ห่างหายไปหลายเดือนกับการเดินป่า มัวแต่บ้าเห่อมอเตอร์ไซด์ ประเดิมการเดินป่าหน้าฝนมันซะเลย ภูสอยดาวได้ยินชื่อมานาน แต่ก็จังหวะไม่ตรงเสียที ในที่สุดปีนี้ก็พอดีเป๊ะอยากจะไปดูหงอนนาคที่ว่าสวยนั้นแหละ ว่าแล้วก็รวบรวมทีมงานสายลุยสายเดินเทพเจ้าเท้าไฟทั้งหลาย นับไปนับมาได้ 5 คนพอดี 555 มากน้อยไม่สำคัญพร้อมจะลุยไปด้วยกันก็พอ พร้อมแล้วก็ไปกันเลย
เปิดด้วยรูปช้างเสียหน่อยความประทับใจดาวที่นี้ ก่อนหน้าจะมาไม่ได้หวังดาวเพราะตั้งใจมาดูดอกหงอนนาคและทริปก่อนๆเจอแต่ฝนฟ้าปิด และตั้งแต่เข้าพิษณุโลกฝนตกตลอดทางยันถึงอุทยานยันตลอดเวลาจนถึงลานกางเต็น แต่มีหลายๆอย่างที่นี้ที่ประทับใจกว่าที่คิดยังมีอีกหลายมุมที่ในรีวิวไม่ค่อยพบเจอ ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองครับ
โปรแกรมทริปนี้ เดินทางวันที่ 16-17/8/2560
ออกเย็นวันศุกร์เหมือนเดิม ถึงที่ทำการอุทยานตี3 เช้าเดินลุยฝนขึ้นภูสอยดาว
วันอาทิตย์ก็เก็บรอบๆภูแล้วเดินลงขากลับแวะพระพุทธชินราชและกลับกทม.
รูปทั้งหมดถ่ายจาก Nikon D7200 18-140 fix50 1.8 และ Gopro 4silver
ดูคลิปก่อนได้จ้า แบตโกโปรมีปัญหาหรือลืมชาทร์ก็ไม่แน่ใจ ถึงข้างบนภูแบตหมดคลิปน้อยเลยมีแต่ตอนเดินขึ้นครับ และฝาก เหลี่ยมพาเที่ยว ด้วยจ้า
พาหานะของเราวันนี้ ไม่ใช่วีออสหรือCRF แต่เป็นพี่บิ็ก VIGO 4*4 3.0 นี้เอง ขับสนุกมันส์มากไม่ใช่รถเราหรอกรถพี่ที่ไปด้วยกัน ผิดแผนนิดหน่อยเพื่อนที่จะไปด้วยยกเลิก2คน ก่อนหน้าเอาวีออสไปเข้าอู่ทำสีพอดี เลยมารถพี่เขา ค่าน้ำมันเลยจะแรงนิดนึง แต่ขับมันส์สนุกมั่นใจมาก ต้องมีสักคันอนาคต อิอิ
รูปตอนวันกลับหน้าอุทยาน
ฤดูฝน
ตัดภาพมาตอนเช้าเลย หลังจากรับเพื่อนที่มาจากขอนแก่นนั้งรถทัวร์มาลงขนส่งพิษณุโลกก็ยิงยาวลุยฝนตลอดทางแรงมากๆตั้งแต่เข้าจากถนนใหญ่มาทางชาติตะการทางมืดและฝนแรงจนถึงที่ทำการประมาณตี3 ก็ยังไม่หยุดลงไปฉี่ยังไม่ได้ แรงสุดๆเลยนอนเบียดกันในรถ ยังดีแค่ 4 คน พี่สาวอีกคนมาจากลำปาางจะมาเจอตอนเช้า
จนเช้า 8 โมง หวังว่าฝนจะหยุดไม่เลย แรงกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำมั้งเดี่ยวเบาเดี่ยวแรง เลย ไปล้างหน้าแปรงฟัน ลงทะเบียน ที่เจ้าหน้าที่เตรียมชั้งน้ำหนักของให้ลูกหาบครับ
หลังจากรับแท็กกระเป๋าน้ำหนักเรียบร้อย ทีนี้ก็ใครพร้อมลุยแล้วก็เริ่มได้เลย มีรถบริการพาไปยังจุดเริ่มเดินเท้า ห่างไปประมาณ 2 โลได้ครับ
ได้เวลาลาลุยของพวกเรา ฝนยังไม่มีท่าว่าจะหยุดเสื้อกันฝนที่เตรียมมาได้ใช้งานแต่เริ่มทริป
ขึ้นรถอีแต็กไปกันเลยจ้า
จะหนังหน้าหลังตามสดวก
ถึงแล้ว รูปหมู่เอาฤกษ์เอาชัยกะป้ายก่อน
กับระยะทาง 6.5 กิโล เราจะไปแค่ลานสนลานกางเต็นนะครับ ยอดภูสอยดาวสูงสุดจะเปิดช่วงหน้าหนาว เพราะเส้นทางอันตรายและโหดพอสมควร
อีกสักรูปหน้าทางเข้า เริ่มเดินกันตอน 9.30 น. ดูซิจะถึงลานสนกี่โมง น้ำตกตอนนี้แรงและแดงมากเพราะฝนตกทั้งคืน น่ากลัว
เริ่มเดินกันได้ ช่วงแรกก่อนถึงเนินส่งญาติเป็นทางราบสลับขึ้นลงเขาง่ายๆ น่าจะประมาณ 2 โลได้ครับ
เข้ามาได้สักพักเจอ คนเดินสวนมาคำถามที่ต้องถามเลย เป้นยังไงมั้งครับอีกไกลไหม 555 แหมพึ่งเข้ามาเอง
ถามไปทุกคนแหละว่าเป็นยังไงมั้งครับข้างบน พี่เขาบอกสวนมากคุ้มมากครับ กำลังใจดีแบบนนี้ลุยยย
เนื่องจากฝนตกตลอดนะครับกล้องใหญ่แทบไม่ได้ยกมากลัวเปียก
ที่ภูสอยดาวนนี้ผมว่าเป็นเขาที่เดินง่ายนะครับ ตอนแรกอ่านมาว่าที่นี้ยากแต่ส่วนตัวคิดว่าไม่เท่าไหร่ ยิ่งช่วงแรกก่อนถึงเนินส่งญาตินี้เป็นทางราบธรรมดาขึ้นลงเขาไม่มาก เหมือนเป็นการอุ่นเครื่องให้ร่างกายพร้อมให้เครื่องร้อนพร้อมขึ้นทางชัน ต่างกับหลายๆที่ที่พอเดินปุ้บก็เจอทางชันรับแขกเลย เครื่องยังไม่ทันร้อน จะเหนื่อยมาก
ต่อไปหลังจากถึงเนินส่งญาติแล้ว ความยากจะเริ่มจากจุดนนี้ครับ ถ้าจำไม่ผิด ส่งญาตินี้แหละเหนื่อยมาก เพราะทางเป็นบันได เดินง่ายแต่เมื่อยปวดหัวเข่ามาก ผมไม่ค่อยชอบทางที่เป้นบันไดเลยเดินง่ายก็จริงแต่มันปวดน่องบนปวดเขา ทางชันแบบเป้นขึ้นเขายังจะเมื่อยน้อยกว่า
รูปอาจจะไม่ครบนะครับ เพราะฝนตกตลอดเวลาถ่ายบ้างไม่ถ่ายบ้าง กว่าจะผ่านเนินส่งญาติได้ก็เรียกเหงื่อได้เยอะเลย พ้นเนินส่งญาติก็เนินปราบเซียน ตรงนนี้ไม่มีไรโหด ทางชันขึ้นเขาเดินง่ายอยู่ครับ ไม่ยาวมาก
ต่อไปเป็นเนินป่ากอ รูปไม่ตรงกับเนินนะครับ จำไม่ค่อยได้แล้วทางคล้ายๆกัน ไม่ยากมากครับ เดินง่าย ขึ้นไปตามทางปกติ
ช่วงแถวๆเนินป่ากอฝนเริ่มเบาลงแต่ลมหนาวมาก
อุนหภูมิในร่างกายเริ่มร้อน ผมถอดเสื้อกันฝนเดินแล้วครับ ผมว่าฝนตกก็ดีอย่างทำให้เราไม่เหนื่อยมาก เดินป่าทรปนนี้รู้สึกเหนื่อยน้อยกว่าหลายๆเขา
บังเอิญเจอเพื่อนสมัยมอต้นครับ มาเดินเหมือนกัน โลกกลมจริงๆ
หลังจากออกจากเนินป่าก่อ ไปยังเนิน เสื่อโคร่ง ช่วงนี้เริ่มมีวิวให้เห็นเยอะขึ้นครับ แต่ว่าฝนตกหมอกเลยฟุ้งไปหมด บางทีก็เปิดให้เห้นวิวบางทีก็ปิด
ตรงนนี้เป็นจุดชมวิว
หมอกเยอะมาก
เดี่ยวเปิดเดี่ยวปิด ฟินสุดๆครับ
พ้นจากจุดชมวิวนี้ทางจะเร่ิมยากขึ้นต้องมีปีนป่ายนิดหน่อยบางช่วงต้องใช้ 4ขา เอ้ย ใช้มือช่วย
จากนั้นเราก็มาถึงเนินเสือโคร่ง พักกินข้าวกลางวันกันก่อน หมูทอดพี่สาวลำปางเตรียมมาให้
หลังจากอิ่มแล้วก็ลุยต่ออีกโลเดียวจะถึงลานสน
ช่วงประมาณ 2-300เมตรจากเสื่อโคร่งไปเนินมรณะนั้นจะดิ่งขึ้นยาวๆเลยครับ
แต่ตอนนี้ไม่มีวิวให้เห็นหมอกเปิดๆปิดและยังมีละอองฝน ช่วงนนี้จะชันและอันตรายหน่อย แต่ทางยังเป้นทางขึ้นมีบันไดบางช่วง
บางช่วงฟ้าเปิดก็ยกกล้องมาถ่าย แปบเดียวละอองฝนลอยมา รีบเก้บกล้องอีก อากาศแปรปรวนมากๆตอนนั้น
ไม่รุ้ว่าน้ำตกอะไรอยู่ใกลๆ
ละอองฝนยังโดนกล้องอยู่เลย
พอพ้นเนินมรณะแล้วก็เป็นทางราบขึ้นลงง่ายๆแล้วครับ
แล้วในที่สุด พวกเราก็เดินมาถึงลานสน ใช้เวลาไปทั้งหมด 4.15 ชม. ทำเวลาได้ดีมากผมว่าน่าจะเพราะฝนตกนี้แหละเลยทำให้เดินได้ไว พื้นไม่ได้ลื่นเดินได้ปกติแต่อากาศเย็นสบาย เลยไม่เหนื่อยมาก และก็ไม่ได้แบกของเองรอบนนี้จ้างลูกหาบแล้ว
ท่าคู่เรียบร้อย อิอิ
ลานสนตอนนี้ฝนหยุดพอดีมีหมอกปกตลุมขาวไปทั่วครับ
ดอกหงอนนาคจะยังมีเยอะอยู่แต่จะเกาะเป็นกลุ่มๆไม่ได้เต็มทั่วทั้งลาน แต่โดยรวมยังบานสวยเกินครึ่งครับ
สวยงามชื่นใจหายเหนื่อย
เราเดินต่อมาอีกหน่อยจะถึงลานกางเต็น ตอนนี้ต้องรอลูกหาบครับยังขึ้นมาไม่ถึง
ระหว่างนนี้เดินเลือกทำเล ประกาศอนานิคมให้เรียบร้อย แล้วมาถ่ายรูปดอกหงอนนาคกันก่อน ทุ่งดอกหงอนนาคอยู่ติดๆกัยลานกางเต็นเลย
ตอนนี้ที่เดินมาถึงตรงนนี้ฝนยกตกปรอยๆ สายฝนยังเห็นเป้มเม็ดๆเลย
สามารถเดินเข้าไปถ่ายได้นะครับถามเจ้าหน้าที่แล้ว และ ทุ่งดอกหงอนนาคก็ไม่ได้บานเต็มพื้นที่ มีที่ว่างให้เดินเข้าได้ ดอกจะบานเป็นกลุ่มๆกันครับ
ใช้มุมกล้อง กดต่ำๆให้อยู่ระนาบ เดียวกับปลายดอก จะได้ภาพที่มีดอกหงอนนาคเต็มทั่วทุ่งครับ
ยกกล้องสุงหน่อยจะเห็นช่องว่างเยอะเลย แต่ก็สวยถูกใจครับ ช่วงที่ไปดอกมีประมาณ 65% ได้ครับ
ฤดูหนาว
เข้าสู่ฤดูหนาวหลังจาก พี่ๆลูกหาบขึ้นมาแล้ว เหมือนฟ้าฝนเป็นใจ เม็ดฝนค่อยๆเบาลงและหยุดในที่สุด ทำให้ระหว่างกางเต็นไม่โดนฝนเลย ความหนาวเย็นเริ่มเข้ามาแทน
กางกันเรียบร้อยทริปนนี้ ได้ลองเต็นใหม่ ซื้อตั้งแต่ไปเชียงใหม่แต่ไม่ได้กาง ปกติจะใช้เต็น 199 ตลอดเน้นเบาๆไม่ซีเรียส แต่หลังๆพอมาเที่ยวมอไซ ความต้องการเปลี่ยน จะพก199 ก็กันฝนไม่ได้ของเริ่มเยอะเพราะไม่สามารถเก็บในรถยนต์แบบแต่ก่อน เลยมองหาเต็นแบบใหม่ที่กันฝนได้ในตัวไม่ต้องพกฟรายชีท น้ำหนักเบานอนสองคนมีที่ใส่ของใส่หมวกกันน็อค และที่สำคัญราคาไม่สูงเกินไป
เลยได้เจ้านี้มา naturehike professional 3 ตอนแรกจะเอา K2แหละแต่ตอนนั้นของหมดทุกร้านไปเจอ naturehike ทรงเหมือนกันเลย ราคาก็พอๆกัน 2000 กว่าบาท แล้วแต่ร้าน เลยจัดมา สเปคคร่าวๆก็ เสาอลูแบบเกี่ยว น้ำหนัก 2.3 โล กันน้ำ 3000 mm และเสาเป้นแบบสั้น ทำให้ความยาวเวลากลับยาวไม่มากใส่กล่องหรือกระเป๋าท้ายมอไซได้ สเปคก็แทบจะเหมือนกันกับ k2 adventure p3 เลย (แต่แฟนผมไม่ชอบสีเขียวนี้หลังจากกลับมามีงานเลยไปซื้อ k2 adventure p3 มาใหม่ เห็นมีของแถมเสากับฟรายชีทด้วยเลยไปจัดมา ที่ K2 เขาบอกว่าผลิดที่เดียวกันกับ naturehike ครับ ไม่รู้ยังไงแต่แต่ว่าเหมือนกันจริงๆแหละตอนนี้ผมมีสองหลัง วัสดุ2ยี้ห้อนี้ผมว่าใกล้เคียงกันมากแทบไม่ต่างกันเลย แต่ผมชอบ naturehike มากกว่า แต่อาทิตย์ต่อมาจกภูสอยดาวนี้ผมไปภูทับเบิก ฝนตกตากฝนทั้งคืน naturehike สีเขียวนนี้เอาอยู่นอนหลับสบายมาก มีแค่ตรงตะเข็บซิบที่มีน้ำเข้าอยู่บ้าง แต่ k2 adventure p3 ที่ซื้อใหม่ ทริปล่าสุดตอนที่เขียนอยู่นี้พึ่งกลับมาจากน่าน สวนยาหลวง กางบนยอดดอย ฝนไม่ตกมีแค่น้ำค้างแรงเหมือนกันแต่ k2 adventure p3 มีซึมๆที่เนื้อผ้าด้านในเอามือไปลูปเปียกๆแต่ยังไม่ถึงกับหยดลงหัว ยังไม่ได้ทดสอบกับฝนครับ ไว้ลองกับฝนแล้วจะมาเล่าอีกทีแต่เป็นอันว่าแฮปปี้ทั้งคู่ตอนนี้ แต่ k2 ได้เปรียบอย่างมีหูที่ดึงตรงกลางฝั่งด้านข้างได้ แต่ naturehike ไม่มี ) วงเล็บจะยาวไปไหน555 กลับเข้าเรื่องกันต่อ
กลับเข้าเรื่องภูสอยดาวครับ ก่อนหน้าที่จะมาอาทิตย์นึงมีคนลงคลิปบนลานกางเต็นที่ภูสอยดาวแล้วพิมพ์ว่านึกว่าเซนเตอร์พ้อย น่าจะใช่มั้งนะแต่ประมาณว่าคนเยอะมากๆนี้แหละ ทำให้ตอนนั้นผมเห็นแล้ว ถึงขั้นคุยกันว่าจะเปลี่ยนดอยอยู่เหมือนกัน เพราะเห็นว่าคนเยอะวุ่นวายพอควร แต่พอคิดดีๆแล้วในเมื่อตั้งใจอยากมาหลายปีแล้ว จะกลัวทำไม ก็เลยมาให้เห็นกับตาครับ ว่าเป็นยังไง คนจะเยอะก็ไม่เป็นไรก็ใครๆเขาก็อยากเที่ยวแล้วเราจะมานั้งเครียดทำไมจริงไหม
แต่หลังจากที่มาถึงแล้วความคิดหลายๆอย่างก็ได้หายไป ที่ว่าคนเยอะนั้นที่จริงคนไม่ได้เยอะหรอกครับแต่ลานกางเต็นเขามีพื้นที่น้อย และไม่ไดจัดเรียงเป็นรูปแบบสวยงามใครอยากกางแบบไหนยังไงก็กางเลยมันก็เลยจจะดูวุ่นวายหน่อยแต่ ผมรู้สึกว่าที่นี้คนยังน้อยกว่าหลายที่มาก และที่จริงบริเวณรอบๆบนภูสอยดาวนนี้กว้างใหญ่มากครับ เวลาเดินไปถ่ายรูปไม่ติดใครเลย แค่พื้นที่กางเต็นน้อยเฉยๆเท่านั้นเอง มุมสงบๆเงียบมีเยอะมากครับบนภูสอยดาว
และส่วนห้องน้ำเป็นอีกมุมที่ชอบครับมีความคลาสสิคใครจะเข้าต้องตักน้ำมาเองไปตักจากลำธารด้านหลังหรือแท้งน้ำที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ โดยมีกระแป๋งน้ำกับคันให้เช่าชุดละ 10 บาท
ธรรมชาติที่นี้ยังคงงดงามครับความเจริญยังไม่มาก ยังคงมีเสน์ห รอให้ทุกคนมาสัมผัสครับ อ้าวพูดเหมือนจะจบยังๆๆ
หลังจากกางเต็นเปลี่ยนชุดกันเรียบร้อย ก็เริ่มมื้อเย็นกันตั้งแต่ 4 โมงเลย ชมบูร้อนๆพร้อมรับประทานแล้ว
หลังจากกินกันจมอิ่ม ประมาณ 5 โมงเราก็ชวนกันเดินไปลานด้านหลังทางที่ไปยอดสูงสุดตรงหลักกิโล ยังมีลานอีกกว้างใหญ่มากๆให้เดินได้
ช่วงนนี้หมอกปกคลุมหนามากไม่สามารถมองเห็นยอดได้ครับ
ลานสนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สวยงามมากๆ
สัญญานโทรศัพท์ต้องยกให้ AIS เลย เดินยังไม่ถึงหลักกิโลก็มีสัญญาณโทรได้แล้ว แต่ทรูมีขึ้น3G นะแต่ยังใช้ไม่ได้ ดับๆติดๆ ส่วน ดีแตก ไม่ต้องพูดต้องคุยกับใครตั้งแต่ยังไม่เข้าตัวอุทยานข้างล่างเลยจ้าาดับสนิทไปเลย
เดินถ่ายกันอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ไว้ตอนเช้าค่อยมาเดินใหม่ให้ถึงหลักกีโล
จากนั้นก็กลับมาสุมหัวกินกันอีกรอบคุยโม้กันไปเรื่อยตามประสาเฮฮา ที่มารอบนนี้คนทุกกลุ่มดูมารยาทดีมากครับ เต็นจะอยู่ติดๆกันเลยแต่ก็อยู่กลุ่มใครกลุ่มมันเสียงไม่ดังรบกวนกันเท่าไหร่ ไม่มีโวยวายเสียงดังครับ และหลัง 4 ทุ่มเสียงก็เงียบใครยังไม่นอนก็นั้งดื่มคุยกันเบาๆทุกคนเคารพกฎกันดีมากครับ
กลับมาก่อนจะนอนวันนั้นหลังจากฝนตกทั้งวัน เลยไม่ได้คิดหวังเรื่องดาวเลยคาดว่าฟ้าน่าจะปิดตามเคย เพราะไปเชียงใหม่ก่อนหน้า 4 วันตั้งใจถ่ายดาวสวยๆแต่ฟ้าดันปิดทุกคืน 555
แต่วันนี้พอ2ทุ่มครึ่งเวลาของช้างออกโรงพอดี ลองแหงนหน้ามองฟ้าเฮ้ย ช้างใหญ่ชัดเจนมาก ดาวชัดสุดๆ ไม่รอช้าหามุมพอดีพอเหมาะ จัดไปได้ช้างมาแบบไม่ได้คาดหวังและสวยใหญ่อีกด้วย 18-140ก็ได้แค่นี้ช้างยาวมาเก็บไม่หมด
ที่นี้บอกว่ามองด้วยตาเปล่าได้ชัดมากๆ ชัดกว่าทุกครั้งที่ถ่ายช้างเผือกมาเลย แบบขาวเด่นชัดมาเลย
จากนั้นก็เดินมาทางเมื่อเย็นทางที่ไปหลักกีโลบ้างลองหามุมใหม่ๆดูหน่อย
สักพัก เมฆก็ลอยยังช้างปิดๆเปิดๆ ถ่ายมาหลายใบแต่ก็ใช้ได้ไม่กี่ใบ 555 ฝีมือยังไม่ดีแต่แค่นนี้ก็เกินคาดแล้ว กลับไปนอน หนาวๆกันต่อยันเช้า
ยังคงอยู่ในหน้าหนาวยามเช้าแบบนน้อาหาศดีสดชื่นมากๆเมื่อคืนไร้ฝน กลางดึกตื่นมาฉี่ดาวยิ่งสวยมากๆฟ้าโปร่งไร้เมฆแต่ข้เกียจถ่ายแล้วง่วง
มื้อเช้าวันนี้ มาม่าคัฟร้อนๆ ดูดเส้นให้ดังซวบๆ มันช่างได้อารมณ์จริงๆ
เช้านนี้ไม่ได้เดินไปดูพระอาทิตย์เพราะว่าไกล55 เลยเดินไปดูหมอกตรงจุดพระอาทิตย์ตกแทน
หมอกลอยไปมาเยอะมาก
หลังจากนั้นก็กลับมาเก็บของเก็บเต็นทุกอย่างให้ลูกหาบช่างกิโลลงไปก่อนแล้วเราเดินเที่ยวรอบๆตั้งเป้าไว้จะลงตอน 10 โมง
จากนั้นประมาณ เกือบ8โมงเราก็เอาของไปให้ลูกหาบแล้วก็เดินมาทาง หลักกีโลอีกครั้ง
ต้นไม้ที่พระเจ้าหลานเธอทรงปลูกไว้
ถึงแล้วหลักกี่โลที่นี้ประเทศไทย
หันหลังกลับไปก็เป็นประเทศลาว
ที่จริงเดินไปได้อีกเยอะเลยทางลานสนไปทางยอด2000 แต่เราเดินอ้อมวงกลมแทน
มีทางเดินเรื่อยๆอ้อมวนไปบรรจบกับจุดชมพระอาทิตย์ตกเมื่อเช้าได้
มีขอยไม้ใหญ่โลเคชั้นเท่ๆจัดสะหน่อย
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สวยงามมาก มุมรอบๆนี้ยังเป็นอีกเรื่องที่ประทับใจในความสวยงามที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเท่าไหร่ ตื่นตาตื่นใจดีครับ
บางภาพมันจะมัวๆหน่อยครับเพราะเลนส์18-140ที่ทำพังจากทริปเชียงใหม่
กว้างใหญ่สุด
เดินกันจนมาสุดทางอีกฝั่ง จะมีป้ายให้บังคับเลี้ยวซ้ายห้ามไปทางขวาไม่รู้ขวาไปไหน ก็ไปตามป้ายเลี้ยวซ้ายเลาะมาเพื่อจะกลับลานกางเต็นได้ พอเดินจนสุดขอบหน้าผาก็ได้เจอวิวสวยๆอีกแล้ว
ฟ้าเปิดกว้างไกล
ตรงนนี้เลยไปอีหหน่อยเป็นหน้าผาอันตรายนะครับระมัดระวังด้วย แล้วก็เดินเลาะสันเขาไปเรื่อยๆวิวคล้ายกันจนมาบรรจบจุดชมพระอาทิตย์ตก แล้วก็เดินต่อไปลานสนกลับได้ครับ
พอเดินถึงลานสน ขอแวะลงไปดูน้ำตกสายทิพย์ก่อน
ทางลงไม่ไกลแต่ชัน ลงไปได้ช่วงเดียวน้ำน้อยครับ แต่มีทางลงไปต่อแต่ไม่ได้ลงเพื่อนคนนึงปวดขารองเท้ากัด เลยเดินขึ้นเตรียมลง
ฤดูร้อน
หลังจากผ่านไปสองฤดู นึกว่าจะจบที่ฤดูหนาว เดินลงเย็นๆชิลๆ ที่ไหนได้ แค่พอเลยลายสนมา ท้องฟ้าก็เปิดกว้าง อุณหภูมิในร่างกายก็สูงขึ้นทันที แดดสาดส่องมาแบบแรงกล้า เริ่มเดินลงกันตอน 10โมงกว่าๆ
แต่อากาศแบบนี้ก็ดีได้เห็นวิวที่เมื่อวานไม่เห็นครับ
วิวกว้างไกลมาก
แดดร้อนมากๆพี่ๆลูกหาบผู้หญิง นั้งพักเหงื่อแตกซิกนี่แค่เริ่มลงเนินมรณะ น่าจะด้วยความหนักด้วย เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้เราแค่เดินตัวปลิวยังเหนื่อยเหมือนกันนี่แบกหนักมาก แต่ก็เพื่อความอยู่รอดแต่ละคนก็มีการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน เขารับจ้างแบกของให้เรา เราก็เอาเงินจากการเป็นลูกจ้าง มาให้เขามาอีกที วนเวียนกันไป ตามวิถีของแต่ละคน
ยิ่งเดินลงยิ่งร้อน
ผ่านเินเสื่อโคร่งได้ผมกเพื่อนชายอีกคไม่ไหวร้อนมากต้องขอถอดเสื้อโชว์พุงน้อยๆออกมาเพื่อระบายความร้อนกันหน่อย
หลังจากลงถึงเนินส่งญาติใช้เวลาไป2ชั่วโมงพอดี ร่างกายเริ่มไม่ไหว ไม่ใช่เพราะร้อน แต่เพราะหิววว มาม่าหมดฤทธิ์ ก้าวไม่ค่อยจะออก555 ไม่ได้เตรียมไรมาระหว่างทางด้วย
ลงมาน้ำตกวันนี้น้ำขาวใสสวย เย็นสดชื่นล้างหน้าชื่นใจ
แล้วเราก็ออกมาได้สำเร็จกับเวลาขาลง 2.15 ชม.
ร้อนๆแบบนนี้จัดแปปซี่ใส่น้ำแข็งมันช่างสดชื่นมากๆ นั้งรถกลับอุทยานที่จอดรถต่ออีกหน่อย
ถึงแล้วลูกหาบมาถึงแล้วก็เคลีย์ค่าใช้จ่ายลืมบอกมีมัดจำค่าขยะเ่วยตอนแรกให้เราหิ้วขยะของเราลงมาช่วยกันรักษาความสอาดและได้เงินคืนครับ
จากนั้นก็กินข้าวตามสั่งที่อุทยานนั้นแหละหิวมากๆ กระเพราไข่ดาวอร่อยดีครับ กินเสร็จก็อาบน้ำต่อ สดชื่นพร้อมเดินทางกลับ
ไปก่อนนะครับภูสอยดาวมีโอกาศรอบหน้าจะมาหน้าหนาวเดินขึ่นยอดสูงสุดเลย
ออกจากอุทยานแยกกับพี่สาวกลับลำปางเราก็วิ่งออกทางเดิมมุ่งหน้าอำเภอชาติตระการ ระกว่างสองข้างทางวิวสวยงามมากมีฝนตกก่อนหน้ามาทำให้มีหมอกแซมเขาตลอดทางสวยงามมากๆ
แต่พี่บิ็กวีโก้เราคันใหญ่เหลือเกินจะจอดถ่ายที่สวยๆก็ไม่ได้อันตรายต้องหาที่มีไหล่ทางกว้างๆหน่อยถึงจะจอดถ่ายได้ เส้นางคดเคี้ยวพอตัว
ปิดท้ายทริปนี้ไหว้พระพุทธชินราช
แล้วก็ส่งเพื่อนขึ้นรถทัวร์กลับขอนแก่นและผมสามคนก็ยิงยาวกลับกทม. ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพทริปเบาๆ2วัน1คืน
ค่าใช้จ่ายคร่าวๆทริปนี้ลืมจด
น้ำมันพี่บิ็กวีโกเกือบๆ3000 กับระยะทางประมาณ 1100กว่าโล
ที่เหลือค่าอาหาร ตกคนไม่กี่บาทซื้อวัตถุดิบมาทำเองกันหมดอุปกรณ์เตรียมมาเองเต็นเอามาเอง
มีแค่ค่าลูกหาบ โลละ 30 ขาขึ้นหนักมากซื้อน้ำเปล่าไปเยอะ 63โล 1890บาท ขาลงน่าจะแค่40โลได้
รวมค่าลูกหาบกะค่าของกินอยู๋คนละประมาณ 900 บาท ที่เหลือเป็นค่าน้ำมัน
ผมกะแฟนตกคนละประมาณ 1500-1700 บาท ถ้ามารถแก้สจะประหยัดได้อีกเยอะเลยครับ
จบไปอีกทริปอย่างเกินความคาดหวัง เวลาไม่ได้หวังอะไรมักจะได้ตอบรับเกินความคาดหวังเสมอเลยว่าไหมครับ และก็มีหลายครั้งที่หวังไว้แต่ก็ไม่ได้อย่างที่คิด เพราะชีวิตมันไม่แน่นอน
แล้วพบกันใหม่กับคู่รักตะลอนทัวร์จ้า ทริปหน้าเดี่ยวพาไปขี่มอไซด์อีกแล้วจะเป็นที่ไหนเดี่ยวรู้กัน
เหลี่ยมพาเที่ยว
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 00.30 น.