ด้วยความที่พลาดทริปตามหาทุเรียนเมืองจันทน์ และต้องการแก้เก้อด้วยการเดินทางไปไหนซักทริปนึงเล็ก ๆ ทริปจักรยานบางน้ำผึ้งเลยเกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจนัก เพราะวันก่อนไปยังนอนอยู่หาดใหญ่ กว่าจะตะกายกลับมาถึง กทม. แทบหมดสภาพ แต่นัดก็เป็นนัด สู้ว้อย !!!

ท่าเรือวัดบางนานอก (อยู่ข้างใน)

นัดหมายกันเสร็จสรรพถึงเวลาก็ยังคงเลทกันตามระเบียบแต่ก็ไม่มากนัก และถึงจะมาทันเวลาอากาศวันนี้ก็ไม่เป็นใจให้เราเสียเลย ด้วยความที่ฟ้าใสผิดปกติ ไม่รู้จะใสไปไหนหนักหนา ร้อนนะเฟ้ย เราไปถึงท่าเรือวัดบางนานอก ที่อยู่ข้างใน ซึ่งไม่ใช่วัดบางนาในทีอยู่ข้างนอก เพราะสมัยก่อนการเดินทางคมนาคมนั่นใช่ทางน้ำเป็นหลัก แต่ปัจจุบันใช้ถนนสุขุมวิทและสรรพาวุธมากขึ้น เลยทำให้วัดบางนานอก ไปอยู่ข้างใน
งงมั้ย ถ้างงก็พอเห้อ

วัดบางน้ำผึ้งนอก

สนนราคาค่าข้ามเรือก็ไม่แพงนัก และยังมีการใช้เส้นทางนี้เอารถข้ามโดยแพขนานยนต์อีกต่างหาก และยิ่งเป็นเสาร์อาทิตย์ยิ่งคึกคักไปด้วยผู้คน เมื่อข้ามไปถึงเรายังไม่รีบมองหาจักรยานขี่ในทันที แต่เราเดินไปตามเส้นทางสายแคบ ๆ เล็ก ๆ แต่มีรถเยอะแยะ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซด์ ที่วิ่งขวักไขว่กันอย่างน่ากลัว

อุโบสถหลังใหม่วัดบางน้ำผึ้งนอก

มาถึงวัดก็ต้องไหว้พระ เข้าโบสถ์สิค่ะรออะไร โบสถ์ที่เราเห็นอยู่นี่เป็นโบสถ์หลังใหม่ ที่สร้างทดแทนของเก่าอายุกว่าร้อยปี ที่ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่ได้มีการรื้อถอนแต่อย่างใด คาดว่าจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการบูรณะแต่อ่ย่างใด เนื่องด้วยงบประมาณที่ทางกรมศิลปากรให้มามีจำกัด และยังไม่สามารถบูรณ์ปฏิสังขรได้ในทันที

เราเดินตัดโบสถ์ใหม่ ผ่านไปทางโบสถ์เก่าที่มีทั้งโบสถ์และวิหาร โบสถ์เก่าเป็นโบสถ์ทรงแอ่นท้องช้าง ก่ออิฐถือปูนด้านนอกดูเก่าคร่ำ แต่ด้านในยังคงมีร่องรอยของความรุ่งเรืองในอดีตให้เราได้บ่นเสียดายอยู่ตลอดเวลาที่เข้าชม

รอบนอกตัวโบสถ์เก่า

บริเวณโบสถ์และวิหารน้อย มีร่องรอยการสร้างพาไลยื่นคลุมประตูด้านหน้าซึ่งเป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม-รัตนโกสินทร์ตอนต้น ประวัติอุโบสถหลังนี้ค่อนข้างคลุมเครือเพราะไม่มีจารึกระบุว่าใครเป็นผู้สร้าง สำหรับพระประธาน "หลวงพ่อใหญ่" ค่อนข้างจะออกแนวทางอยุธยาแต่ด้วยลักษณะที่ไม่ชัดเจนเพราะเป็นฝีมือปูนปั้นแบบชาวบ้าน ทำให้ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน

โดยในส่วนของพาไลที่ยื่นออกไปนั้น ปัจจุบันได้พังทลายไปหมดแล้วเหลือแต่ซากเสารองรับบางส่วนเท่านั้น สภาพหลังคามุงกระเบื้องดินเผาเกล็ดเต่าก็เริ่มหลุดร่อนไปบางส่วน หน้าบันพระอุโบสถมีซากปูนปั้นแต่ก็หลุดร่วงลงมาหมดเช่นกัน และไม่ปรากฎว่ามีช่อฟ้า, ใบระกา, หางหงส์ ประตูหน้าต่างมีร่องรอยของลายรดน้ำทุกบาน

หน้าบรรณพระอุโบสถหลังเก่า

ด้านในพระอุโบสถ

หลวงพ่อใหญ่

บริเวณโดยรอบยังไม่ได้รับการบูรณะ อิฐและผนังเริ่มเปื่อยยุ่ยส่งผลให้จิตรกรรมภายในได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก ภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมเทพชุมนุมสมัยต้นรัตนโกสิทร์ตอนต้น ที่เขียนลายภูษาได้ไม่ซ้ำกันเลย ส่วนผนังหุ้มกลองด้านหลังเป็นภาพจิตรกรรมพระจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่สำคัญคือมีภาพพระวิมานซึ่งเป็นตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๓ ลอยอยู่บนเมฆโดยไม่มีเทพองค์ใดอยู่ภายใน ซึ่งไม่ปรากฎว่าใครเป็นผู้สร้าง รวมถึงหน้าต่างทุกบานก็เขียนเป็นรูปเทพอารักษ์ฝีมือละเอียดอ่อน ซึ่งยังคงรับอิทธิพลจิตรกรรมอยุธยาอยู่พอสมควร

ภาพเทพชุมนุมบนผนังคอสอง ในวิหารวัดบางน้ำผึ้งนอก

เนื่องจากวัดบางน้ำผึ้งนอก เป็นวัดที่อยู่นอกราชธานี ทำให้ช่างมีอิสระและไม่เคร่งครัดในระเบียบการเขียนภาพมากนัก และมีการเปลี่ยนแปลงด้านรูปแบบและความนิยมที่ช้ากว่าจิตรกรรมในราชธานีที่มีอายุสมัยเดียวกันจิตรกรรมที่เขียนในพระวิหาร และพระอุโบสถ น่าจะเป็นฝีมือของช่างหลวง หรือเป็นช่างท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากช่างหลวงเพราะมีรูปแบบและลักษณะการเขียนที่เหมือนกับช่างในเมืองหลวง

เทพชุมนุม

เราเดินชื่นชม ระคนเสียดายกับภาพจิตกรรมฝาผนังและโบสถ์วิหารที่สวยงามเช่นนี้ ที่ยังคงอยู่ในสภาพปรักหักพัง ทรุดโทรม และไม่รู้ว่าจะยืนหยัดสู้กาลเวลาอยู่ได้นานอีกเท่าไร เมื่อยังไม่ได้รับการบูรณะอย่างถูกต้อง แต่ถึงขนาดทรุดโทรมแบบนี้ ก็ยังต้องขอบอกคำเดียวเลยว่า "โคตรสวย" ถ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนที่กาลเวลาจะลงดาบประหาร จะสวยงามขนาดไหนไม่อยากจะคิดจริง ๆ

เราเดินทางออกจากอุโบสถ์หลังเก่าของวัดบางน้ำผึ้งด้วยความเสียดาย และคาดว่าจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อเวลาอำนวยกว่านี้ จากนั้น เราก็ไปเลือกหาจักรยานเช่ากันคนละคัน เพื่อเดินทางไปยังจุดต่อไปแบบไม่ค่อยรู้เหนือรู้ได้ เพราะบางน้ำผึ้งแห่งนี้เคยมาแค่ตลาดครั้งเดียว ด้วยรถยนต์แบบนั่งแล้วถึงเลยเสียอีก ดีแต่ว่าทางร้านจักรยานมีแผนที่ฉบับย่อให้เราเป็นไกด์ เราสามคนวางแผนเดินทางกันอย่างสนุกสนาน คาดว่าจะปั่นจักรยานให้ได้รอบใหญ่จากเวลาที่มีอยู่ก็น่าจะทันถมไป

แต่ทันทีที่ออกดินทาง จากทิศทางที่คาดว่าจะไป เราก็ดันหลงทิศเป็นประเดิมเสียแล้ว เลยจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแผนกันใหม่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จุดแรกจากวัดบางน้ำผึ้งนอกจึงเปลี่ยนไปเป็น "บ้านธูป" ไป

"บ้านธูป"

บ้านธูป เป็นสถานที่ที่จัดไว้เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้มาเยี่ยนบ้างก็มาเยือนเป็นหมู่คณะ บ้างก็มาเดี่ยว แต่ที่นี่มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการทำผ้าบาติกมัดย้อม หรือการทำธูปตามชื่อบ้าน

ในวันที่เราไปถือว่าฤกษ์ไม่สะดวกนัก เพราะมีกลุ่มกิจกรรมนักปั่นกลุ่มใหญ่จากธนาคารออมสินเดินทางมาทำกิจกรรมกันอย่างสนุกสนานมากมาย เราจึงได้เดินดูอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะเดินทางต่อไปในสถานที่ถัดไปจากแผนใหม่ที่เราวางไว้ นั่นก็คือ ตลาดบางน้ำผึ้ง

จากเดิมที่เราวางไว้ว่าจะไป ตลาดบางน้ำผึ้ง เป็นที่สุดท้ายเพราะคาดว่าจะมีการใช้เงินกันเกิดขึ้นแน่นอน แต่กลายเป็นว่าเราต้องเดินทางมาถึงตลาดเป็นแห่งที่สอง เราเดินเที่ยวชมตลาด กินขนมข้าวต้ม ข้าวของสารพัดอย่างขายอยู่ที่นี่ อาหารหลากหลายน่ากิน เราไม่ได้นั่งโต๊ะกันแบบเป็นเรือ่งเป็นราว เพราะแค่เดินกินนี่ก็อิ่มจนท้องจะแตกอยู่แล้ว ข้าวของที่นำมาขายส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า แต่ก็ครีเอตให้ดูเป็น DIY ก็ค่อนข้างราคาถูก เลยตัดสินใจเสียทรัพย์อุดหนุนไปอยู่หลายรายการ

พ่อค้าขายหมวกเพ้นท์ ที่สามารถเพ้นท์ลายต่าง ๆ ให้ลูกค้าได้ทันที

เราเดินออกจากตลาดบางน้ำผึ้งแบบหนักท้อง แต่ตัวเบา เพื่อเดินทางปั่นจักรยานไปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เราวางไว้สำหรับทริปนี้อย่างหมายมั่นปั้นมือ คอยดูเถอะวันนี้จะไปให้รอบเลยทีเดียว

ความคิดเห็น