ฮัลโหลลลล...ชาว README ทุกๆท่าน กระทู้ขอเป็นรีวิวเป็นเดินทางไปเที่ยวคนเดียวจริงจังครั้งแรก ด้วยความที่เคยไปมาครั้งที่แล้ว เราเลยยังโอกาสได้รู้จักกับคนในพื้นที่บ้าง เลยได้ติดต่อขอเข้าพักบ้านที่เป็นโฮมสเตย์ พร้อมขอยืมมอเตอร์ไซค์ในการขี่รถไปไหนมาไหนได้ตลอด 555 ทริปนี้ทริปประหยัดไม่เน้นความหรูหรา กินไม่แพงอาหารตามสั่งพอ ทั้งทริแใช้เงินไม่ถึง 1,500 บาท การเดินทางครั้งนี้ขอรีวิวเป็นทั้งรูปถ่ายและวิดีโอ ซึ่งวิดีโอนั้นทำเสร็จตั้งแต่กลับมาแล้วละ สามารถไปดูได้ที่เพจเรา พูดกันมาซะยาวเยียดแล้วจะต้องเริ่มพาทุกคนออกเดินทางแล้วล่ะ ตำบลที่มีทะเลหมอกให้เราไปดูตั้ง 3 ที่ไม่ต้องไปเบียดกับใคร จะอยู่บนนั้นทั้งวันก็ได้ และขอฝากร้านด้วยนะ (ฝากเพจนั้นละ) เอาไว้มาชวนกันไปเที่ยวเผื่อใครว่างตรงกันที่เพจ ijuyyasostory กดเลย >> www.facebook.com/ijuyyasostory << แล้วมาทักทายกันน้าทุกคน


1.ทะเลหมอกผาหินแตก

เริ่มเดินทางจากกรุงเทพฯเดินทางด้วยรถทัวร์สมบัติทัวร์ ค่าตั๋วนั้น 581 บาท โดยรถทัวร์จะไปส่งเราถึง อ.สังคมเลยทันที เริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพฯเวลา 20.10 น. ขึ้นที่ศูนย์รถทัวร์สมบัติทัวร์วิภาวดี การเดินทางไป อ.สังคม นั้นมีรถทัวร์นอกจากสมบัติทัวร์อีก เช่น 407 ทัวร์ บุษราคัมทัวร์ ซึ่งนั่งได้จากหมอชิต 2 ไปถึง อ.สังคมเหมือนกัน เดินทางไปถึงเวลา 5.30 น. ถึงเวลาเริ่มออกเดินทางตามหาทะเลหมอกกันแล้ว ขอข้ามช่วงหาอะไรทานหลังลงรถ เพราะที่ อ.สังคม ตอนเช้าๆร้านค้าเปิดให้ทานได้ทันที

หลังจากที่ทานข้าวเสร็จเรียบร้อยพี่ตุ๋ยได้ขัยรถมารับเป็นที่เรียบร้อย ตอนนั้นเป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าได้ เราถามว่าพี่เราจะไปไหนดี พี่ตุ๋ยบอกว่าจะพาไปดูสถานที่อันซีน (แอบตกใจ สถานที่อันซีนที่ไหนเน้อ) พี่ตุ๋ยขับรถไปเรื่องๆซึ่งตัวเราเองจำไม่ได้หรอกว่าขับไปทางไหน ใช้เวลาขับรถประมาณ 20 นาทีได้อยู่ไม่ห่างจากตัว .สังคม ไม่มากนัก สถานที่เราจะไปนั่นคือผาหินแตก

ส่วนตัวนั้นเกิดมาไม่เคยไปดูทะเลหมอกที่ไหนเลย เคยแอบอ่านรีวิวจากสถานที่ต่างๆมากมาย เห็นนักท่องเที่ยวไปแย่งสถานที่ถ่ายรูป แยกพื้นที่ดูทะเลหมอกกัน แต่ที่นี่ไม่เลย ไม่มีนักท่องเที่ยวสักคน วันนนั้นเราและพี่ตุ๋ยเดินทางไปถึงเป็นกลุ่มแรก หลังจากนนั้นไม่นานมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาดูทะเลหมอกประมาณอีก 10 คน เป็นกลุ่มวัยรุ่น ในความรู้สึกของเราที่นี่เหมือนเราเป็นเจ้าของ ได้นั่งดูทะเลหมอกไกลสุดลูกตา ไม่ต้องแย่งพื้นที่กันถ่ายรูป (โอ้ยคือฟินมากๆ)


2. วัดผาตากเสื้อ

หลังจากเที่เรานั่งดูและถ่ายรูปกับทะเลหมอกเรียบร้อยแล้ว พี่ตุ๋ยมีแอบแซวว่ากลับกรุงเทพฯเลยไหม ได้ดูวิวหลักล้านแล้ว (เราแอบหัวเราะ) สถานที่ต่อไปพี่ตุ๋ยบอกจะพาไปไหว้พระ นั่นคือวัดผาตากเสื้อ จริงๆแล้วเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับวัดนี้นะ เพราะเป็นสถานที่ที่พี่ตุ๋ยพาไปเพิ่ม แต่ที่เด็ดคือวัดนี้มีที่ดูวิวแม่น้ำโขงถึง 3 ที่เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นถึงฝั่งประเทศลาว สวยมากเหมือนกันนะ


3.วัดภูเขาทอง

หลังจากที่เอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่บ้านพี่ตุ๋ยเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วขอนอนพักสักแปบเนื่องจากเหนื่อยมากับรถทัวร์ทั้งคืน พอถึงเวลาบ่ายสองกว่าๆถึงเวลาแล้วอาบน้ำแต่งตัวเสร็จไปไหวพระที่วัดภูเขาทองดีกว่าวัดนี้อยู่ในตัวหมู่บ้าน ขี่รถขึ้นเขาไม่ถึง 200 เมตร เท่านั้น ด้านบนวัดมีวิวที่สามารถมองเห็นทั้งหมู่บ้านและมองไปเห็นถึงฝั่งลาว

ไปไหว้พระที่วัดภูเขาทองครั้งนี้ได้เจอเพื่อนใหม่

ที่เป็นนักท่องเที่ยวจากขอนแก่นด้วย พวกเธอแอบแวะมาดูดวงที่วัดนี้


4.นั่งเรือแม่น้ำโขง

กิจกรรมอีกอย่างของที่ยี่คือการนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดิน การนั่งเรือนั่นสามาถขึ้นได้หลายที่ พี่ตุ๋ยเล่าว่าหากอยากนั่งเรือให้ไปขึ้นที่บ้านกำนันจะมีชุดชูชีพให้ด้ว ราคานั่งเรือนั้นคนละ 60 บาท แต่ด้วยความที่กำลังสนุกกับการขี่มอไซค์ไปเรื่อยๆ ทำให้เลยเวลานัดนั่งเรือตอนสี่โมงเย็น ระหว่างที่นั่งเล่นตรงจุดชมวิวแม่น้ำโขงเห็นชาวบ้านที่กำลังขับเรือเข้าท่าหลังจากเสร็จจากการหาปลา เราจึงเดินไปถามว่าสามารถพาไปนั่งเรือเล่นได้ไหม ลุงคนนี้บอกว่าได้ เรื่องราคานั้นแล้วแต่จะให้เลย ลองมาดูบรรยากาศเลยว่ามันดีแค่ไหน

หมดการเดินทางของวันแรกแล้วพรุ่งนี้เช้าเราจะไปดูทะเลหมอกกัน ที่ตำบลบ้านม่วงนี้ มีสถานที่ดูทะเลหมอกถึง 3 ที่ด้วยกัน (บ้าไปแล้ว) เมื่อ 4 ปีที่แล้วเคยไปภูอีสัน ตอนนั้นมาฤดูฝนต้องลุ้นว่าจะได้เจอไหม (สุปไม่ได้เจอ 555) เหลืออีก 2 ที่ยังไม่ได้ไปนั่นคือ ภูหนองและภูผาดัก สุดท้ายเลือกภูหนองเพราะเราสามารถนั่งรถไถขนาดเล้กขึ้นไปได้ แต่ภูผาดักต้องเดิน เลือกเอาสบายแล้วกัน (ฮ่าๆๆ)


5.ทะเลหมอกภูหนอง

อย่างที่ได้บอกมาแล้ว ตำบลบ้านม่วงมีสถานที่ให้ดูทะเลหมอกตั้ง 3 ที่ นั่นคือ ภูห้วยอีสัน ภูหนอง และภูภาดัก ทั้ง 3 สถานที่ดูทะเลหมอกตอนเช้าไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในตำบลเดียวกัน ส่วนตัวแล้วมีเวลาเที่ยวแค่ 2 วัน 1 คืนเลยเลือกทะเลหมอกภูหนองแล้วกัน ตอนที่ตื่นนอนนั้นตื่น 6 โมงเช้า มีรถมารับขึ้นภูตอน 7 โมง (น้ำท่าไม่อาบ อากาศเย็นเกิน 555) แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางไปดูทะเลหทอกกัน เย้ๆๆๆๆๆ

การเดินทางขึ้นภูสามารถเดินก็ได้หรือจะนั่งรถไถของชาวบ้านที่มีไว้คอยบริการ ค่าขึ้นภูหนองคนละ 60 บาทเท่านั้นไม่ต้องเดินให้เมื่อย เพราะทางขึ้นชันพอสมควร ถ้าเดินนี่มีเหงื่อเลยละ

พอไปถึงด้านบนตอนนั้นหมอกหนาพอสมควร ยังไม่สามารถมองเห็นทะเลหมอกได้เลย สถานที่ดูทะเลหมอกจะเหมือนอยู่บนสันเขา สามารถดูทะเลหมอกได้ทั้ง 2 ข้างทาง แต่ฝั่งที่อยู่ทางทิศตะวันออกหรือฝั่งหมู่บ้านทะเลหมอกจะหมดเร็ว เพราะเป็นทางที่พระอาทิตย์ขึ้น ส่วนอีกฝั่งทิศตะวันตกทะเลหมอกอยู่นานมาก

อยู่บนนั้นแล้วคนน้อยมีชาวบ้านไม่กี่คน เด็กที่อยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กเรียนจะจบมอหกแล้ว เล่าว่านี่คือครั้งแรกที่ขึ้นมาเห็น นักท่องเที่ยวที่มาจากที่อื่นก็มีแค่ไม่กี่คน เรียกได้ว่าทะเลหมอกที่นี่เหมือนเป็นของเราเลย จะถ่ายรูปที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องแย่งกันกับใคร

ได้เวลาลงจากภูหนองแล้วฮะ ไปเต็มพลังด้วยข้าวมื้อเช้ากันหน่อยและขอไปงีบสักพัก เพื่อจะได้มีแรงออกไปเที่ยวอีกสักที่หน่อย ลงมาถึงบ้านตุ๋ยตอนนั้นก็สิบโมงกว่าแล้ว ตอนนั้นทั้งหิวข้าวแล้วง่วงมากๆในเวลาเดียวกัน เลยออกไปทานข้าวกันก่อน ฝากมื้อเช้าที่ร้านอาหารตามสั่งร้านริมแม่น้ำโขง


6.ภูโล้น

ภูโล้นสถานที่สุดท้ายแล้วที่เราได้เดินทางไปเที่ยวครั้งนี้ ภูโล้นเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมในการไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดิน แต่ตอนที่ตัวเองขี่มอไซค์ขึ้นไปนั้นมันเป็นเวลาบ่ายสาม (ร้อนมาก 555) ทางขึ้นภูโล้นเราสามารถขี่มอไซค์หรือรถยนต์ขึ้นเขาได้เลย หรือจะจ้างชาวบ้านที่มีรถไถพาขึ้นไปส่งก็ได้

หมดแล้วการเดินทาง 2 วัน 1 คืนที่ ตำบลบ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย นอกจากทพเลอละสถานทที่ท่องเที่ยวอื่นๆที่ได้ยกตัวอย่างมานำเสนอนั้น ยังมีน้ำตกอีก และไร่ข้าวโพด สวนเงาะที่ไม่ได้ไปเที่ยว เนื่องจากอาจะสวยกว่าถ้าไปเที่ยวช่วงหน้าฝน ใครที่อยากไปเที่ยวทะเลหมอกอย่าลืมพลาดที่นี่ด้วย เพราะทั้งสวยและไม่ต้องแย่งกินแย่งเที่ยวกับคนอื่นๆ และหวังว่าการรีวิวนี้คงจะถูกใจทุกๆคนนะจ๊ะ



ความคิดเห็น