ทริปแห่งการเฝ้ารอ เพราะลงชื่อจองไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วและเป็นรอบสุดท้ายที่เปิดให้ขึ้นเขาช้างเผือกในปีนี้อีกด้วย จะเปิดให้ขึ้นอีกทีก็คงปลายปีโน้นเลย สำหรับทริปนี้ผมไปกับเพจจัดเที่ยวเจ้าเก่าคือ “TrekManiaThailand:คนบ้าเดินป่า” กับสมาชิกในทีมอีก 8คน แบบมึนๆ งงๆ ไม่รู้จักใครเลย 😅😅 เราออกเดินทางกันประมาณเที่ยงคืนจาก กทม. ถึงอุยานแห่งชาติทองผาภูมิ ประมาณเกือบตี 5 รอซื้อบัตรเข้าอุทยานฯและลงทะเบียนตอน 6 โมงเช้า
(เล่าใต้ภาพ)
เสร็จสับก็ออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านอิต่องปิล็อค ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นไปยังเขาช้างเผือก เรากินข้าวเช้าเตรียมข้าวกลางวันและนัดแนะลูกหาบกันที่นี่ เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบและเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อนึกถึงทองผาภูมิ
พร้อมแล้วประมาณ 9 โมงก็ออกเดินทางกันเลย แดดนี่ร้อนแรงสุดๆไปเลย บวกกับความเหนื่อยล้ามันทำให้รู้สึกอึดอัดหน่อยๆ ลมก็ไม่มี แดดเพียวๆเลย แม่งเอ่ยยยย นี่กูมาทำอะไรวะเนี่ย 5555
แต่พอได้ขึ้นไปบนสันเขาสูงๆก็ทำให้ผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง กับวิวเทือกเขาสลับซับซ้อนสุดตา สวยงามโดนใจจอร์จ 😁😄
มองเห็นสันเขาช้างเผือกอยู่ไกลๆโดดเด่นเป็นสง่า ช่วยปลุกไฟในใจออกมาสู้กับพลังแสงอาทิตย์ได้ดีเลยทีเดียวเชียว(เว่อมั้ย 5555)
เนินสูงชันบางเนินจะมีเชือกไว้ให้ไต่ขึ้น ช่วยเบาแรงลงได้หน่อย
ล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยงกว่าๆ ผมก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ ซึ่งเป็นลานเล็กๆ อยู่ระหว่างเนินเขาสูงใหญ่ ซึ่งจากทิศทางของพระอาทิตย์แล้ว เราจะไม่เห็นมันขึ้นหรือตกได้เลย นอกจากจะยอมปีนกลับขึ้นไปเท่านั้น แค่เห็นเนินเขาก็หยุดความคิดได้แล้ว
แต่ที่สุดยอดไปกว่านั้นคือ ต้นไม้แทบไม่มี มีน้อยต้นไม่พอ แถมยังน้อยใบอีก กูล่ะเพลีย
ระหว่างนี้ไม่ต้องสืบกันเลย อากาศร้อนจัด หาที่หลบไม่ได้เลย แรกๆผมอาศัยมุดเข้าเต็นท์แต่มันยิ่งอบอ้าวเข้าไปใหญ่ 😂 จนต้องหนีไปนั่งกับพวกพี่ๆที่เต็นท์ส่วนกลางของพี่ๆสตาร์ฟซึ่งกว้างและโปร่ง แต่ก็ร้อนเหมือนเดิม 5555
เราทนกับอากาศร้อนจนกระทั่งเวลา 4โมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็เรียกเพื่อจะพาไปยังยอดเขาช้างเผือก ที่จะต้องผ่านจุดไฮไล คือ “สันคมมีด” ซึ่งเจ้าหน้าที่จะพาไปเฉพาะช่วงเย็นเท่านั้น กูรอเวลานี้มานาล่ะ 5555
จากแคมป์ไปยังยอดเขาทางจะชันมากในช่วงแรก โผล่พ้นจากทางชันก็จะเจอกับสันคมมีด ตลอดช่วงนี้จะมีเชือกและสลิงไว้ให้จับประคอง พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
หันซ้ายหันขวาไม่ได้เลย หวิวตลอด 😄 ถืกใจหลาย 😁
เดินตามสันเขากันไปเรื่อย
เดินตามสันเขาแคบๆไม่ไกลมากก็มาเจอเจ้าหัวโล้นลูกใหญ่ลูกนี้ เป็นจุดสูงสุดของเขาช้างเผือก ทางชันเอาเรื่อง แต่จะมีสลิงให้คอยจับประคองตลอดทางขึ้น
พอถึงยอดก็ต้องร้อง โอ้โห !!!!!!!! ร้อนสัสๆ 5555 เห้ยไม่ใช่ สวยดิวะ ชมวิวกัน 360 องศา พร้อมกับลมโชยอ่อนๆ ด้านนึงจะเห็นวิวเป็นเขื่อนวชิราลงกรณอยู่ไกลๆ อีกด้านเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา สวยงามมากๆ มันทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากๆ กับการสัมผัสสิ่งที่สวยงามเบื้องหน้า
และแล้วก็หมดเวลาดื่มด่ำบรรยากาศ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าได้เวลาลงแล้วเพราะกลัวฟ้าจะมืดและเป็นอันตราย
ขณะที่ลงมาถึงจุดตั้งแคมป์เป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตก แสงสีทองเรืองรองเลยทีเดียว แต่มันไม่สะใจเพราะเนินเขาที่บังอยู่ และแล้วก็อดใจไม่ไหวจึงชวนเพื่อนอีกคนนึงปีนขึ้นไปบนเนินเขาอีกฝั่งเพื่อขึ้นไปเก็บบรรยากาศ แต่ด้วยความสูงชันและเร่งรีบ กว่าจะไปถึงก็เล่นเอาหายใจเกือบไม่ทันเลยเหมือนกัน 5555 และมันทำให้ผมเก็บบรรยากาศมาได้เพียงน้อยนิด ไม่นานตะวันก็ลับขอบฟ้าในขณะที่ยังหอบเป็นหมากันอยู่เลย 555 แต่มันก็สนุกและคุ้มนะกับการทำอะไรบ้าๆแบบนี้ 😊😊😊
ฟ้ามืดแล้วก็ได้เวลามื้อเย็น และเมนูของเราก็คือ ชาบู!!! ใช่แล้วดูดีมากๆ อร่อยซะด้วยนะ จากแม่ครัวสายฮาร์ดคอร์ปนฮาบ้าบอ พี่กิ๊กสตาร์ฟของเรานี่เอง 55555 และยังทำให้เป็นค่ำคืนที่สนุกสนานมากกับการล้อมวงสนทนากันครั้งนี้ จากทีแรกที่รู้สึกเกร็งๆกับเพื่อนใหม่ กลับทำให้ผมรู้สึกสบายใจและประทับใจมาก ^^
ถึงเวลาแยกย้ายเข้านอน ช่วงดึกอากาศเย็นมากแต่ไม่จัด พอรับมือไหว (ไม่ได้เอาเครื่องกันหนาวไปเลยยยยย) ตี3ครึ่งผมตั้งนาฬิกาปลุก เพื่อลุกขึ้นมาถ่ายดาว แต่ดันลืมไปว่า คืนนี้จันทร์เต็มดวงนะมึง!!!! สว่างจ้าเลยมองเห็นดาวอันน้อยนิด แต่ไม่เป็นไร ไหนๆก็ลุกมาแล้ว จับมาได้แค่นี้แทบไม่เห็น 😅😆
ตี 5 กว่าๆก็กลับมาเก็บเต็นท์ก่อนใครพวก เพราะนอนต่อไม่หลับแล้ว (ชาวบ้านเขายังไม่ตื่นกันเลยเห้ยยย) นั่งชมจันทร์ไปเรื่อย
และรอเก็บภาพแสงแรกของวัน มันให้ความรู้สึกอบอุ่นใจมากกับเช้าวันนี้
จน 6 โมงเช้าทุกคนเริ่มตื่นมาเก็บข้าวของกัน เพราะจะลงจากเขาตั้งแต่เช้าๆ เพื่อเหลี่ยงอากาศร้อน
มื้อเช้าก่อนกลับของเรา ข้าวต้มร้อนๆ บุฟเฟ่กันเลย อร่อยๆๆๆ 👍👍👍
ลูกหาบส่วนนึงในทริปนี้
ผมรอกลับออกจากแคมป์เป็นคนท้ายๆ เพราะต้องการเก็บบรรยากาศแบบชิลๆ ไม่ต้องไปเดินชนใคร ^^ อากาศดีมากแต่พระอาทิตย์มารอจ้าเลย ผมยืนค้างถ่ายรูปอยู่นานพอสมควร อยากเก็บ อยากซึมซับให้มากที่สุดกับธรรมชาติสวยๆอีกแห่งหนึ่ง ที่ต้องยอมลำบากเพื่อแลกกับมัน ดีต่อใจจริงๆ 👍💕😊
ผมใช้เวลาเดินลงถึงหมู่บ้านอิต่องประมาณ 3 ชั่วโมง คอแห้งและต้องการน้ำสุดๆ และก็ได้ของสมน้ำหน้าคุณ😆จากพี่หญิง(เสื้อเหลือง) ถูกอกถูกใจมาก 5555
ก่อนเดินทางกลับเรายังได้แวะ น้ำตกจ็อกกระดิ่น อีกด้วย ล้างเนื้อล้างตัวเล่นน้ำกันสดชื่นมาก น้ำนี่เย็นเจี๊ยบจนตัวสั่น ลืมความร้อนความเหนื่อยทั้งหมดไปเลยทีเดียว
หมดเวลาสนุกถึงเวลากลับแล้ว จบภารกิจปิดเขาช้างเผือก กับความทรงจำแสนพิเศษ ธรรมชาติ มิตรภาพ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทุกอย่างเหล่านี้สร้างความประทับใจสุดๆไปเลย และมันยิ่งย้ำให้ผมเชื่อว่า
“การสัมผัสธรรมชาติที่อยู่เบื้องหน้า ย่อมสวยงามกว่าภาพถ่ายทุกใบ”
เพราะไม่ใช่แค่การสัมผัสด้วยสายตา แต่รู้สึกได้จากการปะทะด้วยร่างกายและลงลึกเข้าถึงหัวใจ
ขอบคุณธรรมชาติ ขอบคุณสิ่งรอบข้าง ขอบคุณเขาช้างเผือก ที่ก่อให้เกิดความสุขในชีวิต
"ขอบคุณครับ"
Journey(เจอหนี้^^)
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 11.47 น.