SHIRAKAWAGO ... ครั้งเดียวไม่เคยพอ
หลายคนบอกว่า ชิระคะวะโก หมู่บ้านชาวนาหลังคามุงด้วยฟางข้าวในแต่ละฤดูกาลนั้นงดงามและมีเสน่ห์แตกต่างกัน และช่วงที่สวยโรแมนติกที่สุดน่าจะเป็นฤดูหนาว ไม่น่าเชื่อว่าหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักจะรังสรรค์ความงดงามทำให้ทั่วทั้งหมู่บ้านสวยงามมีเสน่ห์น่าหลงใหลได้ถึงขนาดนี้ ภาพหิมะขาวโพลนที่แต่งแต้มทั่วทั้งหุบเขา ต้นไม้และแม่น้ำรวมทั้งที่ถูกทับถมบนหลังคาบ้านเรือน ยิ่งทำให้หมู่บ้านมรดกโลกแห่งนี้งดงามเหมือนดินแดนแห่งเทพนิยาย
เพื่อต้องการใช้เวลาอย่างไม่เร่งรีบในการเรียนรู้การใช้ชีวิตความเป็นอยู่เหมือนย้อนเวลาไปในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทริปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมาพวกเราเลือกพักค้างคืนในหมู่บ้านที่เปิดให้เข้าพักแบบ โฮมสเตย์ สำหรับเพื่อนๆที่คิดจะมาเที่ยว ชิระคะวะโก แนะนำให้นอนพักในหมู่บ้านอย่างน้อยซักหนึ่งคืนจะทำให้ได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจไม่รู้ลืม
#jirobkksnow #Gasshozukuri #Shirakawago #合掌造り民家園 #白川郷
บรรยากาศ Shirakawago ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์งดงามมากครับ เพราะทั่วทั้งหมู่บ้านและหุบเขาเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้หมู่บ้านมรดกโลกแห่งนี้มีสีสันงดงามอย่างมาก ระยะเวลาสามวันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน อยากให้เวลาเดินช้าเพราะตกหลุมรักเมืองนี้เข้าอย่างจัง
Shirakawago หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขาห่างไกลจากโลกภายนอกมาช้านาน อยู่ในจังหวัด Gifu ผู้คนมีอาชีพหลักคือทำการเกษตร ทำนาปลูกข้าว ใช้ชีวิตแบบพอเพียง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานซักเท่าไหร่ก็ตามคนในหมู่บ้านชาวนาแห่งนี้ยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบเดิมๆเหมือนในอดีตซึ่งเป็นเอกลักษณ์เด่นและเมื่อมาสัมผัสหมู่บ้านชนบทแห่งนี้จะเกิดความรู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนเวลาไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยว Shirakawago ได้ทุกฤดูและแต่ละฤดูก็ให้บรรยากาศความงามแตกต่างกันไป
เอกลักษณ์โดดเด่นของหมู่บ้านชาวนา คือกลุ่มอาคารบ้านเรือนที่สร้างแบบโบราณซึ่งมีอายุมากกว่า 250 ปี หลังคาบ้านมุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่าการสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri 合掌造り) คำว่า "กัสโช" หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว
ด้วยความมีเอกลักษณ์โดดเด่นของสถาปัตยกรรมตัวบ้านหลังคามุงด้วยฟางข้าวแบบพนมมือที่เรียกว่า กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri 合掌造り)และผู้คนในหมู่บ้านยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบเดิมๆเหมือนในอดีต ทำให้ Shirakawago ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 6 ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 1995
หลังคาบ้านมุงด้วยฟางข้าวแบบกัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri 合掌造り ) นั้นเมื่อเริ่มสร้างใหม่ๆจะมีความหนาถึง 1 เมตรเลยทีเดียว ที่ต้องทำหลังคาเอาไว้หนา ๆและชันถึง 60 องศานั้น ก็เพื่อลดแรงต้านเวลาหิมะตกหนัก และป้องกันอุบัติเหตุจากการสะสมของหิมะบนหลังคาได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสภาพภูมิอากาศของหมู่บ้านแห่งนี้มีหิมะตกหนักมาก
และเมื่อหลังคาชำรุดถึงเวลาต้องเปลี่ยนใหม่หรือต้องซ่อมแซม ชาวบ้านในหมู่บ้านจะพร้อมใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันคล้ายกับการลงแขกเกี่ยวข้าวบ้านเรา แต่คุณป้า โนะดะ เจ้าของบ้านบอกว่าปัจจุบันการออกแรง ลงแขก แบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว ส่วนใหญ่จะใช้วิธีจ้างผู้รับเหมา
บ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านชาวนาแห่งนี้ต้องต่อสู้กับศัตรู 3 แบบคือ การเสื่อมโทรมของบ้านตามกาลเวลา ปัญหาเรื่องเพลิงไหม้ และปัญหาจากหิมะที่ตกลงมาทับถม และเนื่องจากวัสดุที่ใช้สร้างบ้านแต่ละหลังเป็นไม้และฟางข้าว เพราะฉนั้นสิ่งที่คนในหมู่บ้านให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือเรื่องการเกิดอัคคีภัย การสูบบุหรี่ถือเป็นหนึ่งในข้อห้ามเช่นเดียวกับการจุดพลุ
การรณรงค์ป้องกันอัคคีภัยเป็นเรื่องสำคัญ มีการแต่งตั้งหน่วยลาดตระเวนออกตรวจตราบริเวณรอบๆหมู่บ้านอย่างสม่ำเสมอและมีการทดสอบระบบการฉีดน้ำด้วยสปริงเกอร์อยู่เป็นระยะ ตามที่ปรากฏรูปการฉีดน้ำในสื่อโฆษณษาอยู่เป็นประจำ
ภาพความสวยงามของหมู่บ้านท่ามกลางหิมะขาวโพลนที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะเวียนไปชื่นชมกันนั้น กลับเป็นห้วงเวลาที่คนในหมู่บ้านต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติชนิดนี้อย่างลำบาก เพราะในฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม หิมะที่ตกลงมาอย่างหนักปกคลุมหนาถึง 2-3 เมตร ชาวบ้านจำเป็นต้องปีนขึ้นไปบนหลังคากวาดหิมะลงมาเพื่อไม่ให้มันสะสมมากจนหลังคารับน้ำหนักไว้ไม่ไหว และหิมะที่เกาะแน่นจะทำให้หลังคาฟางข้าวกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง
กระแสลมแรงหรือเวลามีไต้ฝุ่นก็เป็นภัยธรรมชาติต่อหมู่บ้านเช่นกัน แต่ด้วยภูมิปัญญาเรื่องการสร้างบ้านแบบกัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri 合掌造り) ที่ถ่ายทอดกันมาหลายร้อยปี ทำให้ปัญหาเรื่องลมไม่ส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านโบราณแห่งนี้ กล่าวคือบ้านกัตโชทสึคุริจะถูกสร้างโดยหันหลังคาไปทางทิศทางเดียวกันจากตะวันตกและตะวันออกอย่างเป็นระเบียบจึงทำให้ปลอดภัยจากกระแสลมที่พัดจากเหนือลงใต้ไปตามลำน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้าน
Shirakawago ตั้งอยู่ในหุบเขามีลำธารน้ำไหลผ่าน การเข้าถึงหมู่บ้านมรดกโลกแห่งนี้นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเดินข้ามสะพาน เดะอะอิบาชิ(Deaibashiであい橋) ที่ทอดตัวเหนือลำธารน้ำโชงะวะ (shogawa 庄川) ในฤดูใบไม้ร่วงประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนภูเขาด้านหลังเหนือหุบธารแห่งนี้จะเต็มไปด้วยวิวทิวท้ศน์ใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามมากเหมือนมีใครนำสีมาแต่งแต้มไว้บนภูเขา
การมาเที่ยวหมู่บ้านมรดกโลกแบบเพียงครึ่งวันไปเช้าเย็นกลับ อาจทำให้นักท่องเที่ยวไม่ได้สัมผัสความงดงามและวิถีชีวิตของชุมชนในหมู่บ้านนี้ได้อย่างเต็มที่ หลายคนจึงเลือกที่จะพักค้างคืนในหมู่บ้านชาวนาเพื่อใช้เวลาอย่างไม่เร่งรีบในการเรียนรู้การใช้ชีวิตความเป็นอยู่เหมือนย้อนเวลาไปในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ปัจจุบันบ้านชาวนาหลายแห่งเปิดให้เข้าพักค้างคืนได้ โดยจะเป็นลักษณะโฮมสเตย์ที่เรียกว่า Minshuku (民宿) กล่าวคือพักอยู่ที่บ้านของชาวบ้านที่เปิดให้บริการให้นักท่องเที่ยวไปพักด้วย เป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวนาญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
เจ้าของบ้านต้อนรับพวกเราเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวด้วยห้องพักปูด้วยเสื่อทะทะมิ นอนบนฟูกฟุตง อาบน้ำรวมแบบโอะฟุโระ แม่บ้านทำอาหารให้ทานสองมื้อด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นรวมถึงข้าวที่ปลูกเอง การสื่อสารกับเจ้าของบ้านอาจต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใดเพราะปัจจุบันการเที่ยวในหมู่บ้านเป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ภาษาจึงไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
บ้านพักแบบ โฮมสเตย์ ที่เรียกว่า Minshuku (民宿) ต้องใช้เวลาจองล่วงหน้ามากกว่า 3 เดือน บางแห่งอาจมากกว่า 6 เดือนในฤดูท่องเที่ยวช่วง High Season และบ้านบางหลังอาจกำหนดเงื่อนไขการจองว่าอนุญาตให้พักได้เพียงคืนเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการเปิดโอกาสแบ่งให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆพักบ้าง
การจองบ้านแบบโฮมสเตย์(Minshuku)ในหมู่บ้านชาวนา Shirakawago ทำได้สองวิธีคือ
1. ส่งอีเมล์ไปจองที่ [email protected] โดยบอกความต้องการพร้อมรายละเอียดและวันที่เข้าพัก หลังส่งอีเมล์ไปคนรับผิดชอบจะตอบกลับมาว่ามีบ้านหลังไหนว่างบ้าง พร้อมทั้งเลือกบ้านพักให้เรา
2. โทรศัพท์ไปจองโดยตรงกับบ้านพัก (ใช้ภาษาญี่ปุ่นในการสื่อสาร)
แต่ถ้าไม่มีเวลามากพอในการพักค้างแรมที่หมู่บ้านชาวนา นักท่องเที่ยวอาจหาโอกาสศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนโบราณแห่งนี้ได้ตามบ้านที่เปิดเป็น พิพิธภัณฑ์ เช่นบ้านคันดะเคะ (Kandake), บ้านวาดะเกะ (Wadake) วัดเมียวเซนจิ (Myozenji)
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง MINKAEN(合掌造り民家園)
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Gasshozukuri MINKAEN(合掌造り民家園)
ข้างในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหม
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Gasshozukuri MINKAEN ราคา 600 เยน, เด็กราคา 400 เยน(สามารถเข้าออกพิพิธภัณฑ
จุดชมวิวในหมู่บ้านชาวนา Shirakawago (白川郷)ที่นักท่องเที่ยวชอบถ่ายภาพกันมีอยู่หลายแห่ง ในจำนวนนั้นมีสามสถานที่ที่ไม่ควรพลาดคือ
1. Shiroyama View Point (城山展望台) ที่อยู่บนเนินเขา
2. บ้านสามหลังที่บริเวณ Kanmachi (かん町)
3. วัด Myozenji (明善寺)
ทั้งสามจุดดูเหมือนว่าวัด Myozenji (明善寺)เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาถ่ายภาพกันอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วย Location ที่หาง่ายและโดดเด่นสดุดตาอีกทั้งบริเวณหน้าวัด Myozenji มีนาข้าวที่เป็นแอ่งน้ำทำให้เป็นที่นิยมในการถ่ายภาพเงาสะท้อนตัววัดลงบนผิวน้ำ
บ้านสามหลังที่บริเวณ Kanmachi (かん町) เป็นจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดชม จุดชมวิวนี้อยู่ห่างจากชุมชนอาจต้องเสียเวลาเดินสักหน่อย แต่เพื่อแลกกับภาพวิวบ้านทรงพนมมือสามหลังที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบก็นับว่าคุ้มค่าเหนื่อย
Shiroyama View Point (城山展望台)
เป็นจุดชมวิวอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้านเป็นไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนต้องขึ้นไปยืนชมวิวหมู่บ้าน จะเดินขึ้นไปหรือใช้บริการรถบัสราคา 200 เยนก็ได้ วิวบนเนินเขางดงามมากสามารถมองเห็นป่าเปลี่ยนสีที่โอบล้อมหมู่บ้านด้านล่างไว้ (ทางเดินขึ้นจุดชมวิวปิดในช่วงฤดูหนาวเพราะอันตรายเนื่องจากหิมะที่ตกลงมาทับถมทางเดิน)
การเดินขึ้นเนินไปยัง Shiroyama View Point ก็มีข้อควรระวังคือเรื่องความปลอดภัยเนื่องจากระยะหลังมี หมี ลงเขามาอาหารกินอยู่เป็นบ่อยครั้ง คุณยายเจ้าของบ้านเล่าให้ฟังว่าเมื่อไม่นานมานี้ชาวบ้านถูกหมีทำร้ายถูกกัดใบหูจนแหว่ง เพื่อความอุ่นใจการเดินขึ้นลงเนินเขาโดยไปกันเป็นกลุ่มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากทางเดินทำไว้ดีใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีเท่านั้น วิวทิวทัศน์ระหว่างทางก็งดงามแปลกตาไม่แพ้บนจุดชมวิวด้านบน
วิธีเดินทางไปเที่ยว Shirakawago
จากสถานี JR Nagoya นั่งรถไฟสาย JR Hida Wideview ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาทีไปลงที่สถานี JR Takayama จากนั้นนั่งรถ Nohi Bus ที่หน้าสถานี JR Takayama ต่อไปอีก 50 นาที เพื่อไปยังหน้าหมู่บ้าน Shirakawago
กรณีไม่มี JR Pass ให้ใช้บริการ Nohi Bus นั่งจากสถานี JR Nagoya ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งไปจนถึงสถานี JR Takayama จากนั้นนั่งรถ Nohi Bus ที่หน้าสถานี JR Takayama ต่อไปอีก 50 นาที เพื่อไปยังหน้าหมู่บ้าน Shirakawago ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้ นั่งรถไฟสาย JR Hida Wideview มากกว่าเพราะเส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่านวิวทิวทัศน์ระหว่างทางสวยมาก
อีกวิธีคือการเช่ารถขับ อาจเลือกพักที่เมือง ทะคะยะม่า แล้วเช่ารถขับแบบไปเช้าเย็นกลับกเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
jirobkk
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 12.22 น.