..บางแสน แหล่งท่องเที่ยวที่ไม่เคยเงียบเหงา หรือห่างหายไปจากความทรงจำตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันยังคงได้รับความนิยมอยู่เสมอ เรียกได้ว่าหน้าร้อนไปทะเลก็จะนึกถึงบางแสนเป็นอันดับต้นๆ สำหรับคนอยู่กรุงเทพ ผมมีโอกาสได้ไปพักผ่อนแถวบางแสนอยู่คืนนึง เลยอยากจะตระเวณหาที่เที่ยวที่กินในแถบนั้นดูสักหน่อย เช้าวันนั้้นที่ผมขับรถชิลๆออกจาก กทมแต่เช้าตรู่ วิ่งเส้นบูรพาวิถี แต่ต้องเผชิญกับฝนตกหนักมาตลอดทางจนถึงใกล้ๆเมืองชลฝนก็เริ่มซาลงเหมือนกับรู้ว่าผมต้องแวะหาจุดเช็คอินสวยๆแล้ว
วัดเขาบางทราย
วัดนี้อยู่ก่อนถึงเมืองชลบุรี เลย บ.ข.ส มาประมาณ 3 กิโลก็เตรียมชิดซ้ายเลี้ยวเข้าวัด วัดเขาบางทรายเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ ซึ่งเป็นวัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตินิกาย ตั้งอยู่ที่ตำบลบางทราย อำเภอเมืองชลบุรี สภาพภายในวัดเงียบสงบ ร่มรื่น สะอาดตา มีสิ่งปลูกสร้างแบบทรงยุโรปสมัยรัชกาลที่ 5 แต่เดิมเป็นวัดร้างที่สร้างขึ้นสมัยอยุธยาแต่ผุพังไปหมด ต่อมาพระยาพิชิตชลเขต ผู้กำกับราชการเมืองชลบุรี ได้สร้างวัดพระพุทธบาทบางทรายขึ้นใหม่ในรัชการที่ 5
วัดนี้จะมีบันไดขึ้นไปบนยอดเขา ซึ่งมีมณฑปอันเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ตามทางร่มรื่นไปด้วยกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมให้ความร่มเย็น เชิงเขาจะมีสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่สมัยรัชการที่ 5 เป็นอาคารทรงยุโรป ถัดมาจะมีวิหารหลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ และหอระฆัง ด้านบนสุดมีรอยพระพุทธบาทอยู่ 2 รอย และตึกหลังเล็กใกล้กันภายในมีพระพุทธไสยาสน์ตั้งอยู่บนยอดเขา วิวทิวทัศน์ด้านบนามองลงไปเห็นถนนเลียบชายทะเล และสะพานชลมารควิถี 84 พรรษา ยิ่งช่วงดวงอาทิตย์ตกคงจะสวยมาก
สะพานชลมารควิถี 84 พรรษา
ถนนเลียบชายทะเลเมืองชลบุรี หรือ "สะพานชลมารควิถี 84 พรรษา"เริ่มตั้งแต่บริเวณเขตเทศบาลตำบลบางทราย ไปจนถึงวงเวียนเรือใบ เขตเทศบาลเมืองชลบุรี ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ออกจากวัดเขาบางทรายผ่าน ส.น.ง.สงเคราะห์ทหารผ่านศึกมาไม่ไกลเตรียมเลี้ยวขวาตรงสามแยกไฟแดงแรกเข้าถนนพิพิธ เข้ามาสักไม่กี่ร้อยเมตรมีป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไปเทศบาลตำบลบางทราย ขับตรงเข้าไป แล้วเลี้ยวซ้ายตรง รพ.ส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลบางทราย ขับตรงเข้าไปผ่านสวนสาธารณะจะเห็นถนนเลียบชายทะเลอยู่เบื้องหน้า
ถนนเส้นนี้หากก่อสร้างเสร็จจะมีระยะทางรวมยาว 17 กม.เชื่อมต่อจากบางทรายไปถึงอ่างศิลา วิวสองข้างทางจะถูกโอบล้อมไปด้วยทะเล มีบ้านเรือนที่ปลูกสร้างอยู่ริมฝั่งแซมด้วยพื้นที่ป่าชายเลน อีกด้านจะเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกมีกระเตงหรือที่พักของชาวประมงตั้งอยู่เรียงราย มองไปคล้ายๆปากประ จ.พัทลุง เส้นทางนี้จะผ่านตลาดชาวประมงท่าเรือพลี แต่ช่วงที่ไปยังปิดอยู่เลยไม่ได้แวะเข้าไป
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและอนุรักษ์ป่าชายเลนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์
จากสะพานชลมารควิถีวิ่งผ่านวงเวียนเรือใบมาจนสุดแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน รพ.เก่าแล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ถ.พระยาสัจจาวิ่งมาประมาณ 4 กม.เลี้ยวขวาตรงแยกพลับพลาเข้าถ.อบจ.ชลบุรีมาสัก 750 เมตรแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยนารถมนตเสวีมาประมาณ 750 เมตรก็จะเจอศูนย์นี้ตั้งอยู่ด้านซ้ายมือสามารถจอดรถริมถนนได้ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและอนุรักษ์ป่าชายเลนเกิดจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันอนุรักษ์พื้นที่ป่ายชายเลนผืนสุดท้ายของจ.ชลบุรีซึ่งมีเนื้อที่เหลือเพียง 300 ไร่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์
ตลอดเส้นทางความยาว 2,300 เมตร บนสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติของศูนย์ฯ จะได้พบเห็นความหลากหลายทางธรรมชาติของป่าชายเลน ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไม้ป่าชายเลนและสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ระหว่างทางจะมีศาลาชีวภาพใต้น้ำ สะพานแขวน และมีบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับป่าชายเลนเป็นระยะๆ นักท่องเที่ยวจะได้รับทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน ศูนย์ศึกษาธรรมชาติปาชายเลนแห่งนี้ อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้ป่าชายเลนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โกงกางใบใหญ่ โกงกางใบเล็ก ตะบูนดำ ตะบูนขาว แสมดำ แสมขาว โปรงแดง โปรงขาว ลำพูน และพืชอีกหลายชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและเพาะพันธุ์สัตว์น้ำอีกหลากหลายชนิด ได้แก่ กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย หอยนางรม หอยแครง ปูก้ามดาบ ปูแสม ปลานวลจันทร์ ปลากะพงขาว ปลาตีน และนกอีกนานาชนิด
สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ม.บูรพา
สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา หรือ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ “พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวบางแสน หรือสถานที่ท่องเที่ยวชลบุรี ไม่ควรพลาด หากได้มีโอกาสแวะเวียนมาเยือนบางแสน ชลบุรี เมื่อเราออกจากศูนย์ย้อนกลับมาถึงแยกพลับพลาให้วิ่งตรงผ่านสีแยกเข้าสู่ถ.พระยาสัจจา-คีรีวิ่งไปประมาณ 2 กิโลจะถึงทางหลักคือถ.สุขุมวิทแล้วเลี้ยวขวาไปประมาณ 4 กิโลจะเห็นป้ายบางแสน ม.บูรพาเลี้ยวขวาตรงสามแยก เข้าถ.ลงหาดบางแสนขับตรงยาวไปประมาณ 10 กิโลเห็นสามแยกหน้าม.บูรพาเลยไปไม่กี่เมตรเลี้ยวซ้ายเข้าลานจอดรถได้เลยจะเห็นน้ำพุปลาโลมาตั้งอยู่เบื้องหน้า
ส่วนการจัดแสดงถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ใหญ่ ๆ โดยบริเวณภายนอกสถาบัน จะมีการแสดงโครงกระดูกปลาวาฬแกลบที่ตายในเขตน่านน้ำไทย ชั้นแรก มีการแสดงสัตว์น้ำ อย่างพวกปลาเล็กปลาน้อยที่อาศัยตามแนวปะการัง จำพวกปลาการ์ตูน ปลานีโม่ ปลาไหลมอร์เร่ย์ แมงกระพรุน ปลาปั๊กเป้า กับดอกไม้ทะเล เป็นต้น ต่อมาด้านในเป็นส่วนของปลาที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลลึกจุดนี้นี้ถือได้ว่าเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว เพราะมีการเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ในตู้กระจกขนาดใหญ่ เช่น ปลาหมอทะเล, ปลากระเบน ปลาราหู และปลาตัวใหญ่ๆอีกหลายชนิด ส่วนชั้นบน ผมไม่ได้ขึ้นไปเขาบอกว่าจะเป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล ช่วงแรกเป็นการแสดงนิทรรศการถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับพระราชกรณีกิจทางด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และด้านวิทยาศาสตร์การประมง ต่อมาเป็นการแสดงถึงเรื่องราวของของสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น แพลงตอน, ฟองน้ำ ปลาหมึก เป็นต้น ต่อมาจึงเป็นส่วนของนิเวศวิทยาทางทะเลและสัตว์ทะเลที่มีความผูกพันเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทย มีการจัดแสดงเครื่องมือที่ใช้ในการประมงและเรือประมง เป็นต้น และพิพิธภัณฑ์เปลือกหอย
หอยจ๊อแม่วรรณา - ข้าวหลามแม่นิยม
เลยเวลามื้อกลางวันมาชั่วโมงกว่าแล้ว แวะหาร้านอร่อยแถวๆหลังตลาดหนองมนสักหน่อย ผมออกจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมาออกถ.สุขุมวิท กะว่าจะหาของกินแถวตลาดหนองมนสักหน่อย แต่ไปเจอร้านเด็ดร้านดังใน social ก็เลยตั้ง gps ไปร้านนั้นทันทีซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดหนองมน หากวิ่งสุขุมวิทมาผ่านตลาดหนองมนมาสัก 1 กิโลชิดขวาตรงสี่แยกวัดตาลล้อมแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปในซอยเนตรดีขับตรงเข้าไปประมาณ 300 เมตร เห็นมีร้านของฝากคนซื้อกันเยอะ เลยแวะลงไปช็อปไปชิมสักหน่อย ร้านแรกเป็นร้านหอยจ๊อแม่วรรณา ลองชิมที่เขาเพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ เป็นเนื้อปูล้วนๆไม่มีแป้งปน รสชาติดี เลยหิ้วมากล่องนึงไว้ทานเล่นและซื้อแบบสดๆไว้ไปทอดที่บ้าน ถัดไปเป็นร้านข้าวหลามเผาฝืนแม่นิยม ส่วนใหญ่ก็เป็นของฝากที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีอย่างพวกหม้อแกง ขนมจาก แจงลอน เห็นมีหม้อแกงขายถาดละ 40 ต่อเหลือ 3 ถาด 100 มาลองชิมเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง รสชาติก็ไม่หวานมาก กำลังดี ช่วงนี้ฮิตทำข้าวหลามเป็นช็อต คือตัดเป็นบ้องสั้นๆง่ายต่อการรับประทาน ก็ดีเหมือนกัน
ก๋วยเตี๋ยวหน้ามน
หลังจากแวะซื้อของกินเล่นตรงร้านของฝากเสร็จขับมาสัก 50 เมตรเลี้ยวขวาเข้าถ.มาบมะยมขับตรงไปเรื่อยๆไม่ต้องเลี้ยวไหนสัก 800 เมตรจะมาเจอ 3 แยก ร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ฝั่งขวามือหัวมุมสามแยกนั้นเลย จอดรถฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นร้านหน้ามน หนมหวาน ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกัน เข้ามาในร้านเวลานั้นตลาดวายแล้ว คนค่อนข้างน้อยก็ดีได้โอกาสสำรวจร้านไปในตัว ตัวร้านเป็นตัวอาคาร 2 ชั้น มีรั้วรอบขอบชิดไม่กว้างมากนั้น สภาพร้านเป็นแนวตกแต่งก็เหมือนไม่แต่ง คือเป็นแนววินเทจที่จับเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ-เก้าอี้ไม้เก่าที่บางชุดมันไม่ได้เข้าคู่กันจับมาผสมปนเป ผนังร้านเป็นปูนเปลือยดูซอมซ่อแต่เป็นสไตล์ ตกแต่งเป็นร้านอาหารสไตล์จีนโบราณ กลางร้านเพดานถูกเจาะให้เห็นเหล่าเต้งชั้น 2 มีสิงห์โตจีนแขวนอยู่ ตามผนังมีรูปวาดแนวกราฟิตี้เป็นรูปประธานเหมาและกำแพงเมืองจีน ส่วนโลโก้ร้านออกแบบมาสไตล์เดียวกับร้านของโน๊ต อุดม โดยใช้หน้าเจ้าของร้านเป็นสัญลักษณ์
มาดูเมนูอาหารกันบ้าง มีให้เลือกหลากหลายจนหูตาลายทั้งข้าวและก๋วยเตี๋ยว ที่พิเศษกว่าที่อื่นก็คือที่นี่จะใส่ลูกเงาะในก๋วยเตี๋ยวด้วย หากสั่งเมนูที่มีเงาะปนอยู่ในนั้น เงาะที่ว่าคือหมูสับผสมวุ้นเส้นปั้นเป็นก้อน พอเวลาสุกแล้วหน้าตาจะเหมือนเงาะยังไงยังงั้น ผมแอบเอาหอยจ๊อที่ซื้อมาใส่ในบะหมี่ต้มยำที่สั่งมาก็เข้ากันดี แนะนำทางร้านลองเพิ่มหอยจ๊อเข้าไปด้วยก็จะดีไม่น้อย รสชาติอาหารโดยรวมค่อนข้างเป็นรสชาติยอดนิยมก็ว่าได้แทบไม่ต้องปรุงอะไรเลย ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 8:30-18:00
หน้ามน หนมหวาน
อิ่มจากของคาวแล้วก็มาต่อของหวานร้านฝั่งตรงข้ามซึ่งมีเจ้าของเดียวกัน เป็นร้านกาแฟ+ขนมหวานอย่างพวกเค๊ก ไอสกรีม ขนมปังปิ้ง บิงชู อะไรทำนองนั้น สภาพร้านร่มรื่นปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ จริงแล้วคือสร้างร้านครอบตัวต้นไม้ไว้อีกทีนึงก็ว่าได้ มีทั้งโซน indoor และ outdoor
มาดูเรื่องอาหารกันบ้าง ขั้นตอนการสั่งอาหารร้านนี้จะกึ่งๆแบบบริการตัวเอง หาโต๊ะนั่งเสร็จดูเมนูแล้วก็ติ๊กเลือกว่าเอารายการไหน แล้วเอาไปยื่นที่ cashier จ่ายเงินเสร็จแล้วเอาไปยื่นที่ counter เสร็จแล้วพนักงานจะยกมาให้เอง หลังจากสั่งอาหารแล้วช่วงที่รอก็เดินเล่นถ่ายรูปไปพลางๆก่อน เพราะมีมุมถ่ายภาพมากมาย หน้าตาขนมที่นี่ดูหน้าตาดี ผมสั่งแพนเค็กกับไอศกรีมเป็นท็อปปิ้ง แล้วก็ขนมปังปิ้ง ตบด้วยกาแฟร้อนๆ พอหายง่วง หากมาช่วงพีคๆ จะรออาหารค่อนข้างนาน ร้านนี้เปิด 12:00-23:00 ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาม.บูรพาและนักท่องเที่ยวทั่วไป
วัดแสนสุข เมืองสวรรค์ - แดนนรก
ที่ต่อมาที่จะพาไปเยือนคือ "นรก"ถูกแล้วครับ ชื่อสถานที่ค่อนข้างน่ากลัวสักหน่อยแต่จริงๆแล้วมันมีทั้งโซน นรก และสวรรค์ แต่ไม่รู้ทำไมคนชอบไปชม "ขุมนรก"กันมากกว่า แต่ก็ดีครับอย่างน้อยเมื่อเราไปเห็นมันจะได้คอยกระตุ้นเตือนให้เราไม่ทำผิดศีลกัน เริ่มต้นจากหน้า พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ม.บูพาขับไปตามทางถนนลงหาดสัก 800 เมตรแล้วเลี้ยวขวาเข้าเส้น บางแสนสาย 2 ขับตรงยาวไปสักกิโลกว่าก็เลี้ยวขวาเข้าซอย 19 ขับไปอีกสัก 500 เมตรก็ถึง นรก! แล้ว ด้านในแรกๆก็เป็นรูปปั้นพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าก็ยังดีๆอยู่ พอเข้าไปถึงนรกเท่านั้น ฟ้าเริ่มครึ้ม ลมพัด เหมือนฝนจะตก บรรยากาศวังเวงยังไงไม่รู้ ถ่ายภาพไปก็ให้รู้สึกขนลุกเสียวๆยังไงไม่รู้ เลยรีบกลับออกมา ไม่ไปแล้วสวรรค์ เพราะฝนกำลังจะมา
หาดวอนนภา
ขับรถย้อนกลับมาทางเดิมจากบางแสนสาย 2 แล้วมาเข้า ถ.บางแสนล่างเพื่อไปจุดเริ่มต้นที่หาดวอนนภาเพราะว่าจะได้ขับรถรับลมชมวิวลัดเลาะชายหาดไปเรื่อย ที่หาดวอนนภาจะติดกับหมู่บ้านชาวประมง ตรงจุดที่เป็นสวนสาธารณะหากไปยืนถ่ายภาพจะเห็นชีวิตชาวบ้านออกเรือทำประมงกัน ถัดมาด้านขวาบริเวณชายหาดจะเป็นที่พักผ่อนปูเสื่อนั่งชิลชมวิวกันบนฟุตบาทในช่วงเย็น แถบนี้จะมีแต่โขดหินไม่นิยมเล่นน้ำกัน จึงค่อนข้างสงบไม่วุ่นวาย
หาดบางแสน
ขับรถลัดเลาะจากหาดวอนนภามาสัก 2 กิโล จะถึงหาดบางแสน ผมจำไม่ได้ว่าลงไปเดินเล่นชายหาดบางแสนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ คงไม่ต่ำกว่า 20 ปี บางแสนในอดีตกับปัจจุบันถ้าในแง่ความสนุกในการเล่นกิจกรรมตามชายหาด หรือพักผ่อนตามเตียงผ้าใบคงไม่ต่างกับอดีตมากนัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเรื่องความสะอาดของชายหาด และผืนทราย ภาพในอดีตที่ผมยังจำได้ดีคือชายหาดจะเต็มไปด้วยเปลือกหอยเล็กๆมากมาย และผืนทรายจะสะอาดกว่านี้มากนัก
แหลมแท่น
เป็นจุดพักผ่อนอีกจุดหนึ่งที่ต่อมาจากชายหาดบางแสน นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนรับลมช่วงพระอาทิตย์ตก มีทั้งเตียงผ้าใบหรือจะเอาเสื่อมาปูนั่งกินอะไรชิลๆก็ได้ เสียดายที่บริเวณนี้ขยะที่น้ำพัดเข้ามาเยอะมาก ประกอบกับมีสิ่งก่อสร้างที่ยื่นไปในทะเลที่รื้อออกไม่หมด จนทำให้ทัศนียภาพแถบๆนี้ดูหมองไปถนัดตา ถัดออกไปด้านขวาจะมองเห็นวิวบนเขาสามมุข
จุดชมวิวเขาสามมุข
จุดชมวิวบนนี้วิวยังคงสวยงามเหมือนเดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือสถานที่ขาดหน่วยงานดูแล ทั้งห้องน้ำปล่อยทิ้งร้าง จำนวนขยะที่ถูกทิ้งตามไหล่ทางเพราะความมักง่ายของคนที่ขาดจิตสำนึก เห็นลิงบนเขาที่มีอยู่มากมายกำลังคุ้ยขยะหาของกินมันเป็นภาพที่สะท้อนปัญหาหลายๆด้านในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างไรให้ยั่งยืน
ศาลาฤาษี
ตั้งอยู่บริเวณเขาสามมุขขับรถเลียบหาดบางแสนเลยแหลมแท่นมาประมาณ 2 กิโลจะมีป้ายบอกทางมาตลอด ภายในศาลาฤาษีจะประดิษฐานรูปปั้นรูปเคารพตามความเชื่อไว้ให้คนมาสักการะกราบไหว้ขอโชคขอลาภ ภายในศาลาจะมีฤาษีนารอด และเจ้าแม่ทับทิม รอบๆจะมีรูปปั้นต่างๆอย่างเจ้าแม่กวนอิม องค์พระศิวะ พระกฤษณะ พระแม่อุมา หนุมาน พระสังกัจจายน์ ตลอดจนถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกหลายอย่าง สถานที่ค่อนข้างเงียบสงบ ร่มรื่น
ตลาดสะพานปลาอ่างศิลา
แหล่งรวมอาหารทะเล ทั้งของสดและของแปรรูปเหมาะสำหรับซื้อไปเป็นของฝากหรือทำกินเองในราคาย่อมเยา ตั้งอยู่ตั้งอยู่ตรงหัวโค้งตรงข้ามโรงเรียนชลราษฎรอำรุง 2 จากกทม.ขับมาเส้นถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าพัทยา ซ้ายมือเป็น big C extra ให้เลี้ยว ขวาตรงแยกไฟแดงอ่างศิลา จากนั้นตรงไปเรื่อยๆ จะเจอโค้งจะเห็นจะตลาดอ่างศิลาอยู่ด้านขวามือ สามารถนำรถเข้าไปจอด ในที่จอดรถริมทะเลใกล้ตลาดได้
ในส่วนที่พักหากใครมาเที่ยวบางแสนแล้วติดลม ผมแนะนำที่สิกขราพลาโช่รีสอร์ท สถานที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีชายหาดส่วนตัว เลยตลาดหนองมนไปประมาณ 3 กิโล เข้าไปชมได้ตาม link นี้ สิกขราพลาโช่รีสอร์ท
-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ
-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว
-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด
สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 09.04 น.