"ผาหินกูบ" ดูแลและรับผิดชอบของหน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งเพล เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ต.ฉมันอ.มะขาม จ.จันทบุรี มีระดับความสูงประมาณ 920 เมตรจากระดับนํา้ทะเล ระยะทางสำหรับเดินเท้าไปยังแคมป์ผาหินกูบประมาณ 6.50 กม. ใช้เวลาเดินขึ้นราว 6-8 ชม. เดินทางกลับใช้เวลาประมาณประมาณ 3-4 ชม.


ผาหินกูบสามารถเที่ยวได้ทั้งปีและเปิดให้เดินป่าศึกษาธรรมชาติเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ (ขึ้นเสาร์ลงอาทิตย์) โดยต้องโทรจองและเช็คกับเจ้าหน้าที่ที่เบอร์และ Line ID : 081-1530308 ในบางเดือนมีช้างและสัตว์ป่าบุกพื้นที่ก็ไม่สามารถขึ้นได้ ย้ำว่า ถึงแม้จะจองได้แล้วก็ตาม จะต้องโทรถามสถารการณ์ก่อนวันเดินทางเสมอ


"ผาหินกูบ" มีความสวยงามของธรรมชาติที่เต็มไปด้วยกลุ่มหินแกรนิตรูปร่างแปลกตามากมาย เป็น เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนที่ใคร สามารถนอนพักแรมใต้เพิงหินได้ด้วยนะ (ถ้าเดินไวและจับจองได้ทัน) อีกทั้งเป็นที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยวที่ต่างพากันไปชื่นชมทะเลหมอกสวยๆ ทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่อยากจะไปเห็นความสวยงามด้วยตาตัวเองสักครั้ง จะว่าไปแล้วครั้งนี้ของผมก็นับเป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ผมเจอฝนตกหนัก อากาศปิดมองไม่เห็นวิวเลย นี่แหละธรรมชาติ ไม่ไปไม่รู้ ไม่ดูไม่เห็น ที่นี่ “ผาหินกูบ” พร้อมแล้วก็ตามอ้ายกึ่มมาโล้ดดดดดด

ผมและน้องๆร่วมทริป "น้องต่าย น้องกิ่ง น้องวุฒิ" ได้นัดเจอกันที่น้ำตกกระทิง อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ เพื่อกางเต็นท์นอนที่นี่ 1 คืน เนื่องจากที่หน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งเพลที่ผมเคยไปนั้น ไม่สะดวกในเรื่องห้องน้ำ เราจึงพักและอาบน้ำพักผ่อนกันที่น้ำตกกระทิง พอเช้ามืดพวกเราค่อยออกไปซื้อเสบียงและเตรียมข้าวมื้อกลางวันที่ตลาดอำเภอเขาคิชฌกูฏสำหรับกินในระหว่างเดินป่า จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังหน่วยพิทักษ์ฯทุ่งเพล

พอมาถึงหน่วยฯ ทุ่งเพล เราก็ตามหาลูกหาบที่จองไว้ 1 คน เพื่อหาบส่วนกลาง ปรากฏว่าลูกหาบไปตัดทุเรียน ฮ่าๆๆ มองหน้ากันไปมา เอาไงดี สรุปแบ่งกันคนละเล็กละน้อย ใครสามารถแบกได้เยอะก็จัดมา เมื่อเป้เราพร้อมแล้ว เราก็เริ่มเดินประมาณ 9.30 น.


ช่วงแรกเป็นป่าทึบร้อนอบอ้าว อับลม ทำให้เราเหงื่อออกเยอะ หอบและเพลีย ควรเตรียมเกลือแร่และน้ำดื่มให้เพียงพอ

เส้นทางเดินป่าจะผ่านป่าระกำ ป่าหวาย ป่าไม้ที่แสนจะทึบอับลม ผ่านลำธารและดงทาก ถือว่าไม่ยากมากนักแต่ก็ไม่ง่ายสักทีเดียว เล่นเอาหมดแรง หอบแฮกๆ กันพอสมควร ฟิตร่างกายมาให้พร้อมด้วยละ


ขาขึ้นทำใจรอเลยใช้เวลาประมาณ 6-8 ชม. แล้วแต่กำลังของแต่ละคน และระวังทากด้วยนะครับ สัปดาห์ที่พวกผมไป เป็นสัปดาห์แรกที่เปิดให้ท่องเที่ยว เนื่องจากปิดมานานแรมเดือนจากปัญหาช้างป่าบุกพื้นที่ ทากคงหิวมาก โหดเกิ๊น ขนาดระวัง ดีดออกไปบ้าง ยังไม่วายเข้าไปดูเลือดที่ข้อเท้าจนตัวเป่งอวบมาก ผมแทบร้องไห้ ต้องให้น้องผู้หญิงมาเอาออกให้ อายจัง

เส้นทางจะมีป้ายบอกระยะทาง ระวังหลงด้วยนะครับ ควรเกาะกลุ่มกันไป

- หน่วยพิทักษ์ฯ - นํา้ตกอ่างเบง ระยะ 1.4 กม.

- นํา้ตกอ่างเบง - หินเพิง ระยะ 1.1 กม.

- หินเพิง - หินแปดเหลี่ยม ระยะ 1.3 กม. จะเริ่มไต่ระดับความชันขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มาก เป็นการซ้อมกำลังขาก่อนจะเจอโคตรชันตอนเราเลยหินแปดขึ้นไป ร่างกายที่ตุนอาหารเช้าด้วยข้าวเหนียวหมูปิ้งมาเต็มท้องก็ย่อยหมดพอดิบพอดีตรงหินแปดเหลี่ยม เราก็ไม่รอช้ารีบจัดการเติมอาหารกลางวัน และเติมน้ำดื่มที่แสนจะเย็นชื่นใจไว้ดื่มระหว่างทางจนกว่าจะถึงแคมป์พักแรมด้านบน

จุดเติมน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมี 3 จุดหลักๆ คือ หินเพิง หินแปดเหลี่ยมและผาหินกูบ ฉนั้นไม่ต้องเตรียมน้ำมาเยอะให้หนัก น้ำที่นี่ กรอกใส่ขวดปั๊บฝ้าขึ้นรอบขวดเลยละ บ่งบอกถึงความเย็น ตอนไหนที่เรารู้สึกกระหาย เหนื่อยล้า ได้ดื่มจากน้ำตามธรรมชาตินี้เชื่อเลย ดีดด่องๆ เดินอย่างไว ใครเคยมาเที่ยวที่นี่จะรู้กัน


- หินแปดเหลี่ยม - หินแหลม ระยะ 1.1 กม. ณ จุดนี้ จากที่ถือกล้องถ่ายภาพอันแสนหนัก ผมก็จัดการเก็บมันลงในเป้อย่างไว ออมแรงไว้เดินดีกว่า ช่วงนี้จะเป็นป่าไผ่ ทางชัน มีเชือกให้ดึง ต้องระวังลื่นใบไผที่ร่วงทับถมบนพื้นด้วยนะครับ


- หินแหลม - ทางลงถ้ำ ระยะ 1.4 กม.

- ถํา้ - ผาหินกูบ ถ้าเจอถ้ำก็ดีใจได้เลย อีกนิดเดียวไม่เกิน 300 เมตรก็จะถึงแคมป์แล้ว โอ๊ยอยากวางเป้ นอนพักรับลมดอยสักหน่อย

พอมาถึงแคมป์ พวกเรานอนรับลมเย็นๆ พักให้หายเหนื่อย ค่อยเตรียมกางเต็นท์ เปล และไฟชีท

เราเลือกแคมป์ด้านใกล้ๆ จุดชมวิวหินกูบ (หลังช้าง) เนื่องจากปลอดคน เงียบสงบ รับลมเต็มๆ



เสียงฟ้าร้องไม่ขาดสาย ฝนกำลังจะตก เราบอกเลยโคตรดีใจ เพราะถ้าฝนตกเราจะ

เห็นทะเลหมอกตามมาแน่นอน แต่ก็ลงเม็ดนิดหน่อยเอง น่าจะตกด้านล่างเขา ค่อยลุ้นทะเลหมอกตอนเช้าอีกที


สักพักก็มีหมอกพัดปลิวไปมา พอให้พวกเราชื่นใจ เรี่ยวแรงที่เสียไปเรียกกลับมาได้แทบหมดเลยละ น้องกิ่ง สาวน้อยที่ไม่เคยมาที่นี่ ออกปากตลอดเลยว่า งามแฮงงงงงงงเด้ออ้าย


อากาศที่นี่เย็นสบาย แทบหนาว ตอนฝนตก ลมพัดแรง ทำให้เราต้องไปหาเสื้อกันลมกันหนาวมาใส่กัน


วันนี้เราหมดแรงพอสมควร จัดการทำอาหารโดยสาวๆ มีสุกี้ที่โคตรอร่อย ต้มไป 2-3 หม้อ ก็ยังไม่หมด เอามาเยอะดีนัก เลยทำเผื่อเพื่อนอีกกลุ่มข้างๆ อีกหม้อ ที่เป็นสาวๆ กลุ่มสุดท้ายที่ใช้เวลาเดินน่าจะ 8 ชม. คงเหนื่อยและหิว


คืนนี้เราทั้ง 4 คน ต่างกินอิ่มแล้วก็นั่งพูดคุยเฮฮา แลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเที่ยวของแต่ละคน ดื่มด่ำกันเล็กน้อย ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน ผมนอนเต็นท์เล็ก น้องต่ายนอนเปล น้องกิ่งและน้องวุฒินอนปลาทู พรุ่งนี้เช้าเราคงได้เห็นหมอกแน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น

ประมาณตี 5 ผมลุกออกมาฉี่ และเห็นฟ้าเริ่มสาง เราก็ไม่เคยตื่นเช้าแบบนี้มานาน แปลกใจฤดูมันสว่างไวขนาดนี้เลยหรอ เริ่มมองเห็นวิวที่มีทะเลหมอกค่อยๆ ก่อตัว ผมรีบปลุกทุกคนให้ตื่น มาล้างหน้าแปลงฟัน แล้วไปชมวิวที่จุดต่างๆ

จุดแรกผมเดินไปชมวิวสุดฮิต ที่ใครๆก็ต่างแย่งกันเพื่อที่จะได้มานอนใต้เพิงหินนี้ ก็ดูสิ วิวที่ปลายเท้า ลุกขึ้นมาชมทะเลหมอกได้เลย

ปล.ตอนผมไปถ่ายรูป เพื่อนๆจากทริปอื่นยังไม่ตื่นกันเลย เสียงกรนคร๊อกกกกฟิ้ววววว น่ารักเชียว ฮ่าๆๆ

เช้านี้ มีทะเลหมอกด้วยครับ ถึงแม้จะไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็เป็นรางวัลให้นักเดินทางอย่างพวกเราได้ชื่นใจไม่น้อย


ตรงโน้นที่เห็นหินกลมๆ ลูกนั้น เรียกว่า "ผาหมี" เราสามารถเดินไปเที่ยวได้นะครับ ปีนป่ายเล็กน้อย ไม่ยาก ไปลุยกัน

ที่ผาหมี ก็เป็นจุดที่ใครๆ ต้องไม่พลาดที่จะมาชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น ตอนนี้มีผมคนเดียวที่ส่องไฟฉายปีนขึ้นมาคนเดียว ช่างกล้าเนอะ

ตั้งเวลากล้องแล้ววิ่งไปถ่ายเท่ห์ๆ คนเดียว

สักพักๆ น้องๆ และนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นก็ตามมา

พอเพื่อนๆ จากทริปอื่นเริ่มเดินไปเที่ยวที่ผาหมีกันเยอะ ผมก็ย้อนกลับมาถ่ายทางนี้มั่ง เปลี่ยนกัน จากที่เจอนอนเหยียดเรียงกัน ก็หายไปแทบหมด ฮ่าๆๆ



แอบส่องเพื่อนๆ ที่อยู่โน่นนนนนน "ผาหมี"

ที่พักแรมใต้เพิงหิน นอนได้ประมาณ 20 เห็นจะได้ เบียดๆกัน ตื่นมามองเห็นวิวสวยงาม สุดลูกหูลูกตา



มองไปไหนก็ชอบ เช้านี้สวยนะเนี่ย



หินก้อนนั้น หน้าตาเหมือนหมีเลย ว่าแล้วก็คิดถึงหมีดำที่ถูกคนใจร้ายยิงตาย

ทะเลหมอก คือรางวัลที่มีค่าต่อใจนักเดินทางอย่างพวกเราที่สุด

แสงแดดยามเช้า สาดส่องอย่างอบอุ่น เชื่อว่าทุกคนคงชอบและมีความสุขมากๆ

เวลาเรายังเหลือเฟือ เดินไปเที่ยวอีกฝั่งที่ติดกับที่พักแรมของพวกผม นั้นคือ กูบ หรือ หลังช้าง มาม๊ะไปขี่หลังช้างกัน

หลังช้าง สามารถชมวิวได้รอบทิศ 360 องศา ใครเบื่อฝั่งผาหมี ก็มาชมพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกสวยๆ จากจุดนี้ได้นะครับ


มีหินรูปร่างแปลก ตั้งตระหง่านโดดเด่น อาบแสงแดดสวยงาม บางคนก็บอกว่า นี่มันโมโกจูชัดๆ (เห็นเค้าบอกมานะ ผมก็ไม่เคยไปหมอกโมโกจูเนี่ย)

ช้างตัวใหญ่มาก เดินเล่นชิลๆ

ฝั่งนี้ก็เห็นทะเลหมอกนะครับ สวยใช่ย่อย



แอบถ่ายเพื่อนๆจากทริปอื่น ขออนุญาตนะครับ

พอสาย แดดก็เริ่มแรง เราเที่ยวจนทั่วแล้วก็รีบไปทำกับข้าวกิน เอาแบบง่ายๆ กาแฟ ขนมปังราดนมข้น ต้มมาม่าใส่ไข่เยอะๆ ผักที่เหลือจากทำสุกี้เมื่อคืน แค่นี้ก็พุงกางแล้ว


พออิ่มก็ทะยอยเก็บแคมป์ จัดการเก็บขยะเอาลงไปทิ้งด้านล่าง พวกเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เดินลงเขา

ผู้ชายรักหมอก และรักเขา จะกลับอยู่แล้ว หมอกยังปลิวไปปลิวมา

อยู่ต่อเลยได้ไหมมมมมมม




2 หนุ่ม 2 ชะนี ต่างคนต่างที่มา ที่พร้อมมอบมิตรภาพที่ดีให้แก่กัน คอยประคับประคองช่วยเหลือกัน จนในที่สุดทุกคนก็สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยและได้ชมความงดงามของธรรมชาติ เก็บความประทับใจไปเล่าต่ออย่างไม่มีวันลืม

คนบ้าอะไรเอาวันหยุดพักผ่อนเสาร์อาทิตย์ไปลำบาก แต่มันมีความสุขที่บางคนไม่อาจเข้าใจ ลาก่อนนะผาหินกูบ ถ้ามีโอกาสพวกเราะกลับมาใหม่

:::การเตรียมตัวและการใช้ชีวิตบนผาหินกูบ:::

- เปิดให้เดินป่าศึกษาธรรมชาติเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ (ขึ้นเสาร์ลงอาทิตย์ โดยต้องโทรจองและเช็คกับเจ้าหน้าที่ที่เบอร์และLine ID : 081-1530308

- ลูกหาบ ต้องโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ฯ ล่วงหน้า ยิ่งเข้าสู่ฤดูผลไม้ออกยิ่งหายาก ไม่พียงพอสำหรับนักท่องเที่ยว อย่างวันที่พวกผมไป จองลูกหาบไว้ 1 คน พอถึงวันเดินทาง ลูกหาบไปตัดทุเรียน อดเลย ต้องช่วยกันแบกของส่วนกลางเอง

- เตรียมเสื้อสำหรับใส่นอน ถุงนอน ห่อใส่ถุงกันน้ำหรือถุงพลาสติกก่อนยัดลงในเป้ เพราะระหว่างทางอาจเจอฝนตกกระหน่ำได้

- เสื้อกันลม กันหนาว เพราะด้านบนลมแรง ถ้าฝนตกด้วยแล้วยิ่งหนาวเลยละ

- ไม่มีห้องน้ำ หาทำเลเองเด้อ

- ระวังผึ้งด้วยนะครับ มีเยอะพอสมควร ยิ่งคนเหงื่อเยอะแบบผม โดนตอมและต่อยสะงั้น ใครแพ้พิษผึ้งต้องระวังเป็นพิเศษ

- พื้นที่ด้านบนรับจำนวนนักท่องเที่ยวจำกัด 30 คน สามารถกางเต็นท์เล็กได้ไม่กี่หลังหรอก นอกนั้นก็

ผูกเปล และนอนใตเ้พิงหิน

- จุดให้เติมน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมี 3 จุด คือที่ หินเพิง หินแปดเหลี่ยมและผาหินกูบ ใครไม่สะดวกดื่มน้ำธรรมชาติ ก็ให้เตรียมขึ้นไปให้เพียงพอนะ

- สัญญาณโทรศัพท์มีบางค่ายเด้อ แถมมีเฉพาะบางจุดอีกต่างหาก

- ขยะ ควรเตรียมถุงขยะไปด้วย เพื่อใส่และขนลงมาทิ้งด้านล่าง ขยะเปียกพวกเศษอาหารให้ขุดหลุมฝังด้านบนได้ เราต้องรับผิดชอบต่อสถานที่ร่วมกันนะ


:::ค่าใช้จ่าย:::

- ค่าธรรมเนียม (รวมค่าบำรุงสถานที่ ค่ากางเต็นท์พักแรม ค่าเจ้าหน้าที่นําทาง) 200 บาท/คน

- ค่าอาหาร เครื่องดื่มรวม 5 มื้อ ประมาณ 400 บาท/คน

- ค่า น้ำมันรถไปกลับ กทม. เฉลี่ยประมาณ 400 บาท/คน


รวมแล้ว ก็ประมาณ 1,000 บาท / คน บวกลบแล้วแต่เพื่อนๆ จะบริหารเองเด้อ


ขอบคุณเพื่อนร่วมทริป ที่ไปสนุกด้วยกัน

- น้องต่าย สาวน้อยสายวิ่งเทรล ที่ทั้งแกร่งและชำนาญในการเดินป่า แบกเป้หนักพอๆ กับผู้ชาย จัดการการจอง อาหาร เครื่องดื่มให้พวกเราทุกคน เป๊ะมาก และขอบคุณที่เอาทากที่อิ่มเลือดพี่ออกให้ ฮื้อออ กลัว

- น้องกิ่ง สาวอีสานร่างบาง ที่มีถุงนอนที่ใหญ่มาก แค่ถุงนอนใบเดียวก็เต็มเป้นางแล้ว นางนั่งเครื่องมาจากอุบลเพื่อมาเที่ยวผาหินกูบครั้งแรกและเจอพวกเราครั้งแรกอีกด้วย แต่ก็สนิทกันอย่างไว คุยเก่ง ถ่ายรูปเก็บ รายละเอียดทุกอย่าง นางชอบที่นี่มาก เดินไปก็จะพูดตลอดว่า "อู๊ยยย งามแฮง"

- น้องวุฒิ หนุ่มน้อยหน้าหนวดและรอยสักเต็มร่าง แต่ก็ไม่วายกลัวทากเหมือนผม ฮ่าๆๆๆๆ เป็นน้องชายสายกางเต็นท์ ที่เริ่มมาชื่นชอบการเที่ยวแบบเดินป่า เลยขอมาร่วมทริปกับเรา น้องขับรถสองล้อแว้นมาจากลาดกระบัง พร้อมรับมิตรภาพใหม่ๆ และเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ


เพื่อนๆ ละครับ หรือยัง เข้าสู่ฤดูฝนแบบนี้รีบออกไปตากฝน ชมทะเลหมอกสวยๆ ที่ผาหินกูบกันนะ

"ประสบการณ์ใหม่ ไม่ออกไปหา ไม่มีทางเจอ" Life is a journey

อ้ายกึ่มมักเล๊าะ บันทึกภาพวันที่ 5 - 6 พ.ค. 2561

#ดีแต่เที่ยว #Thailand #ผาหินกูบ #จันทบุรี


อ้ายกึ่มมักเล๊าะ

 วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.32 น.

ความคิดเห็น