก็หายไปเหลือแค่ห้ามจับอย่างเดียว
เดินไปด้านหลังสักการะพระธาตุหลวง พระธาตุประจำปีเกิดมะโรง
เดินกลับมาด้านหน้ามาที่หอไตร
จากนั้นแวะจิบกาแฟที่ร้านทอฝัน มีคนบอกว่าร้านนี้คั่วกาแฟเองต้องลองมาชิม จิบแล้วความหอมมันติดปากเลย ชอบ
จากนั้นก็ไปต่อกันที่วัดพันเตา เข้าพระวิหารหอคำหลวงกราบพระเจ้าปันเต้า
รั้วติดกันเป็นวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร คนไทยเข้าฟรีนะ ใครหน้าเหมือนต่างชาติแจ้งเขาได้ เราก็ต้องบอกทุกครั้ง เข้าพระวิหารหลวงกราบพระอัฏฐารสช่วงทำวัตรเย็นพอดี
เดินต่อไปด้านหลังถ่ายเจดีย์หลวงในมุมโปรดของเรา
เดินต่อไปที่ประตูเชียงใหม่แวะซื้อขนมครกเจ้าอร่อยที่เรากินประจำ (มาถ่ายตอนถึงสนามบินแล้ว)
รอบนี้เราก็เลือกนั่งฝั่งขวาอีกครั้งเพื่อจะถ่ายแสงไฟตอนตีโค้งกลับกรุงเทพฯ แต่รอบนี้อด ไม่ตีโค้ง แต่ก็ได้อีกมุมของเมืองเชียงใหม่
แต่ตอนลงรอบนี้ตีโค้งเทให้ถ่ายในมุมนี้พอดี
ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่
เพจ : ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว
IG : prapat / ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว
ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 01.42 น.