"คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว

จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม

จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป

ก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้

ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…..."


'คะน้าน้อย' สวัสดีค่าาา ^O^

ขอสวัสดีปีใหม่ไทยทุกคนด้วยนะคะ ผ่านเมษาฮาวายแล้ว เกียมเปียกจ่ะ...

อ่ะ! ไม่ได้เปียกฝนนะ...เปียกเหงื่อจ่ะ แฮร่!!

หลังจากห่างหายไปนาน จนไม่คิดว่าจะมีแรงกลับมาเขียนซะแล้ว เพราะภารกิจในชีวิตเยอะแยะไปหมด

แต่...รักก็คือรัก งานเขียน is my passion ยังไงก็ต้องกลับมาลั๊ลลาอยู่ดี คะรุคะริ~ >///<

กลับมาครานี้...คะน้าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนฮะ ^^ กลอนอู้กำเมืองเหนือมาขนาดนี้

ใช่แล้วจ้าาาา~ รอบนี้คะน้าจะพาทุกคนไปนั่งรถเพลินๆ กับ...


"Road-trip อุตรดิตถ์ ฟินถึง...น่าน"

ทริปนี้คะน้าเดินทางในวันที่ 29 ธ.ค. - 2 ม.ค. ทริปวันหยุดเทศกาลปีใหม่นั่นเองค่ะ

เฮ้ย!! Road-Trip เทศกาลเนี่ยนะ!! รถติดขนาดนี้ Countdown บนรถรึไง??

จ้าาา! นั่นคือ...ความมโนน้อยๆ ของคะน้าตอนที่ถูกชวนไป Road-Trip

แต่ทว่า...!!!

5 วันในการเดินทางนั้น...คะน้าถึงกับเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้...


"นี่เราอยู่บนถนนเส้นไหนของประเทศไทยคะ

เรามาทริปปีใหม่จริงรึเปล่า

ถนนโล่งขนาดนี้ อีกนิดนึงหนูจะเหงาแล้วนะ >_< "


เอาล่ะ! มาถึงตรงนี้คงคิดว่าคะน้าแกล้งอำเล่นอยู่แน่ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ~

เอางี้...คาดเข็มขัดให้พร้อมนะ แล้วไปฟินด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย!!


ในเช้าวันที่ 29 ธ.ค.61

สมาชิก Road-Trip ทั้งหมด 10 คนแรก ตื่นมาตาปรือๆ อรุณสวัสดิ์ให้กันเอง

ณ บ้านบางบาลฮาเฮ จ.พระนครศรีอยุธยา

ตลอดทั้งวัน...เราได้ทำการตรวจสภาพรถ ครั้งที่ 199

เพื่อให้พร้อมเดินทางไกล ก่อนจะเริ่มออกเดินทางกันในช่วงเย็นของวัน...



และนี่คือโฉมหน้าของ 3 แฝด Off-road 4WD แห่งอโยธยา...

รถหล่อขนาดนี้ คนขับจะหล่อขนาดไหนกัน...



Driver No.1 "เพ้นท์" หนุ่มน้อยนักแข่ง Off road มืออาชีพ

แข่งเก่งงงง แข่งจนบ้านไม่มีที่จะวางถ้วยรางวัล ตอนนี้ลามไปวางไว้ในห้องพระแล้ว

สำหรับทริปนี้นอกจากจะขับรถนำทีมแล้วนั้น

ยังเป็นตากล้องให้คะน้าอีกด้วย เอะอะเรียก "เพ้นท์ๆ ถ่ายรูปให้พี่หน่อยยย~" 5555



Driver No.2 "พี่อ๊อฟ" สายหวานสนั่นหวั่นไหว คู่มากับ "พี่ยุ้ยยุ้ย"

คะน้าที่เป็นตากล้องของทริป หันมาถ่ายรูปคู่นี้แต่ละที นึกว่ามาทริปพรีเวดดิ้ง



Driver No.3 "พี่โย" ควงคู่ภรรยาสายฮาร์ดคอร์มากับ "ขิมไหม"

คู่นี้สายโหด มัน ฮา 1 นาทีกัดกัน 3 เรื่อง...นาทีต่อมา...สวีตกันเฉ๊ยยย~



และนี่คือสมาชิกตัวน้อยที่สุดของทริปนี้ "ยี่หวา" ลูกสาวพ่อโยกับแม่ขิมไหม

เด็กอะไรเก่งเหลือเกิน นอนเต๊นท์ เดินขึ้นเขา อาบน้ำกลางลมหนาว ไม่งอแงสักแอะ ปรบมือรัววว!!~



พี่สาวคนโตของทริป "พี่ยุ้ยใหญ่" (จริงๆ ชื่อพี่ยุ้ยเฉยๆ แต่เดี๋ยวซ้ำกับพี่ยุ้ยยุ้ย 5555)

พี่ยุ้ยคือสุดยอดคุณแม่ ของน้องเพ้นท์นั่นเอง!



ต่อมา..."น้องพริ้ม" หลานสาวมาดเท่ของพี่ยุ้ยใหญ่

พูดน้อยสุด เน้นแจกรอยยิ้มกระจาย สายธรรมะธรรโม อรหังสัมมาสัมพุธโธตลอดทริป...เอ้า! กราบบบ




ส่วนคนนี้ ไม่มาไม่ได้ "พี่หนุ่ม" เจ้าพ่อรถสไลด์ แห่งอโยธยา

เป็นซุปเปอร์คุณพ่อของน้องเพ้นท์นั่นเอง เพลานี้มาเป็นผู้นำกองทัพในทริปนี้เลยจ้า



คนสวยนี่คือใครกัน...แอร๊ยยยย >///<

"คะน้าน้อย" สาวโสดวัยยี่สิบปลายๆ ที่เกาะล้ออาศัยเขามาด้วย

แลกกับน้ำพักน้ำแรงในการเป็นตากล้อง และพี่เลี้ยงของหนูยี่หวาในทริปนี้



และเมื่อเหล่าคุณพ่อบ้านตรวจสุขภาพรถกับเรียบร้อยแล้ว

พวกเราก็พร้อมออกเดินทางกัน ในช่วงเย็นของวันที่ 29 ค่ะ



ถนนที่เราเลือกขับคือเส้นเลี่ยงเมือง (ไม่ออกถนนสายเอเซียให้รถติด)

จากอยุธยา ผ่านอ่างทองสายใน ผ่านสิงบุรี ผ่านชัยนาท...

ขับตามกันไปเพลินๆ จนถึง จ.อุตรดิตถ์ ราวๆ เที่ยงคืน



อช.ลำน้ำน่าน

ประดุจนิทานในเรื่องซินเดอเรลล่า...ที่เที่ยงคืนปุ๊บ รองเท้าหลุดปั๊บ!

นี่ก็ไม่ต่างกัน ในเวลาเที่ยงคืนที่มาถึง หลังจากกางเต๊นท์กันเรียบร้อยแล้วที่บริเวณหน้า อช.

ทุกคนก็พร้อมใจกันเหวี่ยงรองเท้า แล้วพุ่งหลาวเข้าเต๊นท์ด้วยความไวแสงอย่างกะผีพุ่งใต้...

และ...หลับสนิทตลอดคืน




อรุณเบิกฟ้าราวๆ เจ็ดโมงเช้า อากาศเย็นกำลังสบาย เราตื่นล้างหน้าล้างตากัน

และเมื่อออกมาจากเต๊นท์ พบน้องหมา 3-4 ตัว เดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เต๊นท์

เลยจับเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยวสักหน่อย




เดินออกมาจากเต๊นท์ (ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าอช.เลยค่ะ)

เราก็จะเจอถนนเส้นหลักทางเข้าอุทยานฯ แต่พวกเราไม่ได้เข้านะคะ แค่มาแวะพักระหว่างทางเฉยๆ



ถัดจากถนนมาทางขวามือ เราจะเจอแผงขายปลาของลุงๆ ป้าๆ ค่ะ

ณ จุดๆ นี้เราเจอพริตตี้แผงปลาด้วยนะฮะ 5555555

โอ้ยยย! พี่ยุ้ยยุ้ย แค่มาซื้อปลา คือโพสเกินไปมากกกกกก



ทำไมแม่ค้าคนขวาหน้าคุ้นจังวะ 55555

คนนึงโพสเก่ง อีกคนซื้อเก่ง ซื้อไม่ว่าช่วยเขาชั่งกิโลด้วยจ่ะ

ปลาสดก็สดมาก ปลาตากแห้งก็น่ากินมาก มีขายทุกสปีชี่ส์ปลากันไปเลย

คุณป้าน่ารักมากนะคะ พูดเพราะ ใจดีด้วย



ด้วยความที่กลุ่มเราซื้อหลายรายการ ขิมไหมช่วงคุณป้าชั่งกิโล แต่มัดถุงไม่ทัน

อ่ะ! ในที่สุดก็มาถึงมือคะน้าจนได้ คะน้าน้อยหลานสาวอดีตเจ้าของร้านข้าวแกงตลาดเจ้าพรหม

แม่ทองหยิบ แห่งอโยธยา ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยท่ามัดยาง 88 เกลียวใน 3 วินาที วะฮ่ะฮ่าาา!!



หลังจากช้อปปิ้งปลา (ซึ่งแพลนไว้เป็นเสบียงในมือถัดไป) เรียบร้อยแล้ว

พวกเราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อค่ะ



อากาศดีมาก ไม่ร้อนให้หงุดหงิดเลยตลอดทริป รวมกับแอร์ในรถที่เย็นซะเหลือเกิน

ทำให้ทริปนี้ชิลมาก นั่งรถชมวิวก็จะเจอธรรมชาติป่าเขียวบ้าง ภูเขาบ้าง คูคลองบ้างสลับกันไป



ขับออกมากจากอุทยานฯ ได้สักพัก ท้องก็เริ่มร้องเรียกหามื้อเช้าโดยพร้อมเพรียงกัน

เลยตกลงกันว่า ถ้าเจอร้านไหนข้างทาง ก็แวะกันได้เลย



ในที่สุดดดด! เราก็เจอร้านอาหารตามสั่ง อยู่ข้างทางที่ไหนสักแห่ง 555555

เมื่อจับจองที่นั่งกันแล้ว นั่งพัก ยืดเส้นยืดสาย และถ่ายรูปเล่นระหว่างรออาหารกันไป



ระหว่างที่นั่งรออาหารที่สั่งอยู่นั้น พี่หนุ่มอดใจไม่ไหว ขอพักจับพวกมาลัย มาจับตะหลิวดูบ้าง

พ่อครัวใหญ่ของเราใช้เวลาไม่นานนัก มื้อเช้าของเราก็ถูกเสิร์ฟมาวางบนโต๊ะรัวๆ



ทาด๊าดาาา~ หน้าทานป่ะล่ะะะ

ฝีมือพ่อครัวใหญ่ และป้าเจ้าของร้านช่วยกันต้ม ผัด แกง ทอด มาจ่ะ

เมนูง่ายๆ แต่รสเลิศนะเออ ผัดกระเพราคือเมนูที่คะน้าลงรูปใน IG แล้วชาวต่างชาติมา Like เยอะตลอดๆ

ต้มเลือดหมู น้ำซุปร้อนๆ ในมื้อเช้าคือความฟินเล็กๆ ของท้องไส้มาก

ส่วนไข่เจียวนี่คือเบสิก เมนูไข่ขายดีเสมอ ยิ่งจังหวะแย่งกันจ้วง คืออร่อยเป็นพิเศษเลยจ่ะ



ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ สักคำให้ลึกซึ้งงงง~



หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อค่ะ 5555555 ผิดๆ!!

อันนี้พี่ยุ้ยยุ้ยอยากจะไปหาเครื่องดื่มพวกน้ำกระป๋อง กาแฟกระป๋องตบท้าย

ก็เลยขอยืมจักรยานสีแดงของพี่มอส (บอกอายุอีกละ) โดยมีนักซิ่งระดับโปรปั่นไปให้

ใช่ค่ะ! พี่ยุ้ยยุ้ยผู้ที่ยิ้มเกินเบอร์ตลอดเวลา...อารมณ์ดีตลอดทริปจริงๆ แม่คุณเอ้ย~



@ ด่านถาวรภูดู่

ต่อมา เรามาแวะกันที่นี่ค่ะ แวะมาเฉยๆ แวะมาแบบไม่มีแพลน แค่มาดูว่าที่นี่มีหน้าตายังไงนะ

ที่นี่เป็นด่านการค้าชายแดนถาวรสังกัดด่านศุลกากรทุ่งช้าง ด่านภูดู่ถือเป็นจุดผ่านแดนถาวรไทย-ลาว

แห่งที่ 3 ของประเทศไทยที่เชื่อมต่อกับแขวงไชยบุรี ประเทศลาว

เป็นจุดผ่านแดนถาวรแห่งแรกของจังหวัดอุตรดิตถ์ค่ะ

ในอดีตเส้นทางนี้ใช้คมนาคมระหว่างกรุงสุโขทัยกับอาณาจักรล้านช้าง

โดยการเดินทางได้ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่มีตัวอักษรจารึกไว้ว่า

"การเดินทางไปยังอาณาจักรล้านช้างต้องใช้เมืองสวางคบุรีเป็นทางผ่านในการขนส่งสินค้า

จากกรุงสุโขทัยไปยังล้านช้าง" ซึ่งจากคำจารึกนี้สามารถบอกได้ว่าอุตรดิตถ์นั้นเดิมเป็นทางเดินผ่าน

จากกรุงสุโขทัยไปยังล้านช้าง เมืองสวางคบุรีที่กล่าวถึง คือ เมืองที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์

มีหลักฐานบางอย่างกล่าวว่าเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรสุโขทัย

ชื่อของด่านภูดู่มาจากชื่อภูเขาที่กั้นเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศไทยและประเทศลาวชื่อว่า

"ภูเขาภูดู่" จึงนำมาใช้เป็นชื่อของด่านชายแดน และเปลี่ยนชื่อใหม่ในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ให้ใช้ชื่อด่านชายแดนนี้ว่า "ด่านสากลภูดู่" โดยจุดแข็งของด่านภูดู่คือการเชื่อมต่อการเดินทาง

และการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปนครหลวงเวียงจันทน์ และเมืองหลวงพระบาง

ประเทศลาวที่สั้นและสะดวกที่สุดของประเทศไทย // กราบขอบคุณวิกิพีเดีย มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

และในอนาคต ไม่น่าจะไกลเกินไปนัก คะน้าก็อยากจะผ่านชายแดนนี้ไปเที่ยวประเทศลาวค่ะ

ถ้ามีโอกาสจะไปให้ได้อย่างแน่นอน!!



น้องเพ้นท์ ตอนแรกจะไม่ยอมถ่าย เลยบังคับว่า "ไปยืนเดี๋ยวนี้"

เลยได้รูปนี้มาฮะ 555555 หน้าตาเต็มใจถ่ายสุดๆ แล้ว

คือจริงๆ ที่นี่ ในทุกวันศุกร์และวันเสาร์จะมีตลาดนัดแลกเปลี่ยนสินค้าชาวไทย และชาวลาว

(ขิมไหมได้กล่าวไว้) แต่พวกเรามาไม่ตรงวันก็เลยว่างเปล่า ทำได้แค่เดินถ่ายรูปเล่น



ในส่วนของคู่นี้...หันกล้องมาทีไร ท่าโพสแบบสวีตหวานราวกับจะแต่งกันวันนี้พรุ่งนี้ตลอดเลยจ่ะ

ตากล้องโสดๆ จะตาร้อนผ่าวหน่อย ก็กดๆ ชัดเตอร์ไปงั้นแหละ ให้จบๆ ไป // #หยอกๆ 5555



ภาพวาระการประชุมแห่งชาติ กำลังปรึกษากันว่า

เราจะข้ามไปลาวกันมั้ย ไปเมื่อไหร่ ยังไงดี...เราก็ได้คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ที่นี่ดีอยู่นะคะ

ระหว่างที่พวกเราอยู่ที่นี่ นักท่องเที่ยวก็แวะเวียนมาปะปรายอยู่บ้าง



ในระหว่างที่ทุกคนประชุมกันอยู่นั้น...คะน้าก็... // เจอหมาไม่ได้เล้ยยยย



พอเราได้ไอเดียในการหาทริปเที่ยวลาวกันพอสมควรแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อ...

สองข้างทางที่เราขับผ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงตอนนี้ เหงาจนไม่คิดว่านี่มาเที่ยวช่วงเทศกาลเลยจ่ะ

ถนนบางเส้น เราเจอพี่ๆ ทหารที่ตั้งด่านเป็นระยะๆ บางจุดพี่ๆ ยังทักว่า...

เพิ่งจะเคยเห็นนักท่องเที่ยวมาใช้ถนนเส้นนี้ ขับผ่านบางทีใบไม้ปลิดปลิวเลยจ่ะ

ถนนเหมือนไม่เคยมีคนใช้มาก่อน ทั้งๆ ที่ถนนทำดีมาก ชาวบ้านท้องถิ่นคงใช้กันสะดวกสบาย

บางทีขับไปแล้วเป็นชั่วโมงๆ เจอมอเตอร์ไซค์คุณป้าผ่านมาคันเดียวงี้...



@ ภูแลลาว

จริงๆ พิกัดที่เราแพลนจะไปคือ "อุทยานแห่งชาติแม่จริม" ซึ่งเราเดินทางมาตามถนนจากแยกบ่อเบี้ย

เข้ามาจนถึงสามแยกบ้านห้วยไฝ่ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1243 อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์

ขิมไหม ผู้เป็นเจ้าบ้าน (บ้านเกิดนาง) จู่ๆ ก็เอ่ยมาว่า "นี่ไงๆ ภูแลลาว ที่เขาเพิ่งเปิดใหม่"

ได้ยินดังนั้นก็นัดกันหยุดรถที่นี่ เพื่อลงไปชื่นชมความงดงามของที่นี่กัน



ภูแลลาว คือจุดชมวิวสองแผ่นดินระหว่าง ไทย กับ สปป.ลาว

สถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แห่งใหม่ ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่จริม จ.อุตรดิตถ์

ตั้งอยู่บริเวณเขตติดต่อระหว่าง หมู่บ้านห้วยไผ่ หมู่ที่ 2 ตำบลบ่อเบี้ย อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์

กับ เขตหมู่บ้านสาลี่ ตำบลน้ำมวบ อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน (น่านคือจุดหมายปลายทางของเรา)

ที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวมากางเต้นท์นอนได้ด้วยนะคะ อากาศเย็นและลมแรงมาก เพราะอยู่บนยอดเขา

เราสามารถมองเห็นบ้านเรือนในประเทศ สปป.ลาว ได้จากจุดวิวที่นี่แบบไกลลิบๆ แต่สวยงาม



นี่คือวิวทิวเขาและป่าเขียวขจีที่เรามองเห็นได้จากจุดชมวิวที่นี่ค่ะ สวยมาก ลมเย็นมากกกก



น้องเพ้นท์ถ่ายรูปนี้ให้ ขอบคุณที่ถ่ายแล้วพี่ไม่อ้วนนะลูกนะ 5555555

คะน้าผู้ไม่สนใจสิ่งใดๆ เมื่อได้อยู่ในหุบเขา และยิ่งมีกล้องด้วยแล้ว เพลินไปเลยจ่ะ

จะหืออือก็ต่อเมื่อมีคนเรียก หรือเรียกให้ไปถ่ายรูปให้นั่นแหละ // ทีมภูเขาน่าจะเข้าใจกันดีนะว่ามั้ย ^^



ตอนเราไป มีกลุ่มนักท่องเที่ยวพักแคมป์ด้วยนะคะ อากาศดีมากจริงๆ มีโอกาสจะไปนอนที่นี่บ้าง

จำได้ว่าตอนถ่ายรูปเล่น คือมือปากสั่นบ้างเหมือนกัน เพราะลมแรงมากกกก



ที่นี่บริเวณไม่ใหญ่นะคะ ถนนที่ตัดผ่าน ภูแลลาวจะอยู่ซ้ายมือ เราจอดรถที่ริมถนนแอบๆ หน่อย

เพราะถนนเส้นเล็ก จากนั้นก็เดินเท้าขึ้นมาอีกนิด เดินชิลๆ เหมือนป้าหลานคู่นี้เลยค่ะ

ก็มาถึงจุดชมวิวด้านบน และหรือลานกางเต๊นท์แล้วค่ะ



เหมือนกำลังถ่ายรูปให้แฝดสามอยู่อ่ะ เอาจริงๆ 555555

ทำไมต้องหน้าเหมือนกันเบอร์นี้ ตอนนี้เขาดีกันค่ะคุณผู้ชม ปกติ 1 นาทีตีกัน 3 เรื่อง // แซวเก่งงง ^^



3 ตัวพ่อสายซิ่ง พาเปรี้ยวตลอดทริป คนนึงดริฟต์เก่ง คนนึงหิวเก่ง อีกคนก็พาแซงเก่งงงง

// ไม่ Tag ชื่อให้เห็นเอง 555555 เดี๋ยวๆ นี่ไม่ใช่ Facebook



ก่อนจะออกเดินทางไปกันต่อ...ก็ถ่ายรูปธงที่มีสีสวยที่สุดในใจก่อน ^^ // เที่ยวไทยเท่



นี่คือที่มาของคำว่า "หนทางโรยด้วยกลีบดอกไม้" ที่แท้ // นี่มันใบไม้!!

โล่งและเงียบขนาดนี้ กลัวช้างป่า โผล่มามากเลยค่ะพี่ตา



มาจากบ่อเบี้ย เราก็มาเลี้ยวซ้ายที่นี่ค่ะ (ถ้าตรงไปจะไป สันนาเคียน แต่เราเลี้ยวซ้าย)

ที่นี่มีชุมชนเล็กๆ ท้องถิ่น มีร้านค้า ร้านของว่าง เราเลยแวะพักหาเครื่องดื่มและขนมทานเล่นกันก่อน



นี่คือบรรยากาศชุมชนกัน คะน้าเห็นชาวบ้านทักทายกัน เด็กเล็กๆ นั่งเล่นกันริมถนน

อบอุ่นและไม่วุ่นวาย เป็นกันเองมากๆ เลยค่ะ // ใช่จ้ะ! คาราวานจอดรถตรงโน้น แต่คะน้าวิ่งย้อนกลับ

เพื่อมาถ่ายรูปตรงทางแยก ถือกล้องไม่ได้ จะเรี่ยวแรงเยอะเป็นพิเศษ สนุกกกกก~



ในขณะที่คนอื่นๆ ซื้อลูกชิ้น น้ำ นม ขนม และอื่นๆ

คะน้าก็มายืนใจจดจ่ออยู่กับร้านนี้ ที่ไม่คิดว่าจะมีขายอ่ะ 5555 งงเลย

และราคาคือน่ารักมาก แค่ 10 บาทและไส้อย่างเยอะอ่ะ!!~



หลังจากผ่านชุมชนเมื่อครู่มาได้สักพัก เราก็ผ่านมาเจอจุดสกัดกั้นบ้านห้วยเลาค่ะ

พี่หนุ่ม พี่ใหญ่ของเราก็เลยชวนจอดรถ เพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่

(คุยเฉยๆ แบบถือโอกาสยืดเส้นยืดสายจากการขับรถ)

และคุยกันไปๆ มาๆ ก็กลัวว่าเจ้าหน้าที่จะได้กลิ่นตุๆ ของคนที่ไม่ได้อาบน้ำ

(จำได้มั้ยว่าตื่นนอนที่อช.ลำน้ำน่าน ก็ล้างหน้าไปซื้อปลากันเฉยๆ น้ำไม่อาบ เหม็นเฉ่าๆ อ่ะ 555555 )

พวกเราเลยขออนุญาตใช้ห้องอาบน้ำของเจ้าหน้าที่กันซะเลย น้ำเย็นตามฤดูกาล

แต่สะอาดและห้องน้ำก็โอเค เวียนผลัดกันอาบจนสบายตัว ก็มานั่งเล่นกันอีกพักใหญ่ๆ...



บ้างก็นั่งกิน...



และกิน...



เอารถบังคับมาวิ่งเล่นก็ย่อมได้!! // คนอะไรเอารถบังคับมาทริปเข้าป่า 55555 โอ้ยยย ยอมจ่ะ



และนี่คือพี่ไก่กุ๊กๆ ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำค่ะ มีสองตัว ยืนกันนิ่งเลยนะ ไม่ซนเลย ^^



จนนั่งเล่นกันอยู่ พี่เจ้าหน้าที่ก็ชวนไปดูมาสเตอร์พีซของที่นี่.

นั่นก็คือ...ป้ายหมู่บ้าน....ไม่ใช่!!!

หยอกจ่ะหยอก...นี่ต่างหากกกกก



แปลงผักออแกนิก ไร้สารพิษ

คือแบบสารพัดผักต่างๆ เจริญเติบโตแข่งกันเขียวอยู่ริมถนนตรงนั้นแหละ

พื้นที่แค่ไม่กี่ตารางเมตร แต่ก็ถือเป็นมุมที่น่าชื่นชมเอามากๆ เลยค่ะ ปลูกได้น่าทานมากอ่ะ



โอโหหห! ความใหญ่นี้ ก็ไม่รู้ว่า คะน้าจะได้กินผัก

หรือผักจะกินคะน้าก่อน แงงงง้~ กลัวล้าวววว >O<



เมื่อกล่าวลา ยกมือไหว้งามๆ ให้กับคุณลุงเจ้าหน้าที่ที่จุดสกัดแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อ...

สองข้างทางยังคงบรรยากาศสดชื่น เขียวบ้าง ผลัดใบบ้างสลับกันไป

อารมณ์เหมือนมา Private Road Trip อ่ะ โล่งไป๊!!


@ อช.แม่จริม

และนี่คือปลายทางของเราในวันนี้ค่ะ...

เราจะพักกางเต๊นท์นอนกันที่นี่ เพราะพี่ยุ้ยใหญ่ ผู้พิชิตทุกอุทยานแห่งชาติเป็นผู้เสนอชื่อเข้าชิง



ก่อนจะเข้าไป เราต้องจ่ายค่าเข้า เพื่อเป็นทุนในการปรับปรุง

ดูแลรักษาให้ อช.สวยงามตลอดไปกันก่อน



ได้ที่จอดรถแล้ว อยู่ตรงบริเวณลานกางเต๊นท์เลยค่ะ จอดแอบๆ ริมๆ หน่อย


จากนั้นเราก็เดินหาทำเลที่กางเต๊นท์เหมาะๆ ด้วย และมาได้ตรงนี้ ริมน้ำเลยค่ะ นักท่องเที่ยวไม่เยอะ

ไม่แออัด ห้องน้ำมีสองฝั่งซ้าย-ขวา ทำเลกางเต๊นท์ และที่จอดรถ จึงมีพื้นที่พอเหมาะ พอดีๆ แฮปปี้~



และระหว่างที่กางเต๊นท์ และทยอยหยิบยกอุปกรณ์ต่างๆ กันอยู่นั้น...

ผู้มาเยือนอีก 3 คนล่าสุดก็เดินทางตามมาถึง (จริงๆ เราโทรนัดกันตลอดทางค่ะ)

พี่กบ คุณพ่อเจ้าของอู่ซ่อมรถที่คิวซ่อมแน่นถึง 8 ปีหน้า // นั่นคิวซ่อมหรือจอดทิ้ง 55555

พี่ยุ้ยเล็ก ( ยุ้ยที่สามของทริป พี่หนุ่มถึงกับเอ่ยปากว่า งดรับสมาชิกชื่อยุ้ย เพราะยุ้ยเต็มแล้ว)

คุณแม่คนสวยของน้องอังเปา หนุ่มน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับน้องยี่หวา (บันเทิงกันล่ะคราวนี้)



กางเต๊นท์กันเรียบร้อยแล้ว เวลาประมาณสี่ห้าโมงเย็น ถึงตรงนี้ก็นั่งพักตามอัธยาศัย

หลังจากเดินทางมาไกลตลอดทั้งวัน คะน้ายังคงเดินถ่ายรูปเล่นอยู่



เมื่อเราอยากได้นายแบบ...แต่เราได้นางแบบมาแทน เราก็จะแบบ... =_=; หน่อยๆ อ่ะ 55555




ช่วงหัวค่ำ บรรดาพ่อบ้านทำหน้าที่เฝ้าเต๊นท์ ส่วนแม่บ้านก็ออกมาหาเสบียงที่ร้านค้าสวัสดิการณ์

ซึ่งต้องขับรถขึ้นเขามาจากลานกางเต๊นท์ประมาณ 5-10 นาที (ริมทางไม่มีไฟนะคะ ต้องขับระวังๆ)

พอมาถึงร้านค้าสวัสดิการณ์ จะมีลานจอดรถกว้างขวางเลยค่ะ




เมื่อมาถึงแล้ว เราก็สั่งอาหาร จากนั้นใกล้ๆ กันจะมีร้านขายของชำเล็กๆ อยู่ด้วย

พิเศษคือ พี่เขาแนะนำชุดใส่บาตรด้วยค่ะ เลือกซื้อตามใจชอบ

เพื่อพรุ่งนี้เช้า จะมีพระมาบิณฑบาทถึงหน้าเต๊นท์เลย!



ชุดใส่บาตร ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องดื่ม ปลากระป๋อง ครบเลยน้าาาา



ระหว่างรออาหาร...เราก็ลองกล้องมือถือที่พกกันมาทุกแบรนด์เรือธง

เพื่อมาดูว่าค่ายไหนชนะเลิศในการถ่ายกลางคืนแบบไม่มีจุดแสงสว่าง

สรุปคือ เบลอหมดค่ะ 5555555555555555 เราแข่งกันที่นอยส์เยอะสุด แงงง้ TOT



พอหอบหิ้วเสบียงและชุดใส่บาตรกลับมาถึงที่เต๊นท์

คุณพ่อบ้านกำลังทอดปลาที่ซื้อมาจาก อช.ลำน้ำน่าน จนกลิ่นคละคลุ้ง

คาดว่าเต๊นท์ข้างๆ ถ้าไม่เวียนหัว ก็คงหิวตามกันไปข้าง 5555555



ปลาทอดเสร็จแล้วจ้าาาา~

อ่ะๆๆ ลืมบอกไปว่า เรายืมถ้วยชามและช้อน มาจากห้องสวัสดิการณ์ด้วยค่ะ

ทานเสร็จแล้ว ค่อยล้างไปคืนพรุ่งนี้เช้า ^^

กับข้าวสั่งกันมารวมๆ ประมาณสี่ร้อยบาทกลมๆ แต่ปริมาณเยอะสุด แถมรสชาติอร่อยด้วยนะคะ

น้ำพริกกะปิคือดีมาก ต้มยำ ผัดผัก อร่อยหมดทุกอย่างเลย



อิ่มแล้วก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยสักพัก อากาศเริ่มเย็นลง แต่ไม่ถึงกับหนาวสั่น กำลังสบาย

ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน...



ก่อนนอนก็ไม่ลืมชาร์จแบตมือถือ ซึ่งมีปลั๊กให้เสียบอยู่ทุกหัวเสาไฟ (Ballard) เลยค่ะ ปิติมากกก



31 ธ.ค. 61

อรุณซาหวาดดดด!! ตื่นมาก็หิวเลย จะมีใครเล่าาาา!!

โผล่หัวออกจากเต๊นท์ ก็ควานหาของกินเลยค่ะ 555555 (เป็นแบบนี้ทุกทริป)

หน้าเต๊นท์ออกมาเจอแสงแดดอ่อนๆ ลมเย็นๆ และเสียงน้ำไหล ฟินเกินไปมากกกก~



ยอมกันซะที่ไหนล่ะ 55555 ถึงกับต้มโจ๊กเลยงี้



จ้าาาาา!! เป็นอะเมริคึ่นเบร็คฟึสต์ ที่หวานสุดในอุทยานฯ กันไปเลย // มองแรงมากแม่!!



อิ่มกับมื้อรองท้องแล้ว เราก็เดินเล่นนั่งเล่นกันระหว่างรอพระมาบิณฑบาตรค่ะ



ภาพบรรยากาศรวมๆ ที่เดินถ่ายมาเล่นๆ ในช่วงเช้าค่ะ น้ำใสน่าเล่นมาก คนก็ไม่เยอะ

แดดออกแต่ไม่ร้อน อากาศกำลังสบายๆ // No filter needed (เพราะขี้เกียจ)



รูปนี้คะน้าไม่ได้ถ่าย และคะน้าก็ไม่ได้ใส่บาตรด้วย แล้วคะน้าไปไหน!!

ไปอาบน้ำจ้าาาาา~~ คือพี่ๆ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า พระจะมา 7 โมงเช้า พวกเราเลยรีบตื่นมารอ

รอแล้วรอเล่าพระก็ยังไม่มา คะน้าเดินถ่ายรูปเล่นก็แล้ว กินก็แล้ว ยังคงไร้วี่แวว

คะน้าเลยว่าไปอาบน้ำแป็บนึงน่าจะทันแหละน่าาาา TOT ปรากฏว่าพอออกมา...

เงียบกันทั้งแคมป์ หายไปใส่บาตรกันหมดเลย // หร่องห้ายยยย~~



น้ำตกลงเล่นได้ด้วยนะคะ หรือจะถือโอกาสอาบน้ำแบบคู่นี้เลยก็เย็นสบายและง่ายดีเหมือนกัน

น้ำใสไหลเย็น แต่ไม่เห็นตัวปลา พอขึ้นมาก็แต่งตัวพร้อมออกเดินทางได้โลดดด!!



เมื่อทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ ลานกางเต๊นท์ได้กลับมาเป็นสนามหญ้าโล่งกว้างอีกครั้ง

เด็กๆ วิ่งกันสนั่นเลยจ่ะคราวนี้ ในภาพคือรองเท้ากัด นั่งแงะแผลกันบันเทิง เดือดร้อนอิแม่

ต้องไปหาแวะร้านซื้อรองเท้ากันใหม่ 55555 // เอ็นดูหลาน



เมื่อเราออกเดินทางกลับ ทางเจ้าหน้าที่แจกถุงผ้าให้คันรถละหนึ่งใบด้วยค่ะ ดูดีที่สุดเลยเว้ยแกรรร~



เมื่อพลขับของเราต้องการกาแฟ และข้างทางก็เหว่ว้า ใบไม้ปลิดปลิวมาตลอดทาง

จนกระทั่งเรามาเจอร้านนี้เมื่อพ้นโค้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ บนถนนสาย 1081 อ.ปัว จ.น่าน

ตบไฟเลี้ยวซ้ายเข้าจอดโดยพร้อมเพรียงกันเลยจ่ะ



ร้านนี้ตั้งอยู่บนเขาสูงประมาณนึง ทำให้เรามองเห็นวิวภูเขาไปได้ไกล ความเขียวสุดสายตา

กับอากาศที่เย็นตามฤดูกาล มันสดชื่นมากจริงๆ แต่ทว่าเพราะเดินทางไกล...ขอแว้บแป็บนึง...



แว้บมานี่... ปวดฉิ้งฉ่องงงงง!! 55555



โกโก้ มอคค่า คาปูชิโน่ ชาไทย สั่งกันรัวๆ จ่ะ



มีมุมเล็กๆ ขาย อะโวคาโด้สด หัวมัน และถั่วดาวอินคา ด้วยนะคะ

ตรงนี้คะน้าโฟกัสที่ถั่วดาวอินคา หรืออีกชื่อว่า ถั่วภูเขา ค่ะ เพราะเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

ถั่วนี้นำไปคั่วทานได้เหมือนถั่วอื่นๆ นำไปสกัดเป็นน้ำมันประกอบอาหารหรือน้ำมันนวด

หรือเป็นน้ำมันผสมในเครื่องสำอางค์ เช่น โลชั่น แชมพู ก็ย่อมได้

และสามารถแปรรูปเป็นแป้งถั่วทำขนมหวานได้ด้วยค่ะ สารพัดประโยชน์สุดๆ

แต่คิดว่าถ้าซื้อ คงซื้อไปคั่วโรยเกลือทานเล่นๆ นี่แหละ คงไม่ซื้อไปแปรรูป ยากไป๊!! 55555



ได้แล้วววว! คาปูชิโนแก้วแรกที่สดใสของวันนี้ // อารมณ์ดีสุด เพราะโหยหากลิ่นกาแฟมาก >///<




โบท็อกซ์ไม่ต้องจ่ะ แค่ดูดกาแฟที่คั่วจากเมล็ดกาแฟสดๆ ของที่นี่ แก้มก็วีเชฟได้

แถมด้วยความกระปรี้กระเปร่าจากความเข้มของกาแฟแท้

ทำให้ยิ้มแย้มแก้มแตกได้ทั้งวัน เหมือนคนในรูป



ยี่หวา : คือตัวอย่าง Before ก่อนกินกาแฟ // ยี่หวาลู๊กกกกก!

อังเปา : คือตัวอย่าง After ที่ดูสดชื่นอยู่คนเดียวก็ได้อ่ะ 555555



อยากจะนั่งกินกาแฟไป มองวิวแบบนี้ไปทุกๆ เช้า ชีวิตดีแท้ ^_^



อันนี้ไม่ได้ตั้งใจเดินมาเซลฟี่ด้วยหรอก

มันเดินมาทวงบล็อกทริปสิงคโปร์ที่เราไปด้วยกันสองคน เขียนไม่เสร็จสักที // Soon จ้า~




นั่งออมแรงกันอีกสักพัก ก่อนจะออกเดินทางกันต่อค่ะ



@ ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา

มาถึงน่าน ไม่แวะที่นี่ได้อย่างไร

ที่นี่ตามประวัติได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 จากการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร

ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

จัดเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และถ่ายทอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ

ให้แก่เด็ก เยาวชน เกษตร และประชาชนทั่วไป



เมื่อเข้ามาถึง ลานจอดรถจะอยู่บริเวณกลาง มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความสะดวก

มีร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ของภูฟ้าให้เลือกซื้อกันหลากหลายค่ะ



ไฮไลท์ของที่นี่น่าจะเป็นจุดนี้ค่ะ เป็นทางลาดตามแนวเขา ปลูกพืชพรรณต่างๆ แบบขั้นบันได

มีป้ายบอกชื่อ และคำอธิบายคร่าวๆ เพื่อให้ศึกษากันด้วยค่ะ ตรงระเบียงที่เห็น

คือคาเฟ่ต์ มีเครื่องดื่มและไอศกรีมจำหน่าย มีที่ให้นั่งทานและชมวิว (แต่ไม่มากนัก)



กินกาแฟมาแล้วก็จะอะเลิทๆ ประมาณนี้แหละ ถ่ายรูปไม่หยุด ทั้งกล้อง ทั้งมือถือ

เพราะที่นี่สวยมากจนอดไม่ได้ที่จะกดถ่ายรัวๆ ไปเลยค่ะ



เมื่อยืนถ่ายจากด้านบนจนพอใจแล้ว ลองเดินเล่นลงมาบ้าง เอาจริงๆ เดินเหนื่อยนะคะ

เพราะทางลาด มีขั้นบันไดก็จริง แต่ก็ต้องก้าวสูงและยาว แถมต้องเดินซ้ายที ขวาที กว่าจะทั่ว

ผลาญแคลดีเหลือเกินจ่ะ 5555 // ถ่ายเสร็จขอนั่งหอบแป็บ



และนี่คือถ่ายจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน วิวก็จะประมาณนี้



ก็ว่าหายไปไหนกันหมด...

คะน้าเดินตามชาวคณะมาตามทางเดินด้านใน ก็จะพบอาคารอยู่สองฝั่งค่ะ



ฝั่งนี้เหมือนอาคารห้องพัก เงียบกริบเลย ^_^;




เราเลยเลือกเลี้ยวเข้าอาคารทางขวามือแทน เพราะเห็นคนเข้าๆ ออกๆ

จนมาถึงแล้วพบว่าคือร้านค้าสวัสดิการ ที่ขายอาหารนั่นเองค่ะ มีติ่มซำ ส้มตำ เครื่องดื่ม

ที่ไหนมีของกิน ที่นั่นมีเราค่ะ 55555



แต่เพราะคะน้ายังไม่หิว เลยเดินลงมาอีกหน่อย

เจอกันสวนกาแฟ เลยถ่ายรูปเล่นไปเพลินๆ



ระหว่างที่รอพี่ๆ นั่งทานอะไรกันอยู่นั้น คะน้ากับขิมไหม ก็อยู่เฝ้าหลานสาวเดินเล่นไปพลางๆ



@ บ่อเกลือ

สถานีต่อมาจ้า มาถึงน่าน ก็ต้องแวะบ่อเกลือเนอะ เราจอดรถกันที่ลานวัดนี้ค่ะ เดินใกล้ดี



จอดรถเสร็จ เดินมาตามทาง จะพบร้านรวงมากมายสองข้างทาง

สินค้าส่วนมากเป็นสินค้าพื้นเมือง และผลิตภัณฑ์จากเกลือ

รวมถึงของกินต่างๆ ผลไม้ก็พอมีบ้างค่ะ



Check in กันแป็บนึง...



เดินผ่านตลาดในช่วงแรก เราจะเห็นฝายน้ำ มีธารน้ำไหล น้ำใสมากเลย



เดินเข้ามาอีกหน่อย จะเจอกับบ่อเกลือโบราณ เราผลัดกันถ่ายรูปเล่นสักพัก

พี่เสื้อแดงก็มาแสดงวิธีการตักเกลือให้ดูด้วยค่ะ // บ่อลึกมากจริงๆ แงงง้~



ยี่หวายังไม่ตื่น ส่วนอังเปาก็เริงร่าสุดฤทธิ์ไม่แคร์เพื่อน 555555



เดินต่อมาจะเจอสะพานข้ามฝายเป็นไม้ไผ่ เดินถ่ายรูปเล่นบนสะพานจะได้ภาพสวยๆ เยอะนะคะ

เพราะวิวฝายน้ำที่มีแสงแดดกระทบ หรือสีสันจากร้านค้าฝั่งตลาด

ทำให้ภาพสวยดี น่าจะถูกใจคนเล่นกล้องมากทีเดียว



ถ่ายจากบนสะพาน เมื่อเราเดินไปจนสุดทาง เราสามารถเดินกลับได้ที่ด้านล่างแบบนี้ค่ะ



วันนี้เป็นวันสิ้นปี...

เราเลยหาเกมสนุกๆ เล่นกันในคืนข้ามปี เลยเลือกเกมง่ายๆ คือจับสลากของขวัญ

พวกเราเลยเลือกที่จะหาซื้อของขวัญกันในตลาดบ่อเกลือกันเลย ในงบ 100 บาทต่อคนค่ะ




ระหว่างเดินดูหาของขวัญมาตามทาง หลายๆ ร้านจะขายไข่ต้มเกลือกันเยอะมาก

อดใจไม่ไหว อยากรู้ว่าเป็นยังไงก็เลยลองซื้อมาชิมดู สรุปคือตอนปอกเปลือก

เปลือกที่หุ้มเกลือหนาๆ ปอกง่ายมาก ร่อนติดมือออกมาเลย ส่วนเนื้อไข่ด้านในก็ปกติเหมือนไข่ต้มค่ะ

ไม่ได้เค็มเหมือนที่จินตนาการ แต่เพราะตอนเราปอกมือเราเปื้อนเกลือ ตอนจับเนื้อไข่ก็เลยเค็มๆ

และสงสัยจะเค็มอร่อย หลานสาวเลยขอเบิ้ลไป 2 ลูก // หวาจะเอาอีก : ยี่หวากล่าวหน้าตาฟินๆ



อันนี้หลานสาวเห็นครก วิ่งปรี่เข้าไปจับไม้ และร้องบอกให้แม่ขิมถ่ายรูปให้

ปกติเป็นเด็กถ่ายรูปยาก ครั้งนี้สงสัยจะถูกใจพี่ครกจริงๆ ถ่ายมาตั้งหลายรูปแน่ะ



อันนี้เจอตั้งแต่ทางเข้าตลาด แต่คะน้าไม่กล้ากิน กลัวไม่ถูกจริต แต่ขากลับ

น้องเพ้นท์อดใจไม่ไหวอยากจะลอง คะน้าขอชิมอันนึง... // เดี๋ยวนะ นึกคำบรรยายแป็บ

(ผ่านไปแล้ว 5 นาที...)

(...10 นาทีต่อมา)

เอา Texture ก่อนแล้วกัน นึกไปถึงมะดันอ่ะ ไม่ใช่รสชาตินะ แค่รูปลักษณ์

แต่อันนี้คือยาวกว่า จำได้ว่าแกนของมันกินไปได้เลย ไม่มีเม็ด ผิวเปลือกนอกสากๆ หน่อย

ส่วนรสชาติก็มีความเปรี้ยวจากการดอง ขมเฝื่อนๆ จากเปลือก

และเนื้อในเหมือนมะกอก มะดันดอกทั่วไปคืออมเปรี้ยวออกหวานปะแล่มๆ

รวมๆ คือไม่เปรี้ยวจนเข็ดฟัน มีขมตัด รสชาติแบบนี้เหมาะกับคนเมารถมากกว่าคนปกติ

// คหสต.



หลังจากงงๆ กับรสชาติของเขาควาย

หันมาอีกทีเจอภาพนี้ เกือบถ่ายไว้ไม่ทันแน่ะ // น่ารักดี : )



ก่อนกลับ...รถที่จอดอยู่หน้าวัด คะน้าเลยถือโอกาสเข้ามากราบพระ ขอพรให้เดินทางปลอดภัย

และเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสดใส ขอให้มีสติแก้ไขความทุกข์ต่างๆ ให้ผ่านไปเร็วๆ // กราบ



ออกมาบ่อเกลือตามทางได้สักพัก เราเจอร้านค้าขนาดใหญ่ เลยตกลงแวะกันซะหน่อย

โชคดีที่เป็นร้านค้ารวมทุกสิ่งอุปโภคบริโภค ขิมไหมเลยถือโอกาสซื้อรองเท้าใหม่ให้ยี่หวา

(จากที่รองเท้ากัดเมื่อเช้านี้) รวมไปถึงซื้อผักสด มะนาว น้ำปลา ไปยันผ้านวมยังมีขายเลยจ้า



ตอนนี้เรานั่งรอแม่ค้าไปหาเตาย่างปลาหมึกค่ะ พี่กบทุ่มทุนซื้อปลาหมึกอบแห้ง

แต่ต้องย่างไง เลยลงทุนซื้อเตาไปด้วยเลย // ยอมแล้วข่าาาาา~



@ อช.ขุนน่าน

เมื่อแวะซื้อของมาครบแล้ว คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ เมื่อเข้ามาแล้ว อช.ขุนน่าน มีที่ให้พักหลายมุมนะคะ

แต่พวกเราเลือกในหุบเขา คือเขาล้อมรอบ (ตามภาพ) เพื่อหวังจะกันลมหนาวได้บ้าง

เพราะที่นี่ดูเหมือนอากาศจะเย็นกว่าทุกอช.ที่เราไปแวะพักมาค่ะ



กางเต๊นท์เสร็จ ถือโอกาสนั่งพักแป็บนึง...




มาละจ้าาาา~ เตาย่างหมึกของพี่กบ ตะแกรงพร้อม

คนจุดเตาถ่านต้องสวยขนาดมั้ย 555555 คะน้าคือผู้ช่ำชองด้านการติดเตาถ่าน

หลังจากผ่านการฝึกฝนมาแล้วหลายทริป...



พี่โยกำลังทำยำปลากระป่อง และปลาทอดอย่างสุดฝีมือ



แถ่นทะดาแด่นแท่นแทนนน~

นี่คือ Dinner มื้อคืนข้ามปีของพวกเราค่ะ



คืนนี้ดาวเต็มฟ้าด้วยนะ และน้ำค้างก็แรงมากด้วย

ยิ่งมืดยิ่งหนาว ดาวจะเห็นชัดต้องเดินหลบแสงไฟสักหน่อยค่ะ

คะน้าที่ชอบนั่งดูดาว สมใจก็คืนนี้แหละ เพราะดาวเยอะที่สุดแล้ว ถ้านับจากคืนที่ผ่านๆ มา



หลังจากแยกย้ายกันไปอาบน้ำท้าลมหนาว เราก็มานั่งคุยกัน ก่อนจะเริ่มเล่นจับของขวัญ

ขำสุดคือพร๊อบที่พี่ยุ้ยยุ้ยเตรียมมาด้วย สมแล้วที่เป็นสายอุปกรณ์ 5555555

ของที่เราซื้อมาจับสลากจากบ่อเกลือไม่เกิน 100 บาท ก็มี ดอกเกลือขวด เกลือสปาขัดผิว

ผ้าพันคอมัดย้อม เสื้อยืด แลกของขวัญกันเสร็จ นั่งเม้ากันอีกสักพัก ก็ง่วงนอนตามๆ กันไป

อ่อ! ที่นี่มีจัดสวดมนต์ข้ามปีที่ลานกิจกรรมด้วยนะคะ // แต่ไม่ได้ไป >/\<



สวัสดีปีใหม่ค่าาาา~

ตื่นเช้าวันปีใหม่มาเจอกับหมอกหนาล้อมรอบเลยฮะ

อากาศเย็นจนหนาวกว่าทุกเช้าที่ผ่านมา...



เก็บข้าวของกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ถามทางเจ้าหน้าที่ขึ้นมาที่จุดชมวิว

เช้านี้หมอกหนามากๆ แต่เสียดายแสงแดดยังส่องไม่ถึง เลยออกจะอีมครึมไปสักหน่อย



ก่อนกลับเพื่อไปต่อ...

พี่หนุ่มขอภาพรวมที่ลานนับดาวเก็บเป็นที่ระทึกทริปปีใหม่กัน



กาดละอ่อน (ตลาดละอ่อน)

กาด ภาษาเหนือแปลว่า ตลาด เราบังเอิญเจอกาดละอ่อน ระหว่างทาง

ที่เราออกเดินทางกันมาสักพัก ที่นี่เป็นเพิงไม้ขายของเล็กๆ ที่มีเด็กน้อยเป็นพ่อค้าแม่ค้ากัน

เราไม่ลังเลเลยที่จะแวะเข้ามาเยี่ยมชมที่นี่กันสักนิด



ชุมชนเล็กๆ บนเขา มองไปไกลๆ เป็นวิวภูเขาเขียว มีทะเลหมอกอยู่ลิบๆ อากาศดีมากๆ เลยค่ะ



ถ้าเป็นการใช้ฟืนไฟ จะมีผู้ใหญ่คอยปิ้งให้

อย่างข้าวโพดปิ้งที่พี่กบเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อนี่เอง



บรรยากาศของกาดละอ่อนรวมๆ ค่ะ เป็นเพิงแนวยาว มีของกินง่ายๆ วางขาย

นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาบนถนนเส้นนี้สลับกันเลี้ยวเข้าออกตลอดเลยนะคะ



นี่คือหน้าตาของที่ขายค่ะ เผือก มันเผา มันต้ม ข้าวโพดปิ้ง ข้าวเหนียวมันปิ้ง

จริงๆ อยากกินไส้กล้วย แต่ไม่มีค่ะ รสชาติธรรมชาติสุดๆ คือไม่ปรุงรสได้ๆ

ไม่มีเกลือ ไม่มีน้ำตาล ปิ้งกันสดๆ ไปงั้นเลยค่ะ

ในอากาศหนาวเย็น ได้กินเผือกมันเผาอุ่นๆ หรือไข่ต้มเป็นมื้อเช้า คะน้าชอบมากเลยนะ



ทั้งบล็อกที่อ่านมา นับหมากันได้กี่ตัวคะ 555555

ที่กาดละอ่อน นอกจากน้องๆ ที่น่ารักจะคอยต้อนรับเราแล้ว ยังมีเจ้าสี่ขาพวกนี้แหละค่ะ

เป็นมิตรมากๆ คอยแย่งเรากินค่ะ // กินมันติดเหงือก ติดเผือกติดฟันนะเว้ย ไม่กลัวเหรอเจ้าหมา!!


รองท้องกันมาแล้ว เริ่มออกเดินทางกันต่อค่ะ

วันนี้ปลายทางของเราค่อนข้างไกล...และสูงลิบเลย!!



ระหว่างทางที่ขับมา ไม่แน่ใจว่าใช่พี่หนุ่มหรือเปล่าที่พาแวะจอดข้างทางซะดื้อๆ

บอกว่าวิวสวยดี...พอรถจอดปุ๊บ คะน้าก็คว้ากล้องวิ่งลงจากรถทันที

เราถ่ายรูปเล่นกันสักพัก วิวที่นี่สวยจริงๆ แหละ

ถึงจะเป็นจุดข้างทางเล็กๆ แต่เราก็ไม่ยอมปล่อยผ่านไป...



นี่คือวิวภูเขาที่คะน้าวิ่งเข้าพงหญ้ามายืนถ่ายโดยลำพัง...

คะน้ากดมาหลายภาพเลยนะคะ แต่เฉลี่ยแล้วก็วิวประมาณนี้แหละ



และนี่คือเบื้องหลังของภาพด้านบน 55555555

ความซนที่เห็นภูเขาเวิ้งว้างกับหมอกน้อยๆ ไม่ค่อยได้

รีบวิ่งถลาเข้าไปไม่ดูตาม้าตาเรือ ยืนกดชัตเตอร์ที่ริมหน้าผาราวๆ 10 นาที

พอเดินออกมา...หนามหญ้าสีดำๆ ตำมาเต็มกางเกงกับรองเท้า

ร้องเจ็บบบ!! เดินขาถ่างย่องๆ กลัวหนามทะลุกางเกงมาแทงขา

เดือดร้อนน้องพริ้มมานั่งช่วยดึงหนามออกกันวุ่น

นึกถึงหมาที่วิ่งเข้าป่าแล้วหนามติดขนกลับมาอ่ะ เข้าใจหมาเลย

ตอนเข้าไปไม่เจ็บ พอตอนรูดออกเท่านั้นแหละ โอโหหห! ใจคอ~



พอคะน้ารูดหนามเสร็จแล้ว ก็เดินทางกันต่อค่ะ // ใช่ค่ะ ทุกคนรอคะน้าคนเดียวค่ะ หนูขอโต้ดดด 55555



เดินทางมาต่อก็เจอวิวแบบนี้สลับกันไปตลอดทาง ดีต่อใจมากกก ฮือออ~



จากถนนเส้นใหญ่ๆ เริ่มแคบลงแล้ว และมองไปข้างทาง ก็รู้ว่าขึ้นมาบนเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย



วิวถนนที่เสมอกับสันเขาลูกข้างๆ นี่มันสวรรค์ของทีมภูเขาชัดๆ TOT // น้ำตาแห่งความปริ่มเปรม



เพราะจุดหมายต่อไปคือ "ดอยสวนยาหลวง" ที่รถธรรมดาขึ้นไม่ได้ ต้อง 4WD เท่านั้น

ก่อนจะสิ้นสุดถนนลาดยาง เราเลยแวะให้พี่กบจอดรถเก๋งทิ้งไว้ที่หมู่บ้านสันเจริญกันก่อนค่ะ

ระหว่างพี่ๆ จอดรถและจัดระเบียบสัมภาระกันอยู่นั้น คะน้าก็ชิ่งมายืนตรงหน้าผาเพียงลำพัง

(แต่ดูดีแล้ว ไม่มีหนามแล้ว) ด้านล่างน่าจะเป็นโรงเรือนตากเมล็ดกาแฟค่ะ

เพราะหมู่บ้านสันเจริญไล่ขึ้นไปบนภูเขา จะเป็นไร่ต้นกาแฟเกือบจะ 100% (ประมาณจากตาเห็นล้วนๆ)



หมดถนนปูน ก็มาเจอถนนลูกรัง จากลูกรังสองเลน เหลือเลนเดียว

และจากเลนเดียว มาเหลือเลนแคบแบบไต่หน้าผาแบบนี้เลยค่ะ

บางโค้งก็แคบแบบแคบมากๆ แถวเป็นลูกรังที่มีหินลูกใหญ่ๆ พลขับต้องระมัดระวังกันสุดๆ

บางทางขึ้นค่อนข้างชัน ต้องเร่งเครื่องกันแบบลุ้นจนแอบเสียว แต่ก็สนุกดีค่ะ ท้าทายดี คะน้าชอบ



ยิ่งขึ้นสูงเท่าไหร่ วิวด้านข้างของเราก็ยิ่งสวยจนกรีดร้องออกมาแบบห้ามไม่อยู่



ทางโค้งที่ต้องผ่านช่องคอขวด แคบไม่ว่า แถมยังเป็นเลี้ยวหักศอกแบบไต่ขึ้นทางชันไปอีก

ตรงนี้ต้องขึ้นกันไปทีละคัน และทิ้งห่างกันไว้ค่ะ กันรถไถล กว่าจะผ่านตรงนี้ ก็เกือบสิบนาทีเหมือนกัน



ทางโคลนตรงนี้ คือจุดหินของเรา เพราะเละมากจนล้อจม ต้องขับไวและประคองพวงมาลัยกันดีๆ

เพื่อไม่ให้ล้อจมโคลน ตรงนี้เราถอยๆ ขับๆ กันอยู่นานเลยค่ะ ดีนะที่อากาศเย็นสบาย

ไม่งั้นได้มีเหงื่อแตกกันแน่ๆ เลย เดินเท้าก็ลำบากค่ะ ลื๊นลื่น~



วิวด้านหลังของถนนสายโคลนนี่แหละค่ะ

อย่างที่บอกว่าบนภูเขานี้เป็นไร่กาแฟเกือบ 100% มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นกาแฟ

บางเส้นทางที่เราขับมา เมล็ดกาแฟชูกิ่งก้านมาฟาดกระจกรถกันเลยก็มี 55555



น้องเพ้นท์ ทีมวิบากค่ะ รถวิบาก?? หึ! วิบากรรมนี่แหละ 55555

บุรุษพลขับกำลังช่วยกันหาวิธีขับให้รถผ่านทางไปให้ได้อยู่ค่ะ // คะน้าถ่ายภาพ พี่หนุ่มรายงาน



มาแล้ววววว!!~ และเราก็ผ่านกันมาได้ค่ะ ขึ้นมาถึงโค้งนี้ ทางต่อไปข้างหน้าก็ปกติแล้วค่ะ

คือวิบากเป็นปกติ 55555 ไปค่ะ! เราไปกันต่อ // ค่ะ นี่คะน้าเดินเท้ามารอถ่ายรูปด้านบนค่ะ เละเชียว!


@ สวนยางหลวง

ถึงแล้วจ้าาาา พอเรามาถึงลานพระพุทธรูป ยิ้มปริ่มกันเลยทีเดียว

เพราะทางไกลและยากมากกว่าจะถึง แต่พอขึ้นมาถึง เราเห็นวิวข้างล่างที่เวิ้งว้าง

เห็นสันเขาที่อยู่เสมอสายตาเรา มันคุ้มมาก คุ้มจนไม่รู้จะอธิบายยังไงดี และก็สวยมากด้วย



เราเดินชมวิว ถ่ายรูปเล่นกันอยู่พักใหญ่ พี่ยุ้ยยุ้ยถึงกับขนเก้าอี้ออกมากางนั่งชมวิวกันเลย

สักพักเราก็ได้ยินก๊อบแก๊บๆ คล้ายเสียงของถุง 7-11 และนั่นก็คือ...



ตั้งวงต้มมาม่าค่าาาา 555555



คุณผู้โช้มมมม!!

นี่คือวิวในการกินมาม่าที่โคตรดีที่สุดในชีวิตแล้ว // ยกมือกุมอกแบบชื่นหัวใจ



มาม่าต้องเข้าแล้วนะ...


ตอนอยู่อุตรดิตถ์ เล่นรถบังคับ พออยู่บนยอดดอย เล่นโดรน // สมเป็นคู่รักสายอุปกรณ์จ่ะ



อิ่มวิวและมาม่าแล้ว ขับรถขึ้นมาบนยอดดอยกันอีกนิด เพื่อให้ถึงยอดเขา

ถนนทางขึ้นสบายๆ แล้วค่ะ มาถึงก็จอดรถที่ด้านล่าง แล้วเดินเท้าต่อกันขึ้นไปอีกราวๆ 5 นาที


ถนนที่รถวิ่ง ก็หน้าตาเหมือนถนนที่เรากำลังเดินนี่แหละค่ะ

ทางเดินสบาย ไม่ลาดชันมาก ชิลๆ ไม่เหนื่อย เด็กๆ หรือคนสูงอายุเดินสบายเลยค่ะ



ถึงยอดเขาแล้วก็จะเท่ๆ ประมาณนี้...



ดอยสวนยาหลวง มีความสูง 1,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล

(แต่ระยะทางการเดินรถฟาดกันหลายชั่วโมงเหมือนกัน แต่คะน้าจำไม่ได้ว่า เกิน 3 ชั่วโมงมั้ยนะคะ)

เมื่อขึ้นมาถึง เราจะเห็นสันเขาสลับซับซ้อนกันไปสุดสายตา ไม่รู้ว่าจะถ่ายยังไงให้สวยได้เท่าที่ตาเห็น

อยากให้ทุกคนลองไปอ่ะค่ะ ทีมทะเลลองไปที่นี่อาจติดใจเป็นทีมภูเขาเลยก็ได้นะ // หลอกล่อเก่งงง



ตรงสุดยอดเขาจะมีป้ายและธงชาติให้เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันด้วยว่ามาถึงแล้วนะ

และป้ายไม่ได้ผิด ที่บอก ตำบลและจังหวัด ทั้งสองด้านไม่เหมือนกัน

เพราะว่าดอยสวนยาหลวงนี้สามารถขึ้นได้สองทางนั่นเอง

ทั้งมาจาก ต.ผาทอง จ.น่าน และ ต.ผาช้างน้อย จ.พะเยา

ซึ่งทีมของเรามาจากฝั่งน่านค่ะ เรียกง่ายๆ ว่าแค่เดินมาอีกด้านนึงของป้ายก็ข้ามจังหวัดแล้ว 5555



กว่าจะขึ้นมาถึง เหนื่อยและลุ้นกันมาตลอดทาง...

ขอคะน้ายืน Memory บรรยากาศสักเดี๋ยวนึงนะ ^^ // จำได้ว่าตอนยืนอยู่บนนั้นโคตรมีความสุขเลยอ่ะ



บายๆ แล้วเจอกันใหม่นะสวนยาหลวง

ถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีก กลับมาอีกเยอะๆ เอาเต๊นท์มากางนอนเลย 5555


วาร์ปมาค่ะ เราวาร์ปจากยอดดอย เข้ามาสู่ตัวเมืองน่าน คืนนี้เราไม่พักอุทยานฯ นะคะ

เพราะวันรุ่งขึ้นเราต้องขับรถกลับ เดี๋ยวจะเหนื่อยเกินไป เพราะงั้นเลยมาจบกันที่โฮสเทลค่ะ

เรามาถึงห้องพักกันช่วงหัวค่ำ หลังจากเช็คอินและเก็บข้าวของกันแล้ว

เรามีการมานั่งคุยกันว่าจะไปดินเนอร์กันที่ไหนต่อดี หิวแล้วจ้าาา~

Q : ทำไมไม่มีภาพตอนขาลงมาจากดอยสวนยาหลวง

A : หลับ zzZ



เมื่อสอบถามคุณลุง เจ้าของโฮสเทลแล้วว่าแถวๆ นี้มีถนนคนเดิน

น่าจะมีร้านอาหารให้เราฝากท้องแล้ว เราก็ขับรถมาตามคำบอกของคุณลุงทันทีค่ะ

เรามาเจอถนนคนเดิน ชื่อ กาดกองน้อยประชารัฐ

เป็นเนื้อที่ในวัดใจกลางเมือง มีร้านขนม ร้านอาหารคาว และเครื่องดื่มละรายทางให้เลือกซื้อ

ราคากลางๆ เหมือนร้านทั่วไป ตรงด้านในมีเวทีแสดงร้องเพลงโฟล์คซอง และเต้นลีลาศด้วยค่ะ



บรรยากาศรวมๆ ของกาดกองน้อยก็ประมาณนี้ พอเราแยกย้ายกันไปเดินซื้อของกิน

ก็มานั่งทานด้วยกันที่ด้านหน้าเวทีนี่แหละค่ะ ทานไปฟังเพลงไป สักพักก็มีเต้นให้ดูด้วย

ได้บรรยากาศท้องถิ่น สนุกและแปลกตาดีนะคะ รสชาติอาหารก็มีถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้างค่ะ



2 ม.ค.62

@ ตัวเมืองน่าน

วันรุ่งขึ้นทางที่พักมีบริการขนมปัง นม และกาแฟไว้ให้ที่ด้านล่างด้วยค่ะ



@ตัวเมืองน่าน

วันนี้เราจะเดินทางกลับกันแล้ว เลยขอแวะเที่ยวง่ายๆ เข้าวัดไหว้พระขอพรกันบ้าง

ซึ่งคะน้าก็ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ "ขอให้แวะวัดภูมินทร์" กันทีเถิดดด~



เราจอดรถกันที่ศาลหลักเมืองน่าน ก่อนจะเดินเท้าย้อนกลับมาที่วัดภูมินทร์ค่ะ

เห็นแดดออกแต่ไม่ร้อนนะคะ ก็นี่ยังอยู่ในฤดูหนาวนี่เนอะ ^^



กระซิบรัก ณ เมืองน่าน...

ประโยคคลาสสิคที่ใครมาจังหวัดนี้ก็ต้องพูดถึงกัน



ถึงแล้ววว วัดนี้ที่รอคอย ^_^ คะน้าอยากมาที่สุดเลยค่าาาา



ด้านในพระอุโบสถจตุรมุข ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์

หันพระพักตร์ออกไปทางด้านประตูทั้งสี่ทิศ หันเบื้องพระปฤษฏางค์ (หัวไหล่) ชนกัน

ประทับนั่งบนฐานชุกชี ปางมารวิชัย นักโบราณคดีบางส่วนสันนิษฐานว่า

แสดงถึงพระพุทธเจ้าองค์ต่าง ๆ คือ พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า

พระกัสสปพุทธเจ้า และพระโคตมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)

ในขณะที่บางส่วนสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเลียนแบบลักษณะของพระพรหมสี่พักตร์

ซึ่งปรากฏในพระนามของผู้สร้างวัด คือเจ้าเจตบุตรฯ

และกลุ่มสุดท้ายมองว่าสื่อถึงพรหมวิหาร 4 // กราบขอบคุณวิกิพีเดียอีกครั้งค่ะ



และนอกจากพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์แล้ว วัดภูมินทร์มีสิ่งที่โด่งดังมากก็คือ...

ภาพจิตรกรรมฝาผนังนั่นเองค่ะ เมื่อเข้ามาภายในวัด กราบไหว้พระเรียบร้อยแล้ว

เดินชมภาพวาดรอบๆ ภาพค่อนข้างสมบูรณ์ สีสันสดใส และลายเส้นคมชัด

อาจมีบ้างที่เลือนหรือลอกหาย แต่รวมๆ ก็ถือว่ายังสมบูรณ์อยู่มากค่ะ

ซึ่งภาพจิตรกรรมส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวในชาดก และวิถีชีวิตของชาวน่านในอดีตค่ะ



และภาพนี้ ไม่พูดถึงไม่ได้เลย เพราะเป็นภาพวาดจิตรกรรมที่คะน้ารอคอยจะมาดูด้วยตาสักครั้ง

หลังจากเห็นใน MV เพลงของปู่จ๋านมานานแล้ว

"ปู่ม่าน ย่าม่าน"

ที่มาของประโยคคลาสสิก "กระซิบรัก ณ เมืองน่าน" นั่นเองค่ะ

ภาพนี้วาดโดยศิลปินนิรนามที่คาดว่าน่าจะเป็น หนานบัวผัน ศิลปินชาวไทลื้อ

บุรุษในภาพสักลายตามตัว ขมวดผมไว้กลางกระหม่อมพร้อมผ้าพันผมแบบพม่า นุ่งผ้าลุนตะยา

ส่วนสตรีในภาพแต่งกายไทลื้อเต็มยศ แสดงท่าทางกระซิบหยอกล้อกัน...



ไหว้พระขอพร และถ่ายรูปกันสมใจแล้ว คะน้าก็เดินเล่นมารอบๆ วัด

ยี่หวาเห็นโคมหลากสีก็อยากจะแขวนโคมบ้าง คะน้าเลยต้องอุ้มอย่างที่เห็น

Q : ทำไมไม่แขวนข้างล่างก็ได้

A : หลานไม่ยอมจ้า จะแขวนสูงๆ 5555555



ออกจากวัดภูมินทร์ เดินกลับมาที่ศาลหลักเมือง

เราเข้าไปไหว้พระ และเดินเก็บภาพกันอีกสักพัก เพราะที่นี่สวยมากจริงๆ

เราสังเกตได้ว่าวัดทางเหนือต่างจากวัดภาคกลางอยู่มาก

ทั้งศิลปะ จิตรกรรม และดีไซน์ด้านสถาปัตยกรรมต่างๆ ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์

คือถ้าเทียบกัน จะแยกได้ง่ายๆ เลยว่า วัดไหนของภาคเหนือ วัดไหนของภาคกลาง



ฮือออ~ สวยเกินไปมากกก คะน้าชอบ เดินถ่ายวนๆ มาตั้งหลายรูปเลยค่ะ

และเราก็ลาจังหวัดน่านกันที่นี่ ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกลับกันแล้วค่ะ


@ ข้าวพันผัก อ.ลับแล

ออกจากจังหวัดน่าน เข้าสู่จังหวัดอุตรดิตถ์กันอีกคร้ัง

ขิมไหม เจ้าบ้านแนะนำว่าให้มาแวะเมืองลับแล

และพลาดไม่ได้ที่ต้องมาชิม อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ "ข้าวพันผัก"



ขิมบอกว่า ร้านดังๆ มีหลายร้านมาก อยู่ที่เราจะเลือก ส่วนมากก็คล้ายๆ กัน

และเราก็เลือกมาที่ร้านนี้ ตามป้ายบอกทางด้านนอก ที่พาเรามาถึงที่นี่ค่ะ

จอดรถกันดื้อๆ งี้เลย // ด้านหลังกำแพงเป็นคลองชลประทาน



มาถึงก็จะเจอคุณพี่เจ้าของร้าน มือเป็นระวิง ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทักทายลูกค้าที่มาใหม่

ภายในร้านจัดโต๊ะนั่งง่ายๆ อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านตัวเองแบบนั้นแหละ



และนี่คือเมนู ราคา 5 บาท 10 บาท แพงสุดๆ ก็ 30 บาทเท่านั้นแหละ

(แปะเบอร์โทรชัดๆ แนะนำร้านนี้สุดหัวใจ ถ้าใครได้ไป อร่อยจริงๆ ค่ะ เชื่อคะน้าเถอะ)



สั่งเรียบร้อย สั่งทุกเมนูที่มี สั่งหลายจานด้วยค่ะ

ปล. เนื่องจากข้าวพันผัก วิธีการทำก็คล้ายข้าวเกรียบปากหม้อภาคกลาง

แต่ชิ้นใหญ่กว่ามาก ต้องใช้เวลาในการทำสักพักนึงเลยค่ะ เพราะงั้นถ้าเป็นคนโมโหหิวง่าย

กรุณาแวะ 7-11 ข้างทางกินขนมจีบ ซาลาเปากันมาก่อนนะคะ // ด้วยความปรารถนาดีมากๆ จากใจ



Finally!!

ข้าวพันผัก ที่จำไม่ได้แล้วว่าไส้อะไรบ้าง ก็ถูกนำมาเสิร์ฟไล่เรี่ยกัน

ถ่ายทันบ้าง ไม่ทันบ้าง คะน้าเก็บภาพมาได้รวมๆ เท่านี้จริงๆ ค่ะ 55555

นอกจากหน้าตาจะน่าทานแล้ว รสชาติอร่อย เด็กทานง่าย ผู้ใหญ่ทานเพลิน

ที่สำคัญอิ่มมากๆ ในราคาไม่กี่ร้อยบาท (เราไปกันหลายคน สั่งหลายจาน)

เอาเป็นว่า...คะน้าขอลาด้วยเมนูสุดอร่อยนี้เลยแล้วกันนะคะ

ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม...อยู่ด้านล่างเด้อ ^^



ก่อนจากทริปนี้...คะน้าขอขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้นะคะ

อ่านข้ามบ้าง คะน้าเข้าใจ เพราะสาระไม่ค่อยจะมีไง 555555555


สำหรับทริปนี้นะคะ

  1. ขอบคุณเพื่อนร่วมทีม ที่ชวนคะน้าไปเที่ยวด้วยในทริปนี้ สนุกมาก ประทับใจมาก มากๆ เลยค่ะ
  2. ขอบคุณพี่เจ้าของร้านข้าวพันผัก ที่เก็บกระเป๋าสตางค์ของขิมไหมได้ และส่ง EMS คืนมาให้ถึงบ้าน
  3. ปั๊มน้ำมันมีตลอดทาง แต่บางช่วงที่ขับในหุบเขา ควรหมั่นเติมน้ำมันกันไว้ สำหรับ Road trip ค่ะ
  4. ควรตุนของกินให้เทียบเท่ากับที่ตุนน้ำมันค่ะ เพราะเข้าป่าหามีร้านค้าไม่
  5. ห้องน้ำทุกอุทยานฯ ที่เราไป อยู่ในเกณฑ์ดี สะอาด ปลอดภัย และมิดชิด ไว้ใจได้ค่ะ
  6. สวนยาหลวง ถ้าไม่มีรถไปเอง มีชาวบ้านบริการเหมารถเที่ยวละ 1,000 บาท ลองหาข้อมูลดูนะคะ
  7. สวนยาหลวงกางเต๊นท์นอนได้ แต่ไม่มีห้องน้ำ!!
  8. สัญญาณมือถือ True Move รอดทุกหุบเขาค่ะ // ค่ายอื่นมีสัญญาณเป็นบางที่
  9. กล้องที่เราใช้มี Olympus OMD EM10 Mark-ll , GoPro , S9+ , Iphone , Huawei
  10. ภาพในบล็อกไม่แต่งภาพเลย 90% ค่ะ เพราะขี้เกียจ และอยากให้เห็นว่าของจริงก็ประมาณนี้แหละ
  11. เที่ยวเหนือ ขึ้นเขา ไปได้ทุกฤดูแหละค่ะ แต่ฤดูฝนจะพิเศษหน่อย คืออันตรายเป็นพิเศษ แต่ภูเขาจะเขียว ป่าเขาจะสดชื่นมาก แพลนเดินทางกันดีๆ คะน้าว่าเมืองไทยเที่ยวได้ทั้งปีค่ะ // เที่ยวไทยเท่นะ
  12. รัก Reader ทุกคนเลยค่ะ // กราบนอบน้อม


แล้วพบกันทริปต่อไปนะคะ...คะน้าน้อยสวัสดีค่าาาา

เพจ >> https://web.facebook.com/TheLocationKana จิ้มๆ เลย >///<

ความคิดเห็น