ใครว่ามนุษย์เงินเดือน มีเวลาหยุดอันน้อยนิดแค่ 2 วันจะนั่งรถไฟไปเที่ยวเชียงใหม่ไม่ได้ล่ะ เสียเวลานั่งรถไฟนานเหรอ ไม่เลย เวลานั่งรถไฟนานๆ อะไรๆที่อยู่ข้างทาง มันน่าสนใจกว่าปลายทางเสมอ โดยเฉพาะวิวหน้าฝนที่เขียวไปหมดกับเส้นทางรถไฟสายเหนือ

ใครเลิกงานตอนเย็นแล้วอยากนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ก็ชบวนนี้แหละ เลิกงานแล้วยังมีเวลาไปเก็บของที่บ้านแล้วกลับมายังทัน หรือจะหิ้วกระเป๋าจากที่ทำงาน มานั่งๆนอนๆรอที่สถานีกรุงเทพก็ได้ ขบวนนี้มีรถนั่งชั้น 2 และรถนอนด้วยนะจ๊ะ ไม่ได้มีแค่ชั้นสาม สอบถามรายละเอียดที่ 1690 ได้เลยค่ะ


เวลามันเหลือ เลยเดินเล่น ถ่ายรูปเล่นก่อน



รถมาจอดแล้วแต่ยังไม่ออก ก็ไปหาจับจองที่นั่งก่อนได้


คนโล่งมากเพราะเราเลือกมาวันธรรมดา เก้าอี้สี่ตัวนั่งหันหน้าเข้าหากัน เลยจองล็อคใครล็อคมัน เหยียดขาเต็มที่เพราะไม่ค่อยมีคน


ชั้นสามปรับใหม่ ค่อนข้างสะอาดเลยทีเดียว ช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยนะคะ


ถุงขยะอยู่ตรงนี้นะ


ได้เวลารถออกแล้วล่ะ กลางคืนไม่เห็นวิว กลับอย่างเดียว


แต่หากใครอยากสบายหน่อย ไม่ไปรถนั่ง ก็ไปรถนอนจะได้พักผ่อนสบายหน่อย กลับเข้ากรุงเทพแวะอาบน้ำที่สถานีรถไฟตอนเช้า แล้วหิ้วกระเป๋าเข้าออฟฟิศต่อได้เลย

เรานั่งรถนั่งบ่อย เพราะเรากลัวเรื่องความปลอดภัยของตัวเองเวลาที่หลับสนิทด้วยแหละ ถึงเลือกไปรถนั่งบ่อยว่ารถนอน

เช้ามาก็เจออะไรแบบนี้เลย ยังวิ่งอยู่กลางทุ่งนา



เราเลือกนั่งขบวน 51 ขบวนรถไฟในตำนาน ที่ใครๆก็รู้ดีว่ารถไฟสายเหนือขบวนนี้ มีวิวสวยๆให้ดูเยอะที่สุด ไปสายเหนือแล้วอยากได้วิวข้างทางสวยๆต้องนั่งขบวนนี้ ตื่นเช้ามาจะกดชัตเตอร์รัวๆตั้งแต่ จ.แพร่จนถึง จ.เชียงใหม่แบบไม่รู้ตัวเลยล่ะ ด้วยราคาตั๋วรถไฟหลักร้อย แต่เจอวิวข้างทางหลักล้านที่มีให้เห็นตลอดเวลา

เจอหมอกบางๆ เบาๆ ท่ามกลางทุ่งนาเขียวนี่มันฟินดีจริงๆ





นั่งรถไฟ ไปล่าหมอก


ยื่นกล้องออกมาก็ระวังต้นไม้ กิิ่งไม้และเสาด้วยนะจ๊ะ



อยากมีบ้านที่อยู่ในหุบเขาแบบนี้ แล้วมีรถไฟวิ่งผ่านกันไหม



ก็เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งเลย



ลองถ่ายอีกมุมดูบ้าง


ดีไหมล่ะแก วิวหลักล้านเลย แค่นั่งรถไฟก็ได้เที่ยวหลายที่แล้ว ผ่านกันหลายจังหวัด


ฉึกฉัก ปู๊นๆ นั่งรถไฟเช้าๆเงียบๆ จะได้ยินชัดมาก วิ่งเลาะตามภูเขาด้วยแล้วล่ะก็.....


ที่ไหนๆเขาก็ทำนากัน


ช็อตนี้เล็งแต่ไกลมาก ขณะรถไฟวิ่ง น้องกินหญ้า



นี่ก็ใกล้ลำปางไปทุกที


อย่างละ 20 บาท ที่สถานีรถไฟลำปาง


สายแล้ว แดดเริ่มมาละ


คนก็เริ่มลงตามสถานีต่างๆละ นี่ไม่มีใครไปเชียงใหม่เลยเหรอ




ถึงที่นี่ก็พอรู้แล้วสินะว่าสถานีไหน ขุนตาน กับแก๊งน้องหมาจอมป่วน


เดินป้วนเปี้ยนตามรางรถไฟ ไม่แคร์เวิลด์ โนสนว่ารถไฟจะชนเลย


สะพานขาวทาชมภู ได้มุมไม่ดีเลย วันหลังมาแก้มือใหม่ ไม่ทัน แดดเริ่มเปรี้ยง ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที


ชอบรูปนี้ ดูชาวบ้านดีจัง ลุงมารับหรือยื่นของอะไรสักอย่างให้คนบนรถไฟ


เขามีคนทำความสะอาดนะจ๊ะ ไม่ใช่ไม่มี





ถึงซะที เมื่อยๆมาก็หายเหนื่อยละ


หาเช่ามอเตอร์ไซค์แล้วไปหาที่พักกันเถอ ที่พักเพิ่งโทรถามเมื่อช่วงเช้าเลยว่าวอคอินได้ไหม เขาบอกได้ เออก็มาสิ ไม่นอนในเมืองมันแล้ว ไปนอนแม่กลางหลวงเลย หน้าฝนเขียวๆแบบนี้ก็อยากเจอต้นหญ้า ต้นข้าวสิ


หาถ่ายกับป้ายก่อน เดี๋ยวเขาหาว่ามาไม่จริง บ้าไม่จริง ชุดกับอุปกรณ์ไม่พร้อมเลย ไม่คิดว่าจะต้องขับมาไกลขนาดนี้



เราเช่ารถมอเตอร์ไซค์จากหน้าสถานีรถไฟเชียงใหม่ งมทางจากในเมืองเชียงใหม่มาเรื่อยๆ หลงหนักมาก แต่ยังไงก็ต้องออกทางหลวงหมายเลข 108 ให้ได้ (ตามที่ดู google map มาคร่าวๆ) แล้ววิ่งยาวมาถึงทางแยก ทางหลวง 1009 อ.จอมทอง มุ่งสู่งแม่กลางหลวง ระยะทาง 90 กว่ากิโลเมตร และจากแม่กลางหลวงห่างจากดอยอินทนนท์ประมาณ 20 กม. รวมๆแล้วเราก็ขับเที่ยวไปกลับอยู่แบบนี้ 200 กว่ากิโลเมตรเลยทีเดียว ชุดไม่พร้อมแขนเกรียมมาก เพราะลืมเอาถุงมือกับปลอกแขนมา ก็มันไม่ตั้งใจว่าจะมาไกลขนาดนี้ ที่พักก็โทรถามตอนอยู่บนรถไฟ บอกว่าว่างก็วอคอินเข้ามาเลย



เบรกๆๆ เสียค่าเข้าพร้อมค่ารถก่อนจ้า



ความจริงมันควรถึงเร็ว แต่ขับช้าไง กลัวไปหมด จอดถ่ายรูประหว่างทางตลอด เปิด google map ตาม เลยช้าไปหมด ไม่มีแผนที่กระดาษเลย งมทางมาอย่างเดียว


เห็นป้ายก็ถึงแล้ว บ่ายแก่ๆเลย ถึงแม่กลางหลวง


บ่ายแก่ๆจนเกือบเย็น ก็ยังมีแดดจ้า แต่ไม่ถึงกับร้อนมาก มีลมเอื่อยๆ


ที่พักเข้ามาค่อนข้างลึกเหมือนกัน ตอนแรกตกใจ ได้บ้านทั้งหลังเลยเหรอ 500 บาทเนี่ย


เราพักที่นี่ โฮมสเตย์บ้านแม่กลางหลวง ติดต่อพี่สมศักดิ์ โทร 081 960 8856 , 08 1760 5181 ราคาหลังละ 500-1200 บาท วันที่เรามาวันธรรมดา ที่พักได้หลังละ 500 บาท น้องที่ดูแลบอกว่าเดือนตุลาก็เพิ่มเป็นเท่าตัวหลังละ 1000 บาท






หน้าห้องอาจจะไม่ได้วิวทุ่งนา แต่ป่าครึ้้มเลย อยู่ซะสูง ที่พักที่อื่นมี อยากได้วิวทุ่งนาขั้นบันไดก็อาจเพิ่มราคาขึ้นมาหน่อย



กาแฟสดที่มีกรรมวิธีการทำแบบชาวปะกาเกอะญอ

ทางลงหลังจากออกจากที่พัก เดินลงมาได้ มอเตอร์ไซค์จอดไว้ที่บ้านพักเรา



หลังจากอาบน้ำเสร็จก็มาเดินเล่นชมวิวถ่ายรูป



วิถีชาวบ้าน ขับรถไปไร่ ไปนา


เนี่ย พอเดินออกมา แก๊งครอบครัวนี้ก็ปรี่มาหาเราเลย มาดมๆๆ น้องก็ขาสั้น วิ่งจุ้มปรุ๊กมาหาเรา ตะมุตะมิ




อยากพักสายตาก็ให้หาเวลามาดูอะไรเขียวๆ






พลาดไม่ได้ ทาสแมวอย่างเรา น้องหน้าเหวี่ยง ไม่ให้จับด้วย




ดูสะดวกสบาย เพราะมีร้านค้าและศูนย์บริการนักท่องเที่ยว


เหมือนจะใกล้เหลืองแล้วแหละมุมนี้


ที่พักเราก็มองเห็นลิบๆในสวนกาแฟนู่น


นี่มีน้องหมานำทางตลอด จะเดินไปทางไหนนางก็นำทาง



มีที่พักริมลำธารด้วย แต่เสียงดังใช้ได้เลย ถ้าคนชอบนอนเงียบๆ อาจจะนอนไม่หลับนะ


ใกล้เย็นลงทุกที แสงก็เริ่มน้อยลงทุกที






เราตกใจ นึกว่าอยู่ในป่าในเขา นักท่องเที่ยวเยอะจะแพง แต่ไม่แพงเลย ก๋วยเตี๋ยว 30 บาท ส้มตำ 30 บาท


กินข้าว เล่นโทรศัพท์เพลินจนลืมไปว่ามืดแล้ว ไฟส่องทางไม่มีเลย มีแต่ที่พักใครที่พักมัน ตายๆๆ ต้องเดินไปที่พักอีกไกลเลย แต่อยู่ดีๆก็มีน้องหมาที่เดินตามและเดินนำหน้าเรา เป็นเืพ่อนเราทั้งวัน และมาเป็นเพื่อนเราทั้งคืนด้วย น้องมาเดินนำทางให้เรา น่ารักมาก จนถึงปากทางเข้าที่พักเลย มืดมาก ต้องใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ส่อง กลัวก็กลัว เดินอยู่คนเดียวเลย




เดินๆอยู่ก็นึกขึ้นได้ว่า ที่นี่มี wifi ไหมวะ ลองตะโกนถามป้าดู ป้าก็วิ่งมาคุย เป็นชาวเขา เราพยายามถามป้าแกก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง wifi แต่ก็พาเดินไปที่ร้านกาแฟพี่สมศักดิ์ หา wifi ที่ร้านมี แต่ตรงที่พักไม่น่ามี เปิดเจอ แต่ไม่รู้รหัส



เนี่ย ที่พักเรา มืดตึ๊บ ไม่ได้เปิดไฟทิ้งไว้ตอนออกไปด้วย



ปลุกนาฬิกาตอนเช้า แต่ก็สายอยู่ดี เตรียมตัวขับไปดอยอินทนนท์ ตาลีตาเหลือก


อากาศโคตรดี ดีโคตรๆเลย




ต้นไม้ใบหญ้าเขียว สดชื่นไปหมด นี่แหละ ระหว่างทางที่เราต้องการ


ลืมเอาแว่นกันลม กันแมลงมา ตาโดนลมเยิ้มเลยจ้า เสื้อยังแขนสี่ส่วน ลมมาเต็มๆ เย็นจับใจ 10 กว่าองศา


หมอกจางๆและควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้......




ถึงจุดพักรถชมวิว แต่กิ่วแม่ปานปิดนะ ยังเข้าไม่ได้ รอหลังตุลาคมนู่นเลย ถึงจะเปิด


ขับมาอีกนิดก็ถึงอ่างกา


เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ดอยอินทนนท์ เข้ามาคนเดียวเลย แอบหลอนนิดๆ





ต้นไม้น้อยๆนี่เปราะบางมากนะ ต้องช่วยกันรักษา




เราชอบที่นี่มากอะ ยิ่งมาหน้าฝนเราว่าชุ่มฉ่ำไปหมด เงียบก็เงียบ ก็เดินเข้ามาคนเดียวเลย





เหมือนหลุดมาอีกโลกเลยเนาะ











แทบแยกไม่ออกว่าฝนตกหรือน้ำค้าง เพราะเป็นป่าชื้นไปหมด


ได้ยินแต่เสียงน้ำไหล ไม่มีใครเลย


แอบหลอนชื่อนิดนึงนะ



ป้ายหน้าค่าทหารบอก 13 องศา ป้ายตรงนี้บอก 10 องศา นกงงไปหมดแล้วค่ะพี่ตา


ออกมาจากอ่างกา ก็เดินมาฝั่งตรงข้ามเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและทางเดินเข้าป่า เข้าดอย บนอินทนนท์




คล้ายๆอ่างกา แต่อ่างกาชื้นและน่ากลัวกว่า





มีคนเช่ารถจากจอมทองมาเที่ยว ก็น่าจะมีค่าใช้จ่ายประมาณหนึ่งนะ แต่ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ถ้ามาคนเดียวแล้วเช่า เราว่าน่าจะงบบานอยู่


ได้เวลาเดินทางกลับ อยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากรีบกลับ เดี๋ยวต้องเอามอเตอร์ไซค์ไปส่งในเมืองอีก






หน้าก็ฟินหน่อย หนาวแต่ฟิน นี่แค่หน้าฝนเอง



เริ่มขับลงจากดอยแล้วหูเริ่มไม่อื้นและแดดเริ่มเปรียงละ





ก่อนกลับไปเก็บของที่พักก็แวะไปดูการทำกาแฟแบบโบราณของชาวปะกาเกอะญอ


เป็นเครื่องทำกาแฟแบบโบราณจริงๆ เราก็ซื้อมาถุงนึงถุงละ 100 บาท


บดกันจนกล้างขึ้นเลยทีเดียว





กินกาแฟเสร็จ เช็คเอาท์ แวะถ่ายรูปยามสายสักนิด





นักท่องเที่ยวหรือโจรวะ ปืดหน้าปิดตาหมด กลัวเจอคนรู้จัก




เห็นหลักกิโลแล้วก็หลับหูหลับตาขับไป คิดซะว่ามองไม่เห็น ฮ่าๆๆ




ขับงมทางไปเรื่อยๆ ขับไป บ่นไป บ่นกับเส้นทางในเมือง เบื่อการขับรถในเมืองเชียงใหม่มาก หลงตลอด



ซื้อตั๋วกลับกรุงเทพ เลขจะได้ดูคล้องกับขามาขบวน 51 ขากลับขบวน 52



คนน้อยก็ ครองเก้าอี้คนละ 4 ตัว เราก็เช่นกัน


ไปเรื่อยๆ ใกล้ลอดอุโมงค์ขุนตานแล้ว


เจอน้องหมา น้องไก่เยอะๆนี่ใช่ละ ขุนตาน


กระดึ๊บ กระดึ๊บ ระวังรถไปนะลูก หนูๆๆๆๆ ลุ้นมาก น้องเข้าไปใต้ท้องรถไฟ


รถไฟกำลังจะเข้าอุโมงค์ขุนตาน



รถไฟออกมาเรื่อยๆก็เก็บภาพบรรยากาศยามเย็น ก่อนมืดแล้วมองไม่เห็นอะไร


2 วัน 1 คืน ใครว่าจะทำไม่ได้ล่ะ ใครอยากพักผ่อน กลัวเช้ามาไปทำงานเหนื่อยก็หารถนอนมาได้นะ กลับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ทันก็ไปอาบน้ำที่สถานีรถไฟแล้วหิ้วกระเป๋าเข้าออฟฟิศได้



ของแถมจากการไร้แพลนและไม่คิดว่าจะได้ขับรถไกล ไม่เอาถุงมือกับปลอกแขนมา แสบผิวมากเวอร์ เอาน่า ประสบการณ์ชีวิตที่โคตรมันเลยยยยยยย ฮ่าๆๆๆๆ วันหลังไปใหม่


ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ

รถไฟขาไป ขบวนรถด่วน 51 ชั้น 3 กรุงเทพ-เชียงใหม่

ราคา 271 บาท

เวลาออก 22.00 น. เวลาถึง 12.10 น.

รถไฟขากลับ ขบวนรถด่วน 52 ชั้น 3 เชียงใหม่-กรุงเทพ

ราคา 271 บาท

เวลาออก 15.30 น. เวลาถึง 05.25 น.

ค่าของกินบนรถไฟ ระหว่างทาง อร่อยทุกอย่าง

ซาลาเปา 30 บาท (ลืมละว่าซื้อสถานีไหน)

ค่าบะหมี่ที่สถานีบ้านปิน 20 บาท

ค่ากินที่สถานีรถไฟลำปางแอบจอดนานหน่อยเลยสอย

ขนมจีบ 20 บาท และข้าวเหนียวหมูปิ้ง 20 บาท

ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ หน้าสถานีรถไฟเชียงใหม่ 200 บาท มัดจำ 1000 บาท และวางบัตรประชาชน (ค่ามัดจำได้คืนตอนเอารถมาคืน) ค่าน้ำมันรถ 120 บาท กลับมาน้ำมันรถยังเหลืออีกเยอะเลย

ค่าที่พักแม่กลางหลวง 500 บาท

เราพักที่โฮมสเตย์บ้านแม่กลางหลวง ติดต่อพี่สมศักดิ์ โทร 081-9608856 , 081-7605181 ราคาหลังละ 500-1200 บาท วันที่เรามาวันธรรมดา ที่พักได้หลังละ 500 บาท น้องที่ดูแลบอกว่า ช่วงเดือนตุลาคมก็น่าเพิ่มเป็นเท่าตัวหลังละ 1000 บาทขึ้นไป น่าจะเป็นช่วงปิดเทอม คนมาเที่ยวเยอะ ด้วย ใกล้หนาวแล้วด้วย

ด้านหน้าที่พักมีวิธีทำกาแฟแบบชาวปะกาเกอะญอให้ดูและชิมฟรีด้วยนะคะ ส่วนใครชอบก็หาซื้อไปได้ เราก็ซื้อไป 1 ถุง ถุงละ 100 บาท เพราะปกติดื่มกาแฟดำอยู่แล้ว

กินข้าวเย็นที่แม่กลางหลวง ร้านที่ชาวบ้านปะกาเกอะญอขาย ก๋วยเตี๋ยว 30 บาท ส้มตำ 30 บาท

อาหารเช้าหลังจากกลับลงมาจากดอยอินทนนท์ หมูทอด 50 บาท กระเพราไข่ดาว 30 บาท

อ่อ...ลืมไป ค่าเข้าอุทยาน 50 บาท เอามอเตอร์ไซค์เข้า 20 บาท นะจ๊ะ

ยังมีอีกหลายรีวิวที่ลงรูปในเพจแล้วแต่ยังไม่ได้เขียน หากใครสนใจทริปไหน เข้าไปพูดคุยกันได้ หรือใครชอบท่องเที่ยวสไตล์นี้ก็เข้าไปคุยกันได้ที่เพจ "จะเที่ยวคนเดียว" นะคะ

Boe_Stories

 วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 02.40 น.

ความคิดเห็น