" อาลันรัดจะนา ลับแลเมืองลาว "

เชื่อหรือไม่ว่า มีหมู่บ้านลึกลับแห่งหนึ่งในแขวงคำม่วนของประเทศลาว ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา มีคนอาศัยอยู่กัน 11 ครัวเรือน มีทางเข้า-ออก ของหมู่บ้านคือการเดินเท้าผ่านถ้ำน้ำลอดภายในหมู่บ้านยังมีโบราณสถานตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูร ในหุบเขาแห่งนี้ มีถ้ำที่สวยมาก คือ "ถ้ำน้ำเที่ยง"



"บริเวณด้านในจากปากถ้ำออกไปเป็นป่าดงกว้างใหญ่ แต่มีผาหินล้อมรอบไว้หมดทุกด้าน ที่นี่คือ “เมืองอาลันรัดจะนาโบราณ” มีเจ้าเมืองปกครองชื่อ เจ้าเมืองวุ้น

สิ่งที่ประวัติศาสตร์ ผู้กล้าหาญได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ก็คือ สมัยเจ้าอนุวงศ์ วีรกษัตริย์ผู้กล้าหาญของคนลาว ได้สู้รบกับไทย พาทัพเข้าไปในถ้ำแห่งนี้ ทหารไทยหลงกลเข้าไปในถ้ำ ถึงระหว่างกลางถ้ำประมาณ 800 เมตร มีถ้ำเป็นช่องแคบกว่าทุกแห่งแล้ว ด้านในก็เป็นถ้ำใหญ่เหมือนเดิม ทหารไทยจึงคิดว่าเจ้าอนุวงศ์คงจะซ่อนอยู่ด้านใน และไม่มีทางออกจากถ้ำนี้อีก จึงช่วยกันระดมทหารขนก้อนหินไปปิดปากถ้ำ แล้วจุดสุมพริกให้ควันเข้าไปในถ้ำ (ข้อความจากหนังสือบางส่วน)



การเดินทางในทริปนี้ต้องขอขอบคุณน้าต้อม พีระศิลป์ วรพิมพ์รัตน์ ที่ช่วยเหลือติดต่อประสานงาน

วันที่ 5 เมษายน 2561 คณะของพวกเราเดินทางจาก กทม. - นครพนม ด้วยรถโดยสารปรับอากาศของนครชัยแอร์ (ไป-กลับ 1,160 บาท) เมื่อถึงขนส่งนครพนมก็จัดการแบ่งเสบียงสัมภาระ นั่งรถสามล้อ สกายแล็ป (40 บาท) ให้ไปตลาดสดเพื่อซื้อของสดเพิ่มเติมแล้วเดินทางไปยังส่ ด่าน ตม. ท่าเรือข้ามฟากนครพนม -ท่าแขก แขวงคำม่วน “ท่าแขก” ซึ่งอยู่ใน “แขวงคำม่วน” ของประเทศลาว สำหรับคนไทยที่จะไปเที่ยวฝั่งลาว ข้ามที่นี่จะสะดวกกว่าข้ามจากสะพานไทย-ลาว สำหรับคนที่มีพาสบอตสามารถซื้อตั๋วเรือข้ามฝากได้เลย ส่วนคนที่ไม่มีพาสบอร์ต ใครไม่มีหนังสือเดินทาง ยื่นคำขออนุญาตทำผ่านแดนชั่วคราวได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าเทียบเรือเทศบาล ถนนสุนทรวิจิตร (เยื้องวัดโอกาส) หรือจุดออกหนังสือผ่านแดนด่านอาคารฯสะพานมิตรภาพ ชั้น 2 (เปิด 08.30 น.)



แขวงคำม่วน ตั้งอยู่ทางตอนกลางของลาว ติดชายแดนไทยและเวียดนาม มี เมืองท่าแขก เป็นเมืองเอกของแขวง ถือเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจของแขว โดยยื่นบัตรประชาชน เสียค่าใช้จ่าย (46 บาท) เมื่อข้ามไปฝั่งท่าแขก ยื่นหนังสือผ่านแดนชั่วคราวหรือพาสบอร์ต พร้อมจ่ายค่าเหยียบแผ่นดินคนละ 60 บาท ถ้าเป็นวันหยุดจะมีค่าล่วงเวลา 100-150 บาทแล้วแต่จะเรียกเก็บ บัตรผ่านแดนชั่วคราว สามารถอยู่ในลาวได้สามวัน และต้องมีตราปั้มที่พัก หรือตราปั้มหมู่บ้าน ในหนังสือผ่านแดนด้วย

บัตรผ่านแดนชั่วคราว

- ทำได้ที่ด่านสำนักงานการบริการออกหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ชั้น 2 สพานมิตรภาพแห่งที่ 3

- จุดบริการออกหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ท่าเทียบเรือและด่านตรวจคนเข้าเมืองจ.นครพนม (เฉพาะคนไทยและลาว)

- เที่ยวเรือข้ามฝาก 08.00,09.00,09.30,10.00,10.30,11.00,11.30,13.00,13.30,14.00,14.30,15.00,16.00,17.00 และ 18.00 น. ราคา 60 บาท

ท่าแขก (Tha Kaek)

ราวพุทธศตวรรษ ที่ 10 เมืองท่าแขกนี้คือดินแดนส่วนหนึ่งในอาณาจักรฟูนันและเจนละของพระเจ้า สุริยะวรมันแห่งเขมร คนลาวเรียกดินแดนนี้ว่า สีโคตะบูน จนปี พ.ศ. 2454-2455 ฝรั่งเศสขยายอิทธิพลเข้ามาสร้างบ้านเรือนและยึดอำนาจปกครอง เมืองสีโคตะบูนจึงได้ชื่อว่าท่าแขกเพราะชาวต่างชาติเข้ามาเทียบเรือ สมัยสงครามต่อต้านจักรวรรดินิยมชาวเวียดนามจำนวนมากอพยพมาตั้งหลักแหล่งอยู่ในท่าแขก ประกอบอาชีพค้าขาย จนถึง พ.ศ. 2510-2515 ได้อพยพกลับ หรือเดินทางไปยังประเทศอื่นที่มีโอกาสดีกว่า เป็นเหตุให้เมืองท่าแขกมีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบฝรั่งเศสและเวียดนาม

ปัจจุบันท่าแขกเป็นเมืองหลวงของแขวงคำม่วน ประชากรเป็นชาวลาวลุ่ม อยู่ห่างจากนครเวียงจันทน์มาทางทิศใต้ 350 กิโลเมตร เป็นเมืองท่าค้าขายและมีด่านชายแดนสากลติดต่อกับจังหวัดนครพนมของไทย

หลังจากยื่นเอกสารข้ามแดนแล้ว ก็นั่งรถบิกอัพไไปยังเขื่อนหินบูน(เขื่อนพลังน้ำ) บ้านนาครก เมืองหินบูน ระยะทางประมาณ 104 กิโลเมตร

บรรยากาศสองข้างทาง มุ่งหน้าต้นน้ำหินบูน ทางแบ่ง(ทางแยก)บ้านบุ่งกอง เลี้ยวขวาเข้าไปถนนลูกรัง มุ่งหน้าบ้านนาครกซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของรถยนต์

ตอนนี้ชาวบ้านนาครกย้ายออกเกือบหมดแล้ว เขากำลังสร้างเขื่อนหินบูน ชาวบ้านจึงอพยพไปแล้วเหลือเพียง 2 คน ที่ยังอยู่ และเป็นคนที่จะพาเรานั่งเรือข้ามไปยังจุดเดินก่อนเข้าถ้ำเมืองลับแล สภาพของหมู่บ้านจึงดูรกร้าง วังเวง น่าหดหู่ มีแต่ซากของบ้านเรือน

เมื่อเราไปถึงบ้านนาครก ก็จัดแจงเตรียมนำของมาแจกให้ชาวบ้าน พร้อมตรวจเอกสารและชำระเงินค่าเข้าหมู่บ้าน

หลังจากนั้นก็ว่าจ้างเรือให้พาข้ามไปอีกฝั่ง

แล้วเดินเท้าลัดเลาะตามป่า ไปอีกประมาณ 1 ชม. ไปยังถ้ำเมืองลับแล

อากาศไม่ร้อน เดินสบาย

พี่ๆ จากเมืองลับแลออกมารับพวกเรา ระหว่างทางเดินไปคุยไป ฟังเรื่องเล่าจากพี่ๆ เพลินเลย

ทิวเขาสลับซับซ้อน สวยงามมาก

เป็นทริปเดินป่าที่สวยงาม อากาศดี วิวสวย

เดินไปสักพักจะมีศาลาแวะไหว้พระกันด้วยนะคะ

เดินไปราวชั่วโมงเศษ ก็จะถึงปากกทางเข้าถ้ำ

ทางเข้าหมู่บ้านนากระติ๊บ หรือเมืองลับแล ต้องมีชาวบ้านออกมารับเพราะภายในถ้ำมีจุดอันตรายหลายจุดทั้งหุบเหว ทั้งร่องน้ำลึก และทางเดินที่มีซอกมุม

เราต้องเดินลุยน้ำข้ามไป ส่วนสัมพาระบางส่วนก็ขนไปทางเรือ

เป็นสถานที่ที่น่าอัศจรรย์ใจมาก โถงถ้ำกว้างใหญ่ เหมือนมีคนมาขุดไว้

ต้นไม้ในถ้ำจะมีสีขาว แต่ก็เจริญเติบโตได้ไม่นานก้ตาย

ทางเดินบางช่วงเป็นหุบเหว

มีปลาในถ้ำ

เดินในถ้ำน้ำราวชั่วโมงครึ่งก็ถึงทางออก

เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ใจมาก พอเราออกจากถ้ำสิ่งที่เห็นคือแนวกำแพงหิน ที่ล้อมรอบตัวเรา

ดอกไม้ ต้นไม้ บางชนิดไม่เคยเห็นที่ไหน

เป็นเส้นทางที่สวย ด้านขวามือเป็นลำห้วย มองไปโดยรอบมีทิวเขาโอบล้อม

เริ่มเข้าเขตหมู่บ้าน เราจะเจอวัดบ้านนา มีพระสงฆ์และแม่ชีจำวัดอยู่

บ้านเรือ ไม่ได้แตกต่างจากดลกภายนอก มีเพียงอาหารการกินที่จะเน้นผักทีหาได้ในพื้นที่ มีสวนผลไม้ มีแปลงผักสวนครัว

มีพระพุทะรูปขนาดใหญ่ และซากเจดีย์เก่า

มีร่อยรอยสิ่งปลูกสร้างเก่าๆ ให้พบเห็น

หลังจากเดินเที่ยวชมวัดแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางต่อ เพื่อไปยังหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจุดหมายที่เราจะไปพักในคืนนี้

บ้านเรือน การใช้ชีวิน ก็เหมือนคนปกติทั่วไป

เมื่อถึงที่พักก็จัดการกางเต็นท์ผูกเปล บริเวณที่พักมีอีหมูที่ชาวบ้านเลี้ยงกระจัดกระจายทั่วอยู่ทั่วไป ต้องหาไม้กวาดมากวาดออกไป หมู หมา ควาย ต้องคอยเฝ้าดู เพราะจะมารื้อหาของกินตลิดเวลา กลุ่มเช โดนหมาโขมยอาหารไปเยอะ

ร่วมกันมอบของที่เตรียมมาให้กับชาวบ้าน เช่น ขนม ยา รักษาโรค ชาวบ้านที่นี่มีประมาณ 30 คน

หลังจากนั้นก็ช่วยกันทำอาหารเย็น จะวุ่นวายนิด เพราะหมูและหมา คอยจะมาเอาหารไป จนต้องมีทีมคุ้มกันอาหาร ขนาดนอนเฝ้า หมายังเดินไปเอาของกินไปจนได้

เก๋ จัดทำกระทงข้าวปลาอาหาร สำหรับไหว้เจ้าที่

แหล่งน่ำที่ชาวบ้านใช้ คือบ่อบาดาล

ในตอนเย็นชาวบ้านออกมาทานอาหารร่วมกับคณะของเรา เด็กก็ออกมาดูไฟ คืนนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ในตอนเช้า

นัดหมายกันจะเดินไปยังถ้ำน้ำเที่ยง

ในตอนเช้าตื่นมาช่วยกันทำอาหาร เรามีเสบียงจำพวกของแห้งไปมากก็แบ่งออกมาใส่บาตร เป็นทริปที่อบอุ่นใจมาก

หลังจากทานอาหารเช้า ก็เตรียมตัวเดินทางไปยังถ้ำน้ำเที่ยง ชุดเดินป่าควรแต่งกายให้มิดชิด คล่องตัว ติดน้ำ อาหาร ขนม ไปกินระหว่างทางด้วย อีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือถุงมือ

ระหว่างทางเจอชมพู่ป่า และดอกยางนาร่วงหล่นอยู่ทั่วป่า

อากาศเย็น ลมพัดตลอดเวลา ทางมีด่านตัดไปมา



สองข้างทางสวยมาก เป็นป่าที่โอบล้อมด้วยขุนเขา

เดินมาถึงบริเวณที่เป็นเขาหิน บรรยากาศสองข้างทางดูแปลกตา รูปทรงของหิน ทำให้เราเหมืออยู่ในปราสาทหิน

มีทางชัน มีปีนป่าย ครบทุกอรรถรส



หินมีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีรูปทรงต่างๆ แปลกตา

ปีนบันไดไม้

ข้ามหินผา บางจุดเป็นหุบเหว

ต้นไม้ถูกปกคลุมด้วยพรมธรรมชาติ

แวะพักก่อนเดินต่อ

เดินลัดเลาะตามรอยแยะขอชั้นหิน เหมือนกำลังจะทะลุไปอีกโลก

สองข้างทางมีต้นไม้ ดอกไม้ บางต้นยังไม่เคยเห็นที่ไหน

สบายตา

ในที่สุดก็เดินมาถึงปากถ้ำ ้ถที่นี่เป็นถ้ำสะอาด ไม่มีค้างคาวอาศัย

ภายในถ้ำเป็นโถงกว้างใหญ่ มีเสาหินมากมาย

ให้ภาพเล่าเรื่อง

มีหินรูปทรงแปลกตา

" อาลันรัดจะนา ลับแลเมืองลาว "



ภายในถ้ำน้ำเที่ยง มีหินทรงแปลกตาและโครงกระดูกมนุษย์โบราณพี่โจ๋ยบางจาก บอกเชว่าถ้ำนี้เคยมีผู้มาอาศัย ก่อนย้ายถิ่น มาอยู่ทางอีสาน ได้มีการศึกษา กำลังรอผลวิจัย ว่าอยู่สมัยใด

โอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์

หลังจากเที่ยวถ้ำน้ำเที่ยงเสร็จแล้วก็เดินทางกลับมายังที่พัก ระยะทางเดินไปกลับ ประมาณ 8 กิโลเมตร

ช่วยกนทำอาหารเย็น สนทนารอบกองไฟ ตื่นเช้ามาสายๆ ก็เดินทางกลับ

ขอบคุณทุกๆ คนมากนะคะที่มาด้วยกัน ขอบคุณพี่วุฒิที่ช่วยจัดระเบียบให้ ไม่งั้นคงวุ่นวาย ของคุณก้องที่ช่วยทำนู่นทำนี่ ของคุณช่างภาพทุกๆ คน เช่น นิคม ป๋องแป๋ง อุ๋มอิ๋ม น้าปู ขอบคุณน้าต้อม ที่ช่วยประสานงานในเรื่องต่างๆ ขอบคุณหนังสือ ของคุณบุหลัน ที่ทำให้เกดิทริปตามรอย

ความคิดเห็น