ทริปนี้เกิดขึ้นก่อนเขาสร้างสะพานข้ามทุ่งนามาที่วัดถ้ำเสือ เห็นมีคนโพสต์รูปวัดถ้ำเสือที่กาญจนบุรีหลายคน เห็นแล้วก็อยากลองไปเห็นด้วยตาสักครั้ง รุ่งขึ้นก็ออกเดินทางเลย ได้ภาพมาดีกว่าที่ใจคิดไว้ รอบนี้ก็ยังคงถ่ายด้วยกล้องมือถือ (5s)


ตั้งใจจะตื่น 7 โมงแล้วออกไปให้เช้าหน่อย แต่ปรากฏว่าตื่นมา 9:30 แล้ว ตายๆๆๆๆๆๆ เด้งทันที ยังไงวันนี้ต้องไปให้ได้ อาบน้ำด้วยความรวดเร็วแต่ก็เอาเวลามานั่งจิบกาแฟซะครึ่งชั่วโมง ได้ออกจากบ้านจริงๆ 10:30 ต้องใช้ตัวช่วยนิดหน่อยแท็กซี่ไปสายใต้ใหม่เลย ใช้เวลา 30 นาทีก็ถึง เดินพุ่งตรงมาที่ป้ายกาญจนบุรีเลย รอบนี้ตั้งใจนั่งรถตู้เพื่อความรวดเร็ว search ดูหลายคนบอกว่าให้ขึ้นวินแฮปปี้ เราก็ตรงมาเจอลุงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างตั้งอกตั้งใจมาก เราบอกแกว่าจะไปท่าม่วง แกถามลงตลาดใช่ไหม เอาละสิไม่มีข้อมูลส่วนนี้ด้วย แต่ลงตลาดก็ดีสุดละน่าจะไปไหนง่ายสุด เราเลยตกลงว่าจะลงตลาดท่าม่วง ลุงแกบอกอีก 10 นาทีรถจะมา เราก็จ่ายเงิน 100 บาท และนั่งรอข้าง ๆ แกเลย ผ่านไปสักพักมีคนมาซื้อตั๋วอีกแกก็ยังคงบอกอีก 10 นาที สรุปแล้วรอรถ 30 นาทีจ้า (มาคนแรกรอนานสุด)

รถออกแล้วแต่วันนี้แปลกใจนิดหน่อยทำไมไม่ซิ่งนะ พอเลยจุดตรวจตรงศาลายาเท่านั้นแหละซิ่งเลย ถูกใจมาก ก็นั่งหลับๆ ตื่นๆ มาถึงท่าม่วง 13:30 พอเห็นเวลาตกใจเลยว่าจะแวะหาอะไรกินก่อน ไม่ต้องละ ลุยเลย เจอคุณลุงวินก็เลยบอกแกว่าจะไปวัดถ้ำเสือ แกก็ถามให้รอรับกลับด้วยไหม เราบอกเลยบอกว่าได้ครับ เป็นการตกลงกันด้วยคำพูดไม่มีการถามราคาก่อนใช้บริการ เราคิดว่าลุงแกคงไม่ฟันเราเยอะหรอก แค่นั้นก็สบายใจละ กระโดดซ้อนท้ายแกไปเลย แกใส่หมวกกันน็อก ส่วนเราไม่มีอะไรสักอย่างท่ามกลางแสงแดดในวันฟ้าใสไร้เมฆบดบัง


ขับมานิดเดียวก็เจอเสารูปช้างแล้ว ป้ายบอกซอยที่นี่พื้นเป็นสีม่วงด้วยทุกอย่างลงตัวตามชื่ออำเภอท่าม่วง (ลุงแกขับตามหลังรถบัส เลยได้รูปแบบนี้)

ไปต่อเจอหอนาฬิกา แต่ถ่ายไม่ทัน ลุงแกเลี้ยวเข้าทางเขื่อนแม่กลอง แล้วแกก็เริ่มต้นเป็นไกด์ไปในตัวด้วย เล่าเรื่องเขื่อนที่สร้างน้ำใส มีปลาเยอะ เย็นๆ จะมีคนมานั่งริมเขื่อนเต็มเลย เรามองตามแกบอกก็จริงนะ เย็นๆน่าจะสบายแน่ นั่งคุยไปไม่นานก็ถึงวัดละ 10 กิโลเมตรทำไมเร็วจัง หรือว่าเพลินกับบรรยากาศทุ่งนา 2 ข้างทางแน่ๆ พอลงรถแกได้ก็ถ่ายรูปเลย แถมย้อนแสงด้วย

เราใช้บริการกระเช้าขึ้นด้านบนคนไทย ขึ้น-ลง 10 บาท ต่างชาติคนละ 20 บาท

แป๊บเดียวจริงๆ ถึงละ เดินออกมาจากกระเช้าแล้วเดินตรงไปด้านหน้าจุดเด่นจุดแรกคือ พระชินประทานพร ขนาด สูง 9 วา 9 นิ้ว หน้าตัก 5 วา 3 ศอก 9 นิ้ว พระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง สูงใหญ่ สง่างามทีเดียว กราบพระก่อน ไหนๆ ก็มาแล้ว

จากนั้นก็เดินหามุมที่เห็นจากรูปที่คนอื่นๆ ถ่ายกัน

จากนั้นไปต่อที่พระอุโบสถอัฏมุข โดยรอบเป็นการปั้นนูนในรูปของเทวดาต่าง ๆ

ด้านนอกเป็นหอระฆัง

ถัดไปเป็นวิหารอีกแห่งด้านในมีพระพุทธรูปและภาพเขียนฝาผนัง

ถัดไปอีกนิดจะเป็นบ่อน้ำทิพย์ น้ำด้านในใสสะอาดมาก

จากนั้นก็เริ่มถ่ายทุ่งนาโดยรอบวัด บางจุดยังเขียวอยู่ บางจุดใกล้จะเกี่ยวแล้ว

พระเจดีย์เกศแก้วปราสาทเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม สีส้มอิฐ มีความสูง 75 เมตร มีทั้งหมด 9 ชั้น ตรงกลางมีบันไดเวียนสามารถเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด แต่ละชั้นมีหน้าต่างติดด้วยบานกระจกเลื่อนโดยรอบ และประดิษฐานพระพุทธรูปตามบริเวณช่องหน้าต่าง สามารถขึ้นไปชั้นบนสุดเพื่อนมัสการองค์พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชเสด็จมาบรรจุไว้ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2533 เห็นว่าด้านบนพระเจดีย์เกศแก้วปราสาทคนเริ่มลงกันมาหมดแล้ว ก็เลยตัดสินใจขึ้นไปด้านบน สักรูปก่อนทางขึ้น

ขึ้นมาถึงด้านบนก็เจอคนสวนลงแล้ว เขาก็พยายามถ่ายรูปมุมมหาชนกันอยู่ พอขึ้นมาถึงชั้นบนสุดก็เจอน้องนักเรียน 2 คนกราบพระบรมสารีริกธาตุอยู่ เราเลือกนั่งอีกมุมของน้องเขาจะได้ไม่รบกวนกัน กราบเสร็จน้องก็เดินลงเลย ตอนนี้เหลือเราคนเดียวแล้ว ถ่ายให้เต็มที่อยากได้มุมไหนเอาเลย



พระบรมสารีริกธาตุ

ด้านบนของพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

มุมมหาชนที่ใครมาก็ต้องถ่าย

วิวโดยรอบ

และอีกด้านจะเห็นเจดีย์หมื่นพุทธะและบริเวณวัดถ้ำเขาน้อย เจดีย์หมื่นพุทธะ มีลักษณะเป็นเก๋งจีนทรง 8 เหลี่ยม มี 7 ชั้น ด้านในมีบันไดวนขึ้นไปได้ถึงชั้นบนสุด แต่ละชั้นมีลักษณะเป็นห้องโถงมีประตูหน้าต่างเปิดโล่ง ฝาผนัง พื้น และตามระเบียงประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ โมเสค และผนังบางแห่งประดับด้วยกระเบื้องเคลือบรูปพระจากจีน รอบเจดีย์แต่ละชั้นมีระเบียงเชื่อมต่อกันเป็นวงรอบ สามารถเดินชมวิวจากระเบียงรอบอาคารได้ทุกชั้น ชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้รับจากสมเด็จพระสังฆราชจากวัดมังกร

ดูเวลาเราอยู่ที่วัด 1 ชั่วโมงนิดๆแล้ว ก็เริ่มเดินลงมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณพระชินประทานพร ก็เดินเก็บตกมุมต่างๆ อีกนิดหน่อย

ขาลงเราไม่ได้ใช้บริการรถรางนะเดินลงทางที่จะไปถ้ำ

ก่อนลงด้านล่างได้แวะกราบสังขารหลวงปู่ชื่น ที่บรรจุอยู่ในโลงแก้ว ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย พอลงมาถึงด้านล่างสุดก็เดินนมาถ่ายรูปบันไดทางขึ้น 157 ขั้นไว้เป็นที่ระลึก

พอเราเจอลุงวินแกถามว่าเคยไปวัดบ้านถ้ำไหม ไหนๆ ก็มาแล้วแวะไปหน่อยแล้วกัน เราดูเวลาแล้วน่าจะสบายก็เลยใจอ่อนตามแกไป ขับออกไปอีก 4-5 กิโลเมตร ตลอดทางจะเจอหลายวัดมาก ไว้รอบหน้าค่อยมาซ้ำ



พอมาถึงวัดบ้านถ้ำเห็นแว้บแรก ชอบบันไดอะ ทางขึ้นถ้ำเป็นบันไดลึกเข้าไปในปากมังกรตัวใหญ่

วัดนี้ไม่มีกระเช้านะ เดินเองแต่สนุก ค่อยๆ ไป พอออกจากท้องมังกรก็จะเจอพระพุทธรูป และศาลหลวงพ่อเห็นตาทิพย์

เดินขึ้นบันไดต่อไปจะเข้ามาด้านในถ้ำ ด้านในประดิษฐานหลวงพ่อใหญ่ชินราช

พระสีวลีภายในถ้ำ

รอยพระบาทจำลอง

หินงอกลักษณะคล้ายผู้หญิง เชื่อว่าคือ นางบัวคลี่ ภรรยาของขุนแผน ตำนานอิงประวัติศาสตร์เรื่องขุนช้างขุนแผน ที่เล่าขานกันต่อมาช้านาน

หินงอกหินย้อยลักษณะคล้ายช้าง

ออกจากถ้ำมาขึ้นบันไดเหล็กต่อด้วยบันไดวน และขั้นบันไดที่เกิดจากการแต่งหินขึ้นไปอีก 1 เหนื่อยจะพบศาลาที่ประดิษฐานพระสีวลี

วิวจากศาลาพระสีวลี

หายเหนื่อยแล้วเดินขึ้นไปอีก 1 เหนื่อยจะพบทางเข้าถ้ำม่านวิจิตร ด้านในจะมีหินงอกหินย้อย พร้อมทั้งติดไฟไว้ให้แล้ว

ปีนกลับขึ้นมาด้านบนแล้วก็เดินขึ้นบันไดต่อไปจนสุดจะพบกับเจดีย์

วิวรอบด้านยิ่งสูงยิ่งสวย

ถึงเวลาลงแล้ว ขาลงถ่ายรูปในท้องมังกรมาด้วย

ลงมาถึงด้านล่างสุดบอกเลยว่าเสื้อที่ใส่ไปเปียกเป็นน้ำเลย บอกลุงแกว่าไม่ไปต่อแล้วไปส่งผมที่วินรถตู้เลย

ขากลับได้มีโอกาสถ่ายรูปหอนาฬิกาที่บอกไว้มาด้วย แต่ไม่ชัดเพราะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อยู่

ลุงมาส่งเสร็จถามค่าเสียหายลุงแกขอ 400 บาท 4 ชั่วโมงกว่า ก็ถือว่าไม่แพงนัก ต้องขอบคุณที่ลุงที่พาเราเที่ยวด้วย จบทริปสั้นๆ อย่างสนุกสนาน และโดนแดดเผาจนไหม้


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่

เพจ : ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

IG : prapat / ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว








ความคิดเห็น