ทริปนี้ตั้งใจจะไปดูดอกพญาเสือโคร่งที่ดอยอ่างขางสักครั้ง เดินทางกลางเดือนมกราคม หาข้อมูลก่อนเดินทาง 2 วันจากนั้นก็ไปซื้อตั๋วก่อน 1 วัน เป็นการนั่งรถนิววิริยะยานยนต์ทัวร์ครั้งแรก รถ VIP ของเขาเก่าไปหน่อย แต่เบาะใหญ่ใช้ได้เลยนะ


ราคาตั๋วจากกรุงเทพฯ-ท่าตอน 720 บาท รถออกจากหมอชิต 19:45 น. มาแวะจุดพักรถร้านขวัญที่ สลกบาตร รอบนี้กินราดหน้า ไม่ปลื้มนักแต่ก็ช่วยให้หลับได้สบาย


หมดเวลาพักก็ขึ้นรถนอนต่อเลย ง่วงมากๆ ตื่นมาอีกทีก็ใกล้เชียงใหม่ละ คนลงเยอะ จอดไม่นานก็ไปต่อ รถออก 19:45 น. ถึงวัดหาดสำราญจุดต่อรถขึ้นดอยอ่างขางเวลา 6:39 น. เย็นมากๆ อุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียส

เราโทรนัดรถสองแถวเพื่อให้เขามารับและพาเราเที่ยว ราคาเหมารถ

1. ขึ้น-ลงพาเที่ยว 3 จุดภายในสถานีเกษตรอ่างขาง 1,400 บาท

2. ขึ้น-ลงพาเที่ยวไร่ชา ไร่สตรอว์เบอร์รี่ ม่อนสน ฐานปฏิบัติการบ้านนอแล ดูอาทิตย์ขึ้น และภายในสถานีเกษตรอ่างขางอีก 3 จุด ราคา 2,000 บาท

3. ขึ้น-ลงพาเที่ยวไร่ชา ไร่สตรอว์เบอร์รี่ ม่อนสน ฐานปฏิบัติการบ้านนอแล ดูอาทิตย์ขึ้น และภายในสถานีเกษตรอ่างขางอีก 3 จุด ลงมาส่งนอนที่ม่อนสน และเดินขึ้นยอดสูงสุดของดอยอ่างขาง ราคา 2,300 บาท

(คนอื่นมีไปไร่ส้มกับน้ำพุร้อนด้วยในราคา 2,600 บาท แต่ต้องนอนด้านบนไม่ได้ลงมาม่อนสนนะ)


เราเลือกอันที่ 3 คนขับสองแถวชื่อคุณโอ๋แนะนำดี สอบถามสิ่งที่เราชอบแล้วก็ให้เวลาเราเต็มที่


จุดแรกที่เราไป จุดชมวิวม่อนสน จุดนี้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก เช้าๆ แบบนี้คนน้อยมาก ยิ้มเลยเรา ถ่ายรูปสนุก


ระหว่างทางต้นพญาเสือโคร่งเริ่มผลิใบแล้ว ถ่ายจากในรถขณะวิ่งอยู่ไม่ได้จอด

จุดที่ 2 มาชมไร่ชา บ้านขอบด้ง อากาศดี คนเยอะ แถมยังจอดรถปิดเส้นทางเดินรถจนวุ่นวายไปหมด




จุดที่ 3 ไร่สตรอว์เบอร์รี่ ห้ามเก็บ มีขายแต่ราคากล่องละ 120 บาท สดจริง เราไม่ได้ปลื้มตรงไร่สตรอว์เบอร์รี่เท่าไหร่นัก



เราสนใจดงต้นพญาเสือโคร่งที่กำลังออกดอกชมพูสะพรั่ง คุณโอ๋พาเรามาจุดนี้ภายในรั้วของชาวเขา ขออนุญาตเจ้าของไร่เรียบร้อยแล้ว ชมต้นพญาเสือโคร่งแบบส่วนตัว



จุดที่ 4 ฐานปฏิบัติการบ้านนอแล ชายแดนไทย-พม่า สมเด็จพระเทพฯ เสด็จมาประทับที่ศาลาและทอดพระเนตรพื้นที่ชายแดน มีบังเกอร์ให้มุดเล่นด้วย




มีต้นพญาเสือโคร่งให้ชมอย่างใกล้ชิดเลยนะ แต่ขอเถอะอย่าโน้มกิ่ง หน้าไม่ต้องแปะกับดอกก็ได้เน้อ


คุณโอ๋พามากินข้าวที่ตลาดจีนยูนนาน เราก็กินบะหมี่ซี่โครงหมูตุ๋นยูนนาน ก็อร่อยใช้ได้ 40 บาท น้ำชาฟรี


จากนั้นก็พาเราเที่ยวสถานีเกษตรอ่างขาง เสียค่าเข้า 50 บาท เรานั่งรถรับจ้างมาไม่เสียค่าเข้า แต่ถ้ารถส่วนตัวก็อีก 50 บาท เป็นอีกจุดที่มีแต่คนสงสัยถามว่าเรามาคนเดียวจริงหรอ? 555+ ก็ไม่ใช่ที่แรกที่มาคนเดียวนะ เที่ยวอีก 3 จุด คนพาเที่ยวก็เก่งเนอะวางรูทดีมากๆ แล้วเราก็มาฟินที่นี่มันเยอะและใกล้ชิดมากๆ

จุดแรกในสถานีเกษตรอ่างขางเป็น สวน 80 พญาเสือโคร่งเยอะและสวยมากๆ





เดินไปตามทางอีกพอสมควร จะเจอโซนกุหลาบอังกฤษจะมีต้นซากุระที่เป็นพันธุ์มาจากญี่ปุ่น คนพาเที่ยวอธิบายให้ฟัง ขอเน้ออย่าโน้มกิ่งกันเลยนะ ต้นเตี้ยๆ ก็มี




จุดที่สองในสถานีเกษตรอ่างขางก็คือ แปลงต้นบ๊วยและเมืองผัก (เราเรียกเองนะ) บริเวณนี้มีร้านกาแฟบรรยากาศดีทีเดียว โล่งโปร่งสบาย




จุดสุดท้ายภายในสถานีเกษตรอ่างขาง เป็นโซนด้านหน้าและร้านโครงการหลวง



ข้ามฝากมาอีกฝั่งถนนก็จะมีโซนให้เดินซนอีก


เดินชมพืชทนแล้งภายในโดม หลายจุดมีป้ายห้ามก็ช่วยกันดูแลด้วย สิ่งสวยๆ จะได้อยู่นานขึ้น



เดินต่อมาที่สวนบอนไซ



ใกล้ๆ กันจะเป็นสวนหินธรรมชาติ



ใครอยากกินสตรอว์เบอร์รี่ซื้อในร้านโครงการหลวงภายในสถานีเกษตรอ่างขางเลยนะ ลูกสวย ราคาไม่แพง 55-65 บาท ซื้อที่ไร่ชาวเขา 120 บาท แถมยังเป็นผลที่ไม่ได้ขนาด มีตำหนิส่งโครงการหลวงไม่ได้อีกด้วย ชาวเขามีรายได้จากการปลูกสตรอว์เบอร์รี่ส่งให้โครงการหลวงช่วง 3 เดือนที่ปลูกได้อย่างน้อยครัวเรือนละแสนกลาง-ปลาย (เจ้าหน้าที่และคนพาเที่ยวเล่าให้ฟัง)


ระหว่างทางเดินออกจากสถานีเกษตรอ่างขางชมพูตลอดทางเลย

หลังจากนั้นคุณโอ๋มาติดต่อเรื่องเต็นท์ให้เราได้นอนที่ลานกางเต็นท์ดอยอ่างขาง ตรงจุดชมวิวม่อนสน ภายในพื้นที่อุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก เต็นท์พร้อมเครื่องนอนสำหรับ 2 คน คืนละ 500 บาท เต็นท์ที่เราได้เป็นวิวดีมากไม่มีเต็นท์อื่นมาบังเลย ถือว่าคุ้มค่า แต่แผ่นรองนอนปู 2 ชั้นแล้วยังบางเฉียบเลย (สภาพหลังจากเรารื้อแล้ว)


จ่ายเงินค่าเช่าเสร็จฝากของที่ร้านค้าที่เราเช่าเต็นท์ และเริ่มเดินสำรวจฐานปฏิบัติการดอยอ่างขาง เป็นพื้นที่ของทหาร มีจุดกางเต็นท์ด้วย





สำรวจทั่วแล้วก็เดินไปหาทางขึ้นเส้นทางศึกษาธรรมชาติขึ้นสู่จุดสูงสุดดอยอ่างขาง เจอป้ายแล้วถึงเวลาซนแล้ว 640 เมตร เดินไม่ยาก


640 เมตร ทำไมเหนื่อย 555+ ทางเหนื่อยใช้ได้เลยนะ แต่วิวแบบ 360 องศามันดีมากจริงๆ อยู่คนเดียวไม่มีใครแย่งถ่ายรูปด้วย




ถึงแล้วจุดสูงสุดดอยอ่างขาง ที่ป้ายสีเขียว "จุดสูงสุดยอดดอยอ่างขาง สูงจากระดับน้ำทะเล 1,928 เมตร" นั้นเต็มไปด้วยรอยจารึกของคนท่องเที่ยวแบบไร้จิตสำนึก มีทั้งมาคู่ มาหมู่ ชื่อโรงเรียนยังมีเลยนะ เศร้าใจนะ




2 ชั่วโมงกว่ากับการนั่งชมวิวจุดสูงสุดยอดดอยอ่างขาง สูงจากระดับน้ำทะเล 1,928 เมตร คนเดียว อากาศเย็นสบายแต่ไม่มีร่มเงาจากต้นไม้นะ คุ้มค่าการเดินมาก ตอนแรกตั้งใจจะรอดูอาทิตย์ลับแนวเขาแต่ดันลืมเอาไฟฉายขึ้นมา แถมแบตมือถือก็เหลือ 10% ก็เลยตัดใจเดินลง


มุมสูงลานกางเต็นท์ ขาลงจากยอดสูงสุดดอยอ่างขาง


ลงมาจากจุดสุดดอยอ่างขางแล้วก็มาต่อคิวอาบน้ำ เปิดห้องเดียว น้ำไม่พอใช้ แนะนำว่าควรรีบอาบก่อนอาทิตย์ตก น้ำเย็นมาก


อาทิตย์ตกแล้ว แสงกำลังสวยเลย เขาก็แย่งกันขึ้นไปถ่ายรูปที่ระเบียงไม้ เราก็ถ่ายพวกเขาอีกที มาเที่ยวแล้วแบ่งปันให้คนอื่นถ่ายรูปบ้าง ช่วงเวลาอาทิตย์ขึ้น-ตกมีนิดเดียว




หลังจบเรื่องแสงสวยๆไปแล้วก็ถึงเวลาเรื่องสนุกของเราอีกอย่าง คือนำ passport อุทยานแห่งชาติไปปั๊ม เจ้าหน้าอุทยานฯ คุยดีมาก มีแค่ 3 คน แต่ต้องดูแลนักท่องเที่ยวหลายร้อยคน

หลังกินข้าวอิ่มไม่นรนก็หลับไป ตื่นมาเพราะกลุ่มกินเหล้าตะโกนคุยกัน เจ้าหน้าที่เตือนแล้วห้ามแล้วก็ไม่หยุด มีประกาศห้ามกินเหล้าในเขตอุทยานแห่งชาติ และห้ามเสียงดังหลัง 4 ทุ่ม (มีประกาศห้ามของอุทยานแห่งชาติและใช้เหมือนกันทั่วประเทศ) ปรับขวดละ 1,000 บาท ส่วนเรื่องเสียงดังสามารถให้ออกจากพื้นที่ได้หากตักเตือนแล้วไม่ฟัง

กว่าจะหลับได้ก็ตี 3 แล้ว เช้านี้เราไม่ต้องตั้งปลุกเลยนะ แก็งค์เดิมเสียงดังเหมือนเดิม แต่ชุดที่เราเตรียมมาไม่ได้เหมาะกับอุณหภูมิที่ 6 องศาเซลเซียสอย่างนี้ พอแสงเริ่มมาจากขอบฟ้าและเริ่มมีไข่แดงลอยขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็หามุมที่เก็บภาพ








เหมือนเคยเรามาถ่ายคนอื่นยืนเบียดกันบนระเบียงไม้อีกรอบ

ป.ล. รูปเยอะและไม่ค่อยสวย ขออภัยจะพยายามให้ดีขึ้น (รูปจากกล้องมือถือ)

สนุกจนพอก็กลับเต็นท์เก็บของรอรถมารับลง หลังลงดอยเราตั้งใจไปวัดท่าตอน เพราะมันไม่ไกลแล้ว คุณโอ๋ลงมาส่งหน้าวัดหาดสำราญจากนั้นก็รอรถเหลืองไปลงฝางค่ารถ 17 บาท จากนั้นก็รอรถเหลืองฝาง-ท่าตอน เหมาพาขึ้น-ลง เราให้พี่เขามาส่งเราที่ท่ารถตู้ฝาง แกคิด 300 บาท แพงเนอะ


เราอยู่ที่วัดแค่ 10 นาที เราอาจจะไม่เหมาะกับที่นี่ เดินแล้วไม่รู้สึกสงบ พี่คนขับยังกินข้าวไม่อิ่มเลยเราก็ขอลงแล้ว บอกพี่คนขับว่าไปส่งเราที่ท่ารถตู้กลับตัวเมืองเชียงใหม่






พอมาถึงวินรถตู้ รถตู้เต็มยาวว่างอีกทีบ่าย 3 ตอนนี้เที่ยง น้องก็แนะนำให้เรานั่งรถบัสสายท่าตอน-เชียงใหม่ เราก็รีบเดินไปท่ารถที่อยู่ห่าง 400 เมตร รถออก 12:15 มาถึงรถกำลังออกพอดี ค่ารถจากฝางมาเชียงใหม่ 80 บาท นั่งไปนั่งมากระเป๋ามาขอดึงเบาะให้นั่งได้แถวละ 3 คน รู้สึกอบอุ่นดีจังเลย กว่าจะถึงตัวเมืองเชียงใหม่เราก็เหลือแค่เสื้อกล้ามแล้ว ร้อนแล้ว พอถึงสถานีขนส่งช้างเผือกเราก็เริ่มเดินไปที่ประตูสวนดอก วันนี้ตั้งใจจะไปกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำทะเลรวมไข่หวาน ชามนี้ 80 บาท


พออิ่มแล้วจ่ายเงินเสร็จก็รีบออกจากร้านจนลืมสตรอว์เบอร์รี่ที่หิ้วมาจากอ่างขาง 2 กล่องไว้ที่ร้านนี้ด้วย T_T


เราเลือกเดินเลี่ยงถนนคนเดินเพื่อไปที่โรงแรมท่าแพอินน์ก่อน เราพักที่นี่อีกครั้ง มาแล้วสบายใจก็มาบ่อย 3 เดือนมานี่เต็มทุกวันนะ เราโทรไปจองที่นี่จำเราได้ แถมช่วงพีคซีซั่นแกก็เก็บเราราคาปกติ แถมห้องที่เราพักรอบนี้หมอนนิ่มทั้ง 2 ใบเลย ^^ ห้องพัดลมคืนละ 280 บาท ห้องแอร์ 380 บาท


เราออกมาเดินถนนคนเดินวันอาทิตย์ คนไม่เยอะเหมือนทุกครั้ง แต่เดินโคตรยาก เดินเรียงแผง เดินจูงมือเป็นขบวน หยุดดูของขวางคนอื่นเลย แล้วก็เรื่องเดินชนนี่ก็โดนจนตัวช้ำกลับที่พักทุกครั้ง ขากลับแวะมากินโรจีป้าเดก่อนนอน ป้าแกทักว่าหายไปนานเลยนะ



เช้าวันสุดท้ายที่เชียงใหม่ในทริปนี้ เราแวะมากินก๋วยจั๊บช้างม่อยตัดใหม่ ก็ยังอร่อยเหมือนเดิม


เดินต่อไปกาดหลวง และลงไปเดินริมน้ำปิง น้ำเยอะขึ้นกว่าตอนปีใหม่มากๆ


เดินต่อมาจนเจอร้านอร่อย 2 บาทหมูสะเต๊ะหน้าปริ้นซ์ จัดไป 20 ไม้


เดินไปถึงอาเขตรับตั๋วเรียบร้อยก็มานั่งจิบกาแฟวาวี สาขา Star avenue


รอบนี้เรากลับรถรอบ 13:30 เราเลือกกลับกลางวันเพราะตั๋วค่ำเต็มทุกบริษัท จบทริปสั้นๆ ง่ายๆ แบบสนุสุขใจ


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่

เพจ : ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

IG : prapat / ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว



ความคิดเห็น