ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา โบรโม่ อิเจี้ยน เป็นชื่อที่ผ่านหูผ่านตามาเนืองๆ จากรูปรีวิวต่างๆ

เราก็ไม่แปลกใจที่สถานที่แห่งนี้จะเป็นที่นิยมอย่างมาก ด้วยวิวอลังการ การเดินทาง และราคา

ก็ทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากเย็น และแน่นอนว่า เราอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง!!


การเดินทางสำหรับที่นี่นั้น การเช่ารถพร้อมคนขับดูจะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกมากที่สุด

และสามารถจัดสรรเวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดได้ แต่อาจไม่เหมาะกับการเดินทางคนเดียว

เราจึงปฏิบัติการหลอกล่อเพื่อนร่วมทริปมาได้อีก 2 คน ทริปนี้จึงบังเกิดขึ้นในที่สุด

เราจัดแจงจองตั๋วเครื่องบินข้ามปี โดยใช้บริการของ Airasia

ขาไปจาก กรุงเทพ - สุราบายา นั้นจะต้องแวะต่อเครื่องที่มาเลเซียก่อน

ส่วนขากลับเราบินตรงจากบาหลี - กรุงเทพ

โดยเราเดินทางระหว่างวันที่ 26-31 พฤษภาคม 2561 ค่ะ


หลังจากจองตั๋วจนลืม ราวๆ กุมภาพันธ์ จึงเริ่มมาจัดแจงจองสิ่งต่างๆ

อย่างแรกเลยก็คือติดต่อไกด์และรถค่ะ เราได้อีเมลไปสอบถามเจ้าเดียวคือ Arif

ซึ่งตอบกลับรวดเร็วประจับใจ ราคารับได้ ก็เลยตกลงอย่างรวดเร็ว


อันนี้เป็นแผนเที่ยวที่ Arif ส่งมาให้นะคะ

"26 may 2018

08.00 pm : Arrive at Surabaya Airport

09.00 pm : go to Bromo

27 may 2018

02.00 am : Midnite and not stay hotel

03.00 am : Bromo Tour 4 location, Pananjakan 1, Bromo Crater, Savana, and Wispering sand

10.00 am : go to Madakaripura waterfall

01.00 pm. : go to hotel at bromo

03.00 pm : Chek in hotel near bromo

28 may 2018

04.00 am : Sun Rise at Seruni Point

07.00 am : back to Hotels and breakfast

09.00 am : check out and go to Ijen

03.00 pm : Chek in hotel at ijen

29 may 2018

01.00 am : trecking to ijen crater

08.00 am : back to my car and go to ketapang ferry port

10.00 am : ketapang ferry port

- Finish-"


ราคาอยู่ที่ 8,500,000 รูเปีย สำหรับ 3 คน และจะต้องจ่ายมัดจำก่อน 1,000,000 รูเปีย

โดยโอนผ่าน Western Union ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร

สามารถทำได้ที่ธนาคารกรุงไทยที่มีโลโก้เวสเทิร์นฯ แปะไว้ค่ะ

ในแพคเกจนี้รวมหลายสิ่งได้แก่ที่พัก 2 คืน ค่าน้ำมันต่างๆ ค่ารถจี๊ป ค่าเข้าสถานที่

ค่าไกด์ท้องถิ่น เอาเป็นว่ามีแค่ค่าอาหารนั่นแหละที่ไม่รวม


ด้วยความที่อะไรดลใจทำให้เราเลือกไฟล์ทกลางคืนก็ไม่ทราบได้ แถมพอใกล้ๆ

ไฟล์ทโดนเลื่อนไปดึกกว่าเดิมเสียอีก ในวันที่ 26 เราไปถึงสุราบายาจริงๆ ราวๆ ห้าทุ่ม

ซึ่งเราได้ไลน์ไปแจ้งอารีฟไว้ก่อนแล้ว


ด้วยความที่ไฟล์ทดึก ชาวต่างชาติน้อยมาก จึงผ่าน ตม. มาด้วยความรวดเร็ว

เมื่อเดินออกมาก็เจอคนขับรถของเราชูป้ายชื่อเรารออยู่ค่ะ อารีฟส่งคนขับรถชื่อว่า Udin มาให้

อูดินของเรา สื่อสารอังกฤษพอใช้ได้ เป็นคนนิ่งๆ ขรึมๆ แต่ดูแลเราอย่างดีตลอดทริป

ชอบถ่ายรูปให้ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เราประทับใจมาก

พ่อหนุ่มเสื้อแดงนามว่าอูดิน


จากสนามบินเราก็จะตรงดิ่งไปที่โบรโม่ทันทีค่ะ เราหลับๆ ตื่นๆ ก็รู้สึกได้ว่ารถกำลังขึ้นเขา

เห็นพระจันทร์สว่างมาก มันสวยจนไม่อยากจะนอนต่อ

เรามาถึงรีสอร์ทที่เราจะพักราวๆ ตี 3 แต่ยังไม่ได้เช็คอินนะ

แค่มาแวะเข้าห้องน้ำและเปลี่ยนไปขึ้นรถจี๊ปเพื่อไปจุดชมวิวค่ะ

รถจี๊ปขับตามๆ กันมาเป็นขบวน ตอนขึ้นเขาก็ลุ้นนิดนึงเพราะมันชันมาก

สิ่งที่เราประมาทและไม่คาดคิดอย่างแรงก็คือ อากาศ!

คณะเราทำการบ้านไม่ดีเท่าไรนัก ประมาทกับอากาศที่นี่มาก จึงเตรียมมาแค่เสื้อกันหนาวบางๆ คนละตัว

เรายังโชคดีที่พกเสื้อกันลมบางๆ มาอีกตัว ไม่งั้นไม่รอดบอกเลย หนาวมากก ลมแรงมากกก


ท้องฟ้าปรอดโปร่งเห็นดาวเต็มฟ้า ขนาดว่าเห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่าได้

อูดินแนะนำจุดที่ดีในการเฝ้าถ่ายรูป เราก็เชื่อฟัง เรายืนรอพระอาทิตย์ขึ้นใจจดใจจ่อ

แม้จะหนาวมากก็ไม่สะท้านแต่อย่างใด มายืนรอตั้งแต่ยังไม่มีคนเท่าไร

ระหว่างรอมันมืดจนดูไม่ออกว่าตรงไหนคือโบรโม่ ฮาา

แต่ก็กดถ่ายดาวไปพลางๆ ด้วยกล้องตัวจ้อย


วิวมันสวยจนรู้ว่าถ่ายภาพยังไงก็ไม่มีทางสวยเท่าที่ตาเห็น มันคือความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่แท้

หลังจากดื่มด่ำ เซลฟีกันประมาณนึงก็ได้เวลาลงจากเขาเพื่อไปขึ้นปากปล่องโบรโม่ค่ะ

ระยะทางประมาณกิโลกว่าๆ ได้มั้ง ณ จุดนี้ ใครจะเดินหรือขี่ม้าก็แล้วแต่กำลังของแต่ละคน

แต่ม้าไปส่งได้แค่ก่อนถึงบันไดเท่านั้นเอง

กลิ่นกำมะถันแรงพอสมควร ถ่ายรูปเสร็จก็รีบลงกันเถอะ

หลังจากจุดนี้ก็นั่งรถจี๊ปไป savanna ค่ะ

ต่อด้วย whispering sand ซึ่งเป็นจุดที่ชอบมากเหมือนกัน

จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ก็คือ Madakaripura waterfall เรากลับรีสอร์ทไปเปลี่ยนเป็นรถคันเดิม

อูดินก็ขับพาไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ เราหลับตลอดทาง เพราะเริ่มเพลียแล้ว

ที่น้ำตกจะต้องนั่งมอเตอร์ไซต์เข้าไปค่ะ ทางอูดินได้ติดต่อไกด์ท้องถิ่นกับมอเตอร์ไซต์ให้แล้ว

ณ ตอนนี้จะมีเด็กๆ มาขายเสื้อกันฝน เราก็คิดว่ามันจะเปียกซักแค่ไหนกันเชียว

หลังจากเดินเท้าเข้าไปประมาณ 2 กิโล สุดท้ายก็ยอมแพ้ต้องซื้อเสื้อกันฝนจนได้ เพราะห่วงกล้องนี่แหละ

ก็ดูสิ อย่างกับเรนชาวเวอร์อย่างนี้จะไม่เปียกได้ไง


น้ำตกที่นี่ดีงาม เหนือความคาดหมายอีกแล้ว


แม้จะเหนื่อยและเพลียกับการอดนอนและอากาศร้อน (แต่ที่โบรโม่หนาวแทบแย่ อากาศงงเว่อ)

น้ำตกแห่งนี้ก็คุ้มค่าในการมาเยี่ยมชมนะคะ ได้เวลากลับไปพักผ่อนซะที เย้


เราพักที่รีสอร์ท Cemara indah ที่วิวดีมาก จนคิดว่าเราลำบากขึ้นเขากันทำไม

มื้อเย็นก่อนเข้านอนก็ขอลองสะเต๊ะสักหน่อย



คืนนี้เข้านอนตั้งแต่ 1 ทุ่ม เพราะความเพลีย และมีนัดกับอูดินตอนตี 4 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

เป็นชุดชมวิวโบรโม่อีกจุดหนึ่งค่ะ ที่ต้องออกแรงขาเดินขึ้นไปหน่อย แน่นอนว่ามีม้าบริการ

จริงๆ แล้วสามารถขึ้นไปได้อีก แต่ทางไม่ดี และเราเกือบกลิ้งกลุกๆ ลงมา

แต่จุดที่ดูก็โอเคละนะ ดูยังไงก็ไม่เบื่อเลยวิวนี้



และแล้วก็ถึงเวลาต้องลาจากกัน

หลังจากเช็คเอ้าท์และทานอาหารเช้า เราก็นั่งรถยาวๆ ไปยังที่พักอีกแห่งหนึ่งคือ Ijen view

ถือว่าเป็นวันพักผ่อน ไม่มีกำหนดการอะไร เพราะพรุ่งนี้จะต้องออกตั้งแต่ตี 1 เพื่อไปขึ้น kawah ijen ค่ะ


หมายเหตุ - ช่วงที่เรามานั้น เป็นเดือนรอมฎอนพอดิบพอดี การหาอาหารกลางวันเป็นเรื่องยากยิ่ง

ร้านข้าว warung ต่างๆ จะเปิดกันเย็นๆ ค่ำๆ ใครที่มาช่วงนี้ก็ควรวางแผนกักตุนขนมให้ดีนะ


วันถัดมามีเรื่องนิดหน่อย จากการสื่อสารผิดพลาดของคณะลูกทัวร์ ทำให้การเดินทางล่าช้าไป 45 นาทีได้

และมันก็มีผลกระทบไปเป็นทอดๆ ที่ทำให้เราเซ็งไปเหมือนกัน

การขึ้น Ijen นั้น อูดินได้ว่าจ้างไกด์ไว้ให้ชื่อว่า แฮร์รี่

เราจำระยะทางไม่ได้แน่ชัด จำได้คร่าวๆ ว่า 3 กิโลโดยประมาณ จึงจะถึงปากปล่อง

เราไปถึงที่นั่นค่อนช้าเพราะเลท ทำให้ต้องเดินทำเวลา แต่ความเป็นจริงคือหอบแฮก และเดินสปีดเต่า

ที่นี่ไม่มีม้านะคะ แต่มีรถเข็นพร้อมคนลากจูงรับจ้างเป็นแท็กซี่ ราคาไม่ใช่เล่น

แท็กซี่คงหมายหัวเราไว้แล้วล่ะ ว่าสารร่างแบบนี้ไม่น่ารอด เดินประกบตั้งแต่ข้างล่างเลยจ้า

ด้วยความเดินช้า ไกด์เราก็กลัวจะไม่ทันได้ดูอะไร เลยโน้มน้าวให้เราขึ้นแท็กซี่ เอ้า ก็ได้ฟะ

จริงๆ เราเดินได้นะ ถ้าไม่มีเรื่องเวลามาเร่งรัด ค่อยๆ ไต่เดี๋ยวก็ถึง แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากการสายเอง

แฮร์รี่รีบวิ่งล่วงหน้าไปเพื่อจะไปถ่าย Blue flame มาให้ เพราะแสงอาทิตย์มาเมื่อไรก็จะไม่เห็นแล้ว


เราไปถึงเกือบสว่างแล้วจริงๆ นั่นล่ะ



ทะเลสาบสีฟ้าให้เวลาเราชื่นชมไม่นาน เมฆหมอกก็ไหลลงมาตามปากปล่องจนขาวโพลนไปหมด

บ่งบอกว่าเราได้เวลากลับแล้ว




หลังจากลงมาจาก Ijen วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่เกาะชวาแล้วค่ะ

อูดินขับรถไปส่งที่ท่าเรือ Ketapang เพื่อนั่ง ferry ไปยังเกาะบาหลี

เราจะอยู่ที่บาหลีอีก 2 วันก่อนกลับกรุงเทพ แต่เรื่องราวที่บาหลีขอรวบยอดไปในรีวิวถัดไป

เพราะเรายังมีการเดินทางไปบาหลีอีกครั้งที่ยังรออยู่ บ๊ายบาย เกาะชวา




ครั้งนี้ เป็นการเที่ยวอินโดนีเซียครั้งแรก และพบว่าอินโดนีเซียเป็นประเทศที่น่าสนใจมากๆ

มีธรรมชาติที่น่าประทับใจ และยังมีอีกหลายพื้นที่ที่น่าไปสำรวจ

อินโดนีเซีย ครั้งเดียวคงไม่พอ และเจอกันใหม่กับเรื่องราวจากบาหลีนะคะ


ความคิดเห็น