การเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งแรกในการไปประเทศญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่น ไม่เคยอยู่ในหัวเลย เป็นสายเกาหลีมากกว่า แต่พอคนรอบข้างไปเยอะ อ่านรีวิวที่คนไปมา ความอยากไปเลยมากขึ้น ..
นี้คือจุดเริ่มต้นในการจองตั๋ว เราเลือกเดินทางโดยสายการบิน AirAsia x ซึ่งถ้าเป็นมือใหม่ ก็จะมีคำถามมากมายว่า สายการบินไหนดี Full sevice หรือ low cost ต่อเครื่อง หรือบินตรงดี คำถามเต็มไปหมด เลยอยากจะแนะนำ วิธีสำหรับฝ้ายเอง ซึ่งฝ้ายมองว่าของแบบนี้เราต้องถามตัวเราก่อน ว่า lifestyle เป็นแบบไหน ฝ้ายเป็นคนขี้เกรียจนิดๆ การไปรอต่อเครื่อง ถึงแม้บางทีไม่กี่ชั่วโมง ก็ไม่ไหว ใจอยากเที่ยว อยากนอนต่อเดียวละถึง การบริการไม่ต้องอะไรมากมายไม่ต้องมีจอก็ได้เพราะชอบบินกลางคืนเดียวก็นอน
AirAsia จึงตอบโจทย์เพราะมีโปรเรื่อยๆ บางคนก็จะบอกว่าเพิ่มไม่กี่พันได้ Full service นะ แต่ไม่กี่พันฝ้ายก็เสียดาย และจากที่ได้นั่งมา รู้สึกว่าก็ไม่ได้ต่างมากมาย ทั้งนี้ยํ้าอีกทีว่า อยู่ที่ตัวเรา ถ้าชอบทุกอย่างสะดวกสบาย ไปทั้งที ขอจัดเต็ม ก็จัดได้เลย ถ้างบถึง ไม่มีแบบไหนผิดหรือถูก !!!! อยู่ที่ความพอใจของเรา สุดท้ายเราต้องตั้งงบมาก่อนว่าราคาตั๋วจะไม่เกินนี้ และช่วงเวลาที่จะไป สายการบินไหนตอบโจทย์ที่สุด ก็ให้เลือกสายการบินนั้น รวมไปถึงเที่ยวการเดินทาง ว่าวันและเวลาดีมั้ยด้วย อันนี้ก็สำคัญ
การเดินทางจากกรุงเทพ-นาริตะ(โตเกียว) ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เวลาญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง เมื่อถึงแล้วสิ่งที่เรากังวลกันมากที่สุด จนบางคนอาจไม่กล้ามาเที่ยวเลย ก็คือ ตม. (ตรวจคนเข้าเมือง) ฝ้ายเคยคุยกับคนหลายคนที่เค้าอยากไปเที่ยวแต่สุดท้ายไม่ไป เพราะข่าว ตม. จากประสบการณ์ฝ้ายขอยืนยันว่า ถ้าเราตั้งใจที่จะมาเที่ยว ทำสิ่งที่ถูกไม่มีอะไรผิดกฏหมาย ยังไงก็ผ่านค่ะ แม้แต่เกาหลีฝ้ายก็ไม่โดนถามเลย ตม. เค้ามีหน้าที่ของเค้า เค้าจะโหดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ถ้าเรามาเที่ยวจริง ๆ เค้าก็พร้อมจะต้อนรับเราอยู่แล้ว ไม่ว่าจะญี่ปุ่น เกาหลี หรือประเทศไหนก็ตาม อย่าได้ไปกลัว สิ่งที่ฝ้ายทำเวลาเจอ ตม. คือ
1. เอกสาร ฝ้ายเตรียมทุกอย่าง ทั้งใบรับรองเงินเดือน แพลนเที่ยว ใบจองโรงแรม หลายคนที่เค้าไปบ่อย ๆ จะบอกว่าไม่ต้องเตรียมหรอกไม่โดนหรอก สำหรับมือใหม่อย่าเชื่อนะคะ เราต้องพร้อมเสมอ หรือแม้แต่คนที่ไปบ่อย ๆ ก็ไม่ได้รับประกันเสมอ กันไว้ดีกว่าแก้ สบายใจด้วย ไม่ถามก็ดีไป เพราะเอกสารจะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันได้อย่างดีถ้าโดนถาม
2. การกรอกเอกสาร ระวังเรื่องลายมือนะคะ เพราะถ้าเค้าอ่านไม่ออกก็จะโดนถามแน่ ๆ ให้เขียนตัวบรรจงให้ชัดเจน ควรเขียนตั้งแต่บนเครื่อง แอร์จะเอาใบมาแจกค่ะ มี 2 ใบไว้ยื่น ตม. กับ ศุลกากร ตัวอย่างการเขียนสามารถดูได้จากในเน็ตเลย คนแชร์เยอะ หรือบนเครื่องก็มีตัวอย่างให้ดู เพราะฉะนั้นพกปากกาติดกระเป๋าด้วย
3. ภาษาอังกฤษกับคำถามยอดนิยม ใครที่ไม่ได้คล่องภาษาก็ให้อ่านมาบ้าง เผื่อจะได้ตอบถูก ส่วนมากก็จะเป็นคำถามง่าย ๆ มาทำอะไร มากับใคร และหากใครมาเป็นกลุ่ม แนะนำว่าให้ทุกคนรู้แพลนเที่ยว รู้เรื่องที่พักทุกคนนะคะ อย่าฝากความหวังไว้ที่คนคนเดียว
พอไปถึงลงเครื่องแล้วรีบเดินก่อนกรุ๊ปทัวร์นะคะไม่งั้นคิวยาวแน่ ไปก่อนสบาย ๆ ผ่านง่าย ๆ ก็ยื่น passport มองหน้า ตม. ยิ้มเล็กน้อยทักทาย เท่านี้ก็ผ่านแล้วค่ะ ฝ้ายว่า ตม. เค้าดูออกนะว่าคนตั้งใจมาเที่ยวหรือทำงาน ส่วน passport ขาว ฝ้ายว่าก็ไม่ต้องกังวล มันไม่ได้มีผลขณะนั้น passport ขาวฝ้ายไปเกาหลียังไม่โดนถามเลย เอาเป็นว่ามั่นใจว่าเราเที่ยวจริงๆ อย่าไปอ่านอะไรที่ทำให้เรานอยซ์ คนที่โดนก็คงมีเหตุผล ถึงโดนถามแต่ถ้าเราแสดงให้เค้าเห็นว่าเรามาเที่ยวยังไงก็ผ่าน ถ้าไม่กล้าสักทีเราคงไม่ได้ไปไหน เตรียมตัวให้พร้อมดีกว่าที่จะกลัว และสิ่งที่อยากฝากไว้คือ การแต่งตัวโดยเฉพาะผู้หญิง การที่เราผ่านเข้าประเทศ มันก็เหมือนติดต่อราชการ บางทีการแต่งตัวเราก็ต้องเคารพสถานที่ด้วย สั้นๆค่อยใส่ตอนไปเที่ยวแล้วดีกว่า แถมยังป้องกันการโดนถาม ถ้าเราแต่งตัวสุภาพ ดูดี ก็จะมีโอกาสที่ผ่านง่ายๆ
มาถึงการเดินทางในประเทศญี่ปุ่น พอเริ่มแรกที่เห็นสายรถไฟของญี่ปุ่นหลาย ๆ คน อาจจะถอดใจ เพราะเยอะ งง ไปหมด ฝ้ายก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กังวล แต่เมื่อมาแล้วจะพบว่า มันไม่ได้อยากเพราะว่า ป้ายบอกทางมีตลอดทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น ไม่ต้องกลัวหลง ป้ายไม่เหมือนไทยแน่นอนที่เดินๆ อยู่ละหายไม่รู้ทางไหน หลังจากผ่านศุลกากรมาแล้ว ให้มองป้าย Train เลยค่ะ ลงบันไดเลื่อนไป ป้ายมีบอก ใตลอดทาง ก่อนหน้าจะมาฝ้ายแคปหน้าจอทุกทางเดิน ของคนรีวิวอื่นๆ พอถึงเวลาไม่ได้หยิบออกมาดูเลย เพราะป้ายเค้าชัดเจนมาก
วิธีเข้าเมือง ฝ้ายพักที่ Ueno เพราะฉะนั้นจาก สนามบินนาริตะ ไป ueno วิธีที่สะดวกของฝ้ายคือไป keisei skyline เมื่อเดินตามป้ายมาจะเจอ เข้าไปซื้อเลยค่ะ ด้านหน้าจะมีรายละเอียดราคา ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาจีน หยิบแผ่นราคาออกมาแล้วบอกพนักงานได้เลย พนักงานจะให้เราดูเวลาว่าไปรอบปัจจุบันมั้ย ตอนฝ้ายไปอีก 7 นาทีจะมา ตัดสินใจว่าไม่ไปกลัวเดินไปไม่ทัน และก็ไม่ทันจริงๆ รถไฟที่นี้เค้าตรงเวลามากนะคะ พยายามรักษาเวลาด้วย เดียวจะตกรถไฟซะก่อน
สิ่งที่ฝ้ายซื้อคือ ตั๋วจากนาริตะไป ueno เที่ยวเดียว เพราะขากลับจะนั่งธรรมดา เพราะต้องแวะเที่ยวนาริตะก่อนเลยไม่รีบ ถ้าใครจะซื้อไปกลับก็ได้ รวมถึงถ้าเป็นนักท่องเที่ยวสามารถซื้อบัตร Tokyo subway ได้อีก ใช้ขึ้นลงใต้ดินได้สะดวกสบาย
จากนั้นให้ดู เวลา ตรงเวลา 10.02 คือรถไฟมา ตรงเวลามากนะคะ อย่างที่บอกอย่ามัวแต่กดมือถือ และรถไฟมันจะมีขบวนอื่น ๆ มาจอดด้วย อย่าขึ้นผิดนะขึ้นเวลานี้เท่านั้น ฟังเสียงเค้าประกาศด้วย ส่วน 10.43 คือเวลาที่จะถึง เลข 03 คือตู้ขบวน ต้องไปยืนให้ถูกนะคะ ตรงพื้นจะมีหมายเลขบอก และ 09A คือที่นั่ง เวลาลงก็ฟังเสียงประกาศว่าถึงรึยัง หรือคอยมองป้ายไว้ว่าถึงไหน ป้ายภาษาญี่ปุ่นก็จะสลับกับอังกฤษ ดูง่ายไม่ต้องห่วงว่าลงผิด
เรื่องการจองโรงแรม เวลาเราจอง ให้เลือกที่เดินทางจากสนามบินไปง่ายๆ เดินไม่ไกล เพราะอย่าลืมว่าไปต่างประเทศกระเป๋าเราจะใหญ่และหนัก ที่ฝ้ายเลือกย่าน Ueno ก็เพราะว่ามาจากสนามบินก็ง่าย ต่อเดียวถึงเลย โรงแรมที่เราพักคือ Apa Hotel Keisei Ueno มาถึง Ueno แล้วออก exit Ikenohata Side เดินออกมาข้ามถนนถึงโรงแรมเลย แถมใกล้รถไฟฟ้าสาย Tokyo subway กับ JR ไปเที่ยวที่อื่นต่อก็ง่าย โรงแรมของญี่ปุ่นเค้าจะเปิดให้ check-in บ่าย3 และ check-out 11โมง ถ้าเรามาถึงก่อนมาฝากกระเป๋าแล้วค่อยกลับมา Check-in ค่ะ ไปเที่ยวก่อนได้เลย
โรงแรมของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเล็กอยู่แล้ว ซึ่งสำหรับฝ้ายไม่มีปัญหาเพราะเราไว้แค่นอนพักผ่อนเพื่อให้มีแรงเที่ยว สำหรับใครที่ชอบกว้าง ๆ อาจจะต้องมองหาที่อื่น ซึ่งราคาก็จะสูงตามไปอีก ปกติราคาก็จะแพงอยู่แล้ว ถ้าเป็นโรงแรม แต่ถ้าใครมีงบน้อยกว่านี้ จะเลือกมองหาเป็นพวก โรงแรมแคปซูล หรือ เกสต์เฮ้าส์ ก็ได้ ดูงบเราเป็นหลัก ถ้าคิดว่าเอาเงินค่าโรงแรมไปเที่ยวดีกว่า นอนไหนก็ได้ ก็เอาพวกนี้เป็นตัวเลือก แต่ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว สะดวกนิดนึงจ่ายแพงขึ้นมานิด โรงแรมแบบ APA ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
เพิ่มเติมถึงที่นี้จะเล็กแต่สะดวกสบายมาก ที่นอน นอนสบาย เตียงหมอนนุ่ม และทุกอย่างครบนะคะ ผ้าเช็ดตัว ไดร์เป่าผม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ แชมพู แถมเป็นยี่ห้อ shiseido ซะด้วย รวมไปถึงที่โกนหนวด ยางมัดผมก็มีให้ คือไม่ต้องแบกจากไทยมาให้เปลืองนํ้าหนักกระเป๋าเลยค่ะ และแม่บ้านที่นี้ทำความสะอาดห้องให้ทุกวัน
เวลาเราจะเลือกจองโรงแรม ก็ลองเปรียบเทียบราคาดู ไม่ว่าจะเป็นจาก Booking.com หรือ Agoda ก็ได้ สำหรับมือใหม่ต้องระวังอ่านรายละเอียดให้ดี เช่นจองก่อนจ่ายทีหลัง สามารถยกเลิกได้ฟรี แต่ยกเลิกฟรีก็จะมีรายละเอียดว่าถึงวันไหน พวกนี้อ่านให้ดี ๆ นะคะ จองแล้วก็ปรินซ์ใบเก็บไว้ หรือส่งเข้ามือถือได้เลย ก่อนจองก็เปรียบเทียบเยอะ ๆ ที่สำคัญดูแพลนเที่ยวเราก่อนว่าไปไหนบ้าง นอนไหนใกล้สุด เดินทางง่ายสุด อันนี้สำคัญ อย่าจองโรงแรมแล้วทำแพลนนะคะ มันจะดูยากไป
มาถึงการเที่ยวในโตเกียว ญี่ปุ่นนี้อย่างที่บอกว่ารถไฟฟ้ามีหลายสายมาก จะไปไหนก็สะดวก แต่คนต่างชาติอย่างเราไปครั้งแรกก็คงอึ้ง เพราะบ้านเราตรงอย่างเดียว สั้นๆไม่มีเปลี่ยนสาย ทำให้หลายคนกังวล แต่จะบอกว่า ไม่เลย ซื้อตั๋วง่ายมาก เดินทางง่ายกว่าบ้านเราอีก เพราะหนึ่งเลยอย่างที่บอกไปตอนต้นว่า ป้ายมีบอกทางตลอด ภาษาอังกฤษก็มี และคนที่อาจจะไม่เก่งอังกฤษบอกเลยว่าคำไม่ได้ยากค่ะ ซื้อตั๋วเป็นคำง่ายๆ สัญลักษณ์ก็มี เพียงแค่เราต้องรู้ว่า ที่ที่เราจะไปเค้าเรียกอะไร
ยกตัวอย่างเช่น ฝ้ายเดินทางจาก สถานี Ueno จะไปเที่ยววัด Sensoji ซึ่งวัดนี้อยู่ที่สถานี Asakusa ฝ้ายใช้ใต้ดิน ก็เปิด app Tokyo Subway เลย search หาจากชื่อสถานี ซึ่งพวกชื่อสถานีคนก็รีวิวไว้กันเยอะมาก ว่าจะไปเที่ยวทีนี้ต้องลงไหน
จากรูปคือเราต้องไปสาย Ginza line ซึ่งสีของมันคือสีส้ม เราก็เดินตามป้ายไปเลย ตอนนี้เราอยู่ที่ Ueno G16 เราต้องไปลง Asakusa G19 พอเข้าไปแล้วรถไฟก็จะมีบอกทั้งเลขทั้งชื่อสถานี และก็ดูทางออก อย่างวัด Sensoji ออก 1,3 ก็ได้
ในกรณีที่ ที่ที่เราจะไปมีการเปลี่ยนสาย เช่นจาก สถานี Asakusa ไปสถานี Akihabara มีการเปลี่ยนสาย 1 ครั้ง จาก G19 มาลง G15 Ueno-hirokoji ออกมาแล้วมองป้ายสีเทา สาย Hibiya line เลยค่ะ ไปลง H15 Akihabara ป้ายการเปลี่ยนสายมีตลอดทางมันเชื่อมกันไม่ต้องเสียบบัตรออก
มาถึงตรงนี้ถ้าใครยังไม่เคยไปแน่นอนว่าแค่อ่านจะ งง ฝ้ายก็เป็น แต่ขอให้เชื่อว่าเมื่อไปแล้วมันไม่ยากเลย ฝ้ายไปได้ทุกคนก็ไปได้ ป้ายมันมีเยอะ อุ่นใจเลย ไทยยัง งง กว่าเยอะ เพียงแค่เราต้องทำการบ้านมาว่าแต่ละที่ ที่เราไปมันคือย่านไหน ต้องลงสถานีไหน สายไหน ซึ่งปัจจุบันคนก็รีวิวเยอะมาก อ่านและเตรียมตัวดีๆ รับรองไม่มีหลงค่ะ รวมไปถึงสาย JR วิธีการขึ้นก็เหมือนกัน แค่รู้ว่าเราต้องไปลงอะไร เดินตามป้ายก็พอ อาจจะมีที่ งงๆนิดหน่อย อย่างสถานี shinjuku เพราะสถานีใหญ่มาก คนเยอะมาก มีหลายสาย ถ้าเราเริ่ม งง เราควรหาที่แอบๆยืนหลบสักพัก ตั้งสติ ดูป้ายดีๆ แผนที่ดีๆ อย่าไปยืนกลางหรือขวางทางคนเดินไปเดินมานะคะ
เรียนรู้การเดินทางแล้ว ต่อไปก็เริ่มเที่ยวได้เลย มาถึงที่เที่ยวที่แรกของเรา วัด Sensoji temple หรือคนไทยนิยมเรียกว่า วัดโคมแดง มองไปมีทั้งคนต่างชาติ ทั้งคนญี่ปุ่นเยอะไปหมด ของขายก็เยอะ ขนม ของฝาก ร้านเด็ดๆดังๆที่คนรีวิวแถวก็จะยาวหน่อย ฝ้ายไปเดือนพฤษภา อุณหภูมิประมาณ 20 องศา ไม่หนาวไม่ร้อน แต่แดดที่นี้แรงมาก บวกกับคนเยอะ ก็จะมึนๆหน่อย จากที่อ่านรีวิวถ้าไม่อยากมาตอนคนเยอะให้มาแต่เช้าหรือกลางคืน แต่จะไม่มีของขายแล้ว แต่บรรยากาศก็จะสวยอีกแบบ เพราะกลางวันคนเยอะมากจริงๆ
ถัดมาย่าน Akihabara เป็นย่านที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจมาก เพราะขนาดไม่ได้เป็นคนสะสมโมเดลหรือดูการ์ตูน ก็ยังต้องร้องว๊าว ทั้งของขาย ทั้งตู้เกมส์เยอะไปหมด โดยเฉพาะตู้เกมส์ ตุ๊กตาหรือของมันล่อตาล่อใจเรามาก มันน่ารักกว่าบ้านเราเยอะมากกกกกกกกก ใช้คำว่ามากแบบลากเสียงยาวเลย ทำให้เราเสียเงินโดยไม่รู้ตัวเลย หยอดไปสองรอบได้มา 1 ตัว ตั้งชื่อว่าอากิ มาจากชื่อเต็มของย่านอากิฮาบะระ 5555 พอได้ปุ๊บพนักงานเอาถุงมาให้พร้อมยินดีกับเราหลายรอบมาก ประทับใจเลยอะ ไม่มาหน้าบูดเหมือนพี่ไทยเรา ฮืออออ T^T จากนั้นก็เสียเงินยาวอีกหลายร้าน เรียกว่าทุกร้านที่ผ่านดีกว่า เล่นแล้วหัวร้อนเลย ไม่ได้อีกสักที5555
วันที่สองเราไปย่าน Harajuku และ Shibuya
เริ่มจาก Ueno G16 สาย Ginza line (สีส้ม) ไปลงสถานี Omote-sando G02 ลงแล้วเปลี่ยนขบวนไปสาย Chiyoda line สายสีเขียว ลงสถานี Meiji-jingumae’Harajuku’ C03 ทางออกที่ 2 เราจะไปศาลเจ้าเมจิกันก่อน ศาลเจ้าที่นี้กว้างใหญ่มาก ร่มรื่นมาก ไม่คิดว่าจะมาอยู่ในโตเกียวได้ ต้นไม้แต่ละต้นก็สวย วันที่ไปคนก็ไปเยอะ แต่ด้วยพื้นที่กว้างมากเลยเดินสบายๆ ในนี้จะมีที่กินข้าวกินขนมให้ด้วย แวะพักได้เลยหากเหนื่อย
จากนั้นเราก็เดินไปต่อที่ ฮาราจูกุ แหล่งแฟชั่นของญี่ปุ่น อยู่ที่ Takeshita ซึ่งเป็นถนนสายหลักของย่าน Harajuku ฝ้ายเดินเปิด Map มานะคะ
ที่นี้จะไปไหนเปิด map ปักหมุดเดินตามได้เลย เพราะฉะนั้นเน็ตจึงสำคัญมาก เน็ตที่ฝ้ายเลือกใช้ เป็นซิมของ Ais sim 2Fly ราคา 399 บาท ซื้อที่ shop ais เน็ต Non-stop 4GB 8 วัน จากที่ใช้ก็รู้สึกว่าโอเค ไม่มีปัญหาอะไร รวมถึงการที่ตัดสินใจใช้ซิมเพราะดูมันง่าย สะดวกดี ไม่อยากยุ่งยากในการเช่า Pocket WiFi
มาถึงแล้วเดินไม่ไกล เพราะสองข้างทางก็มีร้านให้แวะตลอด ถนนเส้นนี้คนเยอะเหมือนกัน ของน่ารักๆเยอะมาก พูดคำว่าน่ารักทั้งวัน ขนาดร้านไดโซะยังมีแต่ของน่ารัก ทำไมบ้านเราไดโซะไม่เป็นแบบนี้บ้าง 55555 จากถนน Takeshita เดินตรงสุด เลี้ยวขวาเข้าถนนใหญ่ Meji Dori ตรงไปด้านซ้ายจะเจอร้าน Line Friends Store และก็ ABC Mart ก็แวะทั้ง2ร้านอยู่สักพัก ก็ได้ของมาทั้งสองร้าน ราคารองเท้าที่ญี่ปุ่นจะถูกกว่าไทยนะคะ ใครมาก็อย่าลืมแวะดูได้ที่ ABC Mart เท่าที่สังเกตร้านนี้มีทุกย่าน หาง่ายประนึง 7-11
จากนั้นเปิด map เดินต่อไปยัง Cat Street ถนนเส้นเล็กๆ ที่เชื่อมจากฮาราจูกุไปถึงชิบูย่า ประมาณ 1 กิโล ฝ้ายเดินมารู้สึกไม่ไกลนะเพราะมันมีอะไรดูตลอด และอยากเดินเยอะๆมากกว่ากลับไปขึ้นรถไฟ ไม่เปลืองด้วย555 ที่ถนนเส้นนี้เรียกว่า cat street เห็นเค้าบอกว่าแต่ก่อนที่นี้แมวเยอะ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ร้านค้าส่วนใหญ่ก็จะขายของน่ารักที่เกี่ยวกับแมวเยอะอยู่เหมือนกัน เป็นถนนเส้นเล็กๆที่น่ารักมาก
เดินบ้าง หยุดพักบ้าง เพราะซื้อของเยอะ แบกหนักอยู่เหมือนกันกว่าจะถึงชิบูย่า จึงเริ่มมองหาสถานีรถไฟเพื่อจะไปเอาของไปฝากที่ล็อคเกอร์ ตามสถานีมันจะมีตู้ฝาก ราคาประมาณ 400 yen แล้วแต่ขนาด แนะนำว่าควรฝากนะคะไม่งั้นทุกอย่างจะพะรุงพะรัง และถือของเยอะถ่ายรูปลำบากอีก แต่ต้องจำดีๆว่าฝากที่ไหน ทางเข้าอยู่ไหน เดียวถึงเวลากลับมาเอาของไม่ถูก ฝากเสร็จเดินแปปนึง ถึงแล้ว 5 แยกชิบูย่า คนเยอะมากทุกคนต่างพากันรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนน ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ รวมถึงมีเต้นก็มี แต่เราก็ต้องระมัดระวังด้วยนะคะอย่าไปสร้างความเกะกะให้คนที่เค้าข้ามถนนจริงๆ เราก็ต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีด้วย เพราะบางคนก็ไม่สนใจใครเลย
จากนั้นก็เดินไปหา รูปปั้นหมาฮาจิโกะ น้องหมาผู้น่ารักที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหมาผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้านาย น้องเค้าฮอตมากจริงๆคนต่อคิวถ่ายรูปเยอะมาก
เสร็จแล้วเราก็เดิน shopping หาของกินไปตามทางเรื่อยๆ ละลานตาไปหมดย่านนี้ ลืมบอกไปว่าห้องน้ำมีอยู่ทุกที่นะคะ ไม่ต้องกลัว หาง่าย เดินได้สบายๆไม่ต้องกังวล ระบบการจัดการบ้านเค้าค่อนข้างอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆได้ดี
ฝ้ายจะไม่ได้มีรูปของกินเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยได้กินอะไร เช้ามาแซนวิสกับนม อยู่ได้ถึง 4โมงเย็นระหว่างวันก็กินนํ้า ตู้กดนํ้าเยอะไปหมด ไม่ค่อยได้นั่งร้านหรือกินอะไรที่เค้าว่าดีเท่าไหร่ เพลินกับการเดินจนลืมหิวเลยก็ว่าได้ จริงๆก็ทำแพลนเอาไว้ว่าย่านนี้ควรกินอะไร แต่ถึงเวลาหิวก็แวะอันที่ใกล้ที่สุด เอาความสะดวกไม่กดดันตัวเองว่าต้องรอต่อคิวต้องไปกินให้ได้
ส่วนมากทุกเย็นจะกลับมาเดินแถวโรงแรม ย่าน Ueno มีทั้งตลาด Ameyoko ของกินเพียบ เลยจะกินเป็นเรื่องเป็นราวแค่ตอนเย็น รวมถึงร้านของฝากอย่างตึกม่วง ที่ชอบ ueno เพราะว่า มันเป็นย่านมีทุกอย่างเลย แต่คนไม่พลุกพล่านมาก เท่า ชินจูกุ หรือชิบูย่า เดินสบายๆ ไม่เร่งรีบ
ที่ญี่ปุ่นจะมืดเร็วนะคะ และ สองทุ่มร้านก็ปิดละ แต่ตอนเช้า ตี4 ตี5 คือสว่างแล้ว เราไม่มีแพลนเที่ยวกลางคืน เพราะรู้สึกว่าดูน่ากลัว เหมือนยากูซ่าในหนัง 55555 สัก 2-3ทุ่มก็จะกลับโรงแรมแล้ว
เช้าวันที่ 3 เราจะตื่นกันประมาณ แปดโมงเก้าโมงออกจากโรงแรมก็สิบโมง ทุกเช้าเราจะเข้า 7-11 ข้างๆโรงแรม ซื้อของไปนั่งกินที่ สวน ueno park นั่งกินชิวๆดูคนญี่ปุ่นผ่านไปผ่านมา ฝ้ายรู้สึกว่าตัวเองชอบสังคมที่นี้ และประทับใจคนที่นี้มากกว่าที่เที่ยวซะอีก เค้าดูน่ารัก ดูมีมารยาท เป็นระเบียบ เล็กๆน้อยๆใส่ใจ ถ้าให้บรรยายคงยาวแน่ๆ เลยอยากจะฝากถึงคนไทยที่ไป บางครั้งเราชอบว่าชาวจีน แต่คนไทยเองเราก็เป็น เสียงดัง ไม่เคารพกฏ เดินกิน โวยวาย ไม่ต่อคิวหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราทำที่ไทยได้ ก็ไม่อยากให้ใครมาว่าประเทศไทยได้ ว่าไร้มารยาท รวมถึงอยากให้เวลามาเที่ยวละอันไหนเป็นสิ่งที่ดีๆก็ควรเอาไปใช้กับบ้านเรา นั่งดูวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นไปสักพัก ตัดพ้อบ้างว่าทำไมบางอย่างไม่เป็นแบบเค้า 5555 ก็ได้เวลาเดินทางต่อ
วันนี้เราจะไป kawagoe อ่านว่า คะวะโงเอะ อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว สามารถไปกลับได้ เป็นเมืองเก่าย้อนยุคหน่อย ช่วงนี้ก็ดูเหมือนจะฮิตมาก คนเลยไปเยอะ อาจจะต้องมาเช้าๆหน่อย แต่เราไปสายคนก็เยอะตามระเบียบ การเดินทางก็ งงๆ นิดหน่อยแต่ไม่ยาก
ฝ้ายจำไม่ได้ว่า จาก ueno ไปลงอะไร แต่คือเราต้องไปสายที่มันเป็นสีน้ำเงิน Tobu-Tojo line ที่สถานี Ikebukuro ไปลง สถานี kawagoe
ฝ้ายไม่ได้ซื้อ pass อะไรใน kawagoe นะคะไม่นั่งรถอะไรทั้งนั้น เดินอีกเช่นเคย ตอนไปแดดแรงแต่ลมเย็นสบาย
ขากลับมีเรื่องตกใจนิดหน่อยว่าบัตรออกไม่ได้ น่าจะอะไรผิดสักอย่าง เลยบอกเจ้าหน้าที่ สรุปคือต้องเสียเงินเพิ่ม น่าจะดูราคามาผิด 555 สำหรับเรื่องภาษาอังกฤษ มันใช้น้อยมากนะฝ้ายว่า บางทีสำเนียงคนญี่ปุ่นพูดอังกฤษยิ่งฟังยาก จากที่เราก็โง่อยู่แล้ว ดูโง่ไปอีก แต่สุดท้ายเราจะสื่อสารกับเค้าได้แหละ ไม่ต้องกลัว คำง่ายๆเรียนรู้ไว้ ศัพท์ในการเดินทาง ยิ่งเดียวนี้โทรศัพท์ก็มีง่ายจะตาย และคนญี่ปุ่นเค้าก็พร้อมช่วยเหลือเรา
จากนั้นก็ไปเดินกันต่อที่ย่าน shinjuku ฝ้ายไม่ได้ไปหลายที่ แต่ แต่ละที่เดินเยอะมาก ปวดเท้าปวดหลังไปหมด ก่อนหน้านี้ซื้อแผ่นแปะมา หาในเน็ตเค้าว่าดี พอใช้ดีอย่างที่โฆษณาจริงๆ เป็นของที่ซื้อกลับมาเยอะที่สุดแล้วมั้ง แก้ปวดเท้าปวดตัวเวลาแปะมันจะเย็นๆก่อนและร้อนๆ นอนหลับสบาย ตื่นมาไม่ปวด
นี้เป็นอีกเหตุผลที่ช่วยในการเลือกว่าไปกับทัวร์หรือไปเองดี สิ่งเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจได้ ถ้าเป็นวัยรุ่นแบบฝ้าย ลุยๆหน่อย ไม่ชอบไปกับคนอื่น อยากไปเองลุยเองหลงเอง เดินได้ มีความสุขกับการวางแพลน ไปเองเลยไม่ต้องกลัวแต่ในกรณีที่ไปเป็นครอบครัวมีผู้ใหญ่สูงอายุหรือเด็กเล็กๆ การไปทัวร์ก็จะสะดวกกว่า เพราะขึ้นรถบัส ไม่ต้องเดินเยอะ ทัวร์อาจจะช่วยเรื่องความสะดวกสบาย แต่ feel มันก็จะต่างกัน ประสบการณ์ที่ได้ก็ต่างกัน ใครที่ยังพอมีแรงก็อยากให้มาเองมากกว่า อย่ากลัวที่จะหลงหรือผิดนะคะ เดียวนี้เทคโนโลยีมันไกลแล้ว คนรีวิวไว้ก็เยอะ
กลับมาที่ shinjuku กัน ที่นี้วัยรุ่นจะดูดีกว่าย่านอื่นนะฝ้ายว่า ดูเป็นสยามบ้านเรา ย่านนี้ค่อนข้างใหญ่ ถ้าจะหลง และ งง สุดคงเป็นที่นี้ 55555 มาที่นี้เลยแวะไปหา พี่ก็อตซิลล่านิดนึง เดินอยู่นานนะกว่าจะเห็น ตรอกซอกซอยมันเยอะละลานตาไปหมด แต่อย่างที่บอก มีเน็ต เปิด map ก็ไม่หลงละคะ 5555
เช้าต่อมาเนื่องจากวันรุ่งขึ้นฝ้ายต้องกลับไฟท์เช้าเก้าโมง จึงเลือกไปนอนใกล้สนามบินนาริตะ แต่นาริตะไม่ใช่มีแค่สนามบินนะคะ เดียวนี้เหมือนเค้าก็พยายามพรีเซนต์ว่า มีที่เที่ยวสวยๆเยอะ ฝ้ายเลือกพักที่เครือ APA เช่นเดิม ตอนเช้ามีรถบัสไปส่งที่สนามบินด้วย ก็เลือกความสะดวกไว้เช่นเดิม เราออกจาก ueno ประมาณ 10โมงกว่า check-out และลากกระเป๋า เลือกนั่ง keisei line เช่นเดิมแต่เป็นแบบธรรมดา 840 yen ลงสถานี narita ด้วยความที่ไม่รีบเลยนั่งธรรมดา ใช้เวลาประมาณชั่วโมง ชมวิวไป ถ้าจะแวะเที่ยวให้ลงสถานีนี้นะคะ แต่ถ้าไปสนามบินอย่าเพิ่งลง มันจะเขียนบอก terminal ถึงค่อยลง
ฝากกระเป๋าที่โรงแรมเช่นเดิม เข้า family mart ซื้อข้าวกินง่ายๆ เพราะขี้เกรียจเกรียจเดินไปไกล เพราะเราจะไป sawara ต้องนั่ง JR ไปอีกแต่ข้าวตามร้านแบบนี้ดีงามนะคะอร่อย ให้เครื่องแน่นมาก คุ้มราคา ไม่เหมือนบ้านเรานะ และด้วยความที่ฝ้ายเป็นคนกินง่ายๆ ไม่ได้เน้นว่ามาถึงญี่ปุ่นต้องไปกินอะไร เลยมักจะจบด้วยร้านพวกนี้5555 แต่สำหรับใครชอบกินร้านดังๆ ก็ลองหาข้อมูลดู หรืออาจจะลองร้านแปลกๆที่ไม่มีคนรีวิวก็ได้ เพราะส่วนใหญ่ถ้าฝ้ายนั่งร้านฝ้ายก็เลือกเลย ไม่มาดูว่าคนรีวิวเยอะมั้ย ลองผิดลองถูกไป แต่ส่วนใหญ่อาหารอร่อยหมด
นั่งกินเรียบร้อยก็ออกเดินทางจาก JR Narita ไป Sawara แต่สถานีนี้ไม่มีภาษาอังกฤษ เลยงมๆกันไป ดูใน map ว่าราคาเท่าไหร่ก็หยอดไป ประมาณ 500 yen รอรถไฟนานเหมือนกันและก็นั่งนานด้วย สองข้างทางดูเป็นต้นไม้ เป็นนา ได้ feel ญี่ปุ่นบ้านๆดี มาถึงแล้วก็ไม่นั่งรถบัสอีกเช่นเคย เดินค่ะเดิน 555 ชมบ้านชมเมืองเค้าไป เรียกว่าเดินคุ้มจริงๆ เมื่อถึงแล้วจะบอกว่าสวยมาก อิจฉาคนแถวนี้เลย ตอนเราไปไม่ค่อยมีคน มีคนไทยบ้าง เลยทำให้เดินสบายๆ ลมเย็นๆ และแดดแรงเช่นเคยถ้ามาเช้าๆ หรือรอแดดหมดคงสวยกว่านี้
กลับมาแถวโรงแรมไปหาอะไรกินที่วัดนาริตะ อยู่ห่างโรงแรมประมาณ 1 โล เดินอีกแล้ว งานนี้55555 พอเข้าไปในวัด วัดสวยมาก กว้างมาก ฝ้ายไปเกือบจะเย็นเข้าไปเดินสักพักมืดมาก เกือบหาทางออกไม่เจอ5555
เช้ามาตื่นตี 4 เพื่อไปขึ้นรถรอบ 5.25 เราต้องจองรอบตอน check-in ก่อนนะคะ และรถมาตรงเวลา คนขับก็บริการดี สำหรับ AirAsia จะอยู่ที่ terminal 2 รถจะไปส่งที่ terminal 3 ก่อนละไล่มา 3,2,1 ลงรถแล้ว ให้ขึ้นมาชั้น 3 counter N ระวังเรื่องนํ้าหนักนะคะ ที่ญี่ปุ่นชั่งทุกอย่าง รวมถึงกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง
มาถึงตอนนี้ใจหาย เวลาผ่านไปเร็วมาก ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปฟูจิด้วย แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างทำให้ไม่ได้ไป แพลนเปลี่ยนตามใจทุกวัน555 แต่ขึ้นเครื่องได้เห็นแปปนึง ใครอยากเห็นขากลับเลือกที่นั่งฝั่งขวานะคะ ถ้าอากาศดีได้เห็นแน่ ไว้คงต้องได้มาอีกแน่ๆ เลย
สุดท้ายฝ้ายขอบอกเลยว่า ถ้าอยากมา มาเลย ตัดความกังวลออกไป ถ้าเราไม่เริ่มไม่กล้าสักที passport ก็จะขาวอยู่อย่างนั้นนะคะ ตั้งงบไว้ แล้วเริ่มทำแพลน การเที่ยวของแต่ละคนงบไม่เท่ากัน ความชอบไม่เหมือนกัน เราอ่านรีวิวและเอามาปรับใช้ให้เข้ากับเรา อย่าไปตามใคร เที่ยวให้สนุกในแบบของเรา แม้แต่รีวิวฝ้ายเองก็ตาม เพราะฝ้ายชอบแบบนี้ พอใจแบบนี้เลยเที่ยวแบบนี้ ถ้าใครชอบก็ทำตาม ถ้าใครไม่ได้เป็น lifestyles แบบฝ้ายก็อาจจะต้องหารีวิวอื่นดูฝ้ายมองว่าเวลาเราจะไปเที่ยว เราฟัง เราอ่านรีวิวเป็นความรู้ได้ เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ แต่อย่าให้คำบอกเล่าของใคร ทำให้เราเสียตัวตนในการเที่ยว เที่ยวในแบบที่เราไหว งบถึงแค่ไหนก็เที่ยวแค่นั้น ที่เที่ยวไม่ต้องตามเก็บครบทุกสถานที่ก็ได้เพียงแค่เก็บความรู้สึกในแต่ละที่ให้มากที่สุด เก็บความน่ารักของผู้คน เก็บเรื่องราวดีๆระหว่างทาง ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปแล้วก็ไป ฝ้ายว่าแค่นี้ก็คุ้มค่าแล้ว ว่าการมาครั้งนี้เราได้อะไรจากการเดินทาง
Puifaikamon
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.12 น.