สวัสดีครับ อ่า...เอาไงดีล่ะ จะต้องขนาดแนะนำตัวไหม ผมกานต์ครับ

มีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นตามหวังที่ตั้งไว้มาครับ เลยจะมาเล่าเรื่อง...เราประสบการณ์ที่ได้ประสบพบเจอมากับตัวเองให้ได้อ่าน และภาพถ่ายในมุมของผมครับ

ขอออกตัวก่อนเลย ว่ากระทู้นี้ไม่ใช่กระทูรีวิวนะครับ แต่ถ้าใครข้องใจ อยากรู้ อยากสอบถามอะไรก็ถามเข้ามาได้ครับ ผมทราบผมยินดีตอบครับผม

เวลาของทริปอยู่ระหว่าง 26 - 31 มีนาคม 2556 ครับ เดินทางคนเดียวโซโล่เดียวๆเลย เลยใช้คอนเซปว่า Walk alone นั่นแหละครับ

ผมไปเพื่ออยากรู้จักในสิ่งที่ผมชอบแต่ไม่รู้จัก(แบบจริงๆ) ไปค้นหาในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ 'Find the unknown me'

แล้วรวมกันออกมาเป็นทริปนี้แหละครับ "Walk alone find the unknown me in Japan."

สถานที่ที่ผมไป มี 2 จังหวัด คือ Osaka ฐานทัพหลักของทริป และ Kyoto ครับผม ดูน้อยใช่ไหม ผมเลือกไปในที่ๆสนใจสำหรับผมจริงๆนั่นแหละครับ

ซึ่งที่จริงก็ไม่น้อยนะ เดินขาลากเชียวล่ะ



เนื้อหาอาจไร้สาระไปบ้าง ไม่ค่อยจะเป็นปประโยชน์อะไร รูปอาจจะเยอะไปหน่อย ภาษาก็ไม่ทางการ ขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับผม

งั้น...เริ่มเลยแล้วกันเนอะ

-วันแรก-

March 26, 2016

1.03 PM

ผมนั่งอยู่ที่เกต หมายเลข 22 ของสนามบินดอนเมือง ผมเคยมาที่นี่ครั้งแรกก็พึ่งเมื่อวานนี้เอง ทุกอย่างใหม่หมดและผมต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ยังเหลือเวลาอีกมาก เพราะความตื่นตูมของผม (โปรดเรียกว่ารอบคอบ) เลยมารอเช็คอินตั้งแต่เคาน์เตอร์ยังไม่เปิดเลยด้วยซ้ำ ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านด่านต่างๆจนมาที่เกตเป็นที่เรียบร้อย ผมเปิดกล้องของไอโฟนถ่ายหน้าพาสปอร์ตที่มี บอร์ดดิ้ง พาส แนบอยู่ภายในเล่มไว้อัพโหลดโชว์ผู้คนในโซเชียล มีเดีย ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ทำ

นี่เป็นการขึ้นเครื่องครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรแล้วล่ะ เสียใจนิดหน่อยที่ไม่ได้นั่งริมหน้าต่าง บวกกับความเซ็งอีกไม่น้อย ที่จะต้องนั่งนิ่งๆอยู่กับที่ไปประมาณ 4 ชั่วโมง โดยที่เวลาปลายทางเร็วกว่าต้นทางไป 2 ชั่วโมง ( สิริ 6 ชั่วโมง ) ปลอบใจตัวเองไว้นะ อยากเที่ยวไกลก็ต้องอดทน ใหญ่ละอดเอา กับระยะเวลาแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก นั่งรถทัวร์จากอาเขตไปหล่มสักยังนานกว่าเลย, นั่งรถไฟจากหัวลำโพงไปเชียงใหม่ก็ยังนานกว่า..กว่า (เติมคำว่ากว่าไปอีกหลายๆครั้ง)



11.28 PM

ดีใจมากกก...ผ่าน ตม.ญี่ปุ่นมาได้แล้ว ได้เที่ยวแล้วโว้ยยย

ตอนนั้นมันทั้งดีใจทั้งโล่งใจที่ได้เข้าประเทศเขาอย่างเป็นเต็มตัวแล้ว ก่อนหน้านั้นลุ้นมากเลยแหละ จะโดนอะไรไหม ไอ้ที่เคยโดนใบสั่งจากพี่ตำรวจเมื่ออดีต แล้วยังไม่ได้ไปจ่ายค่าปรับนั้นจะเอามาเกี่ยวจนเป็นปัญหารึเปล่า(ไม่ใช่แระ) คนเยอะมาก เห็นหลายคนที่โดนเจ้าหน้าที่ ตม. ผลักไสไล่ส่งกลับมาก็ไม่น้อย ยิ่งดูยิ่งเสียวสันหลัง ถ้าเราโดนไล่กลับมาคงหน้าอายน่าดูคนเยอะแยะขนาดนี้ เอ.... เจ้าหน้าที่ช่องนั้นดุจัง คงต้องเลี่ยงช่องนั้นแล้ว เอ...ใบตม. เรากรอกถูกแล้วใช่ไหมน้อ? เอ... ตม.ช่องนั้นหน้าตาดีแฮะ เฮ้ย ไม่ใช่แล้ววว!! สังเกต เจ้าหน้าที่ไป ก้มดูใบตรวจคนเข้าเมืองไป จนถึงคิวเรา และก็ผ่านมาได้โดยที่ไม่โดนอะไรเลย เย้!!!

ปล. เจ้าหน้าที่คุมแถวที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองมีสายตาที่ดี และตาไวมาก ทั้งที่คนเยอะ แต่ลุงเจ้าหน้าที่แค่เดินผ่านผม ก็เห็นข้อผิดพลาดของผมได้อย่างง่ายดาย คือผมลืมเขียนหมายเลขเที่ยวบินในใบตรวจคนเข้าเมืองน่ะ ลุงเจ้าหน้าที่แกก็มาทัก มาช่วยบอกให้ ขอบคุณมากนะครับผม (ทำเอาประทับใจตั้งแต่ยังไม่เข้าประเทศเลยเชียว)


ข้าวกล่องจาก FamilyMart อาหารมื้อแรกในประเทศญี่ปุ่น


ที่หลับที่นอนคืนแรกในญี่ปุ่น



เอาล่ะ ผ่านมาได้แล้วก็อย่ามัวแต่ดีใจไป คืนนี้ต้องหาที่หลับที่นอนในสถานที่ที่ไม่เคยไปให้ได้ มันไม่ง่ายเลยนะเมื่อต้องแบกกระเป๋า backpacker กับกระเป๋ากล้องอีกใบไปด้วย (เจอแล้ว ข้อผิดพลาดแรก : ควรใช้กระเป๋าแบบมีล้อลาก เมื่อตัวเองยังมีกระเป๋ากล้องใบใหญ่มาด้วย ซึ่งมันหนักด้วยนะครับ เหมือนตัวเองเป็นพวกบ้าหอบฟาง เอาเลนส์นั่นเลนส์นี่ไป สุดท้ายก็ใช้ fix50 ตลอดเวย์ ที่เหลือก็เอาไว้แบกหามให้หนักๆเล่น )



ก่อนจะจับจองที่นอนอสำหรับคืนนี้ขอหาอะไรทานหน่อยแล้วกัน หิวมากเลยเหอะตอนนั้น ตัดสินใจทิ้งกระเป๋าตัวเบ้งไว้หน้า family mart ชั่วคราว ซึ่งจะให้เอาเข้าไปคงจะไปกวาดสินค้าเค้าลงไปกองกับพื้นเป็นแน่แท้ เสี่ยงให้มันอยู่หน้าร้านดีนี่แหละ น่าจะคุ้มกว่า (หนึ่งข้อเสียของการเที่ยวคนเดียว)

ครั้งแรกกับร้านค้าในญี่ปุ่น ขนมนมเนยล่อตาล่อใจมากมาย อยากกินไปหมด อยากเดินดูให้เพลินๆ แต่ก็กลัวกระเป๋าจะเหงาและหนีหายไป รีบหยิบรีบออกก่อนดีว่า ซึ่งก็ได้กล่องข้าวปั้น, น้ำส้ม Orangina และของหวานปิดท้ายมานิดหน่อย


เดินออกจากร้านมา ก็กลายเป็นวันที่ 27 ไปแล้ว ข้าวมื้อแรกที่ญี่ปุ่น กินตอนเที่ยงคืนรึนี่ ฮ่าๆ (หัวเราะอะไร?) ได้ข้าวแล้วก็หาที่นอนกันเถอะ ว่าแต่...ที่ไหนดีล่ะ ด้านหน้าห้องน้ำฝั่ง FamilyMart คนไทยจับจองที่นอนกันเยอะแล้ว อีกฝั่งแถวๆ Lawson ก็ไม่ต่างกัน เดินโฉบไปมาสักพัก สักพักที่ว่านี่คือไม่ไหวแล้ว กระเป๋าหนักบ่าฉิบ... ตัดสินในเดินไปด้านหน้า ที่ไม่มีคนไทยเลย มีแต่คนญี่ปุ่น เด็กวัยรุ่นประเทศเขา นั่งๆนอนๆกันอยู่ แต่ที่ว่างเยอะดี เป็นแถวยาวพอให้เรานอนได้สบาย

เอามันที่นี่แหละ พวกนาย...เราขอนอนด้วยคนนะ ฮาจิเมะมะชิเตะนะจ้ะ

ได้ที่หลับที่นอนแล้ว ก็แชทบอกทางบ้านกับเพื่อนหน่อยแล้วกันว่าปลอดภัยดี และได้เข้าประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว ตอนนั้นมัน.... อยาก จะ ร้องงง ดังๆ พูดให้ใครต่อใครได้รู้ทั่วกาน ด่าดาดาดัม จ่าดัม จ่าดัม ด่าด้า จ๊าด้า จ๊าด้า...

พอเห้ออออ - -“

กว่าจะได้กินข้าวก็ปาไปตี 2นิดๆ คิดไว้แล้วล่ะ ว่าคืนนี้อาจจะไม่ได้นอน ที่แบบนี้ เก้าอี้แบบนี้ ไฟสว่างแบบนี้ คนเยอะแบบนี้ ใครจะไปหลับลงกันวะ

ทานโทษนะฮะ หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนและหลับสนิทไปจน ตี 5 ครึ่งเลยเชียว zzZ


ตั๋วใบแรกในการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่น


ขึ้นรถไฟครั้งแรกในการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่น


แสงแรกของผมในดินแดนอาทิตย์อุทัย



ครั้งแรก

March 27, 2016

5.22 AM

วันนี้แหละ วันนี้จะได้ลงไปเหยียบผืนแผ่นดินญี่ปุ่นแล้ว เย้!! แต่ก่อนหน้านั้น

ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนเหอะนะ อดกลั้นมาตั้งแต่เมื่อคืนละ (ตอนนั้นไม่อยากจะลุกไปไหน เดียวจะกลายเป็น รุกเสียม้า คนละลุกละเฮ้ย)

เวลาล่วงมาจนเกือบจะ 6 โมงเช้า ผมกำลังยืนงงอยู่หน้าตู้ซื้อตั๋วรถไฟฟ้าที่สนามบิน กวาดตามองไปที่ป้ายขนาดใหญ่ด้านบน ที่มีเส้นสายสีต่างๆ ระโยงรยางค์กันอย่างสวยงาม แต่ตอนนั้นสิ่งเดียวที่ผมคิดคือ “กูจะทำไงดีวะเนี่ย?!!” ก็ไอ้เจ้านี่น่ะ ผมพึ่งเห็นครั้งแรกนะ -O- ใจเย็นเข้าไว้ๆ หันไปมองคนข้างๆ คนไทยรึเปล่าน้า หันไปอีกทาง เอะ...นั้นคนจีนนิ กำลังงงกันอยู่หรอ ดูเครียดๆนะ ดูน่าเป็นห่วงจัง (ห่วงตัวเองก่อนไหม???)

ดีที่ได้ทดลองขึ้น BTS มาก่อนหน้าจะมา 1 วัน ทำให้พอจะดูออกบ้าง กำลังคิดละสิ ผมอยู่ไปไหนมา ทำไมไม่เคยขึ้น BTS ผมเด็ก ตจว. นะครับนะคร้าบ นานนน...จะเข้ากรุงเทพทีนึง และครั้งแรกก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ ‘กดตู้ซื้อตั๋ว’ ที่จริงมันเป็นอะไรที่ง่ายนะ ก็แค่ใส่เงินลงไป - กดราคาของสถานีปลายทางที่ระบุไว้บนป้ายใหญ่นั้น แต่บางสถานีตู้ก็ต่างออกไปนิดหน่อย งงบ้างแต่ก็รอดมาได้



ครั้งแรกอีกครั้งที่ต้องเดินหาชานชลา ครั้งแรกอีกที่ต้องสังเกตป้ายและรถไฟ ลุ้นมากเลยตอนนั้นว่าจะขึ้นถูกหรือไม่ ใช่หรือเปล่า ดูชื่อขบวน ดูเวลาของรถไฟ บน google map เทียบกับป้ายที่ชานชลาอยู่อย่างนั้น จนตัดใจลุยเข้าไปนั่งอย่างอาจหาญ ตัวคนเดียวเว้ย ไม่ต้องรับผิดชอบใคร รับผิดชอบแค่ตัวเอง เสี่ยงแค่นี้ ไม่มีไรจะเสียอยู่อยู่แล้ว การเดินทางในญี่ปุ่นของข้า ได้เริ่มขึ้นแล้ว สู้เว้ย!

และก็ขึ้นมาถูกวะ ตอนนั้นความรู้สึกบอกแบบนั้น แต่จะผิดก็ช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้วิวข้างทางสวยมากเลยล่ะ พระอาทิตย์กำลังขึ้น ท้องฟ้าเป็นสีส้มอ่อน ตัดกับสีฟ้าเทาๆด้านบน ด้านล่างคือทะเลสีเข้มๆ หูยยย อยากจะหันไปทำตาโตๆ อ้าปากกว้างๆใส่คนข้างๆ ให้เขาได้รู้ว่าเราตื่นเต้นแค่ไหน แต่อังเอิญว่ามาคนเดียวอะนะ และคนข้างๆนี่ใครไม่รู้ ไม่รู้จักซะด้วยสิ เลยต้องเก็บอาการนั้นไว้ (ข้อเสียของการมาคนเดียวอีกแหละ) และใช้ตามองออกไป ใช้สมองเก็บรายละเอียด และใช้ใจจดจำความรู้สึกนั้นไว้ เพื่ออให้มันชัดเจนที่สุดเวลาที่กลับมานึกถึงในวันข้างหน้า ข้ามผ่านทะเลมาได้ก็เจอกับเมืองแรกของการเดินทาง พอรู้อยู่ว่านี่คือ Rinku Town เมืองที่ก่อนหน้านั้นคิดว่าจะมาขึ้นชิงช้าดูวิวสักหน่อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ขึ้น มันเอ็กซ์เปนซีฟมากแหละเธ้อออ...

ผมเอามือบีบแขนอีกข้างของตัวเองจนแน่น ให้แน่ใจว่ากำลังรู้สึกตัวอยู่ไม่ใช่ฝันไปกับภาพข้างหน้า บรรยากาศที่รถไฟแล่นผ่าน บ้านเรือน อาคาร ตึกรา แม่น้ำสายน้อยใหญ่ มันไม่ต่างจากที่เคยเห็นในหนังสือการ์ตูนเลย ตะลึงจริงๆ จะมีผิดหวังก็เพียงเล็กน้อย ที่ต้นซากุระข้างทางยังไม่ผลิดอกเบ่งบานเลย ช่างเถอะน่า การได้มาถึงนี่ นับว่าดีมากๆแล้ว

อาจเพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับความงดงาม ไม่นานรถไฟก็จอดเทียบท่าสถานี Nankai Namba ก้าวแรกที่เหยียบลงที่นี่น่ะหรอ ไม่ทันได้คิดอะไรหรอก คนเยอะมาก ดูเร่งรีบกันมาก แต่กลับไม่รู้สึกถึงความวุ่นวายเลยแฮะ ทึ่งมาก ทึ่งทึงทึ้งจริงๆ เดินไปทึ่งไป



ยามเช้า ณ สถานี Nankai Namba

No Plan

หลังจากเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ Locker ฝากกระเป๋าแบบหยอดเหรียญแล้ว ผมก็ใช้เวลาเดินหลงอยู่ใน Shinsaibashi และ Namba Walk มาร่วมชั่วโมงแล้วล่ะ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ถามร้านไหนก็ยังไม่ขาย ประเด็นหลักคือ หาสถานี Namba ไม่เจอครับ มารู้เอาทีหลังคือ แค่เดินลงบันไดจาก สถานี Nankai ไปไม่กี่ชั้นเท่านั้น อยากด่าตัวเองว่าโง่จริงๆ ซึ่งก็ด่าไปแล้วด้วย บ่ะ! ให้เดินขาลากอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็เฉียดไปเฉียดมานี่แหละ

‘ไปไหนดี?’ คือคำถามที่คิดระหว่างเดินเล่นไปเรื่อยแถวนัมบะ เมื่อต้องตัดสินใจจะไปที่ไหนเป็นที่แรก และคำถามนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นในทุกๆวันตลอดทริป แม้จะปริ้นท์แผนการเที่ยวที่วางแผนเอาไว้อย่างดีมาจากไทย แต่กลับไม่เคยหยิบขึ้นมาใช้สักครั้ง สิ่งที่ทำคือ คิดว่าจะไปไหน – เปิด google map หาวิธีเดินทาง – แล้วก็ไป แค่นี้แหละ

สายๆของวันอาทิตย์ที่อากาศค่อนไปทางหนาวเย็น ผลมาจากพายุที่เข้ามาอย่างเหนือความคาดหมาย และผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับผมคือ มันทำให้ซากุระบานช้าลงไปอีก เฮ้อออ... ทำใจแล้วลืมเรื่องนี้ไปก่อนเถอะ ลืมความเหนื่อย ลืมความเพลีย ลืมอะไรหลายๆอย่างไปก่อน เพื่อโฟกัสไปที่การขึ้นรถ เปลี่ยนสายรถ ต่อรถ เดินหาทางออกเพื่อให้ถึงที่หมายของเรา มันออกจะดูวุ่นวายใช่ไหมล่ะ แต่ผมกลับรู้สึกสนุกขึ้นมาซะงั้น คลำทางไปคนเดียว คาดเดาไปคนเดียว ตื่นเต้นอย่าบอกใครเชียว



และที่แรกที่ผมไปก็คือ ปราสาทโอซะกะ สถานที่ที่กว้างขวางอะไรขนาดนั้น เดินเอาจนเมื่อยขากันไปเลยทีเดียว จากที่เมื่อยอยู่แล้วก็ให้มันเมื่อยเข้าไปอีก เป็นไงเป็นกันได้มาถึงขนาดนี้แล้ว จงก้าวต่อไป เอาจริงๆ ตอนนั้นก็จมปลักอยู่กับความอ่อนล้าของขาทั้งสองข้างได้ไม่ลึกซึ้งหรอก จิตใจผมจดจ่ออยู่กับการหามุมถ่ายรูปมากกว่า ดอกซากุระที่มีให้เห็นแม้จะเพียงน้อยนิด สุนัขชิบะที่เจ้าของพามาเที่ยวเล่น นักวิ่งที่มีขาอันแข็งแกร่ง นก เป็ด ห่าน หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ที่กำลังลอยไปมาอยู่บนผิวน้ำรอบปราสาท เดิน Snap ไปเรื่อยๆอย่างบ้าคลั่ง เราจะต้องได้ภาพสวยๆเอาไว้ลง Instagram ให้ได้ ฮึ๊บบบ...



นักท่องเที่ยวเยอะมาก จะเยอะไปไหน ผมซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทมา แต่ก็ต้องยอมแพ้ให้กับคิวที่ยาวจนจะพ้นสวนของปราสาทอยู่แล้ว แม้จะเสียดายเงินที่ซื้อตั๋วไป แต่ก็ขอปลีกตัวไปซื้อซอฟต์ครีมมานั่งกินเล่นดีกว่า

เวลาผ่านไปช้าหรือเร็วแค่ไหนไม่รู้ ผมได้แต่เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปและเดินไปรอบๆ ปราสาท ทั้งสวนดอกไม้ ศาลเจ้า เดินไปเรื่อยๆ จนวนกลับมาที่ทางเข้าทางเดิมถึงรู้สึกตัวว่าผ่านมาถึงบ่ายสามโมงแล้ว กลับไปเอากระเป๋าแล้วตามหาโรงแรมเพื่อนเช็คอินดีกว่านะ ยังไม่รู้เลย ว่ามันอยู่ตรงไหน ตรงไหนสักที่ แถว Dotombori นี่แหละ หาไปเรื่อยๆ สนุกดีออก จะมัวตามแผนอยู่ทำไม



คืนฝนพรำ

ฟ้าหมดสิ้นซึ่งแสงสว่าง แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยแสงจากหลอดไฟตามตึกต่างๆ มันสวยนะ แต่ผมไม่ใช่สาย Cityscape นี่สิ เอาเป็นว่าถ่ายเท่าที่ได้แล้วกัน ตอนนี้ผมยืนอยู่บนสะพานที่เบื้องหน้าผมมีป้ายไฟนักวิ่งชื่อดัง Glico Man แห่ง Dotombori นั่นเอง หลังจากเช็คอินและนอนหลับเอาแรงไปช่วงเย็นแล้ว ก็เดินมาที่นี่โดยใช้เวลาเพียงแค่ 4 นาที ผู้คนมากมายอีกแล้ว อายก็อายนะ แต่จะไม่ให้เซลฟี่รูปตัวเองเก็บไว้คงเป็นความคิดที่ไม่ค่อยจะเข้าท่า ขอสักหน่อยก่อนที่จะพาตัวเองเข้าไปใน แหล่งชอปปิ้งชื่อดัง



Shinsaibashi ที่นี่มันเอาไว้ละลายทรัพย์ชัดๆ!! ขนาดผมไม่ใช่สาย Shopping แต่ก็เอาเงินมาหมดที่นี่ไม่ต่ำกว่า 30,000 เยน เลยแหละคร้าบบบ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับตัวเอง ให้ตายสิโรบิ้น ถ้าฉันเดินมาที่นี่ทุกคืน ฉันคงไม่มีเงินกลับบ้านเป็นแน่แท้ อาจเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาโดยไม่ส่งสัญญานใดๆด้วยรึเปล่านะ ที่ทำให้เราเผลอทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว (โทษฟ้าโทษฝนซะงั้น)



เวลาสี่ทุ่มกว่าๆ จำได้ว่าระหว่างเดินกลับโรงแรมคืนนั้น ฝนเกิดตกลงมาอีกรอบ เราเลยต้องยืนกินไทยากิ และทาโกะยากิระหว่างหลบฝนเฉอะแฉะเพียงคนเดียวในซอกประตูร้านอะไรซักอย่างที่ตอนนี้ปิดหนีฝนไปเรียบร้อยแล้ว บรยยากาศดูเหงาๆเนอะ ตัวคนเดียว ไม่มีใครรู้จัก ไม่รู้จักใคร ในที่ๆไกลจากบ้าน หลบฝนกิน Croissant นี่นะ... ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าชีวิตจะได้มาทำอะไรแบบนี้ มันคงจะสนุกนะถ้ามีใครมาด้วย มันคงจะอร่อยขึ้นถ้าได้กินขนมนี่พร้อมกันกับใครอีกสักคน

แต่ความรู้สึกตอนนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ....ก็ชอบนะ

ปล. หนวดปลาหมึกในทาโกยากิติดเหล็กจัดฟันแหละ ซอกตรงนี้เอาออกยากซะด้วย หนักใจขึ้นมาเลยนะเนี่ย (จะเอามาเล่าทำไม??)

Fushimi Inari Shrine

วันที่สอที่ญี่ปุ่น ผมลืมตาขึ้นในเช้าตรู่ของวันพร้อมใจที่การะหายการท่องเที่ยวอย่างท่วมท้น เมื่อคืนได้วางแผนไว้แล้ว ว่าวันนี้จะไปเมืองเก่านะ อยากไปเจ้าอ้วนตัวโปรด ไปตามหามุมฮิตมุมฮอตของญี่ปุ่น เคียวโตะ นั่นเองแหละครับ

การเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าที่ซับซ้อนได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อ Namba สถานีที่สนิทและคุ้นเค้ย(จากการหลงเป็นชั่วโมงๆ) ของเราไม่สามารถพาเราออกจากโอซะกะได้ เลยต้องหันไปซบสถานีใหญ่อย่าง Umeda แทน

เวลาชั่วโมงกว่าๆ ในรถไฟฟ้าประเภท Local ก็ถือว่าไม่นานเท่าไหร่ เพราะตื่นเต้นกับวิวข้างทางตลอด ตื่นเต้นกับบรรยากาศในรถไฟฟ้าด้วย ก็พาเราถึงที่หมายแรก ‘Fushimi Inari Shrine’ สิ่งแรกที่อยากจะบอกคือ คนเยอะมาก เยอะมาตั้งแต่ในรถไฟแล้วล่ะ ทั้งพี่จีน พี่เกาหลี พี่ไทยก็เจอบ้าง ไอ้ที่คาดหวังไว้ว่าจะได้รูปในมุมมหาชนแบบโปสการ์ดนั้น ลดลงไปฮวบๆเลย เอาน่ะ ได้มาก็ดีใจแล้ว!!

ผมพาตัวเองเดินไปช้าๆ ไหลตามไปกับฝูงชน เจอมุมดีก็ปลีกตัวออกมาถ่ายรูป ถ่ายเสร็จก็ไหลตามต่อ อะไรอยู่ตรงไหนไม่รู้หรอก แต่ก็หาได้ไม่ยากถ้านักท่องเที่ยวเยอะแบบนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ แค่ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่านั้นเอง (นั่นมันเลวร้ายมากเลยนะแก!!) แปลกใจอีกอย่างคือ คนที่ทึ่งกับศาลเจ้าจิ้งจอกนี้ก็เป็นคนญี่ปุ่นเยอะด้วยเหมือนกัน ยิ่งเดินขึ้นไปบนเขา เหล่าพี่จีนก็ยิ่งบางตา จะเห็นก็คนญี่ปุ่นที่พากันมาดื่มด่ำกับสถานที่จริงๆ เดินไปๆ เจอคู่รักจับมือกันเดินขึ้นบันไดบ้างแหละ บางคู่นี่อายุเยอะมากแล้วนะ ดูน่าจะไม่ต่ำกว่า 50 แต่กระหนุงกระหนิงกันซะน้ำตาลขมไปเลยล่ะ อิจฉาวุ้ยยย... มันเลยทำให้การเดินผ่านเขาเป็นลูกๆนี้ดูไม่เหนื่อยไปเลย อ่า...ที่จริงก็เหนื่อยนะแต่เพลินไง


ความเสี่ยวที่มากับฝน

หลังจากที่ชมศาลเจ้าเรียบร้อย จุดหมายต่อไปคือวัดน้ำใส ชื่อที่คนไทยเรียกจนจะเป็นชื่อทางการของวัดไปแล้ว ‘KIYOMIZU-DERA TEMPLE’ นั่นแหละครับ วัดที่มีเอกลักษณ์และความเชื่อน่าสนใจอย่างมาก ทำให้เป็นสถานที่นึงที่ผมไม่คิดจะพลาดจริงๆ แต่ก่อนจะไปถึงวัดก็เกิดดราม่าขึ้นซะงั้น เมื่อระหว่างทางที่เดินไปร่วม 1กิโลกว่าๆ ฝนเกิดตกลงมาอีกเป็นครั้งที่สอง (ครั้งแรกที่ศาลเจ้าฟุชิมิ) มันคงจะไม่มีอะไรมาก ถ้าตอนนั้นผมเลือกจะหลบอยู่ในร้านขายของฝากกับพี่จีนหนึ่งโขยง ไม่ตัดสินใจซื้อร่วม 1 คัน 300 เยน เดินออกมาเพียงลำพัง ซึ่งมันก็ถูกส่งต่อไปเป็น Caption ใน Instagram ว่า

“ในวันที่ฉันหลบฝนอยู่คนเดียว กางร่มบังลูกเห็บที่ตกลงมาอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีหม่นชวนให้บรรยากาศรอบกายดูเศร้าหมอง และไม่ไกลจากตัวฉันนั้น มีคู่รักถือร่มเคียงข้างกันอย่างแนบชิดให้อิจฉา ทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยให้ฉันรู้สึกเหงาได้เป็นอย่างดี แต่เธอรู้ไหม... การที่ไม่มีเธออยู่ตรงนี้ มันทำให้ฉันโดดเดี่ยวยิ่งกว่าอะไรๆที่กล่าวมาเสียอีก ก็แค่คิดถึงเธอ ทำไมมันส่งผลต่อจิตใจได้ถึงเพียงนี้”

...ก็นั่นแหละฮะ ท่านผู้ชม เสี่ยวบรมไหมละฮะ



Totoro ที่รัก

ผมไม่รู้ว่าจะบรรยายหรือบอกถึงบรรยากาศภายในวัดน้ำใสอย่างไรดี เอาเป็นว่าวัดสวยจนน่าทึ่ง เดินถ่ายรูปเพลินจนออกมาจากวัดแบบไม่รู้ตัวแล้วกันครับ (ความจริงขี้เกียจแหละ)

แล้วก็มาถึงคิวของที่หมายสำคัญ จุดหมายปลายทางที่เขียนลงในแพลนแล้ว ผมจะเพิ่มเครื่องหมายดอกจันทร์* เข้าไปสักสามดอก ปรับเป็นตัวหนา เพิ่มปากกาไฮไลท์ ขีดเส้นใต้เอา...ว่าเธอไม่รักกกก... (อื้ม ชักไปกันใหญ่ - -“)

นั่นคือ... ジブリが いっぱい どんぐり共和国 ชื่อยาว ทำความเข้าใจยาก เอาเป็นว่าเรียก ร้านขายของ Studio Ghibli ละกัน ด้วยความที่เป็นติ่งเทพ totoro แล้ว จะพลาดที่นี่ได้อย่างยัย

เดินหาอยู่นานครับ ก่อนเจอรู้แค่ว่าอยู่ทางขึ้นวัดน้ำใส ผมก็เดินลงไปเรื่อยๆ ไม่เจอสักกะที คิดไว้แล้วถ้าเดินไปจนสุดแล้วไม่เจอจะเดินกลับขึ้นไปอีก เอาจนกว่ามันจะเจอ ที่ไหนได้...มาอยู่ซะตีนเขาเลย

หลังจากนั้นก็ฟินสิครับ ไม่ต้องสนอะไรแล้ว จะราคาสามพันเยน หกพันเยน ไม่สน ไม่ตีค่ากลับเป็นเงินบาทสักนิด ไอ้ที่ว่าเมื่อยขาๆ ตอนแรกนั้นลืมไปหมดเลย แฮร่....



เหมือนในการ์ตูน

ผมอ่านหนังสือการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก และฉากต่างๆ ภาพบรรยากาศมากมายภายในเรื่องมันได้ถูกซึมซับเข้ามาในหัว มันคือญี่ปุ่นในความคิดเราแหละ ไม่ว่าจะเป็น สนามเด็กเล่น ศาลเจ้า หรือจะเป็นริมแม่น้ำที่สะอาดและบรรยากาศดี รู้สึกอยากจะสัมผัสอะไรแบบนี้บ้างจัง อยากลองทำเหมือนในการ์ตูน ฉะนั้นแล้ว เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือน เราจะมัวแต่เก็บแหล่งท่องเที่ยวของต่างชาติไปทำไม ขอลองทำแบบคนญี่ปุ่นจริงๆบ้างสิ

ริมแม่น้ำ Kamo ไม่ไกลจาก Gion แหล่งท่องเที่ยวของต่างชาติเท่าไหร่นั้น ที่นี่เป็นสถานที่ที่นึงที่ตรึงใจผมอันดับต้นๆของทริปเลย ผมได้เดินเลียบแม่น้ำ ท่ามกลางคนญี่ปุ่นที่ดูปลดปล่อยจากทุกอย่าง พนักงานออฟฟิศที่นั่งลงบนพื้นหญ้าแล้วจิบเบียร์ไปเรื่อยๆ หนุ่มสาวนั่งหยอกล้อกันเบาๆ หรือเพื่อนนักเรียนที่เรียงแถวระบายเรื่องราวต่างๆให้กันฟัง แล้วใครจะอดใจไหวไม่ให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมแบบนี้กันล่ะ ผมปลดกระเป๋ากล้องแล้วนั่งลง กดชัตเตอร์เก็บภาพเอาไว้แล้วสักหน่อย ก่อนจะปล่อยตัวเองให้เข้าสู่โลกมังงะ เรื่อง... "ไอ้บ้าตัวคนเดียวนั่งงงในดงยุ่น" (อืมมม..เข้าท่าๆ) ไปจนแสงของพระอาทิตย์เริ่มอ่อนแล้วจึงเดินกลับไปขึ้นรถในอารมณ์สบายๆเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นเลย...



อาบน้ำรวม

ก่อนจะเริ่มทริป ผมได้ทำการจองโรงแรมไว้ 2 ที่ ที่แรกนั้น ห้องใหญ่เตียงใหญ่ ดูน่านอนสบายเชียวละ อยู่แถวอุเมะดะ ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใหญ่ๆด้วยนะ ง่ายมากเลย เวลาจะขึ้นรถขึ้นไปต่างจังหวัดทีนึง แต่สุดท้ายผมก็เลือกโรงแรมที่สอง ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เช่น ราคานั้นถูกกว่าตั้ง 1 เท่าตัว, ที่ตั้งของโรงแรมอยู่ที่ซอย Dotomburi เดินข้ามทางม้าลายครั้งเดียวก็เข้าแหล่งชอปปิ้งแล้ว ซึ่งก็ต้องแลกกับการตัดห้องน้ำส่วนตัวไป

ตั้งแต่เข้าค่ายลูกเสือปีสุดท้าย ก็ไม่ได้อาบน้ำรวมอีกเลย จนถึงทริปญี่ปุ่น โอ้โห ครั้งแรกที่เข้าไปโซนอาบน้ำ พูดไม่ออก ไม่กล้าอาบ นานาชาติมากมาย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ฝรั่งปนกันไปหมด ไม่พอ สตาฟรูปหล่อของโรงแรมจ่ะ ยืนมองตรวจความเรียบร้อยอย่างอกผายไหล่ผึ่ง แล้วมากกว่านั้น แม่บ้านสาวสวยญี่ปุ่น ก็เดินไปเดินมาอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรด้วย ความรู้สึกตอนนั้นคือ อายยยย! ไม่กล้าถอดชุดคลุมอาบน้ำ ทำได้เพียงเดินออกมาเงียบๆ ขึ้นเตียงนอน แล้วคิดว่า ดึกๆค่อยมาอาบ อืมม...ค่าเท่ากันครับ เอาว่ะ เขาไม่เห็นอายกันเลยที่จะเดินโทงเทงโชว์ถุงป๋องแป๋งกันชิลๆ เราจะกลัวอะไร จะหญิงจะชาย เขาก็คงชินแล้ว สุดท้าย เราก็โทงเทงในห้องน้ำนั่นอยู่ร่วม 5 วันแหละ



บนรถไฟฟ้า

คุณคงจะได้ยินเรื่องราวบนรถไฟฟ้ามาจากทุกรีวิวอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนญี่ปุ่นเวลาขึ้นรถไฟฟ้าจะเงียบมาก คนญี่ปุ่นไม่คุยโทรศัพท์บนรถไฟฟ้า แต่นั้นก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ตอนแรกผมคิดว่าการนั่งรถไฟในญี่ปุ่นคงเป็นอะไรที่เกร็งและเซ็งมาก แต่ป่าวเลย ผมกลับเพลินที่จะ(แอบ)ดูอริยบถของคนบนรถไฟฟ้าซะะอย่างนั้น

ในเมืองใหญ่ สถานีใหญ่ๆอย่าง Namba นั้น ถ้าคุณมาครั้งแรกอย่างผมแล้ว คุณจะพบกับความสุขุมของคนอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน นั่นรวมไปถึงในสถานีรถไฟฟ้าด้วย ทุกคนเดินสวนอย่างรวดเร็ว แต่กลับหลบหลีกกันอย่างช่ำชอง (ตอนผมเดินใหม่ๆ ผมเหมือนเป็นตัวเกะกะของคนเขาเลย แต่หลังๆผมพัฒนานะ เริ่มมีความเซียน) เวลานั่งในรถไฟก็นั่งนิ่งๆ เงียบๆ ราวกับร่างกายที่ไม่ได้เอาวิญญาณออกมาจากบ้านอย่างนั้น อยากจะโห้วววดังๆ แต่ก็ไม่มีใครรับฟัง เลยได้แต่อึ้งอยู่ในใจคนเดียว



แต่กับสถานีนอกเมืองอย่างเส้นทางที่พาผมไปสู่กรุงเก่าเแล้ว ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ผู้คนดูผ่อนคลายมากขึ้น พบคนช่วงอายุที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งคนสูงอายุที่ไม่ง้อที่นั่งบนรถ ผู้ใหญ่ที่มีรูปแบบการแต่งตัวอันน่าทึ่ง เด็กมัธยมปลายที่...อืมมม.... หรือเด็กมัธยมต้นกับหนังสือมังงะ สี่สีสดใสทั้งเล่ม(น่าจะทั้งเล่ม) อ่านแข่งกันจนสดเส้นทางของตัวเอง ส่วนที่ชอบที่สุดของผม คงจะเป็นการนั่งมองเด็กน้อยเล่นกันอยู่กับที่โดยที่ ไม่ลุกไม่วุ่นวายรบกวนคนอื่นเลย ชอบตรงที่เด็กรู้ตัวเอง ว่าเล่นเสียงดังเกินไปแล้ว ก็จะปรับลดลง ชอบมากก็ตรงที่เวลาแม่ถามอะไรไป

แล้วเด็กก็ตอบกลับว่า "はーい" ฮ่ายยยย เสียงเล็กๆ ลากยาวๆ ของเด็กมันน่ารักเพลินดีจริงๆ ซึ่งนั่นก็เลยทำให้เวลาการนั่งรถไฟ ที่แม้จะเป็นขบวน Local ก็ดูสั้นลงไปผิดหูผิดตาเลยละครับ



หว๊ายยยย เนื้อไกล้จะหมดแล้ว แต่รูปเหลือเพียบเลย



ทะเล

เพราะบ้านผมอยู่ภาคเหนือ เพราะบ้านผมมีแต่ป่าและเขา การไปญี่ปุ่นครั้งนี้เลยมีทะเลเป็นหนึ่งในแพลน ซึ่งมันก็ไม่ยากอะไรที่จะไปเลย แค่ออกจากสนามบินคันไซสิ่งแรกที่เจอก็คือทะเลแล้ว ผมเลือกที่จะแวะที่นี่เป็นที่สุดท้ายก่อนกลับบ้านด้วยความที่ใกล้สนามบินและ ไม่รู้จะไปไหนด้วยแหละมั้ง ไม่สิ ที่นี่อะตั้งใจจริงๆ

Rinku Town ที่แรกและที่สุดท้ายที่เราจะได้เห็นในญี่ปุ่น ถ้าเที่ยวโดยใช้สนามบินคันไซในการไป-กลับ ที่นี่ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีก็คือ Outlet ที่มีสินค้าแบรนด์เนมให้ชอปปิ้งมากมาย (จากการสังเกตของผมเจอคนจีนเยอะมาก คนไทย...ไม่เจอเลยสิ ส่วนน้อยมากจะมาที่นี่) แต่ผมเลือกที่นี่ไม่ใช่เพราะ Outlet ผมเลือกเพราะที่นี่มีชายหาด

แม้ว่าจะไม่ใช่หาดทรายที่ขาวนุ่มละเอียดเท้าให้เดินปลดปล่อยอารมณ์เล่นแบบหาดที่อื่นๆ แม้น้ำทะเลจะกลิ่นแรงมากเมื่อลมผัดผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความผ่อนคลายแต่อย่างใด พื้นหาดเป็นหินอ่อนสีขาว ดูแล้วก็สวยไปอีกแบบ น้ำทะเลก็ใสมากด้วย ผมนั่งมองคลื่นน้ำที่ซัดกระทบฝั่งสลับกับบรรยากาศรอบๆอย่างใกล้ชิด ความนิปปอนเกิดขึ้นอีกครั้ง ที่ตรงนี้ไกลจาก Outlet ไม่มาก แต่ปลอดนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างสิ้นเชิง (ยกเว้นก็เรานี่แหละ) ไม่มีเสียงล้งเล้งฉ้งเฉ้ง มีเพียงเสียงคลื่นที่กระทบฝั่งที่ดังบ้าง เบาบ้างสลับกันไป ด้านซ้ายผม มีกลุ่มวัยรุ่นมานั่งเล่น นั่งคุยกัน หัวเราะกันอย่างออกรส ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด ด้านขวาเป็นหญิงสาวสองคนมานั่งมองทะเลเพลินๆไม่ต่างจากผม ห่างออกไปไกลหน่อย หนุ่มซาลารี่แมนคนนึกนึกคึกอะไรไม่รู้ลงไปว่ายน้ำเล่นโดยมีเพื่อนสองคนยืนเชียร์อยู่บนฝั่งอย่างสนุกสนาน ผมนั่งไปเรื่อยๆ มองไปเรื่อยๆ แดดไม่แรงเท่าไหร่ มันทำให้รู้สึกสบายตาสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ที่บ้านเราจะหาที่แบบนี้เจอไหมเน้อ นึกแล้วก็นึกไม่ออก ผมชอบแบบนี้แหละ ผมชอบที่จะหนีนักท่องเที่ยว ทั้งที่ตัวเองก็เป็นนักท่องเที่ยว แต่ก็คงไม่แปลก ก็แค่... อยากอยู่แบบผ่อนคลายในสิ่งแวดล้อมแปลกใหม่ พักจากการเดินทางที่หนักหน่วงมาตลอด 4 วัน



Caution!

1. คิดจะสอยโมเดลจากตู้กาชาปอง คุณต้องกล้าลงทุน...อาจจะสูงหน่อย แล้วสุดท้ายคุณจะพบว่า ไปซื้อเอาเหอะ คุ้มกว่า - -"

2. ขึ้นเครื่อง แม้คุณจะไม่ได้เมาเครื่อง แต่ก็ควรพกยาดมติดตัวไป เพราะคุณไม่รู้หรอกว่า คนข้างๆคุณจะพกกลิ่นอะไรติดตัวมาให้ดอมดม

ไอ้ผมนี่โครตโชคร้ายเลย ขากลับได้นั่งกลาง ฝั่งซ้ายนั้นเป็นเด็กวัยรุ่นญี่ปุ่นกับกลิ่นเสื้อผ้าอับชื้นฉุนจนจมูกบอด จะหันไปฝั่งขวาก็โอโห้ กลิ่นผ้าเก่าที่เหมือนเอายัดไว้ไม่ได้ใช้มาสักสิบปี กว่าจะได้ทริคหลบเลี่ยงกลิ่นมา(จากเด็กยุ่นนั่นแหละ เหมือนจะเป็นนัยบอกว่า ยู...โกเมงนะ ยูทำแบบนี้ หลบกลิ่นได้พอประมาณ แล้วก็ทำให้ดู - -") ก็ทนไปกว่าสี่ชั่วโมง สุดท้ายก็รอดมาได้

3. ที่ Shinsaibashi ต่อให้คุณจะเป็นสายกิน สายเที่ยว สายประวัติศาสตร์, สายแลนด์ สเคป สายซิตี้ หรือสายพริตตี้ มาจากไหนก็ตาม เมื่อคุณเข้าอุโมงค์นี้คุณจะไม่เชื่อตัวเองเลย แท้จริงแล้ว คุณคือ “สายชอปปิ้ง” เชื่อสิ...ผมโดนมาแล้ว



ตอนแรกว่าจะแยกกระทู้ เพราะรูปยังเหลืออีกมากมาย แต่เอาไว้ก่อนแล้วกันครับ เนื้อหายังไม่พอด้วย ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันจนมาถึงตรงนี้นะครับ ขอบคุณมากๆครับผม



ความคิดเห็น