สวัสดีครับ!!เพื่อนทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับผมพึ่งหัดเขียนเป็นครั้งแรก มาเริ่มกันเลยครับ!!
ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเวียดนาม 5 วัน 4 คืน ก่อนอื่นผมไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับการไปเที่ยวเวียดนามครั้งนี้เลย (เนื่องจากคุณแม่ผมท่านชวนผมเดินทางไปเที่ยวเป็นเพื่อน) ในความคิดส่วนตัวผมคิดว่า เวียดนามมีอะไรให้เที่ยว?จะสวยเท่าเมืองไทยของเราหรือป่าว?
วันแรก ณ สนามบินสุวรรณภูมิ (ผมขออนุญาตข้ามขั้นตอนการเดินทางไปสนามบินนะครับ) เวลา 9:30 นาฬิกา ผมได้เดินทางมาถึงสนามบิน และได้ไปรอ Check in ที่ Gate N เพื่อทำการโหลดกระเป๋า โดยผมใช้บริการสายการบิน Vietnam airline ซึ่งเป็นสายการบินของเวียดนาม และผมได้บิน Flight VN610 BKK-HAN (กรุงเทพ-ฮานอย) เวลา 11:55-13:55 นาฬิกา เมื่อผ่านด่านตรวจคนออกนอกประเทศ และสแกนสัมภาระเรียบร้อยผมก็นั่งรอขึ้นเครื่องบิน ซึ่งรอซักพักใหญ่เลยครับ
และแล้วผมก็ได้ขึ้นเครื่องบิน ตื่นเต้นมาก ผ่านไปไม่นานมาก ผมก็มาถึงสนามบิน Noi bai เวลาประมาณ 14:15 นาฬิกาซึ่งเป็นสนามบินที่สร้างขึ้นใหม่ของHanoi โดยโปรแกรมทัวร์วันแรกของผมจะเป็นการเดินทางไปที่ HaLong Bay โดยนั่งรถบัสของทัวร์ที่ผมได้ซื้อไว้ ความรู้สึกของผมเมื่อสัมผัสอากาศของเวียดนาม ซึ่งไม่แตกต่างจากประเทศไทยมากนักคือร้อนเหมือนบ้านเราเลยครับ
ผมได้เดินทางไปขึ้นรถบัสเพื่อไปยังที่พักซึ่งใช้เวลาเดินทางจากสนามบินไปHa Long Bay เป็นระยะเวลาหลายชั่วโมงอยู่ครับ นั่งมองข้างทางถนนเวียดนามสังเกตสิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี โล่งมากครับ พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมถ่านหิน และยังเป็นที่ตั้งโรงงานต่าง ๆ
หลังใช้เวลาอยู่บนรถบัสเป็นเวลาหลายชั่วโมงผมได้เดินทางมาถึงเมือง Ha Long Bay เวลา19:00 นาฬิกา อากาศก็เริ่มเย็นลงมากครับ โดยผมได้แวะทานข้าว (ผมต้องขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายภาพอาหารมาให้ชม) โดยผมจะขอเล่าเรื่องรสชาติอาหารของที่นี่นะครับ โดยอาหารที่เวียดนามจะมีรสชาติค่อนข้างจืด อาหารส่วนใหญ่จะเน้นไปทางผักโดยส่วนใหญ่ ซึ่งไม่แปลกที่ผู้คนที่เวียดนามไม่ค่อยมีคนอ้วน ส่วนรสชาติอาจจะไม่ถูกปากคนไทยอย่างเราครับที่ทานอาหารรสจัด เมื่อทานข้าวเสร็จก็พักผ่อนเดินยืดเส้นยืดสายชมบรรยากาศเมืองยามค่ำคืน ผมเองก็แอบตกใจนิดนึง เนื่องจากเวียดนามบนถนน คนที่ขับขี่ยานภาหนะเขาจะบีบแตรทักทายกันตลอดทาง บางทีก็มีสะดุ้งกันบ้าง ไกด์บอกผมว่า กฎหมายการจราจรของที่นี่ค่อนข้างรุนแรงครับ และคนที่นี่ก็ปฏิบัติตามกันอย่างเคร่งขัดครับ โดยที่เวียดนามนี้ รถใหญ่ต้องเกรงใจรถเล็ก และรถเล็กก็ต้องเกรงใจคนข้ามถนน ดังเมื่อเราเดินข้ามถนนนั้นเราสบายใจได้เลยครับว่าจะไม่มีรถคันไหนชนเราครับ โดยเขาจะบีบแตรใส่เรา เพื่อให้เราเดินข้ามไปหลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับไปที่โรงแรมเพื่อพักผ่อนโดยโรงแรมที่ผมเข้าพักคือ ANH DUONG HOTEL ผมขออนุญาตยืมภาพจาก Google มาลงนะครับเนื่องจาก ผมไปถึงเวลาก็ค่อนข้างดึกแล้วและยังเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวันจึงไม่ได้ถ่ายรูปห้องพัก ซึ่งโรงแรมก็มี Wi-Fi ให้เราใช้ในการติดต่อสื่อสารหรือ Upload รูปลงใน Social network อาจจะไม่ค่อยเร็วซักเท่าไหร่แต่ก็พอใช้งานได้ครับ ส่วนห้องน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ครับโดยวันพรุ่งนี้เราจะเดินทางไปล่องเรื่อที่อ่าว Ha Long Bay กันครับ โดยไกด์จะมารับผมไปล่องเรือเวลา 07:30 นาฬิกา zZZ
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 2 ครับเวลา 5:30นาฬิกา ผมตื่นมาอาบน้ำแปรงฟันและลงไปรับประทานอาหารและดื่มกาแฟที่ Lobby ของโรงแรม เมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อยผมก็ออกไปเดินสำรวจข้างนอก
ผมรู้สึกประทับใจมากครับกับบรรยากาศข้างนอกเนื่องจากเมื่อคืนผมเดินทางเข้ามาถึงโรงแรมมันค่อนข้างมืดและมองไม่เห็นบรรยากาศข้างนอกโดยผมไม่รู้เลยว่าโรงแรมที่ผมพักอยู่ติดกับอ่าว และท่าจอดเรือ โดยเรือที่จอดเทียบฝั่งคือเป็นโรงแรมที่อยู่บนเรือครับ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบนอนบนเรือครับ โดยที่นี่จะมีเรือที่มาจอดเทียบท่าอยู่เยอะมากครับ
หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลานัดหมาย รถบัสของทัวร์มารับที่โรงแรม ผมก็ขนสัมภาระขึ้นรถเนื่องจากคืนนี้เราจะเข้าไปนอนในเมือง Hanoi โดยรถบัสมาส่งที่ท่าเรือโดยใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมไปที่ท่าเรือประมาณ 30 นาที เมื่อถึงท่าเรือไกด์ก็ดำเนินการซื้อตั๋วเรือให้เราเรียบร้อยโดยตั๋วนี้จะเป็น ตั๋วแบบ one day trip ไกด์ย้ำว่าห้าม!! ทำหายเด็ดขาด จากนั้นเราก็เดินทางไปรอขึ้นเรือผมยืนรอเรือไม่นานเรือมาจอดเทียบเมื่อเรือเทียบท่าสนิทแล้ว ผมก็ขึ้นเรือเพื่อไปชมทัศนีย์ภาพอ่าว Ha Long เมื่อทุกคนลงเรือหมดแล้วเรือก็เริ่มแล่นออกจากท่าเรือ โดยระหว่างเรือกำลังแล่นออกไกด์ ก็จะอธิบายข้อปฏิบัติในการอยู่บนเรือให้ฟัง โดยเจ้าหน้าที่ก็จะเริ่มนำชาร้อนมาเสิร์ฟให้เราจิบในระหว่างเราเดินทางออกจากท่าเรือ ผู้ชายคนนี่คือไกด์ของ Group ผมเค้าจะดูแลเราตลอดเวลา 5 วัน แน่นอนเค้าพูดไทยได้ครับ เค้าซื่อ "แมน" หรือทุกคนเรียกเค้าว่า "Superman" เค้าเป็นไกด์ Freelance อาศัยอยู่ที่ Hanoi เป็นคนเวียดนามเคยมาเที่ยวประเทศไทยหลายครั้ง พอเรือเริ่มออกจากท่าเรือ เราก็จะเริ่มเห็นทัศนีย์ภาพของภูเขาวิวทิวทัศน์ต่าง ๆ และลมเย็น ๆ ที่พัดเข้ามาในตัวเรือ อ่าว Ha Long หรือ Ha Long Bay ถือเป็นสถานที่ Highlight ของเวียดนามครับ เพราะนอกจากจะได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโกแล้ว ที่นี่ยังมีความมหัศจรรย์อันงดงามของธรรมชาติ Ha Long Bay เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ย ทางตอนเหนือของเวียดนาม อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออกประมาณ 170 กิโลเมตร มีชื่อตามการออกเสียงในภาษาเวียดนามเขียนได้ว่า "Vinh Ha Long" หมายถึง "อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง" ฮาลองเบย์ มีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายในเมื่อเรือแล่นออกไปซักพักไกด์ก็อนุญาตให้เราขึ้นไปดาดฟ้าของเรือ เพื่อชื่นชมธรรมชาติและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก สำหรับท่านใดไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมา บนเรือก็จะมีบริการถ่ายรูปให้เราโดยจะคิดราคารูปล่ะ 14,000 ดอง คิดเป็นเงินบาทก็จะเท่ากับรูปล่ะ 20 บาทครับ และไม่ต้องห่วงว่าเขาจะถ่ายมาไม่สวยนะครับผมขอรับประกันเลยครับ ว่ามือ Pro เราจะได้รับรูปตอนเราขึ้นฝั่งครับ เนื่องจากวันที่ผมล่องเรือเมฆค่อนข้างหนา และแสงน้อยรูปที่ได้มาอาจจะออกมาในโทนมืด ๆ หน่อยครับแต่โชคดีว่าวันที่ผมล่องเรือฝนไม่ตกครับ ไกด์เล่าว่าที่เวียดนามนี้จะมีฝนตกตลอดทั้งปีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หากฝนตกก็จะตกทั้งวัน หลังจากเราได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติของอ่าว Ha Long แล้วเรือก็แล่นมาถึงเกาะ ๆ นึงซึ่งเกาะนี้เองก็มี Highlight อีกอย่างนั้นคือ ถ้ำ THIEN CUNG (ถ้ำเทียนกุง) นั้นเองซึ่งถ้ำนี้เป็นถ้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบที่อ่าวฮาลอง มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ด้านในมีการจัดแสงสีเพิ่มความน่าสนใจให้กับหินงอกหินย้อยต่าง ๆ มีทางสำหรับการเดินชมไว้ให้ด้วย มีเสาค้ำฟ้าซึ่งเกิดจากหินงอกและหินย้อยมาบรรจบติดกันจนกลายเป็นเสา ซึ่งหินงอกหินย้อยแต่ละก้อนก็จะมีลักษณะ รูปร่างแตกต่างกันออกไป ตามแต่จะจินตนาการ มีความงดงามอย่างมาก และมีบันไดหลายขั้นมากเล่นเอาผมปวดขากันเลย และเมื่อเรือเทียบท่าแล้วเราก็ไปปีนภูเขาเพื่อเข้าไปชมถ้ำกัน สำหรับท่านใดที่มีปัญหาด้านหัวเข่าหรือโรคประจำตัวอื่น ๆ นั้นเราสามารถนั่งคอยอยู่ในเรือได้ครับโดยจะมีเจ้าหน้าที่บนเรืออยู่เป็นเพื่อนเรา เพราะหากตัดสิ้นใจขึ้นเขาแล้วเราไม่สามารถเดินย้อนกลับลงมาที่เรือได้ครับ โดยเรือของเราจะแล่นไปจอดเทียบท่ารอเราอีกด้านหนึ่งของเกาะครับ สำหรับผมแล้วตัดสินใจว่าไหน ๆ ก็มาแล้วก็ไปให้สุดครับ สำหรับรูปภาพบนเกาะผมอาจจะไม่ได้เก็บภาพได้เยอะเนื่องจากผมต้องดูแลคุณแม่ที่ร่วมเดินทางมาด้วย ต้องขออภัยด้วยครับ แต่ก็จะเก็บมุม Highlight ที่สวย ๆ มาแล้วกันครับเมื่อเดินขึ้นบันไดมาซักพักเราก็มาถึงปากถ้ำเทียนกุง โดยภายในถ้ำนั้นค่อนข้างชื้นและมีกลิ่นดินชื้น ๆ หน่อยพื้นทางเดินค่อนข้างเปียกในบางจุดต้องระวังลื่นด้วยนะครับ เรามาชมภาพด้านในกันเลยหลังจากนั้นผมก็เดินชมจนพอใจก็เดินออกมาจากถ้ำ เราจะออกมาเจอเรือของเรา ที่จอดเทียบท่าอยู่ทางด้านนอกของถ้ำผมเดินลงตามบันไดมาเรื่อย ๆ ก็จะถึงท่าเรือครับหลังจากทุกคนขึ้นเรือกันครบแล้ว เรือก็แล่นออกจากเกาะประกอบกับถึงเวลา 12:00 นาฬิกา พอดีเราจะทานอาหารกลางวันกันบนเรือ และชมวิวธรรมชาติของอ่าว ฮาลอง โดยอาหารของมื้อนี้จะเป็นอาหารทะเลครับ ซึ่งผมต้องขอภัยที่ไม่ได้เก็บภาพมาฝาก T_Tผมทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอตัวไปเดินยืดเส้นยืดสายด้านบนของตัวเรือต่อ ผมว่า Halong Bay มีวิวอันช่างหลงไหลมองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ รู้สึกว่าเราผ่อนคลายหายเหนื่อยจากกิจกรรมต่าง ๆ หากทุกท่านได้มีโอกาสมาเที่ยวที่เวียดนาม ผมขอบอกเลยว่าห้ามพลาด!! Trip ล่องเรือที่ Halong Bayเรือก็แล่นออกมาจากเกาะซักพักใหญ่ ๆ จนถึงฝั่งเราก็เดินไปขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปในเมือง Hanoi ไกด์บอกเราจะต้องใช้เวลานานจาก Ha Long Bay ไปให้ทุกคนเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะที่เวียดนามห้องน้ำหายากมากครับ โดยห้องน้ำสาธารณะไม่ค่อยสะอาดเหมือนในโรงแรม สำหรับคนที่ใช้บริการถ่ายรูปที่ระลึกบนเรือ ก็มาติดต่อรอรับรูปภาพและจ่ายเงินตามที่ตกลงกันไว้ได้เลย เมื่อทุกคนทำธุระส่วนเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางไปที่ Hanoi กันต่อเลย ซึ่งผมเองก็ขออนุญาตหลับยาว ๆ Zzzหลังจากเราเดินทางออกจาก Ha Long Bay มาหลายชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึงตัวเมือง Hanoi โดยในเมืองจะมีสถานที่สำคัญต่าง ๆ โดยที่แรกเราจะไปโรงละครหุ่นกระบอกน้ำ โดยโรงละครที่นี่จัดแสดงการเชิดหุ่นกระบอกน้ำ และสถานที่สุดท้ายของวันที่ 2 คือ walking street ของฮานอยเอาใจขา shop ที่มีของแท้อยู่แค่ 2 อย่างคือ “คนขายกับคนซื้อนอกนั้นปลอมหมด” งั้นเดี๋ยวเราไปชมโรงละครก่อนดีกว่าโดยผมโรงละครของที่นี่ค่อนข้างเล็กมาก ๆ ผมต้องยืนรอไกด์ไปซื้อตั๋วเข้าชมพร้อมกับต้องรอให้ Group ที่เข้าไปชมการแสดงก่อนผมเดินออกมาก่อนแล้ว Group ของผมถึงได้เข้าไป ภายในโรงละครเจ้ามีเก้าไม้เล็ก ๆ เรียงติดกันเป็นชั้น ๆ เมื่อทุกคนได้ที่นั่งกันเรียบร้อยแล้วทางโรงละครก็จะเริ่มทำการแสดง โดยจะเริ่มแนะนำตัวนักแสดงและบทบาทที่รับของแต่ล่ะคน (ซึ่งเขาแนะนำตัวเองเป็นภาษาเวียดนามซึ่งผมก็ฟังไม่ออก T_T) โดยหุ่นกระบอกน้ันทำจากไม้ไผ่ ใช้คนเชิดอยู่ภายในหลังฉากด้านหลังโดยการแสดงจะเป็นในทางละครเพลง ซึงมีบทสนทนาไม่ค่อยเยอะโดยการแสดงจะใช้การขับร้องและสนทนาเป็นภาษาเวียดนามทั้งหมด จากที่เขาจะนำเสนอผมก็พอคาดเดาได้ว่าเขาจะนำเสนอเกี่ยวกับ ตำนานของเวียดนามและวิถีชีวิตของผู้คนในเวียดนาม หลังจากผมชมการแสดงเสร็จผมก็เดินออกมาด้านนอกโรงละคร โดยข้างนอกก็จะมีของที่ระลึกขาย หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปทานอาหารที่โรงแรม Delight Hotel Hanoi และนำสัมภาระเก็บที่ห้องพักให้เรียบร้อย หลังจากนั้นผมก็นั่งรถออกไป shopping ที่ Sword Lake เป็นแหล่ง shopping ที่ใหญ่ที่สุดใน Hanoi ตั้งอยู่บนถนน 36 สายของ Hanoi โดยที่นี่เค้ารับเงินหลายสกุลมาก เช่น ดอลลาร์, หยวน รวมถึงเงินบาทของเราด้วยครับ เนื่องจากคนไทยเดินทางไปเที่ยวที่เวียดนามเยอะจึงทำให้ที่เวียดนามนิยมสกุลเงินบ้านเรา โดยบางร้านแม่ค้า-พ่อค้าสามารถพูดภาษาไทยได
ระหว่างผมเดินไปเรื่อย ๆ ผมก็คิดว่าที่นี่ก็คล้าย ๆ ตลาดนัดสวนจตุจักรที่ประเทศไทยเพราะนอกจากจะมีคนต่างชาติมาเลือกซื้อสิ้นค้ายังมีคนเวียดนามเช่นกัน ที่ถนน 36 สายนี้ไม่เพียงแต่จะมีสินค้าและร้านอาหาร แต่ยังเป็นจุดนัดพบแลกเปลี่ยนแฟชั่นและวัฒธรรมเช่นกัน
ผมเดินไปเรื่อย ๆ ผมก็พบคนกลุ่มหนึ่งพวกเขาเปิดเพลงและเต้นรำกันท่าทางสนุกสนานถ่ามกลางผู้คนเดินผ่านไปมาบนถนนเส้นนี้ ผมว่าผู้คนที่น่ารักดี ถนน 36 สายนี้วันเสาร์และวันอาทิตย์ทางเวียดนามจะทำการปิดถนนให้ผู้คนเดินซื้อสินค้าระหว่างเดินซื้อก็ต้องระวังกระเป็าเงินและของมีค่าอย่างดีเนื่องจากที่นี่คนเยอะบางช่วงบางตอนของถนนอาจมีเบียด ๆ กันบ้างอาจทำให้ทรัพย์สินของเราสูญหายได้ หลังจาก shopping กันเสร็จแล้วผมก็เดินทางกลับไปโรงแรมเพื่อพักผ่อน ผมถึงโรงแรมประมาณ 23:00 นาฬิกา จากที่ผมสังเกตุ สินค้าที่นิยมของที่จะได้แก่ กระเป๋าเดินทาง, เสื้อกันหนาว, รองเท้าผ้าใบ Nike Adidas Onitsuka tiger เป็นต้น ส่วนราคาก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้ารวมถึง skill ในการต่อราคาของเราด้วย ส่วนตัวได้รองเท้าผ้าใบมา 2 คู่
เช้าวันที่ 3 ของการเดินทางต่างแดนที่เวียดนาม หลังจากผมทำธุระส่วนตัวและทานอาหารเข้าที่โรงแรมจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ผมเดินออกไปชมบรรยากาศรอบ ๆ โรงแรมที่่ผมพัก ผมสังเกตุเห็นพื้นถนนเปียกแฉะมีละอองน้ำบาง ๆ อยู่ในอากาศนั่นคืนสัญญานบ่งบอกว่าฝนตกครับ
ใช่ครับวันนี้ฝนตกโดยฝนของเวียดนามอาจจะไม่รุนแรงหรือเม็ดใหญ่เท่าบ้านเราแต่เป็นละอองฝนเล็ก ๆ ตกลงมาเรื่อยโดยไม่มีทีท่าจะหยุดตกค่อยข้างหนาแน่นซึ่งทำให้ซื้อผ้าเราชื้น ๆ แตะไม่ถึงเปียก โดยการเดินทางใน Hanoi ส่วนใหญ่จะใช้รถมอเตอร์ไซต์และจักรยานเนื่องจากในเมืองถนนข่อนข้างแคบและรถติดมาก ดูคล้ายย่านเยาวราชที่ประเทศไทย
สำหรับวันนี้ช่วงเช้าเราจะเดินทางเข้าไปเคารพสุสานท่านโฮจิมินห์ ซึ่งคนเวียดนามนั้นเคารพรักท่าน เหมือนคนไทยเรารักในหลวงครับ โดยภายในพื้นที่สุสานจะเจ้าหน้าที่ทหารยืมตามจุดรอบสุสาน ส่วนร่างของโฮจิมินห์นั้นถูกเก็บรักษาอยู่ในโลงแก้วบริเวณใจกลางสุสาน เพื่อให้ผู้เข้าชมได้รู้จักกับผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเวียดนาม โดยในสุสานแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นห้ามพูดคุยเสียงดังและไม่อนุญาตให้สูบบุรี่ ถ่ายรูปและวิดีโอใด ๆ ก่อนเข้ามีเจ้าหน้าที่ตรวจการแต่งกายและตรวจกระเป๋า และต้องเดินไปตามทางเดินอย่างมีระเบียบ สุสานโฮจิมินห์จะปิดในฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลานาน 2 เดือน (ช่วงเดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน เพื่อนำศพลุงโฮไปทำความสะอาดและเปลี่ยนน้ำยาที่รัสเซียครับ) ในการเยี่ยมชมไม่ได้ถ่ายรูปมาเนื่องจากฝนตก โดยไกด์จะพาชมอีกครั้งในวันที่ผมเดินทางกลับประเทศไทย
หลังจากที่ผมเคารพสุสานท่านเรียบร้อยแล้ว ผมเดินทางไปที่จังหวัด Lao Cai เพื่อไปเมือง Sapa โดยใช้เวลาเดินทางจาก Hanoi ด้วยรถบัสถึง Sapa ประมาณ 5 ชั่วโมง ซาปา ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้กับชายแดนจีน ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 350 กิโลเมตร อยู่ในเขตจังหวัดลาวไค สูง 1,650 เมตร ระหว่างทางผมก็หลับไปหลายตื่น ผมรู้สึกถึงอากาศเย็น ๆ จึงตื่นขึ้นเมื่อมองออกไปทางหน้าต่างก็พบว่าข้างนอกหน้าต่างหมอกสวยมาก ผมได้สอบถามกับไกด์ “ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนของเวียดนามครับ ?” ซึ่งไกด์ได้บอกกับผมว่าเราได้ถึง Sapa แล้วครับ ผมรู้สีกประทับใจที่นี่มากระหว่างทางหมอกก็ลงจัดจงมองไม่เห็นทาง และถนนของที่นี่ไม่ค่อยดีและขับแคบประกอบกับที่เป็นเทือกเขาสูงรถจึงทำให้รถเคลื่นตัวไปอย่างช้า ๆ โดยที่ Sapa จะปลูกต้นท้อ,ปลูกชา, กาแฟ, พืชผักผลไม้เมืองหนาว และทำนาขั้นบันไดเป็นต้น โดยที่เวียดนาม กาแฟเป็นสินค้าขึ้นชื่อ ผมคิดว่ามาเที่ยวภูเขาอากาศเย็น ๆ แบบนี้มันช่างหน้าจิบกาแฟชมวิวคงจะฟินไม่เบาครับ เนื่องจากวันนี้ที่เวียดนามมีการถ่ายทอดสดฟุตบอลรอบคัดเลือกของเวียดนาม อาจทำให้ใตัวเมืองรถติดเนื่องจากผู้คนออกมาเชียร์ฟุตบอล ไกด์จึงขอเปลี่ยนกิจกรรมเป็นพาไปชมน้ำตกสีเงินแทน Trip เยี่ยมชมหมู่บ้าน Cat Cat
น้ำตกสีเงินหรือคนเวียดนามเรียกว่า น้ำตก Thac Bac ซึ่งเป็นน้ำตกที่ไหลมาจากเทือกเขาสูง อยู่บริเวณริมถนนมีความสูงกว่า 100 เมตร ไหลลัดเลาะลงมาจากหน้าผาหินลงมา ระหว่างผมเดินไปทางขึ้นน้ำตก จะมีชนพื้นเมืองของที่นี่ขายของริมถนนโดยสินค้าจะเป็น ผักผลไม้, สมุนไพร, เครื่องเงิน เป็นต้น
โดยทางขึ้นน้ำตกจะเป็นบันได ให้เราเดินขึ้นไปชมน้ำตกซึ่งเป็นทางเดินทางขึ้นทางเดียวส่วนทางลงจะต้องเดินขึ้นไปให้สุดจะมีสะพานข้ามตกเมื่อเราเดินผ่านไปจะพบทางลง
ผมเดินลงมาถึงด้านล่างเพื่อขึ้นรถบัสเดินทางกลับที่พักของคืนนี้ซึ๋งอยู่ห่างจากน้ำตกสีเงินไม่ไกล โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
หลังจากเดินทางออกจากน้ำตกสีเงินได้ซักผมก็ถึงตัวเมืองของ Sapa และกำลังเดินทางกลับที่พักโดยวันนี้ผมพักที่โรงแรม Sapa Charm Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่สร้างบนภูเขา โดยโรงแรมมีทั้งหมด 12 ชั้นใช้เวลาไม่นานผมก็ถึงโรงแรม ผมทำการ check in เข้าพักจากนั้นผมก็ได้ key card เพื่อเข้าห้องพักห้องของโรงแรมนี้สวยมากดูเรียบ ๆ และให้ความรู้ปลอดโปร่งไม่อึดอักเหมือนโรงแรมที่เข้าพักที่ Hanoi และรู้สึกผ่อนคลาย และอากาศของที่ Sapa ค่อนข้างเย็น ผมว่าอุณหภูมิห้องเย็นอยู่แล้วจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ จากนั้นผมเริ่มสำรวจบริเวณระเบียงห้องเมื่อเปิดประตูออกไปพบว่าด้านนอกระเบียงนั้นหมอกลงจัดมากแทบมองเห็นสิ่งปลูกสร้างหรือบ้านเรีอนที่อยู่ด้านได้เลยหลังจากนั้นผมก็ทำการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพื่อที่จะไปรับประทานมื้อเย็นที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ ผมสังเกตุว่าอาหารที่ผมรับประทานหลาย ๆ วันที่ผ่านจะเหมือน ๆ กันหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ไกด์ก็ปล่อยให้ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัย แต่เนื่องจากวันนี้หมอกลงจัดซึ่งทำให้เรามองไม่ค่อยเห็นประกอบกับผมมาถึงโรงแรมค่อนข้างค่ำแล้ว ผมจึงไม่ได้ออกไปเดินเล่นด้านนอก ผมเลือกไปนอนพักผ่อนเพื่อเก็บแรงไปทำกิจกรรมวันพรุ่งนี้ และวันนี้เราเองเดินทางมาไกลและเหนื่อยล้ากับการนั่งรถมาก ๆ ผมขอจบกิจกรรมของวันที่ 3 แต่เพียงเท่านี้ครับ Zzz
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 4 ที่ Sapa ผมตื่นเช้าและทานอาหารเรียบร้อย วันนี้ผมจะไปที่ Ham Rong Mountain ในช่วงเช้า
เนื่องจากเมื่อคืนหมอกลงจัดจึงทำให้ผมไม่ได้ออกไปสำรวจข้างนอก ก่อนที่เราจะไปที่ Ham Rong Mountain โดยเราจะเห็นถนนค่อนข้างทุรกันดารเนื่องจากการก่อสร้างโรงแรมบนภูเขา ถนนจะเป็นทางลาดชันและแคบมีรถเล็กรถใหญ่สัญจรตลอดเวลาโดยบ้านเรือนและร้านค้าของที่นี่จะนำธงชาติของเวียดนามมาแขวนไว้หน้าบ้านตลอดเส้นทาง หลังจากผมเดินเล่นอยู่ซักพักไกด์ก็พามารีบ Group ผมไปที่ Ham Rong Mountain ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ด้วยถนนที่เปียกแฉะจากหมอกลง และระหว่างที่เดินมีหมองลงตลอดเวลาจึงทำให้เราต้องระมัดระวังรถที่สวนไป-มา และระวังลื้นล้มหลังจากใช้เวลาเดินมาซักพักเราก็จะพบทางขึ้น Ham Rong Mountain ให้เราเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ ซึ่งบันไดค่อนข้างชัน ใช้เวลาเดินขึ้นไปไม่นานเราจะเจอช่องซื้อตั๋วของ Ham Rong Mountain ซึ่งไกด์บอกผมว่าราคา 70,000 VND หรือประมาณ 100 บาทไทย เมื่อซื้อตั้วเสร็จแล้วผมก็เดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ
ผมใช้เวลาเดินซักพักใหญ่ ๆ ก้ถึงส่วนดอกไม้ของ Ham Rong Mountain กว่าจะเดินมาถึงก็เล่นเอาจากหนาว ๆ เปลี่ยนเป็นร้อนได้เลย สำหรับ Ham Rong Mountain หากต้องการขึ้นมาร่างกายเราก็ต้องพร้อมในระดับหนึ่ง แต่ผมรับรองเลยว่าคุ้มค่าแน่นอนหากได้ขึ้นไปถึง โดยจุดแรกที่เรามาถึงจะเป็นจุดชมดอกไม้เมืองหนาวของซาปา ชมสวนดอกท้อHam Rong Mountain นอกจากจะมีสวนดอกไม้เหมืองหนาวของเวียดนามและสวนดอกท้อแล้วยังเป็นจุชมวิวเมืองซาปา ที่เห็นตัวเมืองแบบพาโนรามา เราจะสามารถมองเห็นเมืองแบบ 360 องศา แต่เราจะไปถึงจุดชมวิวได้นั้นก็ต้องออกแรงขานิดนึง เพื่อขึ้นบันได ตลอดทางที่ผมเดินขึ้นก็จะมีบางช่วงบางตอนที่มีหมอกพัดผ่านตลอดเวลาเมื่อเราเดินขึ้นมาจะเจอร้านกาแฟ ให้เราแวะซื้อเครื่องดื่มคลายความเหนื่อยและนั่งพักชมวิวหมอกและภูเขารอบ ๆ หลังจากที่เราพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว ผมก็เดินขึ้นบันไดไปจุดชมวิวที่เขาร่ำลือว่าเราจะสามรถมองเห็นเมือง Sapa ได้สุดลูกหูลูกตาแบบ 360 องศา โดยทางเดินจะเป็นบันไดที่เริ่มชันและทางเดินค่อนข้างแคบใช้เวลาไม่นานผมก็เดินถึง จุดชมวิวที่ว่าแต่ต้องแอบเสียดายนิด ๆ คือตอนผมไปถึงเป็นช่วงเวลาที่ฟ้าปิดจึงทำให้กล้องผมโฟกัสได้แต่ฉากขาว ๆ ของหมอกจึงทำให้เราไม่สามรถมองเห็นวิวของเมืองได้เลยหลังจากผมยืนรอฟ้าเปิดอยู่พักใหญ่ ๆ ผมก็เดินกลับไปที่โรงแรมเพื่อรอรถตู้มารับไปชมหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต สาเหตุที่ต้องไปรถตู้นั้นเพราะว่าเส้นทางที่เราไปหมู่บ้านนั่นเล็กรถบัสไม่สามารถวิ่งได้ โดยแบ่งเป็นรถตู้ 2 คันซึ่งผมได้ขึ้นคันแรกจึงมาถึงก่อน รถตู้มาส่งผมที่ร้านกาแฟร้านนึงเพื่อรอคนอื่น ๆ ที่มาคันที่ 2 มาถึงระหว่างรอผมก็เดินสำรวจรอบ ๆ ซึ่งหมอกลงหนามากจึงทำให้เรามองไปเห็นด้านล่างเมื่อทุกคนมาถีงแล้ว เราก็เดินเป็นไปหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต โดยระหว่างทางที่เราเดินไปนั้นชาวบ้านก็จะนำสินค้ามาขายตามทาง ส่วนใหญ่จะเสื้อผ้าสิ่งทอต่าง ๆ คล้าย ๆ กับทางเหนือของบ้านเราผมแวะร้านกาแฟร้านนึงระหว่างทางลงไปหมู่บ้าน ผมจึงเดินเข้าไปนั่งและสั่งกาแฟกิน โดยภายในจะตกแต่งด้วยต้นไม้ต่าง ๆ จัดอยู่ในกระถางเล็ก ๆ จัดวางได้อย่างลงตัวถ่ามกลางธรรมชาติและหมอก โดยร้านนั้นมี 2 ชั้นซึ่งชั้นที่ 2 จะเป็นแบบ outdoor ซึ่งจะมองวิวของหมู่บ้านจากมุมสูงได้แต่เนื่องจากหมอกลงหนามากจึงทำให้มองไม่เห็น ระหว่างรอกาแฟมาเสริฟ์ผมก็สำรวจรอบ ๆ ร้านไม่นาน กาแฟที่ผมสั่งไปก็มาเสิรฟืที่โต๊ะ โดยกาแฟที่ผมสั่งไปคือ Egg Coffee ซึ่งเป็นกาแฟร้อนใส่ไข่แดงโดยแบ่งเป็น 3 Layer โดยชั้นที่ 1 เป็นนม ชั้นที่ 2 เป็นกาแฟและชั้นที่ 3 เป็นไข่แดง ซึ่งรสชาตินุ่มลึกและแทรกด้วยความหวานมันของนมและไข่กาแฟมีกลิ่มหอม ส่วนคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็เดินลงไปชมหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตกัน ซึ่งตัวผมนั้นไม่ได้ลงไปเนื่องจากผมไม่อยากปล่อยให้คุณแม่ที่เดินทางมาด้วยกันนั่งรออยู่ที่นี่คนเดียว ต้องขออภัยทุกท่านที่เข้ามาอ่าน หากครั้งต่อไปผมมีโอกาสได้ไป Sapa อีกครั้งจะกลับมาทำเรื่องหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตนะครับระหว่างผมรอ Group ประมาณ 1 ชั่วโมงไกด์ก้มาเรียกทุกคนกลับไปที่ร้านกาแฟร้านแรกที่เรามาถึงเพื่อรอรถตู้เพื่อเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวัน
ระหว่างรอรถตู้มารับผมก็เจอสุนัข ซึ่งหลาย ๆ คนเข้าใจกันว่าเวียดนามนั้นนิยมทานเนื้อสุนัขซึ่งเป็นความจริงครับ แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่เลิกทานไปบ้างแล้วและมีทานเป็นบางพื้นที่เนื่องจาก เนื้อสุนัขนั้นมีราคาแพงกว่า เนื้อ วัว, หมู, ไก่ ฯลฯ โดยผมเองก็มีโอกาสได้สอบถามกับไกด์ว่า "ทำไมคนเวียดนามจึงทานเนื้อสุนัข ? " ซึ่งสาเหตุที่คนเวียดนามทานเนื้อสุนัขนั้นมาจากเวียดนามในสมัยก่อนนั้นอยู่ในสภาวะสงครามทำให้ขาดแคลนอาหาร จึงทำให้ไม่สามารถเลือกได้ มีอะไรทีพอต่อชีวิตได้ก็ต้องทาน ซึ่งคนเวียดนามมองว่านอกจากสุนัขจะเลี้ยงไว้เฝ้าและทรัพย์สินแล้วสุนัชยังเป็นสมาชิกในครอบครัวและยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ผมรอรถตู้ซักพักนึงรถตู้ก็มาถึงนั่งอยู่บนรถประมาณ 30 นาทีผมก็ถึงร้านที่ทางทัวร์จองไว้ให้เป็นร้านที่สร้างจากไม้บริเวณร้านนั้นจะประดับประดาไปด้วยพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ประกอบกับมีหมอกจาง ๆ
หลังจากผมทานอาหารเสร็จเข้าห้องและทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยเพราะหลังจากนี้เราจะเดินทางกลับฮานอยยาว ๆ และใช้เวลาอยู่บนรถหลายชั่วโมง จากนั้นเราก็เดินออกจากร้านเพื่อไปขึ้นรถบัสกลับ ซึ่งจุดที่รถบัสมารับเราคือโบสถ์คริสต์ชื่อว่า Holy Rosary Church Or the Stone Church (ชื่อยาวมาก) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซาปา ช่วงกลางวันสามารถเข้าไปดูภายในโบสถ์ได้ ช่วงกลางคืนมีการเปิดไฟหลากสีสวยงาม บริเวณด้านหน้ามีลานกว้างที่คนท้องถิ่นนิยมมาทำกิจกรรมกัน ซึ่งเมื่อคืนเค้าถ่ายถอดสดฟุตบอลรอบคัดเรื่องที่ทีมฟุตบอลของเวียดนามลงแข่งซึ่งมีคนไปเชียร์เยอะมาก ระหว่างรอรถหมอกก็เริ่มลงหนา โดยภาพที่ผมมองเห็นต่อหน้าค่อยโดนหมอกบนบังจนมองไม่เห็นไม่นานนักรถบัสก็มารับเราผมนั่งบนรถบัสอยู่หลายชั่วโมงนั่งมองข้างทาง โดยไกด์บอกว่าหากเราจะมาเที่ยว Sapa ช่วงเดือน สิงหาคม-ตุลาคม จะเป็นช่วงทีชาวบ้านจะทำนาขั้นบันไดและเก็บเกี่ยวพืชผักผลไม้เมืองหนาวกันและหมอกอาจจะไม่หนาเหมือนในเดือนมกราคมและเป็นช่วงที่ Sapa สวยที่สุด แต่ถือว่า Group ผมมาเที่ยวไม่เจอฝนหากเจอฝนโปรแกรมทัวร์อาจจะถูกปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกได้เนื่องจากเส้นทางของที่นี่อันตรายมาก ๆ หากฝนตกอาจทำให้รถลื่นตกหน้าผาได้เนื่องจากถนนบางช่วงไม่ได้ราดยาง ผ่านมาหลายชั่วโมงเราก็แวะปั๊มเพื่อเข้าห้องน้ำ โดยผมสังเกตุมีรถประจำทางที่เราสามารถนั่งจาก Hanoi ถึง Lao Cai ด้วยโดยส่วนตัวผมคิดว่าผมยังเที่ยวที่ Sapa ยังไม่จุใจครั้งนี้ถือว่าผมมาทดลองและหาข้อมูลหากครั้งเผื่อครั้งหน้าผมจะมาเอง หลังจากซักผมก็ถึงโรงแรมและรับประทานอาหารเย็น โรงแรมที่เข้าพักคืนนี้คือโรงแรม Delight Hotel Hanoi หรือโรงแรมเดิมที่ผมพักเมื่อวันที่ 2
เช้าวันที่ 5 ที่ Hanoi วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมอยู่เวียดนาม ซึ่งวันนี้เราจะเดินทางไป วัด Van Mieu หรือ วิหารวรรณกรรม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่ผมพักมากแน่เนื่องจากวันนี้เป็นวันจันทร์การจราจรในเมืองจะค้อนข้างติดจึงทำให้เราออกเดินทางแต่เช้า โดนรถบัสมารับผมที่โรงแรมประมาณ 07:30 เราเดินทางจากโรงแรมไม่นานก็ถึงวิหารวรรณกรรม
วัดวันเหมี่ยวหรือ วิหารวรรณกรรม เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในHanoi สร้างใน พ.ศ. 1613 สมัยพระเจ้าหลีแถงห์โตง (Ly Thanh Tong) อุทิศให้แด่ขงจื้อ วิหารนี้อยู่ติดกับกว็อกตื่อยาม (Quoc Tu Giam) เป็นโรงเรียนของพวกขุนนางและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม
หลังจากเดินชม วิหารวรรณกรรมเสร็จแล้วก็เดินทางไปสุสานท่านโฮจิมินห์เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์และบ้านของท่านโฮจิมินห์เราเดินทางจากวิหารวรรณกรรมไม่นานก็มาถึงสุสานท่านโฮจิมินห์ โดยพิพิธภัณฑ์จะอยู่ทางด้านหลังสุสานใันวันที่ 2 ที่ผมมาเคารพสุสานนั้นไม่ได้ถ่ายภาพเนื่องจากฝนตก ผมได้เข้าไปตึกรูปทรงสี่เหลี่ยมเพื่อเคารพศพซึ่งภายในตึกนั้นมีร่างของท่านโฮจิมินห์ถูกเก็บไว้ในโรงแก้ว
เมื่อเรามาถึงพิพิธภัณฑ์ต้องการซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมเสียก่อนซึ่งราคา 25,000 VND ซึ่งภายในจะมีบ้านพักท่านโฮจิมินห์ วิหารเสาเดียว ทำเนียบเหลือง
เมื่อเราจ่ายค่าเข้าชมเรียบร้อยแล้วจะพบ ทำเนียบเหลืองซึ่งไม่เปิดให้เราเข้าชม โดยทำเนียบเหลือง (Presidential Palace) : ซึ่งเคยเป็นที่ทำงานของคนมีอำนาจสูงสุดของอินโดจีน เป็นอาคารสีเหลืองที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1901 ปัจจุบันเป็นที่รับแขกเมืองที่สำคัญของเวียดนาม ผมก็เดินผ่านทำเนียมเหลืองเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ โดยข้างในจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่และมีต้นไม้ร่มรื่นแล้วเราก็จะพบโรงรถที่จัดแสดงรถยนต์ของท่านโฮจิมินห์ที่ใช้งานจริงในสมั้ยที่ยังมีชีวิตอยู่ผมเดินถัดไปจะเป็นสวนที่มีสระน้ำกว้างขนาดใหญ่รอบสระน้ำจะปลูกต้นไม้ เพื่อไปชมบ้านพักของท่านโฮจิมินห์บ้านของท่านโฮจิมินห์นั้นเป็นเรือนไม้ยกสูงโดยใต้ถุนบ้านและชั้น 2 ของบ้านจะจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เคยใช้งานจริง ๆ สมัยยังมีชีวิต ซึ่งท่านโฮจิมินห์ใช้เป็นที่อยู่อาศัยมาเป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 1954 - 1958 จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ใต้ถุนบ้านเล็ก ๆ หลังนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ ที่ท่านโฮจิมินห์ใช้เป็นที่ประชุม กับนายทหารคนสำคัญๆ วางแผนการรบกับทหารสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม ข้างบนบ้านเป็นห้องหนังสือและห้องนอนของท่านโฮจิมินห์ซึ่งอยู่อย่างเรียบง่าย
โดยทางขึ้นชั้น 2 นั้นทางเจ้าหน้าที่จะให้เราเดินเรียงแถวขึ้นลงช่องทางเดียวและมีเจ้าหน้าที่คอยยืนอยู่แต่ล่ะจุด จากนั้นเราก็เดินอ้อมสระน้ำไปยังวัดเสาเดี่ยวซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่มากนัก ระหว่างทางก็จะมีร้านขายน้ำหรือของที่ระลึกและห้องน้ำซึ่งเสียเงินโดยค่าเข้า 2,000 VND
หลังจากเดินถัดมาจากห้องน้ำไม่มากผมก็เจอวิหารเสาเดียวซึ่งศาลาไม้สีดำตัว ซึ่งศาลาจะสร้างเป็นศาลาหลังเดียวขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวอยู่กลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยมวัดแห่งนี้ วิหารเสาเดียวชาวเวียดนามเขาเรียกที่นี่ว่า “จั่วโมดโกด” ถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้แก่เจ้าแม่กวนอิม วัดนี้สร้างใน พ.ศ. 1592 ซ่อมแซมในพ.ศ.2465 ต่อมาถูกฝรั่งเศสเผาในปี พ.ศ. 2497 และได้รับการซ่อมแซมอีกครั้งใน พ.ศ. 2498 เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของโลกในดอกบัว
โดยมีผู้คนมากราไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิมที่ประดิษฐานอยู่ภายในศาลาเป็นปางแสดงอภินิหาร มี 10 กร
หลังจากไหว้ขอพรให้เดินทางกลับประเทศไทยถึงโดยสวัสดิภาพแล้ว ผมก็ไปนั่งรถบัสเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน และเดินทางไปสนามบิน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงสนามบิน Noi bai ตลอด 5 วันที่ผมอยู่ที่นี่มันทำให้ผมรู้ว่าเวียดนามยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ และผมคิดว่าผมจะกลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้งถ้าถามว่า 5 วันนี้ผมชอบที่ไหนที่สุด ผมชอบ Sapa มากที่สุดครับลองลงมาก็ อ่าว Halong Bay ผมหวังว่าทุกท่านที่ได้อ่านรีวิวของผมอาจจะเก็บเวียดนามไว้เป็นอีก 1 ประเทศที่น่าไปเที่ยว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประเทศไทยมากนักและค่าครองชีพนั้นไม่สูงมากนัก หากรีวิวของผมให้ข้อมูลท่านไม่เพียงพอหรือผิดประการใดผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยและเป็นกำลังใจให้มือใหม่หัดรีวิวอย่างผมด้วยนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านขอขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์
http://www.taraarryatravel.com
ฺBear Travel หมีมีเรื่องเล่า
วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.16 น.