ท่องทะเลอันดามัน กินลม ชมชิวล์ ภูเก็ต - กระบี่


อารมณ์ 'อยากเที่ยว' ทำให้นักเดินทางออกเที่ยวได้ทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะร้อนแบบตับแลบ หนาวจนสะท้านทรวง หรือฝนมา...พายุกระหน่ำ พวกเราๆ ก็ยังเที่ยวกันได้

ปลายฝนของเดือนกันยายน ย่างเข้าเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราก็เลยเก็บกระเป๋า สะพายกล้อง พาตัวเองหลีกลี้น้ำท่วมกทม. หนีรถที่ติดหนึบไปยัน...สะพานดาวอังคาร

หนี 'กรุง' ไปติด 'เกาะ' เสียเลย

...จะว่าไป ทริปนี้เกิดจาก 'ความอยากเที่ยว' แท้ๆ เลย ทั้งที่เป็นหน้าฝน ที่ร่ำๆ จะมีมรสุม อีกทั้งบรรดาพายุชื่อประหลาดๆ ที่ชอบจับมือกันตีตั๋วมาเยือนภาคใต้ของไทยอยู่เนืองๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่นึกหวั่น เมื่อเราตั้งต้น 'ความอยาก' ด้วย 'ความตั้งใจ' เติมเต็มเสียหน่อย ด้วยการจองตั๋วเครื่องบินในราคาประหยัด ไม่ถึง 400 บาท ก็ได้ออกเที่ยวสมใจแล้ว

คราวนี้ล่ะ ไม่ว่า...ฟ้าจะหม่น ฝนจะตั้งเค้า คลื่นลมจะแรงแค่ไหน หรือไปติดเกาะ ก็ไม่ใช่ปัญหา!!!

ไม่ต้องกังวลไปหรอก ว่า 'ข้างหน้า' มีอะไรรอเราอยู่ ก็แค่...ยิ้มสู้ แล้ว Stay Alive!! ไปกับชีวิตติด 'เกาะ' ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้เป็นพอ :)

เมื่อนึกถึงแดดจัดจ้า กลิ่นทราย ไอเค็ม ก็หนีไม่พ้น...ทะเล ใช่! ที่ที่เราจะไปเป็นสถานที่ที่ใครๆ ก็รู้จักเพราะเป็นเมืองที่ 'ชวน' ท่องเที่ยว วันนี้เราจะออกไปสูดอากาศโปร่งๆ แหงนหน้าคอตั้งบ่า มองฟ้าใสๆ ไปติดเกาะ [ภูเก็ต] และอีกหลายๆ เกาะใน [กระบี่] กันล่ะ

:: ทำไมต้องเป็นที่นี่?

สั้นๆ กับความเป็น จังหวัดภูเก็ต (Phuket Province) เป็นจังหวัดหนึ่งในบ้านเรานี่แหละ และเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภูเก็ต ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอินเดีย เป็นเมืองที่มีการรวมกันของกลุ่มชน ชาวไทย ชาวจีนและมาเลเซีย มีเอกลักษณ์จากการผสมผสานความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของประเทศเรา

สำหรับ จังหวัดกระบี่ (Krabi Province) เป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับทิศตะวันออกของภูเก็ต ที่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันเลย กระบี่ มีอาณาเขตติดฝั่งทะเลอันดามัน [เป็นเมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก] ที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ น้ำตก ชายหาด และหมู่เกาะน้อยใหญ่ร้อยกว่าเกาะ


:: 30 Sep 2015

เราเดินทางโดยสายการบินหนึ่ง ด้วยเที่ยวบินเช้ามั่กมาก..กก (Depart เวลา 6.45 น.) จากสนามบินดอนเมือง มุ่งหน้าสู่กระบี่ ระยะทาง(รถ) 814 กิโลเมตร ย่นระยะเวลา 11-12 ชั่วโมงไปเป็น...หนึ่งชั่วโมงกับสิบนาที ไม่ช้าไม่นานก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ ตอนแปดโมงเช้า จากแพลนที่วางไว้เราจะหามื้อเช้ากินที่นี่ แล้วค่อยเดินทางต่อไปภูเก็ตกันค่ะ

:: จังหวัดกระบี่ มี 2 ฤดู คือ หน้าร้อน (เดือนพ.ย.- เม.ย.) กับหน้าฝน (เดือนพ.ค.- ต.ค.) ช่วงที่เรามาเป็นหน้าฝนพอดิบพอดี พยากรณ์อากาศวันสองวันก่อนเดินทาง มีฝน ก็ต้องเสี่ยงโชคกันหน่อยว่าเที่ยวหน้าฝน จะเจอฝนมากน้อยแค่ไหน? โชคดีอยู่อย่าง...ตอนมาถึงฟ้าโปร่ง มีแดดและอากาศร้อนนิดๆ

ปล. เล่านิดหนึ่ง คณะเดินทางครั้งนี้บินจากกทม.ถึงกระบี่ 2 คน มาเพิ่มที่กระบี่เป็น 3 คน และวันพรุ่งนี้ที่บินตามมาจากกทม. จึงจะครบ 4 คนค่ะ

ปล. นอกจาก [เที่ยว] แล้ว การเดินทางครั้งนี้ยังถือเป็นการกลับไปเยี่ยมบ้านที่ภูเก็ตด้วย ฉะนั้นเมื่อถึงภูเก็ตก็เลยไม่ได้พักโรงแรมนะ :)

พอออกจากสนามบินปุ๊บ ต่อมหิวก็ทำงานทันทีล่ะ ร้านอาหารที่นี่เปิดกันแต่เช้า นับเป็นวัฒนธรรมการกินที่คล้ายๆ กันของคนกระบี่กับภูเก็ตละมั้ง ที่เช้าๆ นิยมนั่งร้านน้ำชา จิบไปคุยไป ส่วนอาหารเช้าที่นิยมคือ ขนมจีน และถ้าเป็นเจ้าอร่อยของที่นี่ก็ต้องเจ้านี้เลยค่ะ


:: ขนมจีนแม่แวว ไสไทย ขนมจีนปักษ์ใต้ ของดีเมืองกระบี่ที่ชิมแล้วถูกปากมาก รสชาติเข้มข้น เผ็ดจัดจ้านแบบถึงเครื่องแกง แกล้มด้วยผักถาดใหญ่ อย่างมะเขือเปราะ ใบมันปู ผักดองชนิดต่างๆ

ร้านเป็นบ้านไม้ที่น่าจะแบ่งมาเป็นพื้นที่ขายของ อารมณ์เหมือนนั่งกินในบ้านอย่างไรอย่างนั้น ด้านหน้าตั้งแกงหม้อ มีหลายอย่างให้เลือก อาทิ แกงไตปลา แกงป่าน้ำยานครฯ น้ำพริก (ออกหวานหน่อยๆ) น้ำยากะทิ (อ่อนเผ็ดนิดๆ) อันนี้ก็แล้วแต่ชอบเลย เราขอลองแกงเขียวหวานไก่บ้านมะเขือยาวจานหนึ่ง เผ็ดน้ำหูน้ำตาไหลกันทีเดียวล่ะ แก้เผ็ดด้วยไข่ต้มสุก ห่อหมกปลากับหมูปิ้งร้อนๆ ถือว่าอร่อยสุดล่ะ

ปล. ร้านตั้งอยู่ริมถนน ตำบลไสไทย อำเภอเมือง สังเกตป้ายไว้ หาไม่ยากนะ

ท้องอิ่ม หนังตาหย่อนนิดๆ ร่างกายร้องหาคาเฟอีนด้วยความเคยชิน แวะซื้อกาแฟที่ปั้มน้ำมันระหว่างทางแล้วเดินทางต่อ ไป เกาะภูเก็ต กันเลย คราวนี้เราเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว จากกระบี่ ผ่านพังงาแล้วเข้าสู่ภูเก็ต (เส้นทางหลวงแผ่นดิน 402) ด้วยระยะทาง 176 กิโลเมตร ประมาณ 2 ชั่วโมงก็...ถึง


...และแล้ว เราก็พาตัวเองกลับมาติด เกาะ อีกครั้ง ภูเก็ต เป็นเกาะที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งสถานที่เที่ยว วิวสวยๆ หาดทรายขาวๆ ร้านอาหารแทบจะทุกประเภท ร้านกาแฟนั่งชิวล์ บูทีคโฮเทลสุดชิค หรือกระทั่งโรงแรมหรูระดับห้าดาว

:: รอบๆ เกาะภูเก็ต เหมาะแก่การกินลม ชมวิว ถ้าพูดถึงการชมพระอาทิตย์ตก สวยที่สุดต้องที่ แหลมพรหมเทพ (Laem Phromthep) ถือเป็น Landmark ที่ไม่ไปเยือนเหมือนมาไม่ถึงภูเก็ต แต่วันนี้...เราจะชวนไปชมวิวที่สวยไม่แพ้กัน ณ จุดชมวิวกังหันลม บนเขาแดงกันค่ะ

:: จุดชมวิวที่สอง ณ จุดชมวิวบนยอดเขารัง ชวนไปชมวิวแบบพาโนราม่าของบ้านเมืองชาวภูเก็ต จากตรงนี้เรามองเห็นฟ้ากว้างๆ แนวเทือกเขากับวิวทะเลอยู่ไกลๆ

เขารัง (Khaorang) ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ บนถนนคอซิมบี้ เราสามารถขับรถขึ้นไปจอดข้างบนได้ เหมาะกับการชมทัศนียภาพทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ในยามค่ำคืนจะเห็นแสงไฟระยิบระยับก็สวยงามไปอีกแบบ

:: จุดชมวิวที่สาม เข้าใกล้ธรรมชาติขึ้นมาอีกนิดที่ จุดชมวิวบริเวณปางช้าง อยู่ทางซ้ายมือของเนินทางขึ้นเขาไปสักการะองค์พระใหญ่หรือ พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี บนยอดเขานาคเกิด ตรงนี้เป็นจุดท่องเที่ยวที่ให้สัมผัสครอบครัวช้าง ด้านบนมีศาลาเปิดกว้างให้เห็นทิวทัศน์อีกมุมหนึ่ง เป็นความเขียวขจีของป่า ก่อนจะสบสายตากับวิวทะเลและหมู่เกาะเล็กๆ

:: หลงเสน่ห์หมู่เกาะ ภูเก็ต มิใช่แค่เมืองที่มีความเจริญเข้าถึงในทุกๆ ด้าน มิใช่แค่เมืองที่เต็มไปด้วยธุรกิจท่องเที่ยวจนเงินสะพัด มิใช่แค่หมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในไทย แต่ถูกจดจำในฐานะ เมืองที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เมืองที่เสน่ห์ยังคงอยู่ คู่ไปกับความเจริญทางด้านสาธารณูปโภค เมืองที่ผู้คนมีเอกลักษณ์ในการดำเนินชีวิต ทั้งด้านการกิน การอยู่ และภาษาที่พูด เมืองที่สถาปัตยกรรมครั้งเก่าก่อน ยังคงทิ้งร่อยรอยไว้อย่างสมบูรณ์

เราพบเสน่ห์เหล่านั้นได้จากการเดินรอบตัวเมือง ภูเก็ต อาคารบ้านเรือนยังคงความโดดเด่นในแง่สถาปัตย์ แบบ ชิโน-โปรตุกีส (Sino-Portuguese) พูดแบบง่ายๆ เป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลการออกแบบจากการผสมผสาน รูปแบบเอเชียกับยุโรป

อาคารสไตล์โคโรเนียลเหล่านี้ กระจายอยู่รอบๆ ตัวเมือง บนถนนหลายสาย เช่น ถนนเยาวราช, ดีบุก, กระบี่, พังงา และที่ลืมไม่ได้คือ ซอยรมณีย์ เดี๋ยวเราไปเดินดูรอบๆ ด้วยกัน...


จากตรงนี้เป็น ศูนย์รวมข่าวพรหมเทพ หรือที่เราเรียกติดปากว่า หอนาฬิกา เป็นอาคาร 2 ชั้น สีขาวทั้งหลัง ตั้งโดดเด่นอยู่ระหว่างถนนรัษฎากับถนนภูเก็ต แวะถ่ายรูปแล้วขับรถไปจอดแถวๆ ถนนกระบี่ เดินเอา จะเห็นอาคารแบบที่ว่า...เป็นแถว เป็นแนว ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าตั้งกันมาเก่าแก่ และอีกหลายๆ หลังคาเรือนที่ผันตัวจากแค่บ้านไปเป็นร้านน่านั่งไปแล้ว

:: พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว (Phuket Thaihua Museum) อยู่ที่ถนนกระบี่ เดิมเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนแห่งแรกในภูเก็ตก่อตั้งโดยชาวจีนฮกเกี้ยน ถ้าอยากรู้จัก ภูเก็ต ด้านความเป็นมา ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ การดำรงชีวิตและวัฒนธรรมประเพณี เริ่มได้ที่นี่! ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงภาพถ่ายของโรงเรียน เรื่องราว ความเป็นมาของชาวจีนฮกเกี้ยน ที่ย้ายมาตั้งรกรากที่ภูเก็ตไว้อย่างละเอียดลออ

ปล. มีค่าเข้าชมคนละ 50 บาท ส่วนต่างชาติคนละ 200 บาท อ้อ! ที่นี่ไม่มีวันหยุด

กว่าจะมาเป็นพิพิธภัณฑ์สักแห่ง ที่รวบรวมเรื่องราวไว้มากมาย ไม่ต่างจากช่วงชีวิตหนึ่งของคนเราที่สะสมไปด้วยประสบการณ์และความทรงจำ เรารู้สึกถึง 'ความเหมือน' ในเรื่องคุณค่ากับกาลเวลาที่ถูกสั่งสมอยู่ในตัวตนของสิ่งเหล่านั้น และทำให้เรานึกถึงเรื่องหนึ่ง...

เราว่า 'อดีต' มีหน้าที่เก็บเกี่ยวความทรงจำครั้งเก่า เอาไว้บอกเล่า 'ปัจจุบัน' ของเราเสมอ ถ้าอยากรู้จักใครสักคนให้ลึก ลองเรียนรู้จากอดีตของเขาดูบ้าง บางทีเราอาจเข้าใจ 'ตัวตน' ของคนคนนั้น ลึกซึ้งขึ้นอีกนิดก็เป็นได้


:: Cafe' IN เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกข้างๆ พิพิธภัณฑ์นั่นเอง แค่เห็น 'ป้าย' ต่อมความอยากรู้ก็เต้นตุ้บๆ ดึงให้เดินเข้าไปด้อมๆ มองๆ พอพ้นช่องประตูโค้งๆ เข้าไปก็เห็นสนามหญ้ากับสวนตกแต่งไว้อย่างร่มรื่น ระหว่างทางเป็นมุมนั่ง สีสันจัดๆ ของโซนเอาท์ดอร์ ปูพื้นด้วยหญ้ากับวางแผ่นหิน ไว้เป็นทางเดินไปยังส่วนของคาเฟ่ซึ่งเป็นโซนห้องแอร์

เราลองชิม โอ๋วเอ๋วน้ำผึ้งมะนาว คิดว่าน่าจะเป็น Signature เพราะคุณพี่เจ้าของร้านยืนเชียร์หน้าตู้กันทีเดียว โอ๋วเอ๋ว เสิร์ฟในถ้วยใส แต่งหน้าด้วยเลมอนฝานชิ้นโตกับลิ้นจี่ (โอ๋วเอ๋ว คือ น้ำแข็งใสน่ะนะ) รสชาติไม่หวานจัด ดับร้อนและชุ่มคอดีเลยล่ะ อีกอย่างที่สั่งมาเป็นเมนูน้ำผลไม้โซดาซ่าๆ สีม่วงสวย ใครหนีร้อนจากการเดินเที่ยวในพิพิธภัณฑ์ ก็แวะกันได้

ติด 'เกาะ' ทั้งที ถ้าไม่เห็นทะเลสีครามเข้มตัดกับท้องฟ้าก็กระไรอยู่ บ่ายวันนี้เราออกจากตัวเมืองไปสัมผัสน้ำทะเล ที่ หาดในหาน (Nai Han Beach) อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 18 กิโลเมตร ใกล้ถึงจะมีบึงน้ำขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า หนองหาน เป็นจุดสังเกต

ที่นี่...หาดทรายเป็นสีขาวละเอียด วิวสวย ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าหาดอื่น นับว่าเป็นหาดหนึ่งที่น่าเที่ยวค่ะ


และที่เห็นตั้งอยู่ไกลๆ ทางซ้ายมือนู่น เหนือหาดในหานขึ้นไป บนเขาแดงเป็นที่ตั้งของ สถานีไฟฟ้าพลังงานทดแทน (Wind Farm) ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและตรงจุดนั้นเองคือ จุดชมวิวกังหันลม ที่เราจะไปเยือนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

ขับรถแป๊บเดียวถึงโดยใช้เส้นทางเดียวกับที่ไปแหลมพรหมเทพ จุดหมายของเราเป็นจุดชมวิวซึ่งตั้งอยู่ทางขวามือก่อนถึงหาดยะนุ้ย มองขวาไว้นะ พอเห็นกังหันก็ใช่เลย


:: จุดชมวิวกังหันลม ตั้งอยู่ระหว่างแหลมพรหมเทพกับหาดในหาน อยู่ติดกับหาดยะนุ้ย เป็นจุดที่ผู้นิยมเล่นพาราไกลดิ้ง (Paragliding) มาร่อนร่มท้าแดด...ลม ชมวิวอยู่เป็นประจำ พูดได้ว่าเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากอีกแห่งหนึ่งบนเกาะภูเก็ต

บนเขาแดง ณ จุดที่ตั้ง Wind Farm มีศาลาตั้งอยู่ในมุมเหมาะ เราขึ้นไปชมวิวในมุมกว้างที่เห็นท้องทะเลสีเขียวมรกต ท้องฟ้ากว้างสุดสายตากับหาดทรายขาวเบื้องล่าง เพียงแค่ยืนเฉยๆ เงยหน้าขึ้นรับลมให้ชุ่มปอด ชมทุ่งหญ้าสีเหลืองทองที่พากันพัดพลิ้วตามกระแสลม ภาพเดียว...แต่ก็ทำให้ปลอดโปร่ง โล่งหัวดีจัง!

จากจุดที่เรายืน จะเห็นน้ำทะเลระยิบระยับยามต้องประกายแดด มองลงไปทางฝั่งขวาที่เห็นลิบๆ คือ หาดในหาน ส่วนเวิ้งเล็กๆ ฝั่งซ้ายข้างล่างเป็น หาดยะนุ้ย ที่เหนือขึ้นไปบนเขาเป็นถนนคดโค้งที่นำไปยัง แหลมพรหมเทพ ที่มีส่วนปลายสุดของแหลมยื่นต่อลงไปบรรจบในทะเล

ณ เวลานี้ เส้นขอบฟ้าจางๆ ตัดกับเส้นมหาสมุทร จากเข้มก็ค่อยๆ เหลือบจางเมื่อย่างเข้ายามเย็น ฟ้าหม่นเริ่มแต่กลับเจิดจ้าขึ้นตอนที่พระอาทิตย์เตรียมตัวโบกมือลาเรา ก่อนที่แสงเหลือบเรื่อจะจัดขึ้นๆ เป็นสีส้มอมแสด แทรกซ้อนอยู่ตามหลืบเมฆเบาบาง เกลี่ยแสงออกมาเป็นริ้วอ่อนๆ แล้วกลบกลืน ลับหายไปที่ปลาย...ฟ้า

การยืนมองพระอาทิตย์ตก...บอกลาวันนี้ กับการได้ยืนดูแสงแรกของอรุณเพื่อต้อนรับวันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนที่เหมือนกันก็คือ ช่วงเวลาของแสงแรกกับแสงสุดท้าย เต็มไปด้วยพลัง บ่งบอกถึงการมีชีวิตและคงอยู่เพื่อรับแสงใหม่ของวันต่อๆ ไป

ตราบที่ดวงอาทิตย์ยังคงขึ้นและตกเฉกเช่นทุกวัน จงรักษาความมีชีวิตชีวา และพลังสร้างสรรค์ให้คงอยู่กับเรา เก็บมันไว้แล้ว Stay Alive!! ไปกับมันเถอะ

หมดวันไปแบบไม่ทันตั้งตัว เราลงจากจุดชมวิววกกลับเข้ามาในตัวเมือง มองหาของอร่อยยามดึก แวะที่นี่ ร้านข้าวต้มแห้ง โกเบ๊นซ์ (อยู่ภูเก็ตนะ แต่เพิ่งชิมเป็นครั้งแรก) ข้าวต้มแห้งหน้าตาเป็นยังไง? เดี๋ยวต้องลอง...

ข้าวสวยพร้อมเครื่องแน่นๆ โรยกระเทียมเจียวกับต้นหอมซอย เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปร้อนๆ ซดคล่องคอ ก็ลงตัวดี เมนูอื่นก็ไม่น้อยหน้า มีก๋วยจั๊บ ข้าวต้มกระดูกหมู เรียกว่าอร่อยจนต้องเข้าคิวรอ ตอนมาถึงคนเยอะแล้ว เขาว่า...ตกดึกยิ่งเยอะ ก็ของเขาดีอ่ะนะ

ปล. ร้านอยู่บนถนนกระบี่ เปิดทุ่มหนึ่ง ปิดราวๆ ตีสองแหน่ะ เหมาะกับคนนอนดึกซะจริง

:: 1 Oct 2015

...บอกแล้วว่าติด 'เกาะ' ครั้งนี้ ไม่มีอด

เมนูอาหารเช้าว่อนอยู่ในหัวตั้งแต่ลุกขึ้นอาบน้ำแปรงฟันเลยล่ะ อย่างที่บอก...วัฒนธรรมการกินของที่นี่น่าสนใจ เช้าๆ ผู้คนจะใช้เวลาไปอย่างไม่รีบเร่ง Slow Life ไปกับการนั่งจิบชา กินกาแฟโบราณ หนักท้องหน่อยก็เข้าร้านขนมจีน และที่ขาดไม่ได้ เมนูอาหารเช้าของคนภูเก็ต คือ ติ่มซำ หรือ เส่วโบ๋ย นึ่งร้อนๆ คำโตๆ ที่รอเสิร์ฟลูกค้ากันถึงโต๊ะเลย

:: 9.00 น. กว่าๆ ถือว่า 'สาย' สำหรับที่นี่ อยากกินติ่มซำเลยไปที่นี่ ร้านบุญรัตน์ โกล์ด เปิดขายจนถึงสายๆ กว่าเจ้าอื่น เป็นสาขาของ ร้านบุญรัตน์ ร้านเก่าแก่ของภูเก็ต ตั้งอยู่ที่โครงการวิลล่าดาวรุ่ง (อยู่นอกตัวเมือง) นอกจากติ่มซำเต็มคำ สดๆ ใหม่ๆ แล้วเราชอบ บักกุดเต๋ นะ รสชาติดีกินแล้วอุ่น ดีกับสุขภาพด้วย

:: Phuket Old Town ย่านเมืองเก่าของภูเก็ต ภารกิจเยี่ยมเมืองเก่ายังไม่เสร็จ วันนี้มาที่ ซอยรมณีย์ ซึ่งเป็นตรอกเล็กๆ มีระยะเดินเพียงสั้นๆ แต่โดดเด่นมากทางด้านสถาปัตยกรรมของบรรดาตัวอาคาร ที่แข่งการคลาสสิคด้วยสีสัน ลวดลายประตูหรือกระทั่งหน้าต่าง ตามแนวถนนประดับประดาด้วยโคมแดง ได้ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเยือนเมืองภูเก็ตในยุคก่อน

แวะชิม ขนมอาโป๊ง แม่สุณี หรือ ขนมกระโปรงทอง ขนมพื้นเมืองของภูเก็ต นิยมกินเป็นของว่างคู่กับชา กาแฟ อาโป๊ง เป็นแผ่นแป้งพร้อมส่วนผสมที่ลงตัว ทำให้สุกในกระทะบนเตาอั้งโล่จนได้สีเหลืองทอง ม้วนเป็นโรลยาวๆ กินแล้ว กรอบนอก...นุ่มใน


คนติด 'เกาะ' ไม่ยอมอดกาแฟ โชคดีที่นี่มีร้านกาแฟให้เลือกชิม เลือกชิวล์ตามอัธยาศัย เรียกได้ว่าแทบจะทุกหัวถนนจนชิมเท่าไหร่ก็ยังไม่ครบร้านสักที บนถนนถลาง มีร้านเก๋ๆ ร้านหนึ่ง เชิญชวนเราให้เข้าไปสัมผัสเสียตั้งแต่ป้ายด้านหน้าที่บอกว่าเป็น Coffee Bar : Book Store : Art Space ข้างในจะเป็นยังไง 'อาร์ต' แค่ไหนเดี๋ยวรู้กัน!

:: ร้านหนัง (สือ) ๒๕๒๑ Bookhemian คาเฟ่ ที่ให้มากกว่า...การดื่ม ร้านชิคๆ แหล่งนั่งชิวล์ ละเลียดกาแฟ กับนั่งอ่านหนังสือแนวๆ ในมุมอาร์ตๆ เมื่อเดินเข้าไปส่วนหน้าของร้านเป็นโซนนั่งกับอีกฟากเป็นชั้นวางหนังสือเก๋ๆ ลึกเข้าไปด้านในเป็นแนวยาว เป็นโซนนั่งแบบ Private พร้อมโต๊ะยาวเหมาะกับการหารือย่อมๆ ส่วนรสชาติกาแฟเข้มดี อิ่มท้องด้วยโทสน้ำผึ้ง ขนมปังหนานุ่ม วิบครีมเนื้อเนียนราดน้ำผึ้งลงตัว ถือเป็นร้านน่านั่งร้านหนึ่งเลยล่ะ

ถ้าใช้วิธีเดินเที่ยวในตัวเมือง แค่ถนนเส้นเดียวจะเห็นว่าตลอดทางมีร้านให้เลือกนั่งเยอะแยะ จนเรากลายเป็นคน 'รักพี่...เสียดายน้อง' เพราะอยากเข้าไปเสียหมดล่ะ

ไม่ไกลกันนัก สีสันกับการตกแต่งหวานๆ หน้าร้าน A Dessert Moments ก็โบกมือหยอยๆ เรียกให้เราเข้าไปลอง 'ความหวาน' ถึงข้างใน เมนูที่เลือกเป็น ไอศกรีม ท้อปเมลอน ลูกโตที่สั่งที่เดียวกินสามคน เนื้อไอศกรีมอร่อยดี เนียนๆ หวานๆ พ่วงด้วยเมลอนตักเป็นคำกลมๆ เข้ากันดี เจ้าของร้านน่ารัก บริการดี บรรยากาศภายในร้านให้ความรู้สึก Relax & Sweetie จริงๆ ชอบเลย แล้วครั้งหน้าจะแวะมาชิมเมนูอื่นดูบ้าง :)

เมื่อคืนตอนผ่านถนนพังงา เห็น ธนาคารนครหลวงไทย ประดับไฟกลางคืน วันนี้กลับมาอีกรอบ ดูแบบชัดๆ ตอนกลางวันก็สวยและเป็นเอกลักษณ์ดี จากที่ได้เดินทางเห็นธนาคารเริ่มจะสร้างอาคารที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของสถานที่นั้นๆ หลายที่กันแล้ว ใกล้ๆ กันคือ โรงแรมออนออน โรงแรมเก่าแก่ที่สุดของจังหวัดภูเก็ตก็อยู่แถวนี้ด้วย

:: วิถีชีวิตของคนภูเก็ต ดำเนินควบคู่ไปกับความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนิกชน ชาวจีนหรือคริสต์ อิสลาม อิทธิพลจากการอพยพเข้ามาของชาวจีนก็ทำให้มีศาลเจ้า (อ๊าม) ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจีนในภูเก็ตหลายแห่ง ทั้งยังสืบทอดประเพณีถือศีลกินเจในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปีมาจนถึงปัจจุบัน

:: มื้อเย็นกับอาหารพื้นบ้าน ชิมอาหารใต้ที่มีรสชาติเฉพาะตัว ที่ ร้านหมอมูดง อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่าอะไรคือ หมอมูดง?

เล่าที่มาของชื่อร้านแบบสั้นๆ นะ เจ้าของร้านชื่อ 'หมอ' ทำเลร้านตั้งอยู่ใกล้ 'คลองมูดง' จึงกลายเป็น 'ร้านหมอมูดง' ตอนนี้ก็ร้อง 'อ๋อ' แล้วนะ ส่วนตัวเรามาภูเก็ตทีไรก็ต้องมาร้านนี้จนเหมือนร้านประจำบ้านไปแล้ว แต่...อย่าคาดหวัง เรื่องร้านเก๋ๆ ชิคๆ ที่นั่งสบายๆ ไม่มีภาพนั้นให้เห็น ของเขาเน้นที่รสชาติต่างหากล่ะ

ที่นั่งเป็นเพิงเล็กๆ ยกสูงจากชายเลนที่ยังมีปูวิ่งกันเป็นพรวน นั่งบนเสื่อ กางโต๊ะพับปูผ้าเป็นอันนั่งกินได้ เริ่มต้นด้วยการเสิร์ฟออเดิร์ฟเป็นผลไม้รสเปรี้ยวๆ อย่างมะม่วง สับปะรดกับน้ำจิ้ม เรียกน้ำย่อย ตามด้วยอาหารพื้นบ้านหน้าตาธรรมดาๆ นี่แหละ แต่รสชาติสุดยอด

เมนูเด็ดที่มาแล้วต้องลอง ก็ต้อง...หมูคั่วเกลือ แกงคั่วหอยขม สาหร่ายสด เกาะด้วยเม็ดเล็กๆ เหมือนพวงองุ่นคู่กับน้ำพริกกุ้งสด กับหอยชักตีนลวก ที่เดี๋ยวนี้หากินยากและราคาแพงขึ้น ลองที่นี่เลย ราคามิตรภาพ รับรองจะติดใจ!!!

:: 2 Oct 2015

...เล่าถึงเมื่อคืนนิดหนึ่ง ตอนสามทุ่มเราแวะไปรับผู้ร่วมเดินทางอีกคนที่สนามบินภูเก็ต แล้วเดินทางกลับ กระบี่ ถึงที่พักเกือบเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่เห็นเลยว่าบริเวณรอบๆ เป็นอย่างไร Check In แล้วก็เดินดุ่มๆ ตามพนักงานไปห้องพักเลย Z z z

เช้านี้ที่ กระบี่ ตื่นแต่เช้าออกมากินอาหารเช้า ห้องอาหารอยู่ด้านหน้าใกล้ๆ ล็อบบี้ มีแขกไม่กี่โต๊ะ ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ ตอนนี้จึงเพิ่งเห็นว่ารอบๆ โรงแรมร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ มีบ้านพักหลายหลัง ล้อมรอบสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ใจกลางรีสอร์ต


:: Krabi Aquamarine Resort & Spa Hotel ที่พักแบบวิลล่าอยู่ไม่ไกลจากหาดนพรัตน์ธารา เราจองบ้านพักแบบ Family Unit 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มีห้องรับแขกกับครัวขนาดกะทัดรัดแยกเป็นสัดส่วน ตู้เย็น ไมโครเวฟ มีเตาสามารถทำอาหารได้ และห้องน้ำแบบแยกส่วนเปียกส่วนแห้ง ห้องกว้างขวางดี (90 ตร.ม.)

ปล. บ้านพักแบบ Two Bedroom Family Unit พักได้ 4 ท่าน (ราคา 2,050 บาท) เหมาะสำหรับพักแบบครอบครัวค่ะ


Paradise on the Earth

...แค่ออก 'เดิน' เราก็ได้ 'เดินทาง'

แค่ก้าวย่างเดียวที่พาตัวเองออกจากที่เดิมๆ เราก็ได้เห็นโลกอีกมุมหนึ่งแล้ว ความสุขจากการเดินทางอยู่ไม่ไกลเท่าไรนักหรอก ถ้าเราเลือกที่จะก้าวออกไปพบเจออะไรใหม่ๆ ดูบ้าง กระบี่ ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อย นับเป็นร้อยๆ เกาะได้ วันนี้...ต้องมีสักเกาะสิ ที่จะเป็น Paradise on the Earth ของเรา

...แล้วโชคก็เป็นของเรา เช้านี้แดดจัดมาก ฟ้าโปร่ง เราเลือกโปรแกรมท่องเที่ยว 5 เกาะ เดินทางกับ บาราคูดัส ทัวร์ รถสองแถวมารับหน้าโรงแรมแปดโมงเช้า แวะรับกลุ่มเรา 4 คน แล้วตระเวณไปตามโรงแรมต่างๆ จนแขกเต็มรถ ก่อนมุ่งหน้าไปยังอ่าวนางซึ่งเป็นจุดขึ้นเรือ

ลงรถหน้า อ่าวนาง (Ao Nang) ยังไม่เก้าโมง แต่นักท่องเที่ยวเดินกันพลุกพล่าน ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ จีนก็เยอะ อินเดียก็มี เจ้าหน้าที่ทัวร์จะเข้ามาถามว่าซื้อโปรแกรมไหนไว้ เขาตั้งโต๊ะลงทะเบียนกันฝั่งตรงข้ามอ่าวนาง รับสติกเกอร์มาแปะเป็นสัญลักษณ์ จากนั้นเดินเล่นชมหาดกับ Landmark ของอ่าวนาง ฆ่าเวลารอคณะทัวร์ครบแล้วจึงขึ้นเรือสปีดโบท (Speed Boat) ไปเกาะกัน

ได้เวลาลงเรือตอนเกือบๆ เก้าโมง เพราะรอแขกอินเดียชุดสุดท้าย แดดจัดจ้า ตามแบบฉบับมาเที่ยวทะเล บรรยากาศบนชายหาดคึกคัก ทั้งเรือ ทั้งนักเดินทางที่ทยอยกันขึ้นเรือท่ามกลางคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ทุลักทุเลพอสมควรล่ะ ของที่ควรเตรียมไปด้วย กระเป๋ากันน้ำ หมวก แว่นตากันแดด ครีมกันแดด อย่าลืมใส่เส้อผ้าแบบเตรียมตัวเปียกเสมอไปด้วยล่ะ

ปล. เดินทางด้วยเรือหางยาวแบบเหมาลำ ราคาถูกกว่าเหมาะกับคณะแบบส่วนตัว เดินทางด้วยสปีทโบท ราคาต่อคนแพงกว่า จุคนจนเต็มลำจนแออัด ดีตรงที่เดินทางถึงเร็วกว่าเท่านั้น อันนี้ก็เลือกเดินทางแบบที่คุณชอบได้เลย

ปล. ซองกันน้ำพลาสติกที่ใช้ๆ กัน ป้องกันแค่น้ำหยดเล็กๆ กระเซ็นใส่ ไม่ได้กันเปียกตอนลงไปเล่นน้ำนะ ระวังจ้า! ว่ายน้ำกันสนุก ขึ้นมาปุ๊บทุกข์ถนัดเชียวล่ะ :(

เมื่อนักท่องเที่ยวชุดสุดท้ายครบก็ออกเรือ 'พี่ไกด์' (ผู้หญิง) ประจำเรือแนะนำตัวเอง ทักทายคณะทัวร์วันนี้ ที่ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ คนไทยแค่ 6 คน ไกด์เล่าถึงโปรแกรมวันนี้คร่าวๆ แล้วแจกอุปกรณ์ดำน้ำตื้น แจกน้ำเย็นเมื่อใกล้ถึงที่หมายแรก


:: เกาะห้อง (Koa Hong) เป็นเกาะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณีหรือ เกาะเหลาบิเละ แวะที่นี่เป็นเกาะแรก สปีดโบทเทียบท่าซึ่งมีเจ้าหน้าที่เก็บค่าเข้าอุทยาน คนละ 20 บาท ชาวต่างประเทศคนละ 200 บาท ระหว่างท่าเรือวางทุ่นโรยตัวยาวเข้าสู่ตัวเกาะ

การมาเยือนเป็นครั้งแรกทำให้ตื่นตาอยู่ไม่น้อย เกาะห้อง มีทะเลสีเขียวมรกตกับแนวหาดโค้งคล้ายครึ่งวงกลม ธรรมชาติของป่าเกาะยังอุดมสมบูรณ์ หาดสะอาด ทรายขาวเนื้อละเอียด น้ำใส ฝูงปลาเล็กๆ กับแมงกะพรุน ลอยตัวให้เห็น เพียงสบตาครั้งแรกก็ดึงดูดให้เท้าสัมผัสเม็ดทราย เร่งเร้าให้พาตัวลงไปเล่นน้ำ

ที่นี่เหมาะกับแก่พักผ่อน พายเรือคายัคหรือจะดูปะการังน้ำตื้น เมื่อเดินเข้าไปอีกเวิ้งหนึ่ง มีเครื่องดื่มเย็นๆ ขาย บริการให้เช่าเรือคายัค ส่วนห้องน้ำก็อยู่แถวๆ นี้ด้วย

ความงดงามในวันนี้ จะยังคงอยู่ให้เห็นในวันหน้าที่มาเยือนอีกไหม เป็นคำถามที่น่าคิดเหมือนกันนะ เราว่า...นอกจากผู้ที่มีหน้าที่ดูแลโดยตรงแล้ว ก็หนีไม่พ้นผู้ที่มาเยือนหมู่เกาะต่างๆ ชั่วครั้งชั่วคราว อย่างเราๆ นี่ล่ะ อีกสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อยู่ที่ว่าทำวันนี้อย่างไรมากกว่า

จงทำตัวเยี่ยง นักเดินทาง ที่เดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และกลับไปพร้อมความทรงจำ มิใช่แค่ นักท่องเที่ยว ที่แค่ไปเที่ยวแล้วทิ้ง ทำลาย มิหนำซ้ำยังหยิบฉวย นำสิ่งที่ไม่ควรนำกลับมาด้วย ไม่เว้น...เปลือกหอยชิ้นเล็กๆ ที่เกลื่อนหาดก็ตามที ปล่อยไว้ที่เดิมเถอะ อย่างที่ธรรมชาติจัดสรรเอาไว้ นั่นล่ะ! ดีที่สุดแล้ว

จะเหน็ด จะเหนื่อย ล้ามาจากไหน แค่ได้นั่งนิ่งๆ บน 'เกาะ' ไม่กี่นาที ดื่มด่ำไปกับน้ำทะเลที่เป็นสีเขียวเทอควอยส์กับฟ้าสดใสที่เป็นใจให้ปลอดโปร่ง ริ้วเมฆลอยตัวสวยม้วนรับภูเขาข้างหน้า เท่านี้...ความสดชื่นก็กลับคืนมาให้รู้สึกหายดี

หัวใจ 'สบายดี' แล้วล่ะ เพราะวันนี้เรามีหมอดีที่ชื่อ...ทะเล :)

เรือเร็วพาคณะเราออกจากเกาะห้อง แล่นฉิวไปยังจุดหมายต่อไป ระหว่างทางพี่ไกด์จะอธิบายลักษณะเด่นของเกาะนั้นๆ ไปด้วย น่าเสียดายที่ได้แค่ผ่าน เกาะแดง เพราะกระแสน้ำค่อนข้างแรงจึงเข้าจอดไม่ได้ ไม่เป็นไร! พี่คนขับเรือยังคงมุ่งหน้าต่อไป...


:: อ่าวห้อง ลากูน (Lagoon) หรือ ทะเลใน คือจุดหมายที่สองของเรา ลากูน เป็นโถงกว้างกลางทะเล ลักษณะคล้ายห้อง มีทางเข้าออกทางเดียว กว้างประมาณ 10 เมตร โดยสามารถแล่นเรือเข้าไปจอดด้านในได้ ภายในลากูนมีหาดทรายเล็กๆ ถูกล้อมรอบไปด้วยผนังผาหินปูน เรือลอยลำเข้าไปช้าๆ จอดนิ่งๆ ปล่อยให้พวกเรากระโดดตูมลงไปแหวกว่ายในน้ำใส แข่งกับฝูงปลาตัวน้อย

เรามุ่งหน้าต่อไปยังหมู่เกาะลำดับที่สี่กันแล้ว พอออกจากผาหินซึ่งโอบล้อม ทะเลใน ไว้ก็สัมผัสกับท้องฟ้าสีฟ้าเข้ม ตัดกับหมู่เมฆขาววับอีกครั้ง คือความกว้างไกลที่มองไปทางใด ก็มีแค่น้ำกับ...ฟ้า ช่างเป็น 'อิสระ' ที่ไร้ขีดกั้นขวาง

ตอนอยู่เกาะห้อง เสียเวลาไปเยอะเมื่อครอบครัวอินเดียเจ็ดคน ร่ำร้องจะกลับเข้าฝั่งอย่างด่วน โดยอ้างว่าหนึ่งในกลุ่มรู้สึกไม่สบาย ทั้งที่ก็เห็นว่าพายเรือคายัคกันสนุกสนานอ่ะนะ พี่ไกด์ก็เลยเจรจาให้กลับด้วยเรืออีกลำซึ่งจะต้องจ้างพากลับต่างหากโดยจะดิวเรือหางยาวให้ พอบอกราคาปั๊บแกก็หายปุ๊บเลย สลายอาการบางอย่างให้หายวับไป กว่าจะเจรจากันได้ก็นาน ฝ่ายนั้นมัวแต่บ่ายเบี่ยงไปมา พี่ไกด์ก็เลยต้องขอโทษขอโพยนักท่องเที่ยวที่เหลือยกใหญ่

เอิ่ม...ก่อนหน้านี้อาจได้ยินกิตติศัพท์ อันน่าสะพรึงของ 'พี่จีน' หนาหู วันนี้เราว่า 'พี่อินเดีย' เขาก็ไม่น้อยหน้าหรอกนะ (อันนี้...แค่กระซิบให้ฟัง)


:: เกาะผักเบี้ย (Koh Pak Bia) บอกเลยว่า...หิว ไม่ใช่เพราะเกาะชื่อเหมือนอาหารแต่อย่างใดนะ แต่เพราะเลยเวลาของมื้อกลางวันไปเป็นชั่วโมงแล้วไง พี่ไกด์พาคณะทัวร์แวะกินข้าวกลางวันกันที่เกาะผักเบี้ย หาพื้นที่เล็กๆ หย่อนตัวนั่งลงกินข้าวแบบบุพเฟ่ต์ บรรยากาศสงบ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้กับผาหิน หาดทรายสะอาด น้ำใส มีแนวสันทรายยื่นยาวออกไปจรดกับเกาะเล็กๆ ตอนน้ำขึ้นจะเห็นเป็นสองเกาะ ตอนน้ำลงคล้ายจะเป็นทะเลแหวกฉบับ Mini

อาหารที่ลูกเรือจัดมาเยอะพอสมควร มีทั้งผัดผัก ผัดเผ็ด น่องไก่ทอด ความหิวจากการตากแดดตากลม เล่นน้ำ ณ ตอนนี้กินอะไรก็อร่อยนะ ตามด้วยแตงโมหวานๆ กินแล้วชื่นใจ ตามกฏ กินเสร็จช่วยกันเก็บขยะกลับด้วย อย่าทิ้งสิ่งใดไว้เป็นส่วนเกินของธรรมชาติเลยเนอะ ช่วยกันๆ

:: เกาะละดิง หรือ เกาะเหลาลาดิง (Koa Laolading) หรือ เกาะพาราไดซ์ เป็นป่าเกาะที่มีการสัมปทานเก็บรังนกจึงมีที่พักของเจ้าหน้าที่เฝ้ารังนกอยู่ด้วย มีลักษณะเป็นผาสูงชันกับแนวอ่าวเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบโพรงผาหินปูน ซึ่งเป็นที่อยู่ของนกนางแอ่น มีความสงบร่มรื่นและเป็นส่วนตัวสูง

ที่นี่...เราได้สูดอากาศเข้าไปลึกๆ ตามองฟ้า เท้าสัมผัสทราย ร่างกายสัมผัสน้ำทะเล และปล่อยให้หัวใจอิ่มเอมไปกับความน่าอัศจรรย์ใจของธรรมชาติ สมชื่อ เกาะสวรรค์ ของเขาเสียจริงๆ

ฤดูกาลที่เหมาะแก่การตามรอยมาติด 'เกาะ' แบบเรา คือ ช่วงเดือนพ.ค.- กลางเดือนพ.ย. (หลีกเลี่ยงฤดูมรสุม มิ.ย.- ต.ค.) จะดีค่ะ

ปล. เที่ยว 'เกาะ' ครั้งนี้กับ บาราคูดัส ทัวร์ คนละ 1,800 บาท (รวมค่ารถรับ-ส่ง) รวมน้ำดื่มๆ เย็นที่แจกตลอดทริป มื้อเที่ยง ของว่างขากลับ พี่ไกด์ ดูแลและบริการดี

ปล. ค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี คนละ 20 บาท (แยกจ่ายเอง)


บ่ายสี่โมงกว่าๆ รถบริการส่งถึงที่พัก อาบน้ำ พักผ่อนกันแป๊บๆ ก็ออกไปหาอะไรกิน ที่ ร้านเรือนไม้ ร้านอาหารท่ามกลางธรรมชาติแมกไม้ การตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ภายในร้านมีโต๊ะไม่มาก วันที่ไปในซุ้มไม้ถูกจองไว้หมดแล้ว ก็เลยนั่งโซนเอาท์ดอร์

:: ร้านเรือนไม้ เป็นอาหารพื้นเมืองรสชาติจัดจ้าน สั่งมาหลายอย่าง ทั้งแกงคั่วเนื้อปู แกงส้มปลากะพง หมูคั่วเกลือ ยำมะเขือยาวและน้ำพริกกุ้งสด ตบท้ายด้วยกล้วยบวชชีหวานมันถึงกะทิ เป็นอีกร้านถ้ามากระบี่ลองเลยนะ

ปล. ร้านเปิดสองช่วงเวลา 10.30 -15.00 น. และ 17.00-22.00 น. แนะนำให้จองก่อน ส่วนใหญ่ที่นั่งจะเต็มค่ะ

ปล. รสชาติดี ราคาสูงหน่อย

คืนสุดท้ายที่กระบี่ ออกจาก 'เกาะ' แวะไปเดิน ถนนคนเดินกระบี่ (Krabi Walking Street) เปิดวันศุกร์-วันอาทิตย์ มีของกินหลากหลาย ร้านค้าตั้งแผงเรียงราย ขายกันตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้ายันของกระจุกกระจิก ของที่ระลึกแบบ Hand Made ก็มีให้เห็นตามแผงระหว่างทางเดิน ชมเพลินๆ กันไปตลอดทาง

ก่อนกลับแวะกินนมเย็น ร้าน โรตีเจ้าอร่อย หน้า Vouge (ไม่ใช่ชื่อร้านนะ แต่เขาเรียกกันแบบนี้) เขานวดแป้ง ทอดในกระทะมีวิธีหมุนๆ ตัดๆ โดยใช้จานช่วย แล้วก็ได้โรตีใส่ไข่ราดนมข้น หวานมันลงตัว โรตีแบบกรอบก็อร่อย ราคาไม่แพง อันนี้ขอชม!


สี่วัน...สามคืน จริงๆ แล้วก็เร็วนะ พรุ่งนี้ก็ต้องลา 'เกาะ' กลับ 'กรุง' เสียแล้ว ก็เลยต้องบอกลาบันทึกเดินทางฉบับ คนชอบติด 'เกาะ' กันเสียตั้งแต่คืนนี้

หากใครกำลังมองหา 'ความสุข' อยู่ละก็ แนะนำที่หนึ่ง เกาะภูเก็ต กระบี่ ที่นี่ล่ะ Paradise on the Earth ของเรา :)

...แล้วพบกับการเดินทางครั้งใหม่ของเรา เร็วๆ นี้ "อย่าลืมไป [เที่ยว] ด้วยกันอีกล่ะ"


:: ย้อนอ่าน 'บันทึกเดินทาง' ของเราได้ที่นี่เล้ย ::

ซาปา เมืองที่ทำให้เรารัก 'เขา' | Vietnam Trip : Ha Noi - Sapa ตอน 1

ซาปา เมืองที่ทำให้เรารัก 'เขา' | Vietnam Trip : Ha Noi - Sapa ตอน 2

ซาปา เมืองที่ทำให้เรารัก 'เขา' | Vietnam Trip : Ha Noi - Sapa ตอนจบ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกระทู้ และฝากติดตามการเดินทางครั้งหน้าด้วยค่ะ

:: หากเราเป็นคนชอบเที่ยวเหมือนๆ กัน แวะพูดคุย แบ่งปันและแชร์เรื่องเที่ยวด้วยกันได้ ที่เพจ MINDJourney ของเราเอง :)

แวะไปที่ https://www.facebook.com/MINDJourney-938862986136331/ ได้เลยค่า




ความคิดเห็น