" ไต้หวัน " เป็นประเทศที่หลายคนอาจจะมองข้ามในการมาเยือน แต่ถ้าหากได้มาเยือนที่นี่สักครั้ง คุณจะมีครั้งที่สองสำหรับทริปไต้หวัน เพราะที่นี่มีวัฒนธรรม มีอาหาร มีสถานที่ ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าคุณจะอยากเที่ยวในแบบสายกิน สายลุย สายเดินป่า หรือจะเป็นสายโรแมนติก ที่ไต้หวันมีทุกอย่างที่คุณอยากจะเที่ยว.
บางครั้งไปเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก ทำให้เราได้เจออะไรหลายๆอย่างที่เราไม่คาดคิดเสมอ แต่ก็สนุกอีกแบบหนึ่ง.
การเตรียมตัวไปไตหวัน พาสปอร์ต คู่มือการเดินทางในไตหวัน เสื้อผ้า และควรที่จะซื้อบัตรอีซี่การ์ด สะดวกมาก
วันแรก : เราขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยขึ้นเครื่องสายการบิน Vietjet ของเวียดนาม โดยจองผ่านเว็บ https://www.cheaptickets.co.th/ ซึ่งจองผ่านเว็บนี้จะได้ในราคาถูก โดยประเทศไต้หวันเดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้วีซ่าผ่านประเทศแค่ใช้พาสปอร์ตก็สามารถเข้าไต้หวันได้แล้ว. ( ใช้Samsung J 7 ถ่าย )
เราขึ้นเครื่องเวลา 11.45 น. ไปต่อเครื่องที่เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม
ระหว่างอยู่บนเครื่องก็มีอาหารจากแอร์คนสวยมาเสิร์ฟให้กิน รสชาติสำหรับผมถือว่าอร่อยน่ะครับ ( สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อ หรือ หมู สามารถบอกกับเขาได้ครับ เขาจะมีอาหารอื่นมาให้ )ระหว่างอยู่บนเครื่องก็มีอาหารจากแอร์คนสวยมาเสิร์ฟให้กิน รสชาติสำหรับผมถือว่าอร่อยน่ะครับ สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อ หรือ หมู สามารถบอกกับเขาได้ครับ เขาจะมีอาหารอื่นมาให้. ( ใช้Samsung J 7 ถ่าย )
เราถึง " นครโฮจิมินห์ " โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมงจากสนามบินสุวรรณภูมิ ถึงสนามบินโฮจิมินห์
ระหว่างรอต่อเครื่องอีกสามชั่วโม่ง หาอะไรกินดีกว่า จากนั้นเราก็ต่อเครื่องโดยสายการบินเดิมมุ่งสู่สนามบินเถาหยวน ประเทศไต้หวัน
เรามาถึงสนมบินเถาหยวน ณ กรุงไทเป เวลา 21.30 น. ตามเวลาของประเทศไทย ภายในสนามบินมีการตกแต่งสวยงามมาก. ผ่าน ตม.ที่นี่ง่ายมากครับ หากท่านเข้าประเทศเขาไม่มีสิ่งผิดกฎหมายและทำ
ถูกต้องทุกอย่าง
เราเลือกเข้าเมืองไตหวันด้วยรถบัส บังเอิญเจอผู้หญิงคนหนึ่งเขาใจดีมาก ช่วยบอกเราว่าที่พักเราไปยังไง
หลังจากเราเช็คอินที่โรงแรมเราก็ออกมาหาอะไรกิน เนื่องจากไทเปเป็นเมืองแห่งการกิน ดังนั้นเที่ยงคืน ดึกๆ ก็ยังมีร้านอาหารเปิดตามปกติ. ( เวลาจะสั่งอาหารโคตรลำบากเลย เราพูดอังกฤษแต่เขาพูดจริง กูสั่งเป็ด เขาทำไก่ให้กู
แต่คนที่นี่ใจดีมาก ถึงแม้เขาพูดอังกฤษไม่ได้ แต่เขาก็พยายามเสิร์ทหาข้อมูลจาก Google และชี้ภาพให้เราดู มีคนหนึ่งเขาพยายามจะช่วยเราแล้วเสิร์ทรูปมาให้เราดู โดยพูดว่า เอิ่ม อืม โอมม อ่าๆ เอิ่ม อิหๆ ( กูคิดในใจ อะไรของเมิงเนี้ยะ ) ผมได้แต่ อ่อ โอเค๊ แท๊ง กิววววววส์
วันที่ 2 : ระหว่างหาสถานี MRT เพื่อไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในไทเป ก็เก็บภาพงานแห่ขบวนสิงโตของคนจีนที่นี่ แต่เราก็งงกับการหาสถานีรถไฟฟ้า MRT เลยเจอคู่รัก คู่หนึ่งเลยเดินไปถามเขาว่าสถานี MRT อยู่ไหน เขาก็เกาหัว พร้อมกับพูดภาษาจีนให้ผมฟัง ( งงและฮะที่นี้ ) ถามไปถามมากินเวลา10นาที ไม่ได้ผลสักที สุดท้ายผู้ชายจะดึงผู้หญิงหนี ผู้หญิงไม่หนี ( เฮ่อะหลงเสน่ห์กูแน่ๆ ) จนผู้ชายเดินมาพูดกับผม แล้วชี้มาที่ผม พร้อมพูดคำว่า อู อู อู โอ่ะ โอ่ะ โอ่ะ พร้อมกับทำมือให้เลี้ยวขวา ( กูเข้าใจว่าเขาคงให้กูเลี้ยวขวาแหละ )
เดินไป เดินมาเราก็เจอสถานีรถไฟฟ้า MRT FUZHONG ( ทำไมบ้านเขาสะอาดจัง )
โดยสถานที่แรกที่เรามาชม คือ อนุสรณ์สถานเจียงไคเชค เป็นสถานที่ที่เรามาไทเปต้องมาเยือนสักครั้ง.
เดินทางด้วยMRT จากสถานี Fuzhong - Ximen - Chiang Kai-Shek Memorial Hall
ท่านขึ้นข้างบนจะสามารถมองทิวทัศน์ที่สวยงามของที่นี่ โดยข้างบนนี้จะมีการแสดงของทหารด้วยน่ะ.
มุมนี้ เป็นมุมที่มีเสน่ห์ที่สุดสำหรับผมน่ะ. มันสวยงามมาก
จากนั้นเราก็มาที่ตึกไทเป 101 นี่ก็เป็นไฮไลท์ของไตหวันเลย โดยเดินทางจากสถานีMRT Chiang Kai-Shek Memorial Hall - Taipei 101
จะมาขึ้นกระเช้าที่ไทเปซู ปรากฎว่าพายุเข้า เซ็งเลย แต่ได้เห็นเมืองที่นี่ก็สวยดีคล้ายๆญี่ปุ่น
สะอาดตาดี
จากนั้นเรามาที่ย่าน ซีเหมินติง เป็นย่านช้อปปิ้งคล้ายๆสยามบ้านเรา แต่ที่นี่ของเยอะ คนเยอะน่าเดิน เสียดายฝนตก แต่ไม่เป็นไร ผมจินตนาการว่ามันคือ หิมะ
ย่านนี้มีร้านอาหารอร่อยๆ หลายร้านเลย
บรรยากาศก็จะเหมือนๆญี่ปุ่นเพราะที่นี่เหมือนได้รับอิทธิพลมาจาก ญี่ปุ้น
ภายในร้านก็จะประมาณนี้
อาหารก็จะได้ประมาณนี้ ถามว่าอร่อยไหม อย่าให้พูดเลยน่ะ อิ อิ
ลักษณะการตกแต่งร้านดูเก๋ไก๋มาก
ร้านนี้เป็นร้านที่สาวๆต้องชอบแน่ๆ เพราะเป็นศูนย์รวมเครื่องสำอาง ขนาดผมยังชอบเลย 555
สวยงาม
เรามาขึ้นเขา พันกว่าขั้นเพื่อมาดูสิ่งนี้ด้วยน่ะ
พอกลางคืนเราก็มาแวะตลาดกลางคืน แถวSongshan ซึ่งมีของกินเยอะมาก ราคาของแถวๆนี้ ไม่ต้องพูดภึงฮะ สำหรับผมแพงชิบ
ข้างๆตลาดนัดก็มีวัดที่ประดับประดาด้วยโคมไฟแสงสีสวยงาม.
การเดินทางจากสถานี MRT Ximen - Songshan
แอบมาเล่นโยนลูกปิงปอง การถามราคายากมาก
แต่อยากจะบอกว่า พี่ข้างๆผม ใจดีมากเป็นคนจีน
ผมโยนลูกปิงปองหมดแล้ว ซึ่งผมต้องการอีกแก้วหนึ่งที่จะได้ตุ๊กตา เขาก็พยายามเอาลูกปิงปองของเขามาใส่ในตะกร้าผม เจ้าของงงเลย ดูสีหน้าเหมือนไม่พอใจ 555
ก่อนกลับโรงแรม แวะเข้าแฟมิลี่มาร์ทมาดูของแปลกๆ
เราพยายามจะถ่ายภาพเก็บไว้ แต่พนักงานไม่ให้ถ่าย พูดจีนใส่ งงแหละฮะ
วันที่ 3 เราจะเดินทางที่ ฮวาเหลียนไปขี่มอเตอร์ไซต์ แต่หาสถานีรถไฟ TRA ที่จะไปไม่เจอ โชคดีที่เราไปถามคู่บ่าวสาว คู่หนึ่งนั่งสวีทกันอยู่ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นคนไต้หวัน ถามไปถามมา เออสนทนาไม่เข้าใจ เขาก็ใจดีมากทิ้งแฟนข้างหน้าสถานี แล้วเดินมาส่งเราที่เป็นทางเข้าชานชาลา ซึ่งระยะทางก็เดินไกลพอสมควร โดยไม่คิดค่าส่งแม้แต่สักบาท ก่อนจาก เขาก็ถามว่า มาจากไหน ผมก็ตอบว่ามากไทยแลนด์ เขาบอกว่าเขามาจากญี่ปุ่น ( คิดในใจ โอ้วว ญี่ปุ่นเหร๋อ สาวๆสวยไหมแถวนั้น )
ถึงแล้ววว เมืองฮวาเหลียนใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 35 นาที การเดินทางด้วยรถไฟของที่นี่ตรงเวลามาก บางทีแอบคิดในใจ ทำไมบ้านกูในตั๋ว เขียนเวลา ถึงที่ปลายสถานี 10.00 น.แต่ความจริงถึงที่ปลายสถานี 14.00 น.
เราไม่เสียเวลา รีบเก็บกระเป๋าเดินทางที่สถานี แล้วเดินตรงมายังร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ เพื่อจะเดินทางไปที่อุทยานทาโระโกะ แนะนำน่ะควรมีใบขับขี่สากล ราคา ค่าเช่า 500 หยวน
อ่าฮ๊าา เรามาถึงอุทยานแห่งชาติทาโระโกะ ที่นี่มีนักท่องเที่ยวจีนเยอะมาก
มาถึงไต้หวันทั้งที มีเหร๋อที่เราจะไม่เดินป่า ก็จัดสักหน่อยสิจ่ะ เดินไปเรื่อยๆ อยากจะบอกว่า ไม่มีคนสวนทางและเดินตามหลังสักคนมีแค่พวกเราสองคน 555 เรานึกว่าเป็นทางที่จะไปหมู่บ้านที่ลอดอุโมงค์ คือทางนี้ศ่ะอีก และแล้ว ก็ไม่ใช่
อ่อ เห็นทางลัดละ เราก็เดินขึ้นไป ยิ่งเดินมันยิ่งสูง ฟ้ายิ่งมืด สุดท้ายไม่เอาละถอยหลังกลับ 555 ทางลัดบ้าอะไรเดินเป็นชั่วโม่งๆ
หลังจากที่เราลงมาจากเขา พร้อมเหงื่อเต็มตัวจะบอกว่าอาบน้ำก็ว่าได้. เราก็จะเห็นอุโมงค์ทางที่จะไปสถานที่ไฮไลค์ๆ ของที่นี่เลย ( แต่เดี๋ยวน่ะ แล้วพวกกูขึ้นเขาทำไมว๊าาา )
สถานที่แรกที่เจอ จากการขับมอเตอร์ไซต์ คือ สะพานเนี้ยะ
ข้างล่างสะพานจะมีทางให้เราเดินลอดช่องเขา
อารมณ์ประมาณว่า กำลังเดินเหมือนในละคร อังกอร์ เดินข้างหน้าไปเรื่อยๆ เริ่มไม่ใช่ละครอังกอร์ละ เริ่มจะเป็นละครตลาดนัดละ เพราะเจอพี่จีนเรา
สวยงามมม
แล้วเราก็ขับมอไซต์ต่อไปอีก ก็จะเจอที่นี่
จะเจออันนี้
เจอนี่
อันนี้อีก
อันนี้
แล้วก็อันนี้ ภูเขาที่นี่สวยงามมากเพราะว่ายอดเขามันทะลุเข้าไปในก้อนเมฆ เราสามารถมองเห็นก้อนเมฆล้อมรอบภูเขา มันสวยมาก
สิ้นสุดทริปนี้ เตรียมไปอาลีซานกันต่อ
เซ็งรถไฟไม่มี แวะมาดูดนมกล้วยกัน รสชาติอย่าให้พูดถึงเลย
นี่ก็นม แต่เป็นกาแฟนม เราชอบแต่นม
กลับถึงไทเปละ ตรงเวลาพอดี
วันที่ 4 เรามาที่จิ๋วเฟิร์น เมืองแห่งโรแมนติก แนะนำน่ะ ถ้าจะมาที่นี่ควรพักที่นี่คืนหนึ่ง หรือถ้าไม่พัก ก็มาช่วงเย็นๆ การเดินทางสามารถมาด้วยรถบัส หรือรถไฟแต่ต้องต่อรถบัสอีกที
เรามาถึงจิ๋วเฟิร์นแล้ววว
ที่นี่หนาวมาก
แวะมาชิมอาหารกันก่อนเลยยหิว
ข้างในตลาดอารมณ์ประมาณนี้อ่า
ทางที่จะไปจุดไฮไลค์ของที่น
ดูถนนสิ เมื่อก่อนเคยดูแต่ในหนังที่พระเอกเฉียนหลงหนีตัวร้ายอ่า ผ่านหมู่บ้านแบบนี้แหละ
ดูถนนสิ เมื่อก่อนเคยดูแต่ในหนังที่พระเอกเฉียนหลงหนีตัวร้ายอ่า ผ่านหมู่บ้านแบบนี้แหละ
สำหรับนักช็อปเลยย
ต้องชอบแน่ๆร้านนี้ แต่ราคาเอิ่มมม
นี่จุดไฮไลค์ของที่นี่เลย ไม่รู้ว่ามันสวยตรงไหนน่ะ แต่ผมชอบถนนในตลาดมากกว่า
จากนั้นก็ถึงเวลากลับไทเปละ เลยแวะมาถ่ายรูปหมู่บ้านข้างๆที่เรามาฝากกระเป๋า เราโบกรถบัสคันแรกกลับไทเป เขาก็จอดสักพักก็ไล่เราไม่ให้เราขึ้น โดยชี้ที่ตั๋วแล้วก็ขับจากเราไปเลย รู้ตัวอีกที อ้าวกูมีบัตรอีซี่การ์ดนี่ เมิงเล่นพูดจีนกับกู กูก็งงสิฮะเพ้ แต่ห้านาทีต่อมาเราก็เจอคนกลุ่มหนึ่งน่าจะเป็นคนไต้หวันนี่แหละ กูนึกว่าเขาเป็นคนจีนแอบนินทาเขานิดหนึ่ง ปรากฏว่าเดินมาบอกกับเราว่า รถคันนี้สามารถไปต่อขึ้นรถไฟไปไทเปได้น่ะครับ ( อ้าว ซวยละกู เมื่อกี้แอบบนินทา เขา 555 ) แต่รถบัสที่เราขึ้น ทุกคนใจดีมาก ตอนที่พวกเราจะลง เชียร์กันทั้งคัน ทั้งพี่จีนก็ถ่ายคลิปยังกับพวกผมเป็นดาราแน่ะ 555 จากนั้นเราก็ต่อด้วยรถไฟธรรมดามุ่งสู่ไทเป
วันที่ 5 เราก็เป็นวันที่เราต้องจากไต้หวันละ ฮึ เศร้า ( ที่เศร้าไม่ใช่อะไรหรอก เพราะงานรออยู่เต็มโต๊ะเลย 5555 ) ไต้หวันเป็นประเทศที่น่ารัก ผู้คนใจดี คนที่เคยมาที่นี่ ล้วนแล้วออกเอ่ยคำว่า " กูจะกลับมาที่นี่อีก "