เราออกเดินทางจากเมืองฮานอยมายังซาปาโดยรถบัสนอนของบริษัท Sapa express ค่าตั๋วไป - กลับ คนละ 24 VND. เริ่มออกเดินทางตอน 3 ทุ่มกว่าๆ ไปถึงซาปา ก็ตี 3 แต่เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้เรานอนบนรถต่อจนถึง 6 โมงเช้า จึงให้เราออกไปยังโรงแรมที่ได้จองกันไว้....

วิวแรกของเมืองซาปา จากระเบียงด้านหลังของห้องพักในโรงแรม เราพักกันที่ Cosiana sapa hotel.

ช่วงที่เราไปเป็นปลายเดือน มกราคม ที่ผ่านมา อากาศตอนนั้นค่อนข้างหนาว อุณหภูมิอยู่ที่ 8 - 11 องศา

เมื่อเช็คอินแล้ว เราก็ขอนอนพักกันก่อนและตื่นมาทานอาหารเช้าเก็บของเข้าที่ พักผ่อนอีกเล็กน้อย ก็ได้เวลาออกสำรวจรอบๆเมืองซาปากัน

ตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นลานกิจกรรมประจำเมืองนี้ และที่เห็นไกลๆก็จะเป็นโบสถ์ Notre Dame Cathedral. แห่งเมือง ซาปา

วันแรกเราขอพากันเดินสำรวจรอบๆเมือง เหนื่อยก็พัก หิวก็กิน ง่ายๆสบายๆ ไม่เร่งรีบ

เด็กๆชาวเขาที่นี่น่ารักมากๆ ถึงแม้ว่าจะดูมอมแมมไปสักหน่อยก็ตาม

ใกล้ๆกับลานกิจกรรมก็ดูเหมือนจะเป็นตลาดขายของ ของพวกชาวเขา ก็จะมีพวกสินค้า แฮนด์เมด ต่างๆมาวางขายกัน ดูๆไปก็ไม่ค่อยจะแตกต่างจากสินค้าบนดอยของเมืองไทยเราเลยนะ

จากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อโดยจุดหมายต่อไปก็จะเป็น ทะเลสาบ ซาปา (Sapa Lake)

ระหว่างทางที่เราเดินไปทะเลสาบ ก็จะมีร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ มากมาย และร้านกาแฟ เบเกอรี่ ให้นั่งชิลล์ก็พบได้แทบทุกหัวมุมถนนเหมือนกัน

เดินมาได้สักพักพอให้เหนื่อยกันนิดหน่อยน่าจะ เกือบๆ 2 กิโลจากที่พัก แล้วเราก็มาถึงทะเลสาบซาปากัน

แต่ระหว่างทาง ได้ถามทางคนท้องถิ่นมาเรื่อยๆแต่ละคนบอกไม่ตรงกันสักคน บางคนบอกแค่กิโล เดียว บางคนโอ้ยอีกไกลเลย 3 กิโลได้มั้ง บลาๆๆๆๆ ฮ่าาาา

บริเวณรอบๆทะเลสาบก็จัดเป็นสวนสาธารณะ ไว้เป็นที่นั่งพักผ่อน ของผู้คนที่ผ่านมาแถวนี้ และมีถนนสามารถเดินวนรอบทะเลสาบได้ เหมาะกับการมาจอกกิ้ง ตอนเย็นๆ

ช่วงที่เราไป เขากำลังทำถนนกัน กอบกับคืนก่อนที่เราจะมาถึงฝนตกตลอด บนถนนก็เลยค่อนข้างแฉะๆหน่อยนึง

จะเห็นได้ว่ารอบๆสวนสาธารณะริมทะเลสาบ เขาปลูกต้นซากุระ ไว้ตลอดทางเลย ถ้าเรามาช้ากว่านี้อีกหน่อยแถวนี้คงจะสวยน่าดูเลย ที่นี่ดอกซากุระจะบานช่วงต้นๆกุมภา

สถานีขนส่งรถบัสของเมือง ซาปา ถนนแถวนี้กำลังก่อสร้าง เปียกแฉะมากๆ

เดินเวียนรอบสถานี มาจนถึงด้านหลังก็เจอกับตลาดนัด มีของขายทั่วไปคล้ายๆกับตลาดนัดในบ้านเราเลย

ขากลับเราเดินวนกลับอีกทางนึง ก็มาเจอต้น ซากุระ กำลังออกดอกบานสะพรั่งอยู่ 2-3 ต้น คือสวยงามมาก

ได้เห็นแค่ไม่กี่ต้นก็ยังดีเนอะ ปลอบใจตัวเอง ถ้าใครมาช่วงเดือนกุมภา บรรยากาศที่นี่คงจะโรแมนติคไม่เบา แค่คิดก็ฟินนนนละ 5555

พอเข้าช่วงเย็นหมอกก็เริ่มลง เรากำลังเดินกลับที่พักโดยการเดินวนรอบทะเลสาบไปอีกทางหนึ่ง ก็จะได้ภาพสวยๆของเมืองรอบๆทะเลสาบ และต้นซากุระ ที่ยังไม่ออกดอก มีแต่กิ่งก้าน เรียงรายกัน

เมื่อใกล้สิ้นแสงตะวัน บรรยากาศหน้าหนาว ก็จะดูเหงาๆหน่อย แต่ก็สวยไปอีกแบบสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา แต่คนที่นี่คงไม่สนุกเพราะมันหนาววววววว

บรรยากาศยามค่ำคืนวิวจากระเบียงห้องพัก คืนนี้เราจะเข้านอนกันเร็วหน่อย เก็บแรงไว้ไปซิ่งต่อพรุ่งนี้

เช้าวันใหม่เราออกจากที่พักเกือบๆจะ 10 โมง (นี่คือเช้าของเรา ก็อากาศมันหนาว ออกไปก็มองไรไม่เห็นหรอก ใช่มะ 555) เราเช่ามอเตอร์ไซ ฮอนด้า เวบ หนึ่งคัน ราคา 100,000 VND. อยู่ที่นี่ใช้เงินแสนกันเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว เมื่อรถพร้อม คนพร้อม เราก็ขับรถมุ่งหน้าสู่ Fansipan Legend เพื่อขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ไปยังจุดสูงสุดของเทือกเขา Fansipan

ถึงแล้วทางเดินเข้าเพื่อจะไปซื้อตั๋วขึ้นเคเบิ้ลคาร์ นี่แค่วิวด้านล่างยังสวยขนาดนี้ ด้านบนจะอลังการล้านแปดสักแค่ไหนกันนะ

หมอกเยอะมากกกก ขึ้นไปข้างบนจะมองเห็นอะไรมั้ยน๊าาา เริ่มกังวลละ

จุดขายตั๋ว เราจ่ายไปคนละ 770,000 VND. เป็นค่าเคเบืลคาร์ 700,000 และอีก 70,000 เป็นค่ารถรางขึ้นไปยังจุดสูงสุด ถ้าใครคิดว่าตัวเองแข็งแรงพอไม่ต้องจ่าย 70,000 ก็ได้นะเขามีบันไดให้เดินขึ้น แต่เราคิดถูกที่จ่ายเพิ่ม เพราะแค่เดินลงอย่างเดียวเรายังรู้สึกว่ามันเหนื่อยและอากาศข้างบนมันสูงมาก ยิ่งทำให้เราเหนื่อยง่าย

เมื่อได้ตั๋วแล้วเราก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อไปยังสถานีเคเบิลคาร์

หน้าตาของเจ้าเคเบิลคาร์ ที่นี่ก็จะประมาณนี้

เริ่มออกเดินทางกัน หมอกลงหนามาก

วิวแรกก็จะเป็น นาขั้นบันได แต่มองเห็นแค่เลิอนลาง

เมื่อไต่สูงขึ้นไป ภาพที่ได้ก็จะเป็นก้อนเมฆ ลอยอยู่เหนือเทือกเขา

ก็นั่งมาจนใกล้จะถึงสถานีบนยอดเขาละทุกอย่างก็ราบรื่นดี แต่อยู่ๆมีลมพัดมาอย่างแรงมากๆ จนตู้ที่เรานั่งกันอยู่มันเกว่งไป มา ในใจก็คิดว่าตูจะรอดไหมวะ 5555 นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรานั่งเคเบิลคาร์ แต่เป็นครั้งแรกที่มันเกิดเหตุการระทึกขวัญ และสักพักทุกอย่างก็หยุดนิ่ง และไปต่อ รอดแล้วโว้ยยยย แอบดีใจ

เมื่อถึงสถานีบนยอดเขา ก็จะมีร้านอาหารและร้านกาแฟให้นั่งจิบคลายหนาวกันด้วย แต่เรายังไม่แวะ ขอขึ้นไปยังจุดสูงสุดกันก่อน

เมื่อออกมาจากตัวอาคารก็จะเจอหมอกหนาๆแบบนี้เลย โอ้ยลมแรงมาก หนาวสั่นกันเลยทีเดียว ดีนะที่พกถุงมือมาด้วย ใครจะขึ้นมาบนนี้โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว เตรียมเสื้อกันหนาว ถุงมือ ถุงเท้าให้พร้อมนะ ไม่งั้นไปต่อไม่ไหวแน่


ก่อนจะไปขึ้นรถรางก็จะมีวัดจีนและมีพระองค์ใหญ่อยู่ แต่ตอนนี้ถ่ายรูปไม่ค่อยเห็นอะไรเลย หมอกหนาเกิ้นนน

ขึ้นรถรางต่อมาไม่กี่นาที เราก็ได้มายืน ณ จุดสูงสุดแห่งเทือกเขาฟานซิปัน ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดของเวียดนาม

ณ จุดนี้มีความสูง 3,143 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ถ่ายรูป เช็คอินกันเรียบร้อย เราก็เดินเท้าลงไปยังสถานีเคเบิลคาร์กัน

ระหว่างทางลง ก็จะมีแต่วิวที่มันแต่หมอก ถ่ายได้แต่ภาพระยะใกล้ๆ

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้ภาพวิวสวยๆ ของเทือกเขาระยะไกลๆ แต่เราก็ยังได้ภาพสวยๆ ยังกะหนังจีนกำลังภายในมาแทน

วิววัดเส้าหลิน บนยอดดอย จริงๆเลย

ชอบบบบ มันดูคล้ายภาพเขียนของจีนเลยอ่ะ

จำไม่ได้ว่ามีบันไดกี่ขั้น แต่รู้ว่าแค่เดินลงอย่างเดียวก็เหนื่อยนะ

นี่ไง พระองค์ใหญ่ที่บอกไว้ แต่ไม่สามารถถ่ายภาพได้ชัดกว่านี้แล้วละ

เข้าไปถ่ายในวัดกันไกล้ๆหน่อยนึง

เมื่อกลับเข้ามาถึงสถานี เรายังไม่ขึ้นเคเบิ้ลคาร์กลับเลย ขอแวะจิบโกโก้ร้อนๆ คลายความหนาวกันสักพักก่อน และก็มีแดดมาให้เห็นแป้บนึง รีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย ก็ได้ภาพนี้มา

ได้เวลากลับกันแล้ว หวังว่าทุกอย่างคงราบรื่นดีนะ แอบคุยกับเพื่อน :)

หมอกบางลงกว่าตอนขึ้นไปหน่อยนึง เลยได้ภาพนาขั้นบันไดอันขึ้นชื่อของที่นี่มา แต่ได้มาแบบนาในสายหมอกนะ

กลับเข้าสู่สถานีด้านล่างอย่างปลอดภัย โล่งใจไปคร้าาาาาา

วัดนี้ก็อยุ่ตรงทางเข้าจุดขายตั๋วเลย

ทางเดิน เข้า ออก สองข้างทางมีต้น ซากดุระเรียงรายเต็มไปหมด ถ้ามีดอกบานคงจะสวยมากจริงๆ เสียดายอีกล่ะ

ชับมอไซค์เข้ามาในเมือง ซาปา วันนี้ขอแว้นเก็บภาพยามค่ำคืนของเมืองซาปากัน ก่อนที่จะนำรถไปคืน

วิวเดิมๆ แต่บรรยากาศเปลี่ยน เมื่อมีแสงสีเข้ามาแต่งแต้ม ให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

ทะเลสาบ ซาปา หมดไปอีกหนึ่งวันหนาวๆ กลับเข้าที่พัก เตรียมแพคกระเป๋ากลับฮานอย

จริงๆแล้วเราขึ้นรถกลับ ฮานอย ตอนบ่ายโมงนะ แต่เราก็ไม่ได้ออกเที่ยวต่อ เพราะทริปของเราเน้นการพักผ่อน ใช้เวลากินอาหาร จิบชา กาแฟ เบาๆ นั่งชมวิวสวยๆรอเวลาขึ้นรถกลับ บ๊าย บาย ซาปา แล้วเจอกันอีกในรีวิวถัดไปนะคะ


ความคิดเห็น