จากที่พี่ใหญ่และหนูเล็กเดินทางแบบ "โหดสลัดรัสเซีย" มาจนถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
และพาเดินเล่นแบบชิลๆ ไปแล้วหนึ่งวัน
วันนี้เป็นวันที่เราวางแผนการเที่ยวไว้แล้วว่าจะไปไหนต่อไหนบ้าง ทุกคนรู้งานกันดีจึงพากันตื่นมาจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยทุกเรื่องเพื่อให้สามารถออกจากที่พักได้ตามเวลาที่ตกลงกันเอาไว้ แต่จะว่าไปการมาเที่ยวในฤดูนี้เราไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุกเลย เพราะแสงสว่างที่ส่องเข้ามาที่หน้าต่างห้องตั้งแต่ตีสามกว่าๆ ก็ทำให้เราตื่นได้ทุกวันแบบอัตโนมัติ แม้อยากจะนอนต่อกันขนาดไหนก็ทำต่อไปไม่ได้นาน เพราะรู้สึกว่ามันแปลกๆ ที่จะนอนทั้งๆ ที่ฟ้าสว่างแล้ว
ที่หมายแรกวันนี้ก็คือการไปยัง St.Isaac’s Cathedral ที่เรายังไม่ได้เข้าชมเมื่อวานนี้ เพื่อรีบไปซื้อบัตรเข้าชมแต่เช้า เราออกเดินทางโดยการโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานี Novocherkasskaya (Новочерка́сская) ไปลงยังสถานี Admiralteyskaya (Адмиралте́йская)
ที่เห็นไม่ไกลนั่น Admiralty ค่ะ
จากนั้นก็เดินต่อไปอีกไม่ไกล ก็จะเห็นมหาวิหารตั้งตระหง่านรอรับการมาเยือนของเราแล้วค่ะ เมื่อไปถึงให้เดินไปทางด้านข้างของมหาวิหารก่อนเลยค่ะ เพราะจุดจำหน่ายตั๋วจะอยู่บริเวณนั้น ไม่ได้จำหน่ายด้านหน้าค่ะ เป็นเพราะเราไปตั้งแต่มหาวิหารยังไม่เปิดต้องรออีกประมาณ 10 นาที ดังนั้น จึงต้องไปรอคิวซื้อตั๋วซึ่งยังไม่เริ่มเปิดจำหน่ายตั๋วเหมือนกัน แต่คิวยังไม่ยาวมากค่ะ และพอเปิดปุ๊บแถวก็ค่อยๆ สั้นลง ราคาตั๋วแบ่งเป็น 2 อย่าง เลือกเอาตามความต้องการ Ground 250 RUB และ Colonnaded 150 RUB พวกเราสมัครใจแค่ Ground กันค่ะ เพราะแดดร้อนก็เลยไม่ขึ้นด้านบนกัน
เมื่อมีตั๋วแล้วก็ไปต่อคิวเข้าชมกันได้เลย สำหรับการเข้าชมด้านในเมื่อขึ้นบันไดมหาวิหารแล้ว ให้เดินไปทางซ้ายค่ะ ส่วนการขึ้นไปชม Colonnaded ให้เดินไปทางขวา ถ้าเจอพวกทัวร์ที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็ส่งอาณัติสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เขาทราบได้เลย เพราะเขาจะอำนวยความสะดวกพวกเราที่มากันแบบไม่กี่คนให้เข้าไปก่อน
เมื่อเข้าไปปุ๊บ เจ้าหน้าที่ด้านในจะแจ้งเราในทันทีว่า สามารถถ่ายภาพได้ แต่กรุณางดใช้แฟลชนักท่องเที่ยวทุกคนเมื่อก้าวเข้าไปต่างจะตะลึงพรึงเพริศกับความงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการที่สองตาเห็น ภาพที่ถ่ายทอดมา ต้องบอกเลยว่า งดงามไม่ได้เสี้ยวกับสิ่งที่ปรากฏต่อสายตา ยิ่งเมื่อมาเดินอยู่ภายใน บรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งทำให้ทุกสิ่งดูเหมือนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของผู้รังสรรค์ไว้
St.Isaac’s Cathedral เป็นมหาวิหารที่สร้างในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ใช้เวลาก่อสร้างในช่วงปีค.ศ.1818 - 1858 หรือพูดง่ายๆ ก็คือ 40 ปี มหาวิหารแห่งนี้มีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ และบาโรก โดยมีการใช้เสาหินแกรนิตน้ำหนักต้นละ 114 ตัน จำนวน 48 ต้น เป็นเสาหินแกรนิตสีน้ำตาลทองท่อนเดียว สูงไม่ต่ำกว่า 20 เมตร
ความสวยงามของ St. Isaac's Cathedral อยู่ที่ยอดโดมที่ทำเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมซ้อนกันสีทองที่มีความสูงถึง 101.50 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 25.8 เมตร ใช้โครงเหล็กหรือโลหะพิเศษ โดยกรรมวิธีการฉาบทองบนยอดโดมใช้ปรอทผสมทองคำหลอมให้เหลวเทราดลงไป สร้างด้วยแผ่นเหล็ก 420 ตัน ทองแดง 49 ตัน เหล็กหล่อ 990 ตัน ทองสัมฤทธิ์ 30 ตัน โดมภายนอกเป็นแผ่นทองแดงปิดทับโดยรอบ ฉาบด้วยทองคำผสมปรอทถึงสามครั้งหนักรวม 100 กิโลกรัม
ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่มีการก่อสร้าง ไอระเหยจากปรอทได้คร่าชีวิตกรรมกรไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสูดไอระเหยของสารพิษจากปรอทขณะฉาบทองบนยอดโดม St. Isaac's Cathedral ใช้เงินในการก่อสร้างจำนวนมหาศาลถึง 23 ล้านรูเบิ้ล ใช้จำนวนคนงานก่อสร้างโบสถ์นี้ถึง 400,000 คน (ข้อมูลจาก National Geographic) ทำงานอย่างหนักหนาสาหัส งานตกแต่งภายนอกและภายในยิ่งมีความสวยงามวิจิตรพิสดาร ทั้งภาพประดับผนังเขียนสี โมเสก รูปปั้นต่างๆ ภาพบนกระจกสี ฐานโดยรอบมีรูปปั้นนางฟ้า 12 องค์อยู่รอบฐานภาพ ที่อย่าพลาดชมคือภาพไอคอนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นรูปเซนต์นิโคลาสเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งการทำโมเสกนี้ใช้เวลานานมากถ้าหากคิดเป็นตารางเมตรเมตรหนึ่งใช้เวลาร่วมปี ใช้สีหมื่นกว่าสีเลยทีเดียว
ไอคอนที่ใหญ่ที่สุด
วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งก่อสร้างใช้หินจากหลายแห่งโดยเฉพาะหินอ่อนก็ปาเข้าไป 14 ชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นของมีค่า หายาก และสวยงามมาก เช่น หินอ่อนสีขาวจาก Carrara อิตาลี หินอ่อนสีเทาจากฟินแลนด์ หินอ่อนสีเขียวจาก genoa หินอ่อนสีเหลืองจาก Siena อิตาลี และหินอ่อนสีแดงจากฝรั่งเศส ที่โดดเด่นมากคือเสาหินมาลาไคต์ (Malachiten) สีเขียวสดใสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0 เมตรรวม 10 ต้น เป็นหินที่หายากมาจากเทือกเขาอูราลในเขตไซบีเรีย และยังมีเสาหินสีน้ำเงินอมม่วงอีกสองต้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.57 เมตร สูงเกือบ 5 เมตร ทำจากหินมีค่าเรียกว่า ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) นำมาจากทะเลสาบไบคาลและอัฟกานิสถาน
โดยเสาหินที่ทำมาจากมาลาไคท์ (หินสีเขียว) จากเทือกเขาอูราลและลาพิส ลาซูลี (หินสีน้ำเงิน) จากทะเลสาบไบคาล ทำให้มหาวิหาร St. Isaac's Cathedral เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่สวยที่สุดของรัสเซีย และยังเป็นมหาวิหารที่สวยที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก และขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัสเซียรองจาก Cathedral of Christ the Saviourแต่ไม่รู้อันดับพวกนี้เปลี่ยนบ้างหรือยัง โดยเฉพาะอันดับโลกที่มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมาย ส่วนชื่อของมหาวิหารตั้งขึ้นตามชื่อของ Saint Isaac the Confessor ซึ่งเป็นนักบุญประจำพระองค์ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เนื่องจากเกิดวันเดียวกับพระเจ้าปีเตอร์มหาราช
ถ้าแหงนหน้ามองขึ้นไปที่ใต้โดมจะเห็นนกพิราบสีขาวอยู่ตรงกลาง ซึ่งทำจากเงินแท้ ซึ่งสีขาวของนกพิราบเปรียบดังตัวแทนของวิญญาณอันบริสุทธิ์บนสรวงสวรรค์ ความกว้างจากปีกซ้ายถึงปีกขวาของนกพิราบมีความกว้างถึง 3 เมตร
จะมองเห็นนกพิราบสีขาวที่อยู่ตรงกลาง
เราใช้เวลากับที่นี่ค่อนข้างนานค่ะ อยากตักตวงเวลาอันมีค่ากับสถานที่ที่สวยงามระดับโลกแบบนี้ เดินชมวนไปมากันหลายรอบ เสร็จแล้วก็นั่งมอง ค่อยๆ พิจารณาไปทีละจุด แล้วก็เดินชมใหม่ เพราะโอกาสที่จะได้มาชมแบบนี้คงไม่ได้มีบ่อยหรือบางทีอาจเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็เป็นได้
สนใจซื้อของที่ระลึกก็มีจำหน่าย
หลังจากใช้เวลาดื่มด่ำกับความงามระดับโลกกันจนเต็มอิ่มในความรู้สึก โปรแกรมถัดไปเราเลือกที่จะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีฟ้าไปยังสถานี Gorkovskaya (Го́рьковская) เพื่อไปเที่ยวสถานที่เราสนใจบริเวณนั้น สถานีรถไฟใต้ดินสถานีนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่แม็กซิม กอร์กี้ (Maxim Gorky) นักประพันธ์ชื่อดังชาวรัสเซียค่ะ
สวนสาธารณะใกล้ๆ สถานี
สถานที่น่าสนใจที่พวกเราตั้งใจแวะมาแห่งแรกก็คือ Saint Petersburg Mosque (Санкт-Петербу́ргская мече́ть) ที่ตั้งใจมาเพราะเปิดเจอภาพในอินเตอร์เน็ตแล้วสะดุดในสีสัน และเมื่อไปอ่านประวัติว่าเป็นมัสยิดนอกตุรกีที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เพราะสามารถจุคนได้ถึง 5,000 คน ทำให้อยากมาเห็นสถานที่จริง ว่ากันว่าห้องสวดมนต์ของที่นี่มีการแยกเอาไว้ตามเพศ โดยเพศหญิงจะไปใช้ห้องที่ชั้นหนึ่ง ในขณะที่เพศชายจะสวดมนต์ที่ชั้นล่าง เราแค่ชมด้านนอกค่ะ ไม่ได้เข้าไปด้านในเพราะคิดว่าคงไม่สมควรจะเข้าไปรุ่มร่ามกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ และเราก็แค่อยากมาเห็นความงามที่ด้านนอกตามภาพที่เห็นจากอินเตอร์เน็ต
จากที่นี่เราเดินต่อไปยังจุดหมายสำคัญถัดไป ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Peter and Paul Fortress ป้อมที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า Zayachy Island ซึ่งมีความหมายว่า กระต่าย ในภาษารัสเซียซึ่งเราจะพบเจอรูปปั้นกระต่ายกระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ ของป้อมแห่งนี้ เกาะจะอยู่บนฝั่ง Petrogradsky ซึ่งเชื่อมการเข้าออกด้วยสะพานสองสะพานจากเกาะหลักคือ สะพาน Kronverksky และสะพาน Ioannovsky
เราตั้งต้นการเที่ยวโดยการเดินข้ามสะพานเข้าไป โดยกระต่ายตัวแรกที่ทักทายเราจะอยู่ข้างๆ สะพาน ให้ผู้มาเยือนโยนเหรียญลงไป ถ้าใครโยนได้ก็แปลว่าจะได้กลับมาที่นี่อีก จึงเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนพยายามที่จะโยนลงในตำแหน่งที่กำหนดกันให้ได้ ถ้าเป็นเมืองไทยคงมีเรือมาจอดคอยเก็บเหรียญที่หล่นๆ นั่นในทันทีที่โยนลงไป
มาทดลองความแม่นยำได้
ที่นี่เป็นป้อมที่มีลักษณะรูปทรงหกเหลี่ยมที่ถูกสร้างขึ้นปีค.ศ.1703ในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เพื่อป้องกันการรุกรานจากกองทัพสวีเดน แต่เมื่อสร้างป้อมเสร็จก็ไม่ได้ใช้งานเนื่องจากทหารสวีเดนไม่ได้มารุกรานอีกเลยต่อมาจึงได้มีการใช้เป็นที่คุมขังนักโทษทางการเมือง โดยปัจจุบันถือเป็น landmark ที่เก่าแก่ที่สุดของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีสะพานเชื่อมเข้าออกสองสะพานจากเกาะหลัก รอบเกาะถูกล้อมไว้ด้วยรั้วสูงรอบพื้นที่ วิหาร โบสถ์ และป้อมปราการ สถานที่แห่งนี้ได้รับการสถาปนาเป็นหนึ่งในมรดกโลกด้วย
ระหว่างเดินอยู่ที่สะพานจะเห็นว่ามีคนมานั่งๆ นอนๆ อาบแดดกันเต็มไปหมด เป็นการต้อนรับฤดูร้อนที่เริ่มมาเยือนค่ะ ชาวยุโรปก็แบบนี้นิยมการอาบแดด เขารอคอยช่วงเวลาแห่งการอบอุ่นหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความหนาวเหน็บมายาวนาน บางคนถึงกับกระโดดลงไปเล่นน้ำเลยก็มี แต่เท่าที่มองดูน้ำดูไม่สะอาดเท่าไรเลย และภาพป้อมปราการสวยๆ อลังการก็เลยดูหมองไปเพราะบรรยากาศรอบๆ ที่กลายเป็นสถานที่ตากอากาศไปโดยปริยายแบบนี้นี่เอง นี่ถ้าพระเจ้าปีเตอร์มหาราชมาเห็นบรรยากาศแบบนี้เข้าจะรู้สึกอย่างไรกันนะ อยากรู้จริง
สถานที่อาบแดดของชาวเมือง
ภายในป้อมแห่งนี้จะมีทั้งพิพิธภัณฑ์ หลุมฝังพระศพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชและพระบรมศานุวงศ์แห่งราชวงศ์โรมานอฟ และ Peter and Paul Cathedral ก่อนที่เราจะเข้าไปดูภายในป้อมกัน จะต้องผ่าน Petrovskiy Curtain Wall and Gate ไปก่อน สำหรับ Petrovskiy Curtain Wall and Gate นี้สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของรัสเซียในสงคราม The Great Northern War
สัญลักษณ์ของประเทศรัสเซียที่เป็นนกอินทรีสองตัวหันหัวไปสองด้านนั้น มีความหมายนะคะ แสดงถึงความกว้างใหญ่ของประเทศรัสเซีย โดยแต่ละหัวหันไปทางซ้ายและขวา หมายถึงการดูแลดินแดนของรัสเซียทั้งทางฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก
จะเห็นสัญลักษณ์ของประเทศรัสเซียอยู่เหนือประตู
เมื่อเดินมาสักพักเราจะพบกับรูปปั้นพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ซึ่งว่ากันว่าเป็นรูปหน้าจริงของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เนื่องจากได้ทำการหล่อโครงหน้าโดยใช้หน้ากากของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชมาขึ้นแบบ ส่วนบริเวณลำตัวไม่มีการระบุแน่ชัด โดยนักท่องเที่ยวหลายท่านมีความเชื่อว่า การมาลูบมือของพระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชจะทำให้โชคดี ว่ากันมาแบบนี้มีหรือจะพลาด ก็ขอจัดเสียหน่อย
ทางเดินสู่ Peter and Paul Cathedral
Peter the Great
ส่วนอีกฟากหนึ่งที่ตั้งตระหง่านก็คือ Peter and Paul Cathedral ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1704 โดยตัวของมหาวิหารจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรก โดยมีจุดเด่นคือหอระฆังที่สูง 122.5 เมตร ซึ่งถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดและเป็นสัญลักษณ์ของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
หอระฆังของ Peter and Paul Cathedral จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีความสวยงามมากๆ เมื่อมีแสงอาทิตย์ตกกระทบยอด ด้านหน้าโบสถ์เป็นลานกว้างที่มีไว้เพื่อการจัดทำกิจกรรมต่างๆเรียกว่า Cathedral Square
โรงกษาปณ์ของรัสเซีย
การเข้าชมสามารถไปซื้อได้ที่อาคาร Boat House อาคารเล็กๆ ที่ไม่ไกลกัน ราคาตั๋วแบบ combination อยู่ที่ 600 RUB คือสามารถชม Peter and Paul Cathedral and Grand Ducal Burial Chapel, Trubetskoy Bastion Prison, History of St Petersburg-Petrograd. 1703-1918 และ History of Peter and Paul Fortress ด้วย เราก็เลยเลือกอันนี้ค่ะ เพราะหากชมแค่ Peter and Paul Cathedral and Grand Ducal Burial Chapel อย่างเดียวก็ 450 RUB แล้ว
Boat House
เมื่อได้ตั๋ว เราก็เข้าชมภายใน Peter and Paul Cathedral กันก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวค่อยไปชมสถานที่อื่นๆ
ภายในของ Peter and Paul Cathedral จะใช้ช่างศิลป์จากมอสโคว์มากกว่า 40 คน โดยมีการตกแต่งด้วยโมเสกและแชนเดอเลียร์ไว้อย่างงดงามอลังการ ด้านในเน้นสีเขียวขาวเป็นหลัก ส่วนอื่นๆ ก็จะประดับประดาด้วยสีทองอร่ามไปหมด
ที่นี่เป็นสถานที่พำนักสุดท้ายของสมาชิกแห่งราชวงศ์โรมานอฟ ทั้งของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช และพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์ Romanov รวมทั้งซาร์หรือกษัตริย์ยุคสุดท้ายของรัสเซีย โลงเก็บพระศพทุกโลงเป็นโลงหินอ่อนสีขาวพิพิธภัณฑ์ที่ใช้ฝังหลุมพระศพ โลงเก็บพระศพของพระเจ้านิโคลัส ที่ 2 และครอบครัวซึ่งถูกปลงพระชนม์ในช่วงที่มีการปฏิวัติในปี 1918 จะอยู่ภายในห้องสวดมนต์เซนต์แคธเธอรีน
หากเดินไปอีกทางหนึ่งจะมีการจัดแสดงเรื่องราวการฝังพระศพ และพระราชพิธีต่างๆ ที่จัดขึ้นภายในมหาวิหารแห่งนี้
เมื่อชมความงดงามจากที่นี่กันจนพอใจ เราออกเดินเลาะแนวรั้วยาวของป้อมไปเพื่อไปชมที่ตั้งของเรือนจำ Trubetskoy Bastion ซึ่งเคยเป็นที่คุมขังนักโทษ
ทางเดินสู่เรือนจำ Trubetskoy Bastion
เข้าทางนี้ได้เลยค่ะ
มีนักโทษชื่อดังมากมายที่ถูกคุมขังที่นี่ หน้าห้องจะมีติดรูปและระยะเวลาที่ถูกคุมขังไว้ชัดเจนค่ะ บางคนถูกขังไว้นานหลายสิบปีเลย มีทั้งหญิงและชาย สามารถเดินไปตามทางเดินยาวในตึกซึ่งเคยเป็นเส้นทางเดินของนักโทษที่อิดโรย และชมห้องอันว่างเปล่าที่เคยกักขังนักโทษเอาไว้อย่างโดดเดี่ยว บรรยากาศชวนให้คิดถึงบรรยากาศในอดีตให้หวิวๆ โหวงๆ ดีที่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเดินชมอยู่กับเราด้วย และยังเป็นเวลาที่แดดเปรี้ยงๆ ถ้าเดินเที่ยวตอนเย็นๆ บรรยากาศคงหลอนๆ พิกล เพราะแต่ละห้องมีเอกสาร รูปภาพ และสิ่งของจัดแสดงที่จะทำให้สัมผัสได้ว่าชีวิตของนักโทษในยุคนั้นเป็นอยู่อย่างไร ว่ากันว่า นักโทษคนแรกคือ ซาร์เรวิช โอรสองค์โตของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชนั่นเอง เพราะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่ลงรอยกันมาตลอด
ชุดนักโทษ
นึกถึงความเหน็บหนาวแล้ว ไม่รู้นักโทษอยู่อย่างไรกัน
จำลองเหตุการณ์ของผู้คุมไว้ให้ชมด้วย
ห้องอาบน้ำของนักโทษและลานออกกำลัง
การลงโทษนักโทษ
จากนั้นก็ไปเดินชมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของป้อมแห่งนี้และประวัติศาสตร์ของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งทั้งสองแห่งจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ วัสดุ เครื่องไม้เครื่องมือเก่าๆ ที่ช่วยบอกเล่าเรื่องราวของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กและป้อมปราการแห่งนี้ให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของป้อมปราการแห่งนี้
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในอดีตที่เก็บรวบรวมมา
ข้าวของเหล่านี้ จัดแสดงเพื่อให้เห็นความเป็นอยู่ของคนในสมัยก่อน
มีข้าวของเครื่องใช้ทุกประเภท
รูปปั้นกระต่าย มีให้เห็นทั่วไป
เมื่อชมทุกสถานที่ครบตามที่ซื้อตั๋วมา ก็พากันเดินออกไปด้านนอกกำแพงเพื่อชมวิวริมแม่น้ำเนวา จะเห็นสะพาน Trinity Bridge (Тро́ицкий мост) และพระราชวังฤดูหนาว (Winter Palace) ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า The State Hermitage Museum (Зи́мний дворе́ц) ซึ่งถูกจัดลำดับให้เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
บริเวณกำแพงด้านนอก สามารถเดินเลาะไปเรื่อยๆ ได้
Trinity Bridge
The State Hermitage Museum
หลังจากยืนชมวิวสักพักก็พากันเดินเลาะริมกำแพงแล้วกลับออกไปด้านหน้า จากนั้นก็เดินข้ามสะพาน Trinity Bridge กลับไปยังเขตเมืองเพื่อไปชมความงามของ The Hermitage กันใกล้ๆ ค่ะ แต่สำหรับวันนี้คงหมดโอกาสเข้าแล้วเพราะเหลือเวลาอีกประมาณชั่วโมงครึ่งก็จะปิดแล้ว เพราะเขาเปิดตั้งแต่เวลา 10.30-18.00 น. และทริปนี้ของเราก็คงหมดโอกาสเข้าชม เพราะพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันที่เขาปิด ดังนั้น ขอแค่ชมความงามของตัวอาคาร สถาปัตยกรรมภายนอกเท่านั้นพอ งานนี้คงต้องมีมาซ่อม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นจริงๆ ในปี ค.ศ.1764 เพราะเป็นปีแรกที่พระนางแคทเธอรีนมหาราชได้เริ่มซื้องานศิลปะเข้ามาสะสมที่พระราชวังแห่งนี้ งานศิลปะที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีมากกว่า 3,000,000 ชิ้น ซึ่งว่ากันว่าถ้าจะดูให้ครบทุกชิ้นจะต้องใช้เวลาถึง15 ปีเลยทีเดียว แล้วเรามีเวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง จะเข้าไปทำไมกัน พวกเราจึงคิดว่าเราตัดสินใจถูกค่ะ
เมื่อมองจากฝั่งตรงข้าม
เมื่อเราเดินมาถึง The Hermitage นอกจากพวกเราจะเดินแหงนชม พระราชวังโทนสีเขียว–ขาวสถาปัตยกรรมบาโรกที่ตัวอาคารมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีห้องพันกว่าห้อง และมีความสูงตระหง่านจนทำให้คอตั้งบ่ากันแล้ว
เราก็ยังเดินเข้าไปชมด้านในซึ่งมีสวนเล็กๆ ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจกันด้วย ทำให้เห็นว่า สวนนี้อยู่ตรงกลางและถูกล้อมรอบไว้ด้วยห้องหับต่างๆ ของอาคารพระราชวัง และหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าบานหน้าต่างแต่ละช่วงชั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างกันชัดเจน
จาก The Hermitage เราเดินออกมากลางลานที่ในวันนี้มีเต็นท์หลังการจัดกิจกรรมอะไรสักอย่าง ทำให้ลานกว้างๆ ด้านหน้าของพระราชวังที่เรียกว่า Palace Square ดูคับแคบลงและรกไปหมด นอกเหนือไปจากผู้คนที่หนาตา ซึ่งก็คงเป็นธรรมดาของฤดูท่องเที่ยว และเป็นช่วงที่ฟุตบอลโลกใกล้จะมาถึงบรรยากาศจึงคึกคักไปหมด แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังสะดุดตากับความสูงตระหง่านของ Alexander Column เสาหินที่ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะของกองทัพรัสเซียที่มีต่อกองทัพของพระเจ้านโปเลียนที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ดี
ตรงกลางลาน Palace Square เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ดังนั้น จึงมีพวกที่แต่งมาสคอตต่างๆ หรืออาจเป็นชุดยุโรปแบบย้อนยุค หรือแม้แต่สาวสวยหน้าตาดี นุ่งชุดสวยๆ รัดรูปเก๋ๆ มีทุกรูปแบบมาเดินเตร็ดเตร่ เพื่อเรียกเก็บเงินกับนักท่องเที่ยวที่มาถ่ายรูปด้วย และสนนราคาก็ไม่ใช่น้อยนะคะ เผลอไปถ่ายกับเขาเข้าจ่ายแพงเหมือนกันเท่าที่อ่านๆ มา และดูธุรกิจนี้จะเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูมากในย่านท่องเที่ยวสำคัญๆ เพราะไปที่ไหนก็จะเห็นคนพวกนี้ตลอด แต่มีคำเตือนมาค่ะว่าให้ระมัดระวังกับคนพวกนี้ เพราะถ้าเผลอไปถ่ายพวกเขาแล้วไม่จ่ายเงินหรือบางทีเราไม่ได้อยากจะถ่ายรูปกับพวกเขาหรอก แต่เขาก็จะมาต้อนหน้าต้อนหลังกันเป็นแก๊งค์ ถ้าได้เงินในราคาที่ไม่พอใจก็อย่าหวังว่าเขาจะจากไปง่ายๆ ดังนั้น ใครจะมาพึงระมัดระวังด้วยค่ะ
นอกจากนี้ยังมีบริการรถม้าที่จะพาเที่ยวไปรอบๆ บริเวณ แต่อย่างเราแค่ไปยืนเก็บภาพเป็นที่ระลึกก็คงพอ
สำหรับฝั่งตรงข้ามกับ The Hermitage ที่เป็นตึกสีเหลืองที่เห็นคือ อาคารเสนาธิการทหาร (General Staff Building) ถือเป็นส่วนหนึ่งของ The Hermitage เป็นอาคารรูปทรงโค้งทอดยาว ตกแต่งด้วยรถม้าชัย และรูปปั้นนักรบ
มีให้เช่าด้วยค่ะ สำหรับคนที่ไม่อยากเดิน
เดินเที่ยวกันเหนื่อยแล้วค่ะ เราตั้งใจจะหาที่พักขากันแล้วจึงพากันเดินกลับไปยังถนน Nevsky Prospekt เพราะหนูเล็กมีลายแทงที่ร้านขายขนมแห่งหนึ่งที่หาข้อมูลมาว่าขนมอร่อย ราคาไม่แพง ไปกันค่ะ ร้านอาจจะเดินไกลสักนิด เพราะต้องเดินเลยจากร้าน Café Singer ที่เราไปนั่งกันเมื่อวาน อีกประมาณ 800 เมตร
จัดงานต้อนรับฟุตบอลโลก 2018 ที่จะมาถึง
ร้านนี้คือร้าน Sever (CeBep) เมื่อเข้าไปในร้านยอมรับเลยค่ะว่าละลานตากับเค้กของร้านนี้เหลือเกิน มีมากมายนับร้อยรายการได้ ราคาก็ไม่แพงค่ะ และเมื่อสั่งมาทานก็เอร็ดอร่อยสมกับที่สู้อุตส่าห์ดั้นด้นมา ทำให้เราใช้เวลากับที่นี่เป็นนาน ถือโอกาสพักขาหลังจากเดินเที่ยวเล่นมาตั้งแต่เช้า
เมื่ออิ่มอร่อยกันแล้ว เราพากันเดินต่อไปอีกไม่ไกลก็จะเจอสะพานหัวม้าค่ะ หากมีเวลาก็แวะมาชมเสียหน่อย นี่คือสะพาน Anichkov Bridge ซึ่งเป็นสะพานที่เก่าแก่และโด่งดังที่สุดที่ใช้ข้ามแม่น้ำ Fontanka River รูปปั้นม้าทั้ง 4 ที่มุมของสะพานถือว่าเป็นจุดเด่นของสะพานแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นบนโครงสร้างไม้เก่า รูปปั้นม้าทั้ง 4 มุมมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันค่ะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักแวะมาเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งหนูเล็กก็วนเก็บจนครบทั้ง 4 มุม
จากมุมนี้จะเห็นม้า 2 ตัว
ก่อนจะเดินทางกลับที่พัก ให้บังเอิญเดินผ่านสวนแห่งหนึ่ง มีอนุสาวรีย์ Catherine the Great ตั้งอยู่กลางสวนสวย พระนางแคทเธอรีนหรือสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถแคทเธอรีนที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงเป็นจักรพรรดินีนาถที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดและครองราชย์ยาวนานที่สุดของรัสเซีย จึงได้รับการยกย่องมาก พระองค์ทรงดำเนินรอยพระบาทตามพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ปฏิรูปรัสเซียให้เข้าสู่ความทันสมัยตามแบบฉบับชาติยุโรปตะวันตก นอกจากนี้ยังทรงขยายดินแดน พัฒนาเรื่องการศึกษา และศิลปะวัฒนธรรม ในยุคของพระนางถือว่าเป็นยุคทอง เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของจักรวรรดิรัสเซีย พระนางเป็นชาวปรัสเซีย หรือ ชาวเยอรมัน แต่ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้าปีเตอร์ที่ III พระราชนัดดา(หลาน) ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานโดยพระราชเสาวนีย์ของพระนางแคทเธอรีนที่ 2 เอง
ด้านหลังของสวนแห่งนี้คือ Alexandrinsky Theatre (Александринский театр) หรือ Russian State Pushkin Academy Drama Theater โรงละครรัสเซียที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีรถทัวร์พานักท่องเที่ยวมารอเข้าชมอยู่หลายคัน ผู้เข้าชมส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นผู้สูงอายุและแต่งตัวกันหล่อๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลย
สมาชิกหลายคนเริ่มหมดแรงค่ะ ก็เลยเดินทางกลับที่พัก แต่สำหรับพี่ใหญ่กับหนูเล็กยังมีแรงค่ะ ขอไปกันต่อเพราะจะไปดูลาดเลาสำหรับแผนเที่ยวของพวกเราในวันพรุ่งนี้ ก็เลยพากันนั่งรถไฟใต้ดินสายสีฟ้าไปยังสถานี Moskovskaya และเมื่อเดินทางไปถึงก็ออกไปยังลานกว้างซึ่งบริเวณนี้เรียกว่า จัตุรัสมอสโคว์ (Moskovskaya Ploshad) เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ของ Vladimir Lenin บริเวณนี้มีการติดตั้งน้ำพุไว้หลายจุดค่ะ มีทั้งแบบธรรมดา กับแบบที่มีลูกเล่นแบบนั้นแบบนี้ด้วย นั่งดูแล้วเพลินเลย จริงๆ เขาเปิดไฟไว้ด้วย แต่เป็นเพราะฟ้าไม่ยอมมืดในฤดูนี้ จึงทำให้น้ำพุไม่เป็นสีสวยๆ เหมือนเวลาเปิดในฤดูหนาวซึ่งฟ้ามืดเร็ว น่าเสียดายจริง
ด้านหลังของอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นอาคารขนาดใหญ่ นี่คือ House of Soviets อาคารสำนักงานที่สร้างในสไตล์สตาลินวางแผนไว้ว่าจะใช้เป็นอาคารของสหภาพโซเวียตที่จะเป็นเจ้าภาพในการบริหารรัฐบาลโซเวียตเลนินกราด การก่อสร้างเสร็จสิ้นก่อนที่นาซีจะบุกสหภาพโซเวียตเมื่อต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารนี้จึงไม่เคยได้ใช้ตามวัตถุประสงค์เลย ในปี ค.ศ.1941 ถูกใช้เป็นที่ตั้งของกองทัพโซเวียตในช่วงถูกบุกโจมตีเลนินกราด และต่อมาก็ถูกเปลี่ยนเป็นสถาบันวิจัยเกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์เกี่ยวกับวัตถุทางทหาร
เราสองคนนั่งเล่นกันบริเวณนี้สักพักก็ออกเดินทางกลับค่ะ เพราะมาดูลาดเลาสำหรับแผนเที่ยวพรุ่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ขอกลับไปนอนเอาแรงสำหรับวันสุดท้ายในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กดีกว่า
ติดตามการเดินทาง แวะชมรูปถ่ายและไปทักทายกับพี่ใหญ่และหนูเล็กกันได้ค่ะ ที่ https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.44 น.