จริงแล้วเราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเรื่องที่สมควรจะเขียนดีหรือไม่

แต่เราอยากแชร์ให้กับทุกคนได้อ่าน เพราะคงมีหลายคนที่อยากจะไปร่วมงานพระราชพิธีที่ท้องสนามหลวง แต่อาจจะติดทั้งเรื่องของการเดินทาง คนที่เดินทางมาร่วมงานกันอย่างมากมาย หรืออื่นๆ ขอบอกเล่าตามสิ่งที่เราได้เห็นนะคะ และขอเก็บเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เราจะได้จดจำไว้ตลอดไปค่ะ


เราอาจจะใช่คำบางคำได้ไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะสม ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ

รูปที่นำมาลงเป็นรูปที่เราถ่ายเองทั้งหมดค่ะ ขออภัยบุคคลในภาพด้วยนะคะ


วันที่ 26 ตุลาคม เราว่าเป็นวันที่ใครๆก็ฟังแล้วต้องรู้สึกเศร้าอย่างที่สุด

เราตื่นมาด้วยความรู้สึกหดหู่ ยิ่งเปิดเฟสบุ๊คดูแล้ว ทุกคนแชร์เรื่องของพระองค์ท่าน

เรารู้สึกว่าวันนี้ สิ่งที่เราอยากทำคือ อยากไปส่งพระองค์ท่าน ไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

มีเรื่องแปลกมากอีกเรื่องนึง ปกติฝนจะตกทุกวันเลย วันนี้ ตกประมาณแค่ 15 นาที เหมือนตกลงมาเพื่อช่วยให้คลายร้อน ซึ่งทุกคนคงเห็นด้วยกับเราว่าเป็นเพราะพระบารมีของพระองค์ท่าน ซึ่งเราก็โชคดีมาก ระหว่างที่ฝนตกนั้นเราอยู่บนรถเมล์ค่ะ

ตลอดการเดินทางของเราได้เห็นจิตอาสามากมาย ทั้งรถฟรี ทั้งอาหารเครื่องดื่ม ที่พร้อมใจกันมาให้บริการประชาชนที่เดินทางมาร่วมงาน ตลอดทางจริงๆคะ

รถ shuttle bus จอดส่งเราที่นางเลิ้งคะ จากนั้นต้องเดินไปต่อ


จิตอาสา เอานำ ขนม อาหารมาแจกตลอดทางคะ จะเหนื่อยจะหิว ไม่ต้องกลัวเลยคะ

แล้วก็เดินมาถึงจุดตรวจคะ

และเดินมาถึงตรงผ่านฟ้าคะ คนเยอะจริงๆคะ

ด้านหน้าป้อมคะ

มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติด้วยค่ะ

ถนนเส้นจากอนุสาวรีประชาธิปไตย จนถึงสนามหลวง จะมีจอให้รับชมพระราชพิธีเป็นจุดๆนะคะ เห็นแล้วก็อดน้ำตาไหลไม่ได้

ตรงจุดนี้คนเยอะมากคะ ทุกคนล้วนมาด้วยใจคะ

พี่ๆตำรวจทหาร ทำหน้าที่อย่างสมเกียรติคะ ทั้งร้อน ทั้งฝน

และเมื่อถึงตอนหัวค่ำ ที่สะพานพระปิ่นเกล้าคะ ตรงนี้คนเยอะ คนเยอะจริงๆ ( รูปมีเงาสะท้อนต้องขออภัยนะคะ มืดแล้วแสงน้อยด้วยคะ )

จากสะพานพระปิ่น ฝั่งขวาคือคนกำลังต่อแถวเพื่อถวายดอกไม้จันทน์ที่พระเมรุมาศจำลองคะ

เราเดินออกจากตรงนี้เดินไปเรื่อยๆทะลุออกตรงวัดชนะสงครามคะ ก็มีแถวต่อเช่นกัน

บางคนต่อแถวมา 5 ชมแล้วคะ

แล้ววันนึงเมื่อหนูโตขึ้นหนูจะรู้ว่าหนูมาทำอะไรวันนี้

เดินพ้นแยกบางลำพูไปที่หน้าวัดบวร ก็มีคนมาถวายดอกไม้จันทน์ไม่ขาดสาย แถวยาวออกมานอกถนน คุณตำรวจก็มาคอยดูแลนะคะ

สุดท้าย เราก็เดินวนกลับเข้ามาใหม่อีกรอบคะ ตอนนั้นเกือบสามทุ่ม เราสองจิตสองใจว่าจะกลับ หรือว่าอยู่ต่อดี

เรามานั่งพักตรงที่มีถ่ายทอดสดคะ แล้วด้านข้าง มีจุดถวายดอกไม้จันทน์ ไม่มีคนต่อแถวคะ เดินเข้าไปได้เลย จะมีพี่เจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่คะ ผู้หญิงที่ใส่กางเกง หรือกระโปรงสั้น จะมีผ้าถุงให้ยืมใส่คะ

น้องๆจิตอาสา ถือพานดอกไม้จันทน์

พี่ๆเจ้าหน้าที่จะคอยให้สัญญาณทำความเคารพคะ

หลังจากที่เราถวายดอกไม้จันทน์ เสร็จแล้ว เราเดินไปตามเส้นทางเดิมของเราคะ

ระหว่างทาง เป็นภาพที่น่ารักมากๆ เราเห็นชาวต่างชาติ เค้าซื้อเบอร์เกอร์มาถุงใหญ่ๆเลย มาเดินแจกพี่ตำรวจ ขอบคุณแทนพี่ๆด้วยนะคะ

กลับมาอีกกรอบคนเยอะขึ้นอีกคะ ตอนนี้ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว

เรามาถึงตรงนี้เราคิดว่า เรามาใกล้พ่อที่สุดแล้ว

ใกล้ 4 ทุ่ม แทบจะไม่มีทางเดินแล้วคะ ตามหมายกำหนดการจะเป็นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

เราเลยตัดสินใจ เดินลอดใต้สะพานพระปิ่นไปที่จุดคัดกรอง เพื่อเข้าไปท้องสนามหลวง

ตรงจุดคัดกรองคุณต้องเตรียมบัตรประชาชน ให้เจ้าหน้าที่แล้วจะมีสติ๊กเกอร์ที่มีหมายเลขด้วยคะ เจ้าหน้าที่ก็จะคีย์เลยที่คุณได้ตามสติ๊กเกอร์ ตรวจกระเป๋า แล้วก็เข้าไปด้านในได้

พอเข้าไปแล้วก็ต้องไปรอคะ ประตูยังไม่เปิดให้เข้า ส่วนคนข้างในมีทยอยออกมาบางส่วนคะ

เรารอตรงนั้นจนถึงห้าทุ่มกว่าๆจนกระทั้ง

ขณะที่เราได้ยินเสียงเวทีมหรสพด้านใน ทั้งบทเพลงพระราชนิพนธ์ ทั้งเสียงดนตรีไทยจากเวทีการแสดงโขน แต่สิ่งที่เราเห็นตรงหน้าคือ ควันสีขาวที่ออกมาจากพระเมรุมาศ ไม่ว่าเสียงอึกทึกจะดังแค่ไหน ตอนนั้น ทุกคนลุกขึ้นยืน สงบนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไรซักคน บรรยากาศตอนนั้นมันหดหู่มากจริงๆคะ หลายคนเริ่มกลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่ รวมถึงเราด้วย

เรายืนสวบนิ่งกันอยู่พักใหญ่ คล้ายๆว่ากำลังประมวลผลว่า นี่คือเรื่องไม่จริงใช่มั้ย คนข้างๆเรา หมอบลงไปกราบ ทั้งๆที่ตรงที่เรายืนอยู่มันมีน้ำขังเต็มไปหมด บางคนยังร้องไม่หยุด เราได้ยินแต่เสียงสะอื้นของเราเอง หันไปมองหน้าใครก็เห็นแต่น้ำตาที่พร้อมจะเอ่อล้นออกมา

หลายคนแยกย้ายกลับบ้าน บางคนเข้ามารอนานมากเพื่อจะได้เข้าไปชมพระเมรุมาศ ส่วนเราเริ่มหาอะไรรองท้องแล้วออกมานั่งรอต่อไป บริเวณตรงนั้น จะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองท่าน คล้ายๆจะเหมือนนิทรรศการ และนี่คือ พระบรมฉายาลักษณ์ที่เราชอบที่สุด

เรามองนานไม่ได้จริงๆ หลายๆคนคงคิดเหมือนเราว่าเรายังเป็นกันขนาดนี้แล้ว แม่ต้องเข้มแข็งขนาดไหน

หลังจากที่เราทานข้าวเสร็จ ออกมาตรงหน้าประตูเห็นว่า คนหายไปเกือบครึ่ง ตอนนั้นน่าจะประมาณเที่ยงคืนกว่าแล้ว เรานั่งรอตอไป จนกระทั้งเค้าเปิดให้ประชาชนเข้าไปด้านในได้

เข้าไปด้านใน มีเวทีมหรสพทั้งหมด 3 เวทีด้วยกัน

เวทีแสดงละคร ( มีหลายเรื่องค่ะแต่เราแวะไปแป๊บเดียว แต่ละเวทีจะอยู่ใกล้ๆกันค่ะ )

วงดนตรีไทย ( ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรนะคะ )

เวทีการขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์

มีทั้งศิลปินดารา และวงจากหน่วยงานต่างๆด้วยค่ะ

เวทีสุดท้าย เป็นเวทีที่เรานั่งอยู่ยาวเลยคะ

นั่นคือการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์คะ รูปจะเยอะนิดนึงนะคะ

ให้นางสีดาเดินลุยไฟพิสูจน์ ความบริสุทธิ์

เราได้นอนประมาณช่วงตี 2 ครึ่งคะ ถึงตีสามครึ่ง โดยประมาณ หลับไปตรงหน้าเวทีเลยคะ เพราะร่างกายไม่ไหวแล้ว คนอื่นมีผ้ามีพยาสติกปูรองนั่ง เราไม่มีอะไรเลย นอนกับพื้นเลยคะ หนาวด้วย น้ำค้างลงด้วย ตื่นมาเราก็ถ่ายรูปต่อ และนั่งดูจนจบการแสดง เราดูจนเวทีโขนจบ ประมาณ 5.15 ถึงออกมาคะ เวทีสุดท้ายที่ปิดคือเวทีเพลงพระราชนิพนธ์

ต้องขอบคุณทั้งนักแสดง เบื้องหน้าเบื้องหลัง เจ้าหน้าที่ ทีมงาน พี่ๆทหารตำรวจ ทุกๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงจิตอาสาทุกคน ทุกคนทำเต็มที่มากๆคะ ขอบคุณจริงๆคะ

เราตั้งใจที่จะทำความดีเพื่อพระองค์ท่าน สานต่องานที่ท่านทำ ยืดถือพระองค์เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตต่อไป

ภาพสุดท้ายคะ ไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่าคำว่า สมพระเกียรติพระองค์ท่านอย่างไร้ที่ติจริงๆคะ

สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าภูมิใจที่เกิดอยู่ภายใต้พระบรมโพธิ์สมภาร น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

ขอน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐










ความคิดเห็น