สวัสดีคะ การเริ่มต้นของทริปนี้เกิดจากความอยากไปล้วนๆ คิดจะไปก็ไปเลยคะ โดยวางแผนล่วงหน้า 1 วัน และได้ทำการจองตั๋วรถทัวร์ โดยเลือกใช้บริการของสมบัติทัวร์ หมอชิต-บขส.น่าน (ไม่ได้ค่าสนับสนุนแต่ประการใด) ค่าตั๋วราคา 466 บาท
ความรู้สึกหลังจากที่ใช้บริการสมบัติทัวร์ เรารู้สึกว่าโอเคเลยคะ รถใหม่ แต่แอบหักคะแนนเรื่องเบาะแข็งไปนิดนึง แตโดยรวมถือว่าการบริการค่อนข้างโอเค มีของว่าให้ทานด้วย ของว่างเป็นขนมปังสองชิ้น และน้ำผลไม้ 1 กล่อง รสชาติถือว่าโอเคเลยคะ
รถออกจากหมอชิตเวลา 19.50น. ไปถึงน่าน ประมาณตีห้าหน่อยๆ ซึ่งท้องฟ้ายังมืดอยู่เลย (ภาพอาจจะไม่ชัดน่ะคะ มือถือเก่าแล้วถ่ายกลางคืนก็จะเบลอหน่อยๆ)
ตอนนั่นเราก็เคว้งเลยคะ ปกติเที่ยวคนเดียวก็ใกล้ๆในกรุงเทพฯกับจังหวัดปริมณฑล ไม่เคยเที่ยวไกลขนาดนี้คนเดียวมาก่อน เลยรู้สึกตื่นเต้นมากๆ นึกขึ้นได้ก็เี่ดัินทางา เลยเปิดข้อมูลที่พักจากโทรศัพท์ ก็ได้ข้อมูลมาว่า อยู่ไกลจาก บขส. ประมาณโลหน่อยๆ เราเลยเลือกเดินคะ เดินพร้อมกับกระเป๋าเป้ตุงๆสะพายที่หลัง การพักในตัวเมืองน่านวันแรกนี้ เราเลือกพักที่ Hug Her Him Nan โดยจองจาก Booking ในราคา 300 บาท รวมอาหารเช้า ห้องพักเป็นห้องพักรวมน่ะคะ 4 ที่นอน แต่วันนี้เรานอนคนเดียวคะ
บรรยากาศของ Hug Her Him Nan ก็จะประมาณนี้คะ มีความน่ารักสงบ สะอาด สไตล์เป็นกันเอง เราไม่ได้ค่าสนับสนุนแต่ประการใด อะไรว่าดีเราก็ว่าดีคะ ตอนที่เราไปถึง เรายังเข้าที่พักไม่ได้เพราะมีลูกค้าพักยู่ด้านบน และเรามาถึงที่พักเช้าเกินไป เราเลยฝากกระเป๋าไว้กับทางที่พักแล้วขอยื่มจักรยานไปขับเล่นคะ จักรยานจากที่พักเป็นจักรยานฟรีน่ะค่ะ โดยทางที่พักก็ให้แผนที่มา 1 ใบ บอกตามตรงน่ะค่ะว่าเราดูแล้วเรางง คงเป็นเพราะเราดูแผนที่ไม่เก่งด้วยคะ เลยอาศัยถามชาวบ้านไประหว่างทางที่ขับ และคนจังหวัดแถวนั่นก้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บอกได้เลยว่าคนจังหวัดน่านน่ารักมากกกก ซึ่งนี้เป็นจุดนึงที่ทำให้เราหลงรักน่านเลยค่ะ
ที่แรกที่เราจะไป อยู่ไม่ไกลจากที่พักนั่นก็คือวัดภูมินทร์ หรือกระซิบรักบรรลือโลกที่หลายๆคนรู้จักกัน ซึ่งถ้าใครมาน่านแล้วไม่มาที่นี้ ถือว่าพลาดเพราะที่นี้ถือเป็นแลนมาร์กของจังหวัดน่านเลยก็ว่าได้
สถานที่ต่อไปเป็นวัดพระธาตุเขาน้อยนะคะ เราก็ยังคงปั่นจักรยานท่องตัวเมืองน่าน แต่จะไปยังไงนั่น ก็คงต้องถามทางจากชาวบ้านแถวนั่นจริงๆคะ เพราะเราดูแผนที่แล้วก็ยังไม่แน่ใจ อาศัยการถามเพื่อความแน่ใจปลอดภัยสุดคะ ซึ่งถ้าใครจะปั่นจากวัดภูมินทร์ไปวัดพระธาตุเขาน้อย ต้องขอเตือนก่อนน่ะค่ะ ว่าระยะทางค่อนข้างไกลนิดนึง
ในภาพนี้จะเห็นว่าวัดเพราะธาตุเขาน้อยค่อนข้างอยู่สูงเลยทีเดียว เราทั้งปั่นไปเข็นไป เล่นเอาหอบเลยคะ อ้อ!ลืมบอกจักรยานที่เราปั่นเป็นจักรยานแม่บ้านธรรมด๊า ธรรมดานี้แหละคะแต่ใจสู้ก็ไปถึงคะ
เราปั่นแล้วมาจอดบริเวณที่จอดรถบัส แล้วเลือกเดินขึ้นบันไดต่อเพื่อขึ้นไปถึงวัดที่อยู่บนเขา เพราะจะให้ปั่นไปตามทางก็คงไม่ไหวเพราะทางชันมาก แต่ถ้าใครขับรถยนต์มาก็สามารถขับขึ้นไปถึงบริเวณวัดได้เลยคะ
ที่จอดจักรยานต้นไม้ใหญ่สวยดี เราเลยขอเก็บภาพไว้สักหน่อย
นี้คือบันไดที่ต้องเดินขึ้นไปต่อ
Advertisement
และขอเก็บภาพมุมนิยมที่ใครมาวัดพระธาตุเขาน้อยต้องมาถ่ายภาพนี้กัน
แล้วเราก็ขอปั่นไปต่อคะ พอกลับลงมาจากต้นไม้ต้นนึงมีดอกสีชมพู ไม่ทราบชื่อว่าต้นอะไร เห็นว่าสวยดีก็เลยขอแชะภาพสักหน่อย
จากนั่นเราก็ไปปั่นจักรยานวัดอีกหลายที่เลยคะ ต้องขออภัยที่เราไม่ได้ลงรายละเอียดครบทุกวัดที่เราไป ซึ่งวัดในตัวเมืองน่านก็มีเยอะอยู่ อันนี้แล้วแต่ใครจะเลือกแวะเที่ยวที่ไหนตามอัธยาศัยเลยคะ แต่เราขอจบทริปวัด ด้วยวัดสุดท้ายที่มีชื่อเสียงไม่แพ้วัดอื่นของจังหวัดน่าน นั่นคือวัดพระธาตุแช่แห้ง ซึ่งขอบอกเลยน่ะคะว่าสามารถปั่นไปได้หลายทาง แต่ทางที่เราปั่นไปนั่นไกลหน่อย แต่ก็แลกมาด้วยความสงบและวิวก็ค่อนข้างดีเลยคะ
ภาพวัดพระธาตุแช่แห้งคะ
จบทริปวัดพระธาตุแช่แห้งเราก็ปั่นกลับไปที่วัดภูมินทร์คะ เพื่อรอถนนคนเดินหน้าวัดภูมินทร์เปิด เราเลยเดินถ่ายรูป เล่นเก็บภาพบริเวณวัดภูมินทร์ และที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ส่วนภาพนี้เป็นภาพซุ้มต้นลีลาวดี ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านจะแวะมาถ่ายรูปกัน ซึ่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ก็อยู่ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์เพียงแค่ข้ามถนนก็ถึงแล้ว ซึ่งเราก็รอช่วงที่คนไม่ค่อยพลุกกพล่าน และขอเก็บภาพซุ้มลีลาวดีไว้เป็นที่ละลึกคะ
ภาพนี้เป็นภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านในยามเย็น...
ภาพวัดภูมินทร์ในยามเย็น...
ถนนคนเดินหน้าวัดพระธาตุภูมินทร์ก็มีเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ สินค้าก็มีมากมายคะตั้งแต่เสื้อผ้า สินค้าท่องถิ่น อาหารเหนือ ผลไม้ทางภาคเหนือ อาหารกินเล่นต่างๆ
ซึ่งเมื่อซื้อของกินมาแล้ว ก็มีที่สำหรับไว้นั่งทาน มีขันโตกเรียงรายดูน่ารักดีคะ เราเริ่มตกหลุมรักเมืองน่านเข้าจังๆแล้วล่ะ
พอเดินคนเดินหน้าวัดภูมินทร์เสร็จ เราก็ขี่จักรยานกลับที่พักเพื่อพักผ่อน และขอจบทริป 1 วันในตัวเมืองน่าน แต่จริงๆเราไปเที่ยวมากนี้และเก็บภาพไว้มากกว่านี้น่ะคะ แต่เราขอนำเสนอรูปภาพที่น่าสนใจและสถานที่ที่น่าสนใจจริงๆ ต้องขออภัยถ้าหากให้ขอมูลน้อยเกินไปหรือให้ข้อมูลไม่ตรงกับที่เพื่อนๆต้องการ เราเป็นคนที่ไปเที่ยวมาจริงๆคะ ไม่ได้ถูกว่าจ้างรีวิว การเขียนรีวิวครั้งนี้จึงอยากถ่ายทอดประสบการณ์และความประทับใจที่ได้เที่ยวจังหวัดน่านคะ
เช้าวันถัดมา เราวางแผนว่าจะไปเที่ยวที่บ่อเกลือจังหวัดน่าน โดยอ่านตามรีวิวและว่าต้องเดินทางโดยขึ้นรถโดยสายประจำทาง หรือรถบัสไปที่อำเภอปัว จากนั่นนั่งรถสองแถวจากปัวไปบ่อเกลือ และเมื่อสอบถามข้อมูลจากน้องที่ดูแลที่พัก ว่ารถบัสไปบ่อเกลือนั่นออก ก่อน 6.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เช้าามากกกกก น้องที่ดูแลที่พักเสนอที่จะไปส่งเราขึ้นรถที่ บขส.น่าน และแล้วปรากฏว่าเราเกือบไปไม่ทันรถคะ รถออกไปแล้ว น้องเขาเลยขับตามรถบัสออกไปซึ่งเกือบไม่ทัน T T ต้องขอบคุณในความมีน้ำใจของน้องมากจริงๆ ไม่งั้นอาจจะไปถึงปัวสายกว่านี้ และอาจะพลาดรถไปบ่อเกลือก็เป็นด้ายยยย (ขออภัยในความเร่งรีบพร้อมสัมภาระพะรุงพะรังเราเลยไม่ได้เก็บภาพรถบัสมาด้วยคะ ขออภัยจริงๆ)
ในที่สุดก็มาถึงปัวคะ จากนี้ก็ต้องนั่งรถจากปัวไปบ่อเกลือ นี้เป็นภาพรถสองแถว จากปัว-บ่อเกลือ สนนราคาอยู่ที่ 100 บาท/คน
รภก็ขับไปเรื่อยๆ พอเริ่มวิ่งขึ้นเขาเท่านั่นแหละ ยิ่งสูงเท่าไหร่อากาศก็เย็นขึ้นๆ หมอกก็มีให้เห็นมากขึ้น ขนาดนี้เป็นเวลาสายๆเกือบเที่ยงแล้วน่ะคะอากาศยังเย็นอยู่เลย อาจเป็นเพราะช่วงที่ไปฝนตกก็เป็นได้(ไปประมาณวันที่ 26 มีนาคม) วิวตามข้างทางเป็นธรรมชาติเขียวชอุ่มมีวิวภูเขาให้เห็นเป็นระยะ เรารู้สึกได้เลยว่าอากาศที่นี้ดีจริงๆรู้สึกสดชื่นนนน พอเจอแบบนี้ก็หายเหนื่อยจากการเดินทางไปเลยคะ
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงตำบลบ่อเกลือแล้วน่ะค่ะ ซึ่งเราก็ไม่ได้หาพักมาก่อน มาหาเอาดาบหน้านี้แหละคะ ก็เลือกสุ่มพักโดยที่พี่คนขับบอกจะพักตรงที่จอดส่งผู้โดยสารเลย หรือจะให้ขับไปอีกหน่อยก้มีที่พักเหมือนกัน ด้วยความที่ไม่รู้ไรเลยเราเลยเลือก "ไปอีกหน่อยก็ได้คะ" ซึ่งที่พักที่เราเลือกคือ อาโปเดอมาง ซึ่งเมื่อไปถึงก็ขอบอกเลยน่ะคะว่าที่พักวิวดีมาก อยู่ท่ามกลางภูเขา เราเลือกพักเต็นท์คะ พักได้สองคน แต่เรามาคนเดียว ฮ่าๆๆ สนนราคา/คืน อยู่ที่ 1,000 บาทรวมอาหารเช้า ซึ่งราคาเท่านี้กับวิวที่ได้ถือว่าคุ้มค่ามาก วันที่เราไปพักไม่มีแขกเข้าพักเลยคะ อาจเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุด และเป็นช่วงโลว์ซีซั่นด้วย
พอเรามาถึงเราก็นำของไปเก็บที่เต็นท์คะ ทางที่พักก็แนะนำว่าสามารถนำจักรยานจากทางที่พักไปขับเล่นได้ฟรีในบ่อเกลือโดยตำบลบ่อเกลือก็มีเส้นทางจักรยานให้เราสามารถปั่นจักรยานเที่ยวเล่นได้ทั่วเลยน่ะคะ นอกจะได้เที่ยวแล้วก็ยังถือว่าได้ออกกำลังกายไปด้วยคะ ที่แรกที่จะแวะ และไม่ควรพลาดเมื่อมาบ่อเกลือ จังหวัดน่าน กันนั่นก็คือบ่อเกลือสินเธาว์ บนภูเขาแห่งเดียวในประเทศไทย และปัจจุบันนี้ก็ยังมีเกลืออยู่จริงๆ ชาวบ้านถือว่าบ่อเกลือที่นี้เป็นบ่อเกลือศักดิ์สิทธิ์และมีกฎให้ปฏิบัติกันห้ามฝ่าฝืน
ตอนที่เราไปก็มีพระสงฆ์และญาติโยมสองคนมาเที่ยวชมบ่อเกลือด้วยคะ เราเลยเก็บภาพการตักน้ำจากบ่อเกลือมาให้ชมกัน
นี้เป็นภาพการต้มเกลือ เพื่อให้ได้เม็ดเกลือ
บ่อเกลือมีสองที่น่ะคะ นี้ภาพบ่อเกลืออีกบ่อที่เราได้แวะไปถ่ายภาพคะ ถ่ายแต่ภายในโรงต้มน่ะคะ ไม่ได้ถ่ายภายนอกมาเพราะเราคิดว่าลักษณะภายนอกไม่ค่อยต่างกันคะ
ถ้าใครแวะมาที่บ่อเกลือก็อย่าลืมซื้อของฝากจากบ่อเกลือกันด้วยน่ะคะ เพื่อเป็นการอุดหนุนชาวบ้านตำบลบ่อเกลือ และสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านที่นี้ได้มีแรงกายแรงใจในการดูแลอนุรักษ์บ่อเกลือ ซึ่งเป็นบ่อเกลือกลางภูเขาแห่งเดียวในประเทศไทย
แม่ค้าตัวน้อยแห่งบ่อเกลือขายของด้วยความขะมักเขม้นดูน่าเอ็นดู หากใครแวะมาที่บ่อเกลืออย่าลืมอุดหนุนกันด้วยน่ะคะ
พอเที่ยวบ่อเกลือเส็ดเราก็ปั่นจักรยานไปตามทางจักรยานต่อคะ แอบกระซิบน่ะคะว่าบ่อเกลือไม่ได้มีดีแค่บ่อเกลือแต่มีวิวดี อากาศดีรอให้ทุกคนมาสัมผัสอยู่คะ จักรยานคันเดียวเที่ยวรอบตำบลบ่อเกลือเลยที่เดียว
เราปั่นไปตามทางก็ไปแวะถ่ายภาพ น้องควายตัวนึงยืนกลางทางพอดีคะ
ขณะที่เราถ่ายภาพอยู่ ข้างๆทางก็เป็นไร่ข้าวโพด แล้วจู่ๆก็มีชาวบ้านแถวนั่นตะโกนเรียกเราคะ ตอนแรกเราก็ตกใจว่ามีอะไรรึเปล่า ปรากฏว่าพี่ชาวบ้านได้ถือสิ่งนี้มาให้ ก็คืออออ...
ข้าวโพดย่างสดๆจากไร่ ซึ่งเราต้องอภัยน่ะคะที่ไม่สามารถหักห้ามใจที่จะไม่กินก่อนถ่ายรูป แหมก็กลิ่นมันช่างหอมเย้ายวนใจ กินข้าวโพดย่างท่ามกลางวิวธรรมชาติ และอากาศดีๆก็เป็นอะไรที่ฟินสุดๆไปเลยคะ
เมื่อกินข้าวโพดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เติมพลังแล้วก็ไปกันต่อคะ ยิ่งปั่นไปก็ยิ่งพบว่าบ่อเกลือไม่ได้มีดีแค่บ่อเกลือจริงๆ ยังมีวิวธรรมชาติที่สวยงาม และบรรยากาศที่ดีสุดๆ แถมอากาศยังเย็นสบายไม่ร้อนเลยล่ะคะ(ช่วงปลายเดือนมีนาคม) ทำให้เราปั่นจักรยานเล่นได้ทั้งวัน
พอปั่นจักรยานเล่นจนถึงสุดสิ้นสุดทางปั่นจักรยานแล้วปั่นกลับไปที่พักคะ ปั่นไป-กลับ ใช้เวลาราวๆ 3-4 ชั่วโมงได้คะ เพราะปั่นไป นั่งพักไป ถ่ายรูปกินลมชมวิวไป กว่าจะปั่นจนสุดทางจักรยานก็เล่นเอาขาล้าหมดแรงได้เหมือนกัน เพราะระยะทางค่อยข้างไกลอยู่ แต่แลกกับวิวธรรมชาติข้างทางก็ถือว่าคุ้มอยู่คะ
ขากลับเราก็ปั่นกลับโดยแวะทานข้าวที่หน้าบ่อเกลือ จากนั่นก็นั่งพักที่หน้าฝ่ายกั้นน้ำ ก็มีน้องไก่เดินมาหาอาหารกิน เราก็นั่งมองไก่แล้วปล่อยใจไปเรื่อยเปื่อย...
ในขณะที่นั่งเล่นไปเรื่อย กาลเวลาก็พานมาให้พบกับเธอคนนี้
น้องกับเราก็คุยกันหลายอย่างเลยคะ เริ่มจากพี่มาจากกรุงเทพฯหรอคะ หนูเดาว่าพี่ต้องชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติแน่ๆ เลย นู่นนี้นั่น บลาๆ น้องน่ารักมาก น้องคุยเก่งมากเลยคะ ทำให้เราหายเหงาเลย จากนั่นน้องก็ชวนเราเล่นปาก้อนหินเพลิดเพลินกันไป ใครที่แวะมาที่บ่อเกลือว่างๆก็แวะมาเล่นกับน้องได้น่ะคะ (บ้านน้องอยู่ใกล้ฝ่ายศรีไว) แถวๆบ่อเกลือ ว่าแต่น้องชื่ออะไร เราก็ลืมไปเลยคะเราเรียกน้องว่า "หนู" ไม่ได้เรียกชื่อเลยทำให้ลืมชื่อน้องไป พี่ขอโทษด้วยน่ะ พี่แย่จริงๆ T T
จากนั่นน้องก็ชวนเราเล่นปาก้อนหินประทบน้ำคะ แล้วมาเดากันว่าก้อนหินจะกระทบน้ำได้กี่ครั้ง เด็กที่นี้ไม่จำเป็นต้องมีของเล่นที่ทันสมัยหรือมีเทคโนโลยีใดๆ ของเล่นที่ดีที่สุดของเด็กที่นี้คือธรรมชาติ และพื้นที่วิ่งเล่นที่ปั่นจักรอันกว้างขวาง ใกล้ชิตธรรมชาิและอากาศบริสุทธิ์ที่เด็กเมืองกรุงอย่างเราๆน้อยครั้งจะได้สัมผัสเราถามน้องว่า "คิดอยากจะมาเรียนต่อหรือมาอยู่กรุงเทพฯ บ้างไหม?" น้องก็ตอบว่า "ไม่เลยคะ หนูเห็นกรุงเทพฯมีแต่คนเยอะแยะดูวุ่นวาย และแม่กับพ่อหนูก็อยู่ที่นี้ถ้าหนูไปอยู่นั่นแล้วใครจะดูแลพ่อกับแม่" คำตอบของเด็กป.6 ทำเราอึ้งไปเลยคะ
จากนั่นน้องก็พาเราไปเดินเล่น และขอให้เราสอนถ่ายรูป ชวนคุยนั่นคุยนี้ไปเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็ห้าโมงเกือบหกโมงแล้ว เราเองก็กลัวว่าพ่อแม่น้องจะเป็นห่วงเราเลยบอกน้องว่า เย็นแล้วกลับบ้านกันดีกว่าเดี๋ยวพ่อแม่ดุเอาน่ะ "พ่อแม่ไม่กล้าดุหนูหรอก ฮ่าๆ" เราก็ขำคะ เราเลยตอบน้องไปว่าพี่เองก็ต้องปั่นจักรยานกลับที่พักเดี๋ยวค่ำเดี๋ยวมองไม่เห็นทาง เดี๋ยวอันตรายน่ะ" จากนั่นเราก็แยกย้ายกับน้องและกลับที่พักคะ
เมื่อมาถึงที่พักเราก็อาบน้ำเสร็จทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ค่ำพอดี อาโปเดอมางในยามเย็นก็สวยดีน่ะคะ
นี้เป็นภาพที่พักคะ เครื่องนอนซักใหม่สะอาดหอมฟุ้งทั่วเต้นท์ คืนที่รานอนฝนตกด้วยน่ะคะ แต่เต็นท์ไม่รั่ว ไม่มีน้ำซึมเข้าเต้นท์เลยคะ คืนนี้เราพักคนเดียวที่นี้เลย เงียบสงบมาก และที่สำคัญเจ้าของที่พักดูแลดี เป็นผู้หญิงคนเดียวมาพักที่นี้ก็ไม่อันตรายคะ
เมื่อพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ก็เข้าสู่เวลาเช้าอันแสนสดชื่นนนน พี่ๆที่ดูแลที่พักแนะนำว่าให้เดินไปทาานอาหารเช้าด้านบน
พอขึ้นไปด้านบน ก็รู้สึกว่า โอโห....คือเรากินข้าวเช้าท่ามกลางวิวธรรมชาติโอบล้อมไปด้วยภูเขาเลยรึเนี่ย แล้วพี่แม่ครัวด้านบนก็บอกให้เรารอเพื่อจะทำข้าวเช้าให้ เราก็นั่งรอและแล้วฝนก็ตกปรอยๆ มาเที่ยวหน้าฝนมันก็จะเปียกๆ หน่อยแต่ต้นไม้ก็จะเขียวชอุ่มงอกงาม
นั่งรอสักพักอาหารก็มา เครื่องดื่มบริการตนเองน่ะคะ มีขนมขบเคี้ยวกินคู่กับกาแฟ เลือกตักกินกันตามใจชอบ
อาหารมื้อนี้ถือว่าจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบอยู่ เต็มอิ่มจนแน่นเลยล่ะคะ เรารู้สึกว่าทั้งที่พัก ทั้งอาหาร ทั้งวิวกับเงินที่เสียไปเพียง 1,000 บาท/คืน เราคิดว่าคุ้มค่ามากที่อาโปเดอมาง
ตอนเช้าเราก็ถามพี่ที่ดูแลที่พักว่ารถจากบ่อเกลือไปปัวออกกี่โมง พี่เขาก็บอกออกประมาณ 11 โมง เราก็ดูเวลาเพิ่งจะแปดโมงกว่า เลยบอกพี่ที่ดูแลที่พักว่า "ขอออกไปปั่นจักรยานเล่นน่ะค่ะ" เราก็ปั่นจักรยานเล่นท่ามกลางฝนตกปรอยๆคะ เช้านี้หมอกลงค่อนข้างเยอะอยู่ แต่ฟ้าก็จะออกครึ้มๆหน่อย
เราก็ปั่นจักรยานเพลินเลยคะ เมื่อเห็นว่าใกล้ 11 โมงแล้วเราเลยปั่นจักรยานไปที่พัก ปรากฏว่าพี่ที่ดูแลที่พักเขาอาสาขับรถไปส่งเราที่จุดขึ้นรถคะ พอไปถึงจุดรอรถ ปรากฏว่ารถมาตอนเที่ยง เพราะว่ารอบก่อนหน้าออกไปแล้วว T T แต่พี่ที่ดูแลที่พักก็อาสาอยู่นั่งรอเป็นเพื่อนจนกว่ารถจะมา พูดคุยกันอยู่นานเลยคะ สุดท้ายก็ลืมถามชื่อ(อีกล่ะ) แต่พี่เค้าเป็นคนน่ารักอัธยาศัยดีมากเลยคะ เราเลยขอถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก เผื่อใครมาพักที่อาโปเดอมาง ก็ชวนพี่คนนี้คุยได้คะ จริงๆพี่ๆที่อาโปเดอมางน่ารักและพร้อมให้คำแนะนำกับแขกที่มาเที่ยวทุกคนจริงๆ
และแล้วก็ถึงเวลาเที่ยง รถสองแถวก็มาพอดี คิดไปคิดมาก็อยากอยู่ต่อ ฮ่าๆๆ แต่ไม่ได้แล้วล่ะคะ ต้องกลับไปทำงานต่อในวันพรุ่งนี้ T T
ระหว่างทางที่กลับอากาศดีมากกกก มีหมอกลงอยู่เป็นระยะ อากาศก็เย็นจนออกจะหนาวเลยยย รู้สึกคุ้มค่าจนหยดสุดท้ายมากับการมาเที่ยวที่บ่อเกลือ
ตอนขากลับเราได้ขอให้พี่ที่ขับรถสองแถวช่วยแวะให้ถ่ายรูปดอกชมพูภูคา ตามคำแนะนำของพี่ที่อาโปเดอมางแนะนำมาว่าให้แวะดูดอกของชมพูภูคา เพราะต้นชมพูภูคาเป็นต้นไม้ที่พบแห่งเดียวในประเทศไทยที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา และออกดอกแค่เดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม เราเลยไม่พลาดโอกาสขอเก็บภาพไว้สักหน่อย ตอนแรกก็แอบหวั่นใจคะว่าจะมีดอกให้เห็นมั้ย เพราะเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคมแล้ว แต่โชคดีว่ามีให้เห็นอยู่พอสมควรเลยคะ
เมื่อรถสองแถวจากบ่อเกลือถึงตัวอำเภอปัว เราก็นั่งรถสองแถวสีฟ้า ปัว - น่าน(ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายภาพมา) ที่ท่าจอดรถสองแถวโดยนั่งจากปัวไปตัวเมืองน่าน เพื่อไปขึ้นรถทัวร์ที่บขส.น่านกลับกรุงเทพฯ แต่รถทัวร์ออก 19.50 น. เราไปถึงตัวเมืองน่านตอนบ่ายสามเกือบบ่ายสี่ ซึ่งยังเหลือเวลาอีกเหลือเฟือ เราเลยไปนั่งกินข้าวหน้า บขส. และขอฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ที่ร้านข้าว ซึ่งป้าร้านข้าวก็น่ารักมาก จากนั่นเราก็ออกเดินเที่ยวเลยคะ ที่ที่เราเลือกไปคือหาดแม่น้ำน่าน ซึ่งก็เห็นเขาว่าเขาทำคล้ายกับหาดริมทะเลมีให้เล่นน้ำด้วย
เราก็นั่งเล่นที่หาดจนประมาณหกโมงครึ่ง แล้วเราก็เดินกลับไปที่บขส.คะ เพื่อไปเอากระเป๋าที่ร้านป้า เพราะป้าปิดร้านทุ่มนึง จากนั่นก็ไปนั่งรอจนกระทั่งเวลา 19.50 น. เราเลือกใช้บริการรถทัวร์ของนครชัยแอร์คะ จากน่านไปกรุงเทพฯ สนนราคาอยู่ที่ 544 บาท มีข้าวกล่อง เบาะนวดไฟฟ้า ปรับเอนได้ มีจอส่วนตัวและสื่อบันเทิงให้ดู สะอาด พนักงานบนรถน่ารักดีคะ (ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาคะ เมมกล้องเต็มแล้ว ฮ่าๆๆ)
--------------------ขอจบทริปน่านแต่เพียงเท่านี้ขอบคุณสำหรับการรับชม ขอบคุณคะ------------------
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด
-ขาไป
ค่ารถทัวร์จากกรุงเทพฯ - น่าน (สมบัติทัวร์) 466 บาท
ค่าที่พัก Hug Her Him Nan (ได้จักรยานปั่นฟรี) 300 บาท
ค่ารถบัสจากตัวเมืองน่านไปปัว 80 บาท
ค่ารถจากปัวไปบ่อเกลือ 100 บาท
ค่าที่พักที่บ่อเกือ (อาโปเดอมาง) 1 คืน (ฟรีจักรยาน) 1,000 บาท
-ขากลับ
ค่ารถจากบ่อเกลือไปปัว 100 บาท
ค่ารถจากปัวไปตัวเมืองน่าน 80 บาท
ค่ารถจากน่าน - กรุงเทพฯ(นครชัยแอร์) 544 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่รวมค่ากิน 2670 บาท
สาวหัวฟูตัวเที่ยว
วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 00.47 น.