และแล้ววันอำลาก็เดินทางมาถึง แม้จะได้รับความสุข ความประทับใจ ความตื่นตาตื่นใจ และประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายจากแผ่นดินที่ไม่คุ้นเคยและห่างไกลบ้านหลายพันกิโลเมตรแห่งนี้ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อมีเริ่มต้นก็ต้องมีสิ้นสุดไม่เช่นนั้นการเดินทางท่องเที่ยวก็จะไม่มีคุณค่าและความหมายให้เราเฝ้ารอคอยการมาถึง ในเมื่อวันนี้เป็นวันสุดท้ายเราก็ใช้วันเวลาของวันนี้ให้คุ้มค่ากันดีกว่า

เช้าวันนี้แผนการเที่ยวของเราก็หลวมๆ แบบเมื่อวานค่ะ และก็คงเที่ยวกันแค่บ่ายๆ ก็คงกลับเข้าที่พักไปพักผ่อน เตรียมข้าวของก่อนที่จะเช็คเอาท์ออกจากที่พักราวหกโมงเย็นตามที่นัดหมายไว้กับ Host ผู้อารี เนื่องจากเธอไม่มีแขกเข้าพักต่อและเห็นว่าไฟล์ทของพวกเราจะบินกันก็ปาไปห้าทุ่มกว่า Host คำนวณเวลาให้เสร็จสรรพเลยว่า ออกเดินทางจากที่พักราวหกโมงเย็นไปยังสนามบินน่าจะเป็นเวลาที่สบายๆ กำลังดี ไม่เร่งรีบเกินไป จึงให้เราอยู่ใช้ที่พักได้จนถึงหกโมงเย็นจึงจะมารับกุญแจห้องคืน

เมื่อจัดการกับตัวเองกันเรียบร้อย เราก็ออกไปอำลามอสโคว์กันด้วยการเดินทางไปยังสิ่งก่อสร้างสำคัญอีกแห่งของรัสเซียค่ะ นั่นคือ ประตูชัย (Triumphal Arch) เราออกเดินทางจากที่พักโดยเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Belorusskaya (Белору́сская) บ้าง

สถานีนี้ตั้งชื่อสถานีตาม Belorussky Rail Terminal ที่ตั้งอยู่ด้านบนซึ่งเป็นสถานีรถไฟสำหรับเดินทางสู่ภาคตะวันตกมุ่งหน้าไปเบลารุส

จุดเด่นคือภาพโมเสคในกรอบแปดเหลี่ยมเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวเบลารุส ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

เรานั่งสายสีน้ำตาลไปต่อสายสีน้ำเงินเข้มที่สถานี Kiyevskaya (Киевская) ซึ่งสถานีนี้ก็ตั้งชื่อตาม Kiyevsky Railway Station ที่เชื่อมถึงกัน การตกแต่งในสถานีเป็นเรื่องราวมิตรภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน

หลังจากเก็บภาพสถานีรถไฟใต้ดินเป็นที่ระลึกกันเรียบร้อย เรานั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงินเข้มไปลงยังสถานีเป้าหมาย นั่นคือ สถานี Park Pobedy (Парк Победы) หรือจริงๆ ก็คือ Victory Park นั่นเอง

สถานี Park Pobedy เป็นสถานีที่เรียบแสนเรียบ ไม่มีดีไซน์อะไรเก๋ไก๋แบบที่ได้เห็นตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทำให้แอบผิดหวังนิดๆ

แต่ต้องบอกว่าเขาก็มีดีของเขาเหมือนกัน เพราะมีจุดขายโดดเด่นตรงที่ว่าตัวสถานีทำด้วยหินอ่อนสีขาวและเป็นสถานีที่ลึกที่สุดในมอสโคว์และยังลึกเป็นอันดับที่สี่ของโลก นั่นคือ มีความลึกมากถึง 97 เมตรหรือ 318 ฟุต ดังนั้น บันไดเลื่อนของที่นี่จึงเป็นบันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในยุโรปคือ 126 เมตร มีขั้นบันไดทั้งสิ้น 740 ขั้น เมื่อลองจับเวลาจะพบว่าการเดินทางจากใต้ดินสู่ตัวสถานีด้านบนต้องใช้เวลาประมาณ 3 นาทีเลยทีเดียว

จากสถานีเราเดินออกมาเรื่อยๆ ตามป้ายที่เขียนว่า Triumphal Arch ได้เลย ระหว่างทางจะมีภาพเกี่ยวกับการฉลองชัยชนะ

เมื่อโผล่ขึ้นมา เราก็จะพบว่า เรามาอยู่ตรงกลางถนน Kutuzovsky Prospekt ที่บริเวณ Ploschad Pobedy หรือ Victory Square ประตูชัยนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะแก่กองทัพรัสเซียปกป้องมาตุภูมิจากกองทัพนโปเลียน ซึ่งเดิมสร้างขึ้นด้วยไม้เมื่อปี ค.ศ.1814 บริเวณ Tverskaya Zastava ก่อนจะปรับเปลี่ยนมาเป็นหินอย่างที่เห็นในปัจจุบันใน 12 ปีให้หลัง

ไม่ไกลกันจะมองไปเห็นลานโล่งกว้างของ Park Pobedy (Парк Победы) แต่เราต้องมุดใต้ดินกลับไปใหม่ เพื่อข้ามถนนไป เมื่อไปโผล่ด้านบนบริเวณนี้คือ Victory Park เป็นเนินเขาสูงของมอสโคว์ที่เรียกว่า Poklonnaya Gora (Покло́нная гора́) ด้านซ้ายจะเจอนาฬิกาดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สดของโลก หน้าปัทม์กว้าง 10 เมตร บอกเวลาท้องถิ่น ตรงนี้จะมีสิ่งก่อสร้างหลายอย่าง แต่ละอย่างมีความหมายเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง

สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของทหารโซเวียตในโอกาสครบรอบ 50 ปีของสงครามโลกครั้งที่สอง ด้านขวาเป็นน้ำพุเรียงแถวอยู่ด้านหน้าของ Monument Petry Velikomu (Monument to Peter the Great) หรือ Victory Monument และ Central Museum of the Great Patriotic War ตอนกลางคืนตรงน้ำพุจะเปิดไฟสีแดง เป็นสัญลักษณ์ของเลือดที่หลั่งไหลในช่วงสงคราม

มีเสาหิน obelisk สูง 141.8 เมตร ตั้งเด่นสูงอยู่ด้านหน้าความสูงของเสาแสดงถึงจำนวน 1,418 วัน 1,418 คืนในช่วงสงครามอันยาวนาน

ที่ฐานของเสามีรูปปั้น Saint George Slaying the Dragon สังหารมังกรบนแท่นหินแกรนิต ฟันคอขาดเป็นท่อนๆด้านบนเป็นเทพไนกี้ เทพแห่งชัยชนะ ตัวพื้นเสาเป็นภาพสลักเล่าเรื่องราวของสงคราม

ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บนเนินเขา Poklonnaya ดังนั้น เมื่อยืนที่ลานกว้างแห่งนี้สามารถมองเห็นไกลไปถึง Moscow International Business Center เลยทีเดียว

ในบริเวณนี้ยังมีศาสนสถานอีกด้วย นั่นคือ วิหารเซนต์จอร์จ (St. George Church) ซึ่งเป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์แห่งเดียวบนเนินเขา Poklonnaya Gora แห่งนี้ โบสถ์แห่งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบรัสเซียยุคเก่าและยุคใหม่เข้าด้วยกัน สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับวีรบุรุษและเหยื่อจากสงคราม Patriotic ระหว่างปี ค.ศ.1941-1945

หลังจากเดินเล่นชมบรรยากาศบริเวณนี้กันสักพัก เนื่องจากมีสวนหย่อมเล็กๆ ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจได้ มีร้านขายอาหารว่าง และมีบริการให้เช่าจักรยานด้วย พวกเราไม่มีไรทำกันแล้วก็เลยเดินทางกลับออกมา

เหลือบตาดูนาฬิกาเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว จากสถานี Park Pobedy เลยจะแวะลงสถานี Smolenskaya (Смоленская) ลองเปลี่ยนบรรยากาศดูว่าแถวสถานีนี้มีอะไรให้เป็นอาหารกลางวันได้บ้าง

สถานี Park Pobedy

เดินทางกลับละทีนี้

เมื่อมาถึงสถานี Smolenskaya เราก็อดไม่ได้ที่จะขอแวะเก็บภาพสถานีอีกเป็นการทิ้งทวน สถานีนี้อลังการด้วยเสาที่ทำด้วยหินอ่อนสีขาว เดิมเป็นสถานีที่ลึกที่สุดของสายสีน้ำเงินเข้มนี้ แต่พอสถานี Park Pobedy เปิดใช้งาน สถานีนี้ก็เลยตกอันดับไป ความลึกของสถานี 50 เมตร หรือ 160 ฟุต ลึกไม่ใช่น้อยเลย

ความสนุกในการมาเที่ยวมอสโคว์ แค่เดินทางเก็บภาพสถานีรถไฟใต้ดินก็เป็นเรื่องสนุกแล้วจริงๆ แต่ละแห่งมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่แค่ศิลปะการตกแต่งตามผนังที่น่าสนใจ การใช้วัสดุชั้นดี ราวการสร้างงานสถาปัตยกรรมชั้นยอด ยังมี Chandelier (โคมระย้า) ของแต่ละสถานีที่สวยงาม และไม่เหมือนกันเลยสักที่ ไม่รู้จะอลังการไปไหน ต้องเสียเวลากับแต่ละสถานีแบบนี้ทุกที

สถานี Smolenskaya

ตัวอาคารสถานี Smolenskaya

เมื่อบันทึกภาพสถานีกันเสร็จ ปรากฏว่า พอก้าวเท้าออกจากสถานีเห็นร้านบริการตัวเอง My My อยู่หน้าสถานีเลย เช่นนั้นจะรออะไร จัดเลยดีกว่า อาหารรสชาติพอทานได้ ราคาก็ไม่แพงอีกด้วย หลังจากอิ่มหมีพีมันก็ออกมาเดินวนๆ เล่นแถวๆ สถานี


ตึกกระทรวงการต่างประเทศใกล้ๆ สถานี

และแล้ววันสุดท้ายก่อนอำลามอสโคว์ก็สร้างความทรงจำที่ไม่รู้ลืมให้กับพวกเรายิ่งกว่า 10 วันที่ผ่านมาเสียอีก เพราะหนึ่งในสมาชิกของเรารู้สึกเหมือนมีคนเดินมาชน และเมื่อหันไปมองหน้าคนที่เดินมาชน เขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกระเป๋าที่สะพายอยู่ก็เบาลง เธอนึกเอะใจจึงเปิดกระเป๋าดู กลายเป็นว่า โทรศัพท์มือถืออันตรธานหายไปแล้ว เธอจึงรีบบอกพวกเรา สมาชิกคนหนึ่งวิ่งตามชายชาวจีนคนดังกล่าวที่เดินเข้าไปในร้านขายของ เมื่อไปเจอจึงค้นตัวและตบไปที่กระเป๋ากางเกงพบว่ามีโทรศัพท์อยู่ เมื่อล้วงออกมาเป็นโทรศัพท์ที่โดนล้วงไปจริง ชายชาวจีนอาศัยจังหวะที่เราเผลอกำลังวุ่นวายวิ่งหนีเตลิดไปในตอนนั้นทันที เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก จนทำอะไรไม่ถูก ดีที่ว่าจดจำใบหน้าคนที่ล้วงกระเป๋าได้เราจึงได้ของคืน เพื่อนในกลุ่มพวกเราคนหนึ่งบอกว่า เมื่อเห็นหน้าทำให้นึกขึ้นได้ว่า เห็นคนนี้และกลุ่มเพื่อนเดินวนเวียนอยู่หน้าร้าน My My ตอนที่เราเดินออกมาหน้าร้าน ไม่คิดว่าจะเป็นพวกนักล้วงที่รอจังหวะพวกเราเผลอเพื่อจะเข้ามาล้วงกระเป๋า อดคิดไม่ได้เลยว่า ถ้ามีการทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น หรือมีเรื่องมีราวจนต้องไปสถานีตำรวจ เราซึ่งมีกำหนดกลับในค่ำวันนี้จะได้เดินทางกลับกันหรือเปล่า ไม่อยากจะคิดต่อเอาเลย นี่เป็นอุทาหรณ์สำหรับพวกเราเลยว่า ไปที่ใดก็ตามพึงระมัดระวังตัวไว้ตลอดเวลา เพราะทุกๆ สถานที่มีทั้งคนดีและคนไม่ดี นักล้วง นักฉกชิงวิ่งราวมีทุกที่ แค่รอจังหวะเวลาเท่านั้น สิ่งที่เขาเตือนๆ กันมาให้ระมัดระวังข้าวของมีค่าตลอดเวลาไม่ได้เกินความจริงเลย เพื่อนในกลุ่มเราก็ประมาทเองที่สะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง จึงล่อตาล่อใจคนพวกนี้ ซึ่งถ้าไปเจอพวกมืออาชีพจริงๆ บางครั้งมันจะส่งของต่อๆ กันไปจนเราไม่สามารถจับมือใครดมได้เลย และหากมีการทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น เรื่องคงจบลงแบบไม่สวยแน่นอน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทำให้พวกเราหมดใจที่จะเดินเล่นกันต่อ นับเป็นการทิ้งทวนวันสุดท้ายในรัสเซียที่ตื่นเต้นเกินไป ดังนั้น จึงเดินทางกลับที่พักไปพักผ่อนและเก็บข้าวของกัน ระหว่างการเดินทางกลับเราแวะร้านข้างทางซื้อของกันอีกเล็กน้อย เพราะคงเป็นการละลายเงินรูเบิ้ลครั้งสุดท้ายกันแล้ว ของติดไม้ติดมือของแต่ละคนเป็นอะไรกันบ้างไม่แน่ใจเหมือนกัน สำหรับหนูเล็กคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการซื้อของที่เข้าบรรยากาศฟุตบอลโลกที่จะมาถึงติดมือกลับมาเป็นที่ระทึกเสียหน่อย

มาสคอตฟุตบอลโลกปีนี้ หมาป่า Zabivaka แสนน่ารัก

Lay's รสปู เอาไว้มานั่งทานเวลาชมการถ่ายทอดฟุตบอลจะได้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งชมที่สนามในรัสเซีย

จากนั้นเราก็กลับมาเก็บข้าวของกัน จนเวลาหกโมงเย็น Host ก็มาตามนัดเพื่อมารับกุญแจอพาร์ทเมนท์คืน เมื่อเธอเข้ามา เธอตกอกตกใจที่ทุกสิ่งในห้องพักกลับคืนสู่สภาพเดิมพร้อมรับผู้เข้าพักรายใหม่ เธอบอกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยเจอผู้เข้าพักรายไหนเก็บให้ในลักษณะเช่นนี้มาก่อนเลย เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากๆ ในขณะที่พวกเราก็คิดแต่เพียงว่า พวกเรานับเป็นตัวแทนของประเทศไทย หากเราปฏิบัติไว้ดี นั่นก็หมายถึงชื่อเสียงของประเทศที่เขาจะได้เห็น การเดินทางไปยังที่ใด นั่นหมายถึงการนำวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และความเป็นไทยอันควรปฏิบัติติดตัวไปด้วยตลอดเวลาคือสิ่งที่พวกเราคิด อย่าให้เขาว่าได้ว่า เราคนไทย แต่ทำตัวไร้วัฒนธรรม มันคงไม่งดงามเลย

หลังจากร่ำลากับ Host เราก็ออกเดินทางสู่สถานีรถไฟใต้ดิน Belorusskaya (Белору́сская) เพื่อโดยสารรถไฟสายสีเขียวรวดเดียวสู่สถานี Domodedovskaya (Домодедовская) เพื่อไปต่อรถบัสสู่สนามบิน Domodedovo (Домоде́дово) การเดินทางใช้เวลาค่อนข้างนานราวครึ่งชั่วโมงเพราะเดินทางไปเกือบสุดสาย

สถานี Domodedovskaya เป็นสถานีที่ทำด้วยหินอ่อนสีขาว ตกแต่งด้วยธีมเกี่ยวกับการบินเพราะเป็นประตูสู่สนามบิน ก่อสร้างหลังจากสนามบิน Domodedovo แล้วเสร็จ

สถานี Domodedovskaya


เมื่อมาถึงเราต้องเดินออกทางท้ายขบวน ก็จะเจออุโมงค์ใต้ดินจากนั้นก็เดินตรงไปจนเกือบสุดทางก็จะพบทางลาดให้ลากกระเป๋าขึ้นได้โดยง่าย เขาทำไว้บริการเป็นอย่างดีสำหรับการเดินทางสู่สนามบินเลยทีเดียว

และเมื่อโผล่ขึ้นมาบนดินมองไปก็จะเห็นว่ามีรถบัสจอดอยู่ที่ริมถนน มีคนลากกระเป๋าเดินไปขึ้นเป็นระยะๆ ถ้าเป็นหมายเลข 308 ละก็ ไม่ต้องลังเลค่ะ ยกกระเป๋าใส่ใต้ท้องรถเลย คราวนี้หนูเล็กทำการบ้านมาอย่างดีไม่มีพลาดแบบขามาแล้ว เมื่อขึ้นรถไปก็จ่ายเงินที่คนขับรถก่อนที่จะไปหาที่นั่ง ค่าโดยสารแสนถูก คนละ 85 RUB เท่านั้นเอง ในขณะที่รถตู้คนละ 120 RUB ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอาแล้วกันค่ะ ถ้าพอมีเวลาเดินทาง การเดินทางด้วยรถบัสแบบนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่เลวเลย

นั่งชมวิวไปเพลินๆ มีจอดรับผู้โดยสารระหว่างทางบ้าง ไม่นานก็ถึงแล้วค่ะ เมื่อไปถึงก็ย้อนรอยทางเดิม กลับเข้าสนามบินเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านกันได้เลย

Roast chicken in a barbecue sauce - Seasonal Salad - Mango Cheese Cake

กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์


Mushroom and leek frittata - Seasonal Fruit - Fruit yoghurt

อาหารว่าง

ระหว่างการเดินทางกลับที่แม้จะอ่อนเพลียจากการเดินทาง จากเวลาที่แตกต่างก็ตาม แต่สำหรับหนูเล็กยากจะข่มตาหลับได้ง่ายๆ จริงๆ ความทรงจำมากมายผลัดกันผุดขึ้นมาในความคิดท่ามกลางความเงียบที่ผู้คนต่างหลับไหลในขณะที่แอร์โฮสเตสปิดไฟให้นอนแล้ว ถึงแม้ว่าทริปนี้ของพวกเราจะจบลงแบบไม่ค่อยสวยนัก แต่สิ่งละอันพันละน้อยที่ได้รับในแต่ละวันจากดินแดนแห่งนี้มันมีค่ามากพอที่จะทำให้เรื่องที่เกิดขึ้น ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่มีค่าที่จะให้ความสนใจอะไร นอกเสียไปจากใช้เป็นบทเรียนสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ ดีเสียอีกที่การเดินทางครั้งหนึ่งทำให้เราได้พบทั้งด้านดีและด้านร้าย เราจะได้เรียนรู้ว่า ในทุกๆ แห่งบนโลกใบนี้ ไม่มีที่ใดที่ดีที่สุดหรือดีกว่า แต่ทุกๆ ที่ต่างมีทั้งดีและร้ายคละเคล้ากันไปไม่ต่างกัน

การเดินทางของพี่ใหญ่กับหนูเล็กบนแผ่นดินอันยิ่งใหญ่อย่างรัสเซียจบลงแล้ว เป็นอีกครั้งที่เราได้รับอะไรมากมายจากการเดินทางครั้งนี้ ขอบคุณความทรงจำและประสบการณ์ทั้งหลายที่มอบให้กับเรา

"Russia"...My Remarkable Journey.....From Russia with Love


อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือจะแวะไปทักทายกับพี่ใหญ่และหนูเล็กก็ได้ค่ะที่ https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

ความคิดเห็น