ทริปเที่ยวทะเล พักโฮมสเตย์เรียบง่าย ทริปนี้ใช้เวลาแค่ 2 วัน แต่เต็มไปด้วยความหลากหลายที่อยากนำเสนอ ที่เที่ยวไม่ใหม่แต่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อยแต่อยากได้ความสงบสวยงาม เรียบง่ายจากธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่ง
มาตามดูกันค่ะ ว่าไปไหนกันบ้าง
มุ่งหน้าจากกรุงเทพข้ามคืนสู่ "ผาเปิดใจ" จ.ชุมพร ในตอนเช้ามืด มาถึงดาวเยอะมากๆ ทางช้างเผือกพาดกลางฟ้าข้างหน้าเรา
แต่เนื่องจากตอนที่มาถึงยังมืดอยู่เลยพอได้มีเวลานอนต่อบนรถอีกนิดหน่อย จนเริ่มมีแสงแรกเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ก็ได้เวลาตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก
ที่นี่เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกแห่งใหม่ของเมืองชุมพรที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงหน้าร้อนโดยเฉพาะช่วง Heat Wave ที่ในหลายๆจังหวัดร้อนถึง 40 องศา แต่ที่นี่กลับอากาศเย็นและมีทะเลหมอก
และด้วยเพราะที่นี่ยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไร พวกเราเลยจำเป็นต้องทำอาหารเช้าง่ายๆที่เตรียมมาทานกันบนนี้
ดูทะเลหมอกไป จิบกาแฟกินโจ๊กไป ก็ได้อารมณ์ฟินไปอีกแบบ
แต่การเดินทางมาที่นี่จากถนนใหญ่ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ถนนก็ไม่ค่อยดี เป็นทางลูกรังสลับไปกับถนนลาดยาง หลังทานอาหารเช้าและชมวิวกันจนได้เวลา ก็ต้องกลับลงมามุ่งหน้าไปดำน้ำที่เกาะทะลุให้ทันเรือรอบ 9 โมงเช้าค่ะ
สถานีต่อไป "เกาะทะลุ"
จากฝั่งนั่งเรือออกไปเพียง 30-40 นาที เราก็มาถึงเกาะทะลุ เกาะที่ไม่ไกลจากชายฝั่งมาก มีผนังเป็นรูโหว่วมองเห็นทะลุไปอีกฝั่ง จึงได้ชื่อว่าเกาะทะลุ ซึ่งมีตำนานเกี่ยวกับที่นี่เหมือนกัน แต่มันยาวมาก หาอ่านกันเองนะคะ
จากตรงนี้ไม่ไกลก็มาถึงจุดดำน้ำที่มีปะการังและฝูงปลากับน้ำทะเลใสๆ
มีบางคนโชคดี ได้เห็นเต่าทะเลตั้ง 2 ตัวด้วยนะ
ส่วนถ้าพูดถึงความสวยงาม อาจเทียบเท่าเกาะดังๆอย่างเกาะสุรินทร์ หรือหลีเป๊ะไม่ได้
แต่ข้อได้เปรียบคือที่นี่เป็นเกาะที่เราสามารถมาดำน้ำดูปะการังได้ไม่ไกลจากกรุงเทพ เดินทางมาง่าย เหมาะกับคนที่มีเวลาน้อยค่ะ
จากนั้นเรือจะพาเราไปฝั่งหน้าเกาะ ตรงนี้น้ำทะเลใสมากๆ มองเห็นทรายสีขาวที่อยู่ข้างล่างได้อย่างชัดเจน ตรงนี้เรือจอดนานหน่อย ให้เราได้ทานข้าวกล่องที่ทางเรือเค้าจัดไว้ให้ตบด้วยแตงโมและโค้กเย็นๆ
โปรแกรมดำน้ำใช้เวลาทั้งหมดจนกลับมาถึงฝั่งประมาณ 3-4 ชั่วโมง มีห้องอาบน้ำให้เราได้เปลี่ยนผ้าแห้งกันให้เรียบร้อย จากนั้นก็ได้เวลามุ่งหน้าไปที่พักของเราคืนนี้ค่ะ
"เกาะพิทักษ์" ชุมชนชาวเลที่ทำโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายบนเกาะที่ไม่ไกลจากฝั่งมาก แต่ได้อารมณ์และวิวสวยๆจากชานบ้านทุกหลังที่หันหน้าเข้าสู่ทะเล
ยิ่งในช่วงพระอาทิตย์ตก เป็นฟ้าเปลี่ยนสีที่สวยงามมากๆ หรือจะพายเรือ เล่นน้ำอยู่หน้าบ้านก็ได้ เป็นช่วงเวลาที่เราต่างได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและความจอแจจากเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี
อาหารที่ถูกปรุงโดยเจ้าบ้าน อร่อยถูกปากมากๆ มื้อนี้พวกเราซัดกันไปเต็มคราบเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องที่นอน ก็จะเป็นลักษณะเป็นเบาะเรียบๆปูเรียงกัน มีมุ้งหมอนผ้าห่มให้ ถึงจะไม่ได้หรูหราอะไร แต่สะอาดและอากาศเย็นหลับสบาย เสียอยู่แค่ว่ายุงเยอะและดุมากๆ ต้องคอยทายากันยุงกันเรื่อยๆ
หลังอาบน้ำอาบท่ากินข้าวดูพระอาทิตย์ตกเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเรือไปตกหมึกกัน
หลังลงเรือออกจากบ้านไปสักพัก น้องคนเรือก็แจกอุปกรณ์ตกหมึก เป็นเบ็ดและเอ็นม้วนกับขวดน้ำให้ถือได้สะดวก
ว่าแต่เหมือนจะตกกันง่ายๆ แต่ก็ยากเหมือนกันนะ
การเฝ้ารอมันทรมาน ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆก็เริ่มพากันง่วง เลยชวนกันกลับไปนอนดื้อๆซะอย่างนั้น ไปกัน 7 คน ตกได้ 2 ตัว ที่เหลือคือน้องคนเรือตกได้ทั้งนั้น
คืนบนเกาะ ผ่านไปด้วยอากาศแสนสบายเป็นกันเอง อากาศไม่ร้อนเลย ได้ยินเสียงคลื่นกล่อมเบาๆตลอดเวลา หลับยาวรวดจนถึงเช้า
เช้าบนเกาะเปิดตามองออกไปด้านหน้าก็เป็นวิวทะเลแล้ว เช้าๆอากาศดีมากๆ เกลียวคลื่นพัดเบาๆแสนสงบ
เพือนร่วมทริปค่อยๆตื่นขึ้นมาทักทาย กินกาแฟพื้นบ้านยี่ห้อ "เขาทะลุ" ดื่มด่ำบรรยากาศยามเช้าจนได้เวลาอาหารเช้า ข้าวต้มปลาก็ถูกยกมาเสริฟ (ปลาสดมากกกก ไม่คาวเลย)
เมื่ออิ่มท้องก็ได้เวลาชวนกันออกไปเดินย่อยรอบเกาะ
จากโฮมสเตย์ของพวกเราเดินไปไม่ไกลก็ถึงสะพานปลา
เดินเลาะไปเรื่อยๆก็จะถึงหาดด้านหลังเกาะ ซึ่งพระอาทิตย์ขึ้นทางฝั่งนี้
ไหว้พระเดินเล่นให้เหงื่อออกกันจนถึงเวลา ก็พากันเดินกลับไปอาบน้ำ
ซึ่งทางด้านใต้หรือตามแนวโฮมสเตย์จะผ่านร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกเป็นแนว
โฮมสเตย์บางบ้าน ข้างหลังก็ทำเป็นร้านขายของ
พายเรือคายัค อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ
และแล้วก็ได้เวลาบอกลาโฮมสเตย์อันเรียบง่ายอบอุ่น ออกเดินทางมุ่งหน้าไปดูช้างป่าที่กุยบุรี ประจวบคีรีขันต์
แต่ระหว่างทางก็ยังมีแวะขึ้นไปชมวิวบนเขามัทรี ตรงนี้เราสามารถชมวิวปากน้ำและอ่าวทะเลชุมพรได้ชัดเจนมากๆ
ข้างบนนี้ยังมีร้านกาแฟสดรสชาติดีให้ดื่มด้วยนะคะ
ใครชอบรสชาติกาแฟ จะซื้อเมล็ดสดติดกลับไปเป็นของฝากก็ได้ ที่ร้านเค้ามีขายค่ะ
จากนั้นก็แวะทานข้าว ถึงกุยบุรีประมาณ 4 โมงครึ่ง แดดร่มลมตกพอดี ซึ่งเป็นช่วงที่ช้างป่าและกระทิงมักจะเริ่มออกหากินค่ะ
เราจะต้องเปลี่ยนไปใช้รถกระบะของอุทยานฯซึ่งจะเป็นรถชาวบ้าน และไกด์ท้องถิ่นเองก็เป็นชาวบ้านอาสาสมัคร
คุณส้ม ไกด์ของเราเล่าว่า คนยังไม่ค่อยมาเที่ยวกัน บางคนก็บอกว่าค่ารถแพง แต่เมื่อเธอได้อธิบายค่าใช้จ่ายที่ต้องแบ่งกระจายไปในแต่ละส่วนที่ต้องดูแลแล้ว เข้าใจเลยว่าที่พวกเราจ่ายเป็นค่ารถกับค่าเข้าอุทยานไม่ได้มากมายเลย คิดซะว่าเป็นการช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นที่เสียรายได้จากการเกษตรเมื่อมีการใช้พื้นที่ป่าเป็นบ้านช้าง ซึ่งเคยเป็นที่ของพวกเค้า ไกด์ท้องถิ่นเองก็ได้ค่าแรงน้อยนิด ยิ่งปีนี้แล้งมากๆ จนต้องซื้อน้ำจากข้างนอกมาให้ช้างในป่า ก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายมาดูแลตรงส่วนนี้อีก คุณส้มเล่าว่าบางวันก็เงียบมาก ขนาดไม่มีรถเข้ามาสักคัน เลยฝากประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักและเข้าไปเที่ยวกันเยอะกว่านี้
แต่ที่นี่ไม่ใช่สวนสัตว์ การชมช้างป่าที่อาศัยตามวิถีธรรมชาติ จะไปคาดหวังว่าจะได้เห็นช้างป่า กระทิงป่าทุกครั้งไม่ได้ คุณส้มว่าบางครั้งช้างไม่ออกมาให้เห็นเลยก็มี
สำหรับพวกเรา ตอนแรกก็ใจแป้ว ว่าจะอดเห็นช้างกันแล้ว แต่รอไปสักพัก จนท.ก็แจ้งผ่านวอคุณส้มมาว่าช้างกำลังจะลงมาอาบน้ำ!
พวกเราเลยรีบบึ่งมาให้ทัน ก่อนที่จะพลาดช่วงเวลาสำคัญไป แม้จะอยากให้รถวิ่งเร็วได้ดังใจ แต่ที่นี่มีกฎห้ามรถวิ่งเกิน 40 กม/ชม เพื่อไม่ให้เสียงรถยนต์รบกวนช้างค่ะ
ช้าง 2 โขลง ร่วม 20 ตัว ค่อยๆออกมาจากชายป่า ลงเล่นน้ำกันอย่างสบายใจ ช่วงแรกๆจ่าโขลงระแวงมนุษย์ที่ยืนห่างไปไม่ไกล ออกมายืนจ้องหน้าพร้อมส่งเสียงแปร๋นขู่ จนท.ถึงกับต้องต้อนให้พวกเราเดินออกไปก่อน เพื่อให้ช้างมันเข้าใจว่าเราไม่ได้ต้องการท้าทาย แน่นอนค่ะ ต้องฟังคำสั่งของจนท.อย่างเคร่งขรัด เพราะหากช้างมันวิ่งเข้ามาจริงๆ พวกเราวิ่งหนีไม่ทันแน่นอน
แต่พอตัวเซี้ยวขู่เราออกไปได้ มันก็ไม่ได้อะไรต่อ เบนหัวมุ่งหน้าไปอ่างอาบน้ำของพวกมัน เล่นน้ำปะแป้งกันสบายใจ เป็นภาพที่น่าดูมาก ในโขลงมีช้างเด็กที่เพิ่งคลอดไม่กี่วันอยู่ด้วย 2 ตัว น่ารัก น่าเอ็นดูมากๆ เพราะอย่างนี้จ่าโขลงเลยหวงและระแวงพวกเรา ตอนขึ้นจากบ่อยังหันมาแปร๋นขู่อีกรอบ
การชมวิถีชีวิตช้างป่า มันเป็นภาพที่หาดูได้ยาก ครั้งนี้โชคดีได้เห็นโขลงใหญ่รวมลูกเล็กของมันด้วย ซึ่งคงไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเห็นแบบนี้
ส่วนพวกเรามนุษย์ที่เข้าไปเยือนในบ้านของพวกมันก็ต้องทำตามกฎแห่งป่า ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามทิ้งขยะ เฝ้าดูพวกมันใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ไม่ไปเบียดเบียนกันค่ะ
กว่าจะออกมา ก็ได้เวลาปิดพอดี เป็นโปรแกรมที่สุดท้ายของทริปนี้
ปิดทริปด้วยความสนุกแบบพอดี กับช่วงเวลาสั้นๆเพียง 2 วัน ถือว่าเป็นทริปที่เที่ยวได้คุ้มและหลากหลายทริปนึงเลยค่ะ
:: ขอบคุณภาพใต้น้ำจากกล้องพี่เหมียว
:: ขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจากพี่เหมี่ยว
:: ขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางด้วยกัน
ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าค่ะ
Oil / Wanderer Error
https://www.facebook.com/WandererError/
#เกาะพิทักษ์ #ชุมพร #โฮมสเตย์
Wanderer Error
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.03 น.