'คะน้าน้อย' สวัสดีค่าาา ^O^
ขึ้นชื่อ Blog มาเน้นๆ ว่าทริปนี้คะน้าจะพาไปจังหวัดสุพรรณบุรี
นึกถึงจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อนๆ จะคิดถึงอะไรกันบ้างคะ
"ตลาดสามชุก" อันดับหนึ่งแหละ จากที่คะน้าถามๆ มารอบตัวอะนะ 5555555
แต่ทริปนี้ คะน้าไม่ได้พาไป ตลาดสามชุก หรือ อุทยานมังกรสวรรค์ หรอกนะคะ
คะน้าจะพาไป Unseen กันที่นี่เลย...
"ชุมชนตำบลบ้านแหลม"
ซึ่งทริปนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า... Thailand Village Academy FAM Trip ค่ะ
สนับสนุนโดยผู้ใหญ่ใจดีจาก...
กระทรวงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ กระทรวงวัฒนธรรม
คะน้าดีใจมากๆ ที่ได้รับเชิญมาร่วม Amazing ไทยเท่
ใน FAM Trip ครั้งนี้ด้วย ตื่นเต้นมากๆ เลยค่าาา
เอาล่ะ! มัวแต่ตื่นเต้นเดี๋ยวตกรถกันพอดี ทริปนี้คะน้าตื่นแต่เช้ามืดเลย
เพื่อร่วมออกเดินทางไปกับพี่ๆ น้องๆ ใน FAM Trip ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้
มีพี่ๆ Staff น่ารักและใจดีอย่าง Friday Trip
มาช่วยดูแลความสะดวกสบายให้พวกเราชาวคณะตลอดสองวันเต็มเลยค่าาา
ไม่ได้น่ารักและเทคเคร์เก่งอย่างเดียวนะ แถมฮาด้วย 555555
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มาถึงตำบลบ้านแหลม จังหวัดสุพรรณบุรี
พิกัดปักหมุด ที่นี่เลยค่าาา "บ้านสวนแผ่นดินแม่"
เมื่อมาถึง Love at first sight ก็เกิดขึ้น!!
เมื่อคะน้าได้พบกับรอยยิ้มกว้าง กับเสียงกล่าวทักทายสวัสดีหวานๆ
มาพร้อมกับการร้องเพลงต้อนรับ มีท่าประกอบน่ารักๆ
เป็น Signature ชุมชนบ้านแหลมแบบนี้เลย /\
งานนี้เรามีผู้ใหญ่ใจดีมาร่วมทริปกับเราด้วยนะคะ
ท่านดร.อรุณศรี อื้อศรีวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
คะน้าแซวอาจารย์แม่ว่าเป็น "หัวหน้าแก๊งค์" เพราะอาจารย์แม่พลังล้นมากจริงๆ 55555
มาถึงที่ทั้งที ต้องเช็คอินกันหน่อยยย~
ที่นี่ชุมชนบ้านแหลม ตั้งอยู่ในอำเภอบางปลาม้า ชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำท่าจีน
เป็นชุมชนท่องเที่ยวที่มีโฮมสเตย์มาตรฐานอาเซียน
ทั้งยังเป็นชุมชนท่องเที่ยวพิเศษตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์
ตามพระราชบัญญัติปี ๒๕๕๖ หนึ่งใน ๒๖ ชุมชนจากทั่วประเทศ
และเป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่จดทะเบียนเป็นธุรกิจนำเที่ยวอีกด้วย คุณพระ!!
ทั้งยังเป็น ๑ ใน ๑๐ ชุมชนท่องเที่ยวของ ททท. ในโครงการ Village tourism 4.0
และเป็นหนึ่งใน ๒๑๕ ชุมชนจากทั่วประเทศชุมชนท่องเที่ยวอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
Creative Industry Village จากกรมส่งเสริมอุสาหกรรม
รวมทั้งยังเป็น ๑ ใน ๒๒ ชุมชนที่อยู่ในโครงการ Thailand Village Academy
ซึ่งจัดโดยกรมส่งวัฒนธรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยด้วยนะ
ยัง!! ยังไม่หมด...
ที่นี่ยังเป็น ชุมชนก้าวอย่างพอเพียงตามรอยพ่อหลวง ร.๙ จากกรมประชาสัมพันธ์
เป็นชุมชนโอทอปนวัติวิถี จากกระทรวงมหาดไทย
และ
เป็นชุมชนครอบครัวร่มเย็น จากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ อีกด้วย
โอโหหหห!! เป็นชุมชนที่มีดีกรีกวาดเรียบทุกสาขาขนาดนี้ ปรบมือให้เลยค่าาา~ 👏👏👏
รู้จักชุมชนบ้านแหลมกันไปแล้ว คะน้าจะพาไปลุยแล้วนะ ว่าที่นี่มีอะไรให้เล่นบ้าง
ซึ่ง FAM Trip นี้ เราต้องไม่ให้เสียชื่อโครงการ Thailand Village Academy ค่ะ
ชื่อก็บอกแล้วว่า 'Academy'
เพราะงั้น เราจะมาลุยเรียนรู้วิถีไทยเท่ สไตล์ Do It Like A Local กันให้เต็มที่ไปเลย!!
อย่างแรกคะน้าขอจับกลุ่มกับพี่ๆ น้องๆ ที่มาร่วมทริปด้วยกันก่อนค่ะ
เพราะป้ำๆ เป๋อๆ อย่างคะน้า ขืนให้ทำอะไรคนเดียว มีหวังพังทั้งตำบล 55555555
มาค่ะ! คะน้าพามาเริ่มกันที่ Work shop แรกกันที่นี่
"เรียนรู้การทำธูปหอมพรหมเศรษฐี ธูปสีประจำวันเกิด "
สอนโดย พี่ประภัสสรา ศรีดี พี่สาวใจดีคนนี้เลย
ตรงนี้พี่ประภัสสราเตรียมวัสดุสำหรับทำธูปมาให้เราดูเป็นตัวอย่างค่ะ
มีวัสดุหลักๆ เช่น ผงก๊อแดง (ผงเหนียวสีแดง), จันทร์ขาว, ขี้เลื่อย
ไม้ก้านธูป, แป้งอัฟฟ่า ส่วนสีที่ใช้ มี ๗ สีตามวันเกิด เช่น วันอาทิตย์สีแดง เป็นต้น
แต่ก่อนที่จะมาทำธูป พี่สาวสอนให้คะน้าตากธูปก่อนค่ะ
การตากธูปคือการทำหลังจากเราปั้นธูปเสร็จแล้ว จับรวมเป็นมัด และรูดมือลง
เจ้ามัดธูปจะม้วนเกลียวโดยอัตโนมัติ และปล่อยมือออก มัดธูปก็จะวางลงเป็นดอกไม้แบบนี้
น้องท็อป สมาชิกกลุ่มคะน้าลองทำเป็นคนแรก
แสดงผลงานได้น่าชื่นชมทีเดียว
ตามมาด้วยผลงานของน้องๆ ในกลุ่มที่ไล่เรียงกันมาอย่างสวยงาม
มาถึงทีคะน้าลองแล้ว คะน้าเกิดวันอาทิตย์ ต้องคู่กับมัดธูปสีแดงแรงฤทธิ์แบบนี้เท่านั้น
คะน้าดูพี่สาวทำแล้ว คะน้าว่าคะน้าต้องทำได้อย่างแน่นอน!!
ฟึ่บ!!
ผ่างงงงงงงงง~
..........
..........
..........
"คะน้า ไปเรียนปั้นธูปเถอะลูก เดี๋ยวพี่ช่วยเก็บ"
เสียงหวานๆ จากพี่ดาว เอ่ยมาเหมือนช่วยชีวิต
ท่ามกลางสายตาผิดหวังจากสมาชิกกลุ่ม
คะน้าลู๊กกกก! เขาให้มาตากธูป ไม่ใช่เท! 55555555
เราไม่ควรเอาอดีตมาตัดสินอนาคตนะคะ
คะน้าตากธูปไม่ได้ แต่คะน้าอาจจะปั้นธูปได้สวยมากก็ได้ ใครจะไปรู้!
และนี่คือ...เอ่อ...คือ...
นี่คือธูป by คะน้าน้อย ถึงจะดูเหมือนไส้กรอกแดงไปหน่อยก็เถอะ
แต่นี่คือธูปจริงๆ นะ T_T
เอาน่าาา ถึงจะไม่สวยงาม แต่สนุกดีนะคะ
เปิดโอกาสให้เพื่อนๆ คนอื่นได้นั่งทำธูปกันบ้าง คะน้าว่า คะน้าพามา Workshop
"เรียนรู้การทำน้ำพริกเผาโบราณ"
กับคุณยายนางโสภา พันธุ กันต่อดีกว่า ลองเปลี่ยนสายดู ท่าจะรุ่ง 55555
คุณยายจัดวัตถุดิบไว้ให้ดูอย่างสวยงามเลยค่ะ
มีกระเทียมไทย น้ำปลา พริกแห้ง หอมแดง กะปิ และน้ำมะขามเปียก
วัตถุดิบคลาสสิค ราคาไม่แพง หาง่าย แต่ปรุงยังไงให้อร่อยนี่สิคะ ประเด็น!
ว่าแล้วก็มาเรียนรู้กับคุณยายกันค่ะ
คุณยายปรุงอย่างชินมือมาก คะน้าดูไม่ทันเลยนะคะ
รู้แต่ว่าใส่พริกรัวมากจ้ะแม่! จากนั้นก็ตำเป็นจังหวะสามช่า ดังสนั่นเรือน~
คุณยายตำอย่างมันมือมาก ไม่นานนักน้ำพริกเผาโบราณก็ปรากฏโฉมอยู่ในครก
คุณยายตักใส่ถ้วยที่เตรียมไว้ ก่อนจะให้เราได้ชิมกัน
โอโหหห!! อร่อยมากกกก~ รสชาติพริกเผาคือดี กลมกล่อม เผ็ดซ่าๆ อมเปรี้ยวอมหวาน
มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของหัวหอมแดง กระเทียม ไม่เผ็ดมากอย่างที่คิดค่ะ โดนมาก ชอบเลย
จากนั้นคุณยายก็ให้พวกเราลองช่วยกันทำบ้างค่ะ
แต่คะน้าไหวตัวทัน เลยขอทำหน้าที่ตำดีกว่าปรุง
สรุปรสชาติที่ออกมา ไม่แน่ใจว่า...นี่น้ำพริกเผา หรือน้ำยำ เปรี้ยวไปอี๊กกก!! 55555
เรียนรู้กับคุณยายแล้ว ขอแชะภาพร่วมกับคุณยายสักหน่อย คุณยายน่ารักค่ะ
ยิ้มแย้มตลอดเลย คุณยายแข็งแรงมากๆ สังเกตได้จากการตำครกจังหวะสามช่านั่นแหละ ^^
ทานคาวไม่ทานหวานได้เยี่ยงไร~
คะน้าได้กลิ่นหอมๆ ลอยมาแต่ไกล จากที่นี่เลยค่ะ
"การเรียนรู้ทำขนมทองพับ"
จากฝีมือพี่รัตนา คนสวยคนนี้เองงง
ส่วนผสมของขนมทองพับ เหมือนกับขนมทองม้วนที่เราคุ้นเคยเลยค่ะ
มีแป้งมันสำปะหลัง, ไข่ไก่, หัวกะทิ, งาดำ, น้ำตาลปี๊บ และเกลือป่น
งานนี้พี่รัตนาผสมแป้งมาให้เราแล้วค่ะ แต่เราจะต้องหยอดแป้งเอง
พับแป้งเอง เอาล่ะ! คะน้าต้องสู้นะ 55555555
12...123...12...12...1 หวีดเชียร์ตัวเองในใจเรียบร้อย มาค่ะเริ่มได้!!
เทแป้งลงเตาพิมพ์ประมาณ ๓/๔ ของกระบวยค่ะ
จากนั้นก็ปิดพรึ่บ รอราวๆ ๑ นาที แล้วพลิกกลับอีกด้านหนึ่ง
คอยเปิดเหล่ๆ ดู ถ้าแป้งเป็นสีเหลืองสุก ก็ค่อยๆ แซะออกมาได้เลย
ออกจากเตาส่งกลิ่นหอมกรุ่น ไออุ่นพวยพุ่ง อย่ามัวแต่ชื่นชมค่ะ
ต้องรีบพับ ไม่อย่างนั้นแป้งจะแข็งตัวจนกรอบ พับไม่ทันนะเออ!
เรียบร้อยแล้วค่าาา ค่อยๆ ตั้งใจทำจนจบทุกกระบวนท่าเซียน
คะน้าก็ได้ขนมทองพับชิ้นแรกในชีวิตมาชื่นชม น้ำตาจะไหล ปรบมืออออ~
มาชิมกัน...แน่นอนว่าต้องอร่อยที่สุดในโลกอยู่แล้วล่ะ
เพราะคะน้าไม่ได้ปรุงแป้งเอง 55555555
คะน้าชอบกลิ่นหอมของงาดำมากๆ รสชาติเข้มข้นหวานมัน กรอบก๊อบแก๊บมากๆ เลย
ครึ่งวันเช้าผ่านไปพร้อมกับความสนุกเริงร่า รอยยิ้มกว้าง และเสียงหัวเราะ
เที่ยงนี้ พี่บอย หรือพี่โสภณ ลูกชายคนเก่งของคุณยายโสภา จะพาเราล่องเรือไปในแม่น้ำท่าจีนค่ะ
เพื่อทานอาหารกลางวันกันบนเรือ พร้อมชมบรรยากาศบ้านโบราณและวัดวาทั้งสองฝั่ง
ขึ้นเรือมาแล้ว ไม่นานนักเมนูอาหารแนะนำก็ถูกจัดวางบนโต๊ะ
สีสันน่ารับประทานมากๆ เลยค่ะ เริ่มกันที่จานแรก ต้มกะทิสายบัว
หวานมันเข้มข้น สายบัวก็เนื้อฉ่ำน้ำมากๆ ฮือออ~ อร่อยยย~
ผัดมะเขือยาวใส่กุ้ง จานนี้เด็ดมาก มะเขือหวานอร่อย คะน้าโปรดสุด
ผัดพริกปลาดุก สีสันจัดจ้าน แต่รสชาติกลมกล่อม ไม่เผ็ดมากค่ะ
และนี่ ปูหลน อันนี้ดี คะน้าชอบ ทานคู่กับผักสด
ยิ่งทานกับกระชายสด ยิ่งหอมมากๆ เลย
ไข่เจียว เมนูเบสิก แต่อร่อยฟาดมาก ไม่ถึงห้านาที หมด!!
และนี่คือเมนู Recommend เลยค่ะ ต้มยำปลาม้าหม้อไฟ
เนื้อปลานุ่มละลายมากๆ อร่อยจนใจบาง~
ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว มาชมบรรยากาศสองข้างทางริมน้ำกันค่ะ
ซึ่งเป็นการล่องเรือตามรอยเสด็จประพาสต้นในรัชกาลที่ ๕
และย้อนรอยนิราศสุพรรณ ของสุนทรภู่ นั่นเอง!!
ตลอดทางพี่บอยจะคอยเล่าเรื่อง ชี้จุดเด่นๆ เช่นบ้านทรงไทยโบราณ
วัดวาอารามตลอดสองฝั่งให้ชมกันไปเรื่อยๆ บ้างก็ร้องเพลงสนุกๆ ให้ฟังค่ะ
พี่บอยนี่ Entertainer เก่งสุดๆ ไปเลย
อย่างตรงนี้ พี่บอยบอกว่าเป็นรังของนกกระจิบ
คะน้าแทบคว้ากล้องไม่ทันแน่ะ เพิ่งเคยเห็นเลยค่ะ
และตรงนี้คือบ้านทรงไทยโบราณ สไตล์บ้านแหลม
เพราะหน้าจั่วมีทรงแหลมๆ นี่เอง /\ /\
ยามบ่ายมาเยือน...
เรือล่องมาส่งเราเทียบท่าที่บ้านของ คุณยายสมปอง ศรีสังข์งาม
ที่นี่ เราจะมา "เรียนรู้การทำขนมคานหลาว" กันค่ะ
แค่ชื่อก็ เอ๊ะ! กันแล้วใช่มั้ยล่ะ คะน้าก็เอ๊ะเหมือนกัน 555555
มาถึง คุณยายได้นั่งรอเราพร้อมกับวัตถุดิบในการทำขนมเต็มโต๊ะเลยค่ะ
แต่ก่อนที่คุณยายจะสอนให้เราทำขนมกันนั้น
คุณยายได้เล่าประวัติของขนมให้เราฟังกันอย่างคร่าวๆ ก่อนค่ะ
ขนมคานหลาว เป็น ๑ ใน ๕ ของขนมเจ้าบ้านเจ้าเรือน
ซึ่งขนมเจ้าบ้านเจ้าเรือน จะประกอบด้วย ขนมต้มแดง, ขนมต้มขาว
ข้าวเหนียวน้ำกะทิ, ขนมคานหลาว และกล้วยน้ำว้า ค่ะ
ซึ่งเป็นเซตขนมโบราณสำหรับใช้เข้าพิธีเรียกขวัญในงานบุญ
เช่น งานแต่ง งานบวช หรืองานขึ้นบ้านใหม่นั่นเอง
และสำหรับวันนี้ที่เราจะมาเรียนรู้การทำขนมคันหลาวกันนั้น
วัตถุดิบที่คุณยายเตรียมมา ก็มี แป้งท้าวยายม่อม
แป้งมันสำปะหลัง มะพร้าวขูด น้ำอัญชันสำหรับทำสี และน้ำต้มใบเตยหอมค่ะ
มาจ้าาา! คะน้าเข้าที่ งานนี้คุณยายสอนไป ให้คะน้าทำไปได้เลยค่ะ
เริ่มจากผสมแป้งทั้งสองในกะละมัง ตักน้ำต้มใบเตยใส่ทีละน้อย และน้ำเย็นอีกนิดหน่อย
คุณยายบอกว่า ใช้น้ำร้อนผสมแป้งอย่างเดียวไม่ได้ แป้งจะสุกเกินไป
จากนั้นก็คนๆ จนแป้งจับตัวเป็นก้อนตามรูปเลย
เหมือนแป้งโดเลย 55555 จากนั้นก็ผสมสีตามชอบค่ะ
ได้แล้ววว~ แป้งขนมคานหลาว
มีสีขาว สีเขียวใบเตย และสีม่วงอัญชันค่ะ
จากนั้นก็มาปั้นแป้งกันค่ะ ก่อนอื่นต้องทาแป้งมันบนมือก่อน
เพื่อไม่ให้ปั้นแป้งแล้วเหนียวติดมือ คุณยายบอกไม่ทันว่าให้ทาแป้งแค่อุ้งมือ
คะน้าปาดเรียบไปเลยค่ะ สิบนิ้วรวด! 555555
จากนั้นมาเริ่มปั้นค่ะ...
ปั้นเป็นยาวๆ เหมือนงู จับหัว จับหาง ยกขึ้นเล็กน้อย
ใช้นิ้วบีบกลางลำตัว เรียกว่า "นม" สองครั้ง ตามรูป
คุณยายชมว่าคะน้าปั้นสวยด้วยนะ ดีใจจจจ~
จากนั้นหย่อนเบาๆ ใส่หม้อต้มน้ำใบเตยหอมค่ะ
รอจนกระทั่งขนมคานหลาวลอยน้ำ ก็ตักขึ้นมาแช่น้ำเย็น
โดยด้วยมะพร้าวขูด เป็นอันจบพิธี
ได้เวลาชิมแล้ววว ^_^
รสชาติเหมือนขนมต้มเลยค่ะ อย่างแรกที่ได้คือกลิ่นขนมที่หอมมากกกก
เนื้อแป้งนุ่ม และมะพร้าวขูดที่ให้รสมัน อร่อยมากค่ะ คะน้าจิ้มไม่หยุดเลยทีนี้ >///<
และนี่คือที่คุณยายทำเตรียมไว้ให้เราชิมค่ะ
น่าทานมากๆ เลยใช่มั้ยคะ
ต่อมาใกล้ๆ กัน ตรงนี้เห็นไข่เป็ดวางเต็มไปหมดเลย
เราจะมา "เรียนรู้การทำไข่ตาพุด" กันค่ะ
ไข่ตาพุด ก็คือ ไข่เค็ม สอนโดย พี่วนิดา ค่ะ
พี่วนิดาให้เราชมผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปกันก่อน
แปลกตาและสวยงาม เป็น Package ไข่เค็มที่เก๋ไก๋สุดๆ ไปเลยค่ะ
ซึ่งแต่ละแพ็ค จะมีไข่เค็มสองใบค่ะ สวยเนอะ คะน้าชอบจังเลย
คราวนี้เรามาหัดทำกันค่ะ พี่วนิดาสอน โดยการทำให้เราดูก่อน
โดยวิธีการคือ นำดินสอพอง มาผสมเกลือสมุทร และนำมาปั้นห่อไข่เป็ด
จากนั้นจับคู่ไข่ และปั้นดินให้ติดกันเป็นเลข 8 แบบนี้เลย
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการโรยผงใบเตยตากแห้ง ให้มีสีสันสวยงาม
อีกทั้งยังทำให้ไข่เค็มหอมกลิ่นของใบเตยอ่อนๆ เป็นเอกลักษณ์ของไข่ตาพุดอีกด้วยค่ะ
งานนี้คะน้าเก่งนัก เพราะสามารถทำออกมาได้สวยงาม
ระดับก๊อปเกรด AAA กันเลยทีเดียว 555555555
เสร็จแล้วจ้า~ พี่วนิดาช่วยพัน wrap ให้ และใส่ถุงให้เรียบร้อยเลยค่ะ
สวยมั้ย คะน้าทำเองเลยน้าาา ^^
ทำของกินกันมาทั้งวันแล้ว ไปทำของใช้สวยๆ งามๆ กันบ้างค่ะ
เดินมายังสนามหญ้าริมน้ำหน้าบ้าน มีคุณยายนั่งรออยู่แล้ว
ตรงนี้ เราจะมา "เรียนรู้การจักรสานผักตบชวา" กันค่ะ
สอนโดย คุณยายล้วน กล่องอินทร์ คุณยายผู้มาพร้อมกับรอยยิ้มหว๊านหวาน
ยิ้มเก่งม๊ากกกก! ยิ้มตั้งแต่เช้า จนถึงตอนนี้ น่ารักจังเลยค่ะคุณยาย
คุณยายดูหน้าคะน้าแล้วคงเดาได้ไม่ยากว่า ถ้าให้ทำงานฝีมือ คงไม่รอดเท่าไหร่
สกิลที่พิจารณาได้จากหน้าตา คุณยายเลยสอนให้ทำดอกกุหลาบ สำหรับติดหน้าอก
เป็นของชำร่วย ดูท่าจะอุ่นใจกว่า ว่าคะน้าจะต้องไปรอดแน่ๆ เอ้าเริ่ม!!
ใช้เวลาไม่นานนักค่ะ กุหลาบผักตบชวาของคะน้าน้อยก็เสร็จเรียบร้อย
ไม่ต้องถัก ต้องสานอะไรกันให้ยุ่งยากทั้งนั้น
ใส่สกิลนิ้วบิดๆ ม้วนๆ เป็นอันเรียบร้อย น่ารักมั้ย 55555
และนี่คือปลาตะเพียนน้อย ที่คะน้าสะดุดตาหลงรักตั้งแต่แรกเห็น
คะน้าเลยอุดหนุนคุณยายมา ๑ ตัวถ้วน
ห้อยกระเป๋าแล้วเก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร (ถ้าเขาไม่ซื้อเหมือนเรา 55555)
ส่วนด้านนี้ คือกระเป๋า ตะกร้า ที่สานจากผักตบชวาล้วนๆ
สวยมั้ยคะ หมายถึง นางแบบอะค่ะ สวยมั้ย? แอร๊ยยยย~
ทำเสร็จ เราต้องอวดผลงานให้โลกรู้ค่ะ 1...2...3 ยิ้มมม!!
ทำ Workshop ที่บ้านคุณยายจบแล้ว กลับมาลงเรือกัน
พี่บอยจะพาเราไปไหว้พระทำบุญที่ "วัดสุขเกษม" เพื่อความเป็นสิริมงคลค่ะ
บนเรือ พี่ๆ ชาวบ้านแหลม แจกธูปประจำวันเกิดให้พวกเราด้วยค่ะ ใจดีจังเลย
คะน้าเกิดวันอาทิตย์ ได้ห่อธูปสีแดงสด จำนวน ๖ ดอก
แต่น้องต่ายเกิดวันศุกร์ ได้ธูปมาถึง ๒๑ ดอก
ก่อนที่คะน้าจะรู้สึกขาดทุน พี่บอยก็อธิบายว่า จำนวนธูปจะให้ตามกำลังวันค่ะ
หากวันเกิดมีกำลังมากอยู่แล้ว ก็จะได้ธูปน้อยหน่อย เช่นคะน้า
แต่หากวันเกิดกำลังน้อย ก็จะใช้ธูปเสริมกำลังกันไปแต่ละวัน ตามความเชื่อนั่นเองค่ะ
มาถึงวัดแล้วค่ะ ภายในอุโบสถมีพระประธานองค์ใหญ่ที่สุดในริมแม่น้ำท่าจีนเลยทีเดียว
พอเข้ามาถึงแล้ว จะเห็นว่าตรงเศียรพระประธาน จะมีการเว้นเพดานไว้เป็นช่อง
เพราะพระประธานสูงกว่าเพดานนั่นเองค่ะ
กราบไหว้พระด้านในแล้ว ออกมาด้านนอก จะเจอกับพระประจำวันเกิดค่ะ
ตรงนี้คะน้าก็หยิบธูปสีแดงแรงฤทธิ์ออกมาเลย
ขอพรให้ตัวเองมีสมาธิในการใช้ชีวิต
และมีสติในการแก้ไขปัญหาด้วยเถิด ธุจ้า!
สดใสประดุจได้รับพรจากพระ ยามบ่ายแก่ๆ เรากลับมาที่บ้านสวนแผ่นดินแม่กันอีกครั้ง
พี่บอยได้เตรียมเซอร์ไพรส์ไว้รับเราแหละ นั่นคือ...คาราวานรถแต๊กๆ ค่าาา O[]O!
ตะลึงตาแตกกันไปเลย 55555 เราจะนั่งรถแต๊กๆ ไปทุ่งนากันค่ะ กรี๊ดดด~
ไม่เคยนั่งมาก่อน ขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
และอวดเพื่อนๆ กันซะหน่อย
อารมณ์เหมือนมาแคสเป็นลูกสาวกำนันป่ะคะ 555555
ราวๆ ๑๕ นาที รถแต๊กๆ ก็นำพาพวกเรามาถึงที่นี่ค่ะ
"ไร่นาเศรษฐกิจพอเพียง มณฑาทิพย์"
ซึ่งเจ้าของคือพี่มณฑาทิพย์ ชื่นจิตร คนนี้เองค่าาา
ที่นี่เป็นไร่นา เกษตรแบบผสมผสาน
มีไร่นา บ่อเลี้ยงบัวหลวง เล้าเป็ดไข่ และหน่อไม้หวาน ค่ะ
ซึ่งเราจะมาเก็บผลผลิตจากที่นี่ เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ
ในการทำอาหารมื้อเย็นของเราในวันนี้นั่นเอง ตื่นเต้นนน~
เริ่มจาก...ไปเก็บไข่เป็ดในเล้า
ซึ่งตอนนี้เป็ดไม่อยู่ค่ะ...เป็ดไปอาบน้ำในคลอง
(ไม่ได้มุขนะคะ น้องเป็ดไปอาบน้ำในคลองข้างนอกกันอยู่จริงๆ 5555)
จากนั้น...มาฟันหน่อไม้หวานกันค่ะ
ถึงตอนนี้ ทุกคนลุ้นกันหมด ว่าคะน้าจะฟันหน่อไม้ หรือจะฟันขาตัวเองก่อนกัน 55555
แต่ในที่สุดคะน้าก็ได้หน่อไม้มานะ เย้! เย้!
อีกด้านหนึ่ง พี่ๆ กำลังล่องเรือลงไปเก็บสายบัวกันค่ะ
เมื่อได้วัตถุดิบกลับมาแล้ว เรามาลุยทำครัวกันเลย
เมนูวันนี้ของเรามี ผัดหน่อไม้ ไข่เจียว แกงส้มก้านผักตบและสายบัว
ยำไข่ดาว และไก่ทอดค่ะ อร่อยทุกเมนูเลยค่ะ
โดยเฉพาะผัดหน่อไม้ คะน้าโปรดเป็นพิเศษเลย
วันต่อมา...
สำหรับทริปนี้ คะน้าใช้เวลาเที่ยวทั้งหมด ๒ วัน ๑ คืนค่ะ
และสำหรับวันที่สองนี้ เราจะไปเที่ยวที่แรกกันที่...
"วัดสำปะซิว" หรือ "วัดโดราเอมอน" ค่ะ
วัดนี้ที่มีชื่อว่า "วัดโดราเอมอน" เพราะว่ามีภาพของการ์ตูน โดราเอมอน
ซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ของวัดนั่นเองค่ะ
เป็นกุศโลบายของที่นี่ เพราะปกติเวลาคนมาเข้าวัด ไหว้พระกันเสร็จแล้ว
ก็จะพากันกลับไป ภาพจิตรกรรมฝาผนังก็น้อยคนนักที่จะใช้เวลาในการชื่นชม
หรือมองภาพได้อย่างเข้าใจ ดังนั้นวัดนี้จึงใช้โดราเอมอนนี่แหละ มาดึงดูดความสนใจค่ะ
เช่นประตูทางเข้านี้ มีโดราเอมอนเป็นปูนปั้นประดับอยู่ด้วยนะ
หากเราเดินผ่านไปเฉยๆ ลวดลายวิจิตรงดงามของประตูนี้คงไม่เป็นสังเกตเท่าไหร่นัก
แต่ถ้าบอกว่ามีโดราเอมอนซ่อนอยู่ ระหว่างที่เรามองหา
เราก็จะได้ชื่นชมลวดลายปูนปั้นไปด้วยยังไงล่ะคะ
และตรงนี้คือศาลามหาอุตม์ค่ะ เป็นศาลาสำหรับทำพิธีกรรม
จึงมีประตูเข้าออกเพียงทางเดียว
และด้านข้าง เป็นสถูปเจดีย์ที่เก็บกระดูของเหล่าทหารกล้าที่สละชีพในสงคราม
ในสมัยสมเด็จพระนเรศนั่นเองค่ะ
เมื่อเข้ามาภายในโบสถ์ คะน้าก็ตะลึงกับภาพจิตรกรรมฝาผนังไปเลย
เพราะมีสีสันสวยงาม และลวดลายของภาพก็วิจิตรมากๆ
ไกด์เล่าว่าทั้งหมดนี้ ใช้คนวาดแค่คนเดียวเท่านั้น
และใช้เวลานานถึง ๘ ปีเลยทีเดียว น่าทึ่งจริงๆ ค่ะ
ในภาพนี้มีโดราเอมอนด้วยนะคะ คะน้าถ่ายมาให้ดู เห็นกันมั้ย
และอย่างที่บอกค่ะว่าศิลปินใช้เวลาวาดนานถึง ๘ ปี
หากจะไม่หยุดชื่นชมเลยก็เสียดายผลงานดีๆ เกินไป
ดังนั้นเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เวลาชมภาพกันสักนิด
จึงต้องออกกุศลโลบายให้มองหาตัวการ์ตูนที่ซ่อนจนเกือบมิดให้เจอนี่แหละค่ะ
ซึ่งกว่าจะหาเจอแต่ละจุด เราก็เข้าใจเรื่องราวพุทธประวัติไปด้วย
เป็น Content ที่ช่างคิดจริงๆ เลย ว่ามั้ยคะ ^^
แองกี้เบิร์ดก็มาจ้าาา เห็นกันมั้ยว่าอยู่ตรงไหน 5555 น่ารักเชียว
ต่อมาด้านนอก มีศาลาใหญ่ให้ขึ้นไปชมได้ค่ะ
ด้านบนมีหลวงพ่อ สามารถขึ้นไปถวายสังฆทาน หรือใส่บาตรได้ด้วยนะคะ
และด้านในยังมีห้องแสดงองค์พระพุธรูปเก่าแก่
รวมถึงพระธาตุให้กราบสักการะค่ะ
และที่นี่คือที่สุดท้ายของทริปนี้แล้ว ไวจังเลย~
"ไร่เฮียใช้" ที่นี่เป็นแหล่งการเรียนรู้เรื่องการปลูกข้าวค่ะ
มีนาข้าว และแปลงผักต่างๆ ให้ได้เดินชมกัน
ซึ่งที่นี่จัดสถานที่ได้สวยงาม น่าเดินเที่ยวมากๆ เลยค่ะ
บอกเลยว่ามาถึงที่นี่แล้ว หยุดยกกล้องถ่ายรูปกันไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน!
เข้ามาด้านในมีมุมให้อาหารน้องควายด้วยนะ น้องเชื่องมากกกกก~
เลียมือคะน้าด้วย ลูบหัวได้ไม่ดุ ยืนกันเฉยเชียว น่าเอ็นดู
ใกล้ๆ กันมีเรือนแสดงของเก่าๆ ราวๆ ยุค 80 ด้วยค่ะ คะน้าเกิดไม่ทันสักอย่างเลย
แต่บางอย่างก็ทำให้เห็นว่า อายุยาวนานแค่ไหน อย่างสบู่ลักส์ไงคะ นานมากอ่ะ!!
เดินชมของเก่ากันแล้ว มาขึ้นรถรางเที่ยวชมไร่กันค่ะ
รถรางจะพาเราวิ่งผ่านภายในตัวอาคาร คล้ายกับโรงสีข้าวค่ะ
มีรถไถนา อุปกรณ์ เครื่องจักรเต็มไปหมดเลย
เมื่อออกมาด้านนอก จะผ่านโรงเรือนแปลงผักค่ะ
กำลังโตเชียว โรงเรือนนี้กินพื้นที่กว้างขวางมากๆ
มีโรงเพาะเห็ดด้วย จริงๆ ที่บ้านคะน้าก็เพาะเห็ดโคนอยู่เหมือนกันค่ะ
แต่ไม่ได้มีโรงเรือนแบบนี้นะ คะน้าเพาะเอาไว้ทานเองเล่นๆ เฉยๆ
นั่งมาสักพัก รถรางก็นำพาพวกเราชาวคณะมาจอดชมที่นี่ค่ะ
แค่ชื่อทางเข้าก็น่าสนุกแล้ว เราไปดูข้างในกันค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง
ฮือออ~ ใจบางงง เพิ่งเคยเห็นนกกระทาใกล้ๆ เป็นครั้งแรกเลยค่ะ
ไข่เต็มไปหมดเลย เห็นแล้วหิวไข่ขนมครก ชอบทานเหมือนคะน้ากันมั้ยคะ 5555555
และนี่คือเล้าไก่ไข่ โรงเรือนสะอาดมากๆ เลย
ตรงนี้มีชิงช้าสูงปรี๊ดให้ไปนั่งเล่น พร้อมชมวิวแบบพาโนรามาด้วยนะ
และนี่คงเป็นที่มาของคำว่า "สนุกสุดเหวี่ยง" สินะคะ 555555
มีเรือให้นั่งเล่นด้วย หรือจะลงไปนั่งถ่ายรูปสวยๆ แบบนี้ก็ย่อมได้
มุมถ่ายรูปเยอะไปหมดเลยค่ะ ขนาดอาจารย์แม่ยังอดใจไม่ไหว
ใครมาที่นี่ต้องถูกใจกันแน่ๆ ค่ะ เพราะของเล่นเยอะจริงๆ
ถ่ายรูปเล่นกันจนหมดท่าจะโพสต์แล้ว
เราก็นั่งรถรางไปต่อกันค่ะ
มาถึงตรงนี้ เป็นทุ่งนาค่ะ แต่แปลกตาตรงที่ปลูกใส่ถาดไว้นี่แหละ
ซึ่งพี่ไกด์อธิบายว่า ที่นี่คือแปลงเพาะต้นกล้าข้าวค่ะ เพาะใส่ถาดไว้ จำหน่ายยกถาด
เมื่อชาวนามาซื้อไป ก็สามารถนำต้นกล้านี้ ไปทำการดำนาต่อได้เลยค่ะ เจ๋งเนอะ!!
โอโหหห~ ดูวิธีรดน้ำสิคะ เก๋เว่อร์ เป็นนาไฮโซที่แท้ 55555
ที่นี่ใช้เครื่องจักรในการทุ่นแรง แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆ ใช้เวลาทำงานน้อย
ผลผลิตมีคุณภาพ สมกับเป็นไร่ตัวอย่างจริงๆ ค่ะ คะน้าชอบที่นี่มากๆ เลย
ชมแต่ตาก็เหมือนจะไม่อิน พี่เขาเลยไปยกมาให้ลองจับและดูใกล้ๆ ด้วย
ต้นกล้าข้าวเรียงสวยเชียว คะน้าจับแล้วนุ่มมือมากๆ เลยค่ะ
ด้านหลังมีการประทับตรา และเบอร์โทรศัพท์ด้วยนะ
เป็นต้นกล้าข้าวที่ไฮโซมากๆ ราคาจำหน่ายก็ไม่แพง
ชาวนายิ้มแก้มแตกกันแน่นอนค่ะแบบนี้
เป็นยังไงบ้างคะ กับการท่องเที่ยววิถีชุมชน คะน้าชอบมากๆ ทุกคนชอบมั้ยคะ
การท่องเที่ยวแบบ Do It Like A Local แบบนี้ สนุกและเท่มากๆ เลยใช่มั้ยล่ะ
ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่ง เราจะมาเที่ยวเพื่อมาปั้นธูป มาตำน้ำพริกกันแบบนี้
แต่พอได้ทำแล้ว นอกจากจะได้เรียนรู้ ได้เปิดโลกจากโลกปกติที่เราใช้ชีวิต
ยังได้รูปเท่ๆ ไปอวดเพื่อนๆ ด้วยนะ สไตล์วินเทจที่แท้ ❤
และการท่องเที่ยววิถีไทยเท่แบบนี้ ไม่ได้เหมาะกับวัยรุ่นเท่านั้นนะคะ
คุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกหลานในวัยน่ารัก วัยแห่งการช่างจดช่างจำ
คะน้าว่าเด็กๆ ต้องชอบมากแน่ๆ กับการได้ใช้กล้ามเนื้อมือมัดน้อยๆ มาทำกิจกรรมดีๆ แบบดี
ลองพาลูกๆ หลานๆ มาเที่ยวกันสักตั้งสิคะ!! ชอบไม่ชอบ เดี๋ยวรู้กัน! ^^
อ่อ! ใกล้ที่ไหน เที่ยวที่นั่นนะคะ จะได้ไม่ต้องเดินทางเหนื่อยเกินไปสำหรับเด็กๆ
เพราะโครงการ Thailand Village Academy มีให้เที่ยวถึง ๒๒ ตำบล ๒๒ จังหวัด
เผลอๆ คุณแม่นี่แหละค่ะ จะสนุกกว่าคุณลูกด้วยซ้ำ ส่วนคุณพ่อก็จะเหนื่อยหน่อย
เพราะต้องคอยถ่ายรูปมุมไม่ซ้ำ โพสต์ให้สุด ให้คุณแม่สินะคะ 5555555
สุดท้าย คะน้าขอขอบคุณทุกๆ คนเลยนะคะ ที่อ่านมาถึงตรงนี้
ขอบคุณที่แวะเวียนมาชม Blog ของคะน้ากันตลอดเรื่อยมา
"แค่อ่านคะน้าก็รักแล้ว...แต่ถ้ากด Share คะน้าจะรักยิ่งกว่า"
❤️ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยน้าาาา และสามารถไปคุยเล่นกับคะน้าได้ที่เพจด้านล่างนี้เลย❤️
แล้วเราจะพบกันใหม่ค่ะ // คะน้าน้อย ❤
คะน้าน้อย
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 01.34 น.