สวัสดีค่ะ
สำหรับทริปนี้พวกเราเริ่มต้นด้วยการนั่งรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมุ่งหน้าสู่ตลาดโรงเกลืออ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
ค่าโดยสารคนละ 250 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมง เริ่มออกเดินทางประมาณ9 โมง ประมาณเที่ยงก็เดินทางถึงตลาดโรงเกลือค่ะจากตลาดโรงเกลือพวกเราเรียกรถตุ๊กตุ๊กไปส่งที่โรงแรมในตัวเมือง(ขออภัยจำชื่อโรงแรมไม่ได้) ได้รับการสนับสนุนค่าโรงแรมจากผู้ใหญ่ใจดีให้ห้องพักฟรีมาสามห้องแต่พวกเราไปกัน 8 คน ดูจากสภาพเตียงแล้วคงไม่สามารถนอนห้องละ 3คนได้ เลยเปิดห้องเพิ่มอีกหนึ่งห้องและด้วยความเกรงใจว่ามาพักฟรีก็เลยทานอาหารกลางวันกันที่โรงแรมเลยหลังจากนั้นก็ไปช๊อปปิ้งกันที่ตลาดโรงเกลือ และตลาดในตัวเมืองอรัญประเทศ วันรุ่งขึ้นเราถึงจะเดินทางไปเมืองเสียมราฐกันค่ะ
สำหรับทริปนี้พวกเราใช้บริการทัวร์ของบริษัทอรัญ-ศรีโสภณทราเวิลจำกัด รับที่ตลาดโรงเกลือค่าทัวร์ 2 วัน 1 คืนคนละ 3,500 บาท
โปรแกรมการเดินทาง
วันแรก ชายแดนอรัญประเทศ /เมืองเสียมราฐ / อาหารกลางวัน / นครวัด / ปราสาทตาพรหม / นครธม / สะพานนาคราช /เขาพนมบาเค็ง หรือวนัมกันตาล / อาหารเย็นภัตตาคารตนเลแม่โขง / ช๊อปปิ้งถนน pubstreet
วันที่สอง วัดTHMEY /ล่องเรือโตนเลสาป/ ตลาดต้นโพธิ์ / องค์เจก – องค์จอม / ชายแดนปอยเปต /รถตู้กลับกทม.
โปรแกรมเรียบร้อยแล้วไปเที่ยวกันเลยค่ะ
วันแรก หลังจากที่กินข้าวเช้ากันที่โรงแรมเรียบร้อยแล้วรถตู้ของโรงแรมก็พาพวกเรามาส่งที่ด่าน เมื่อมาถึงด่านก็มีพนักงานของบริษัทอรัญ-ศรีโสภณฯ มารอรับเพื่อทำผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง
เดินข้ามแดนกันมาก็จะพบกับคาสิโนอันอลังการ พวกเรานั่งรอไกด์มารับและแลกเงินเรียลกันนิดหน่อยที่ร้านค้า เจอไกด์ครั้งแรกแกก็ตะโกนมาแต่ไกล ซัวสะเด เหมือนกันไทย - เขมร ซัวสะเด ๆ ไอ้เราก็อยู่ในอารมณ์ฉันเพิ่งผ่านคนเยอะมาไม่อยู่ในอารมณ์จะเล่นกับใคร ในใจนึกไกด์ไม่มีมารยาทเจอหน้าก็เลียนปากเลย
หลังจากเจอไกด์ท้องถิ่นแล้วพนักงานของบริษัททัวร์ก็ขอตัวกลับ ส่งต่อพวกเราให้อยู่ในความดูแลของไกด์ชาวกัมพูชา จากนั้นไกด์ก็พาพวกเรานั่งรถประจำทางเพื่อไปขึ้นรถตู้กันที่สถานีรถบัสในเมือง
หลังจากที่เปลี่ยนรถกันเรียบร้อยแล้วก็นั่งรถกันยาวๆ ประมาณเกือบสามชั่วโมงเพื่อเดินทางไปเมืองเสียมราฐกันค่ะ ระหว่างทางไกด์ก็แจกคู่มือการท่องเที่ยวเมืองเสียมราฐ เปิดอ่านดูหน้าคำศัพท์เขมรพื้นฐาน ซัวสะเด แปลว่าสวัสดี รู้แล้วไงว่าเค้าไม่ได้เลียนปากคำทักทายภาษากัมพูชาใช้คำว่าซัวสะเดจริง ๆ ขอโทษนะคุณไกด์ก็เค้าไม่รู้ โชคดีที่ไม่ได้เหวี่ยงไปซะก่อน
ใก้ลเวลาเที่ยงรถพาพวกเราไปกินอาหารกลางวันแบบบุฟเฟกัน อาหารกัมพูชาก็คล้ายอาหารไทยเลยไม่ได้รู้สึกว่าแปลกอะไร
หลังจากนั้นรถก็พาพวกเราไปซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทกันค่ะ การซื้อตั๋วจะต้องถ่ายรูปติดบัตรและเอาบัตรคล้องคอไว้ด้วย
แล้วก็เดินทางไปถึงหนึ่งใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลก นครวัด
ปราสาทนครวัดสร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่2 โดยถวายเป็นพุทธบูชา ก่อนที่จะเดินเข้าไปในปราสาทก็ถ่ายรูปด้านหน้ากันก่อน
ระหว่างนั้นก็จะมีตากล้องซึ่งอยู่ด้านหน้าปราสาทคอยถ่ายรูปบริการนักท่องเที่ยวซึ่งตอนแรกพวกเราก็ไม่ได้สนใจเพราะแต่ละคนก็มีกล้องถ่ายรูปกันมาอยู่แล้วไกด์เลยช่วยเชียร์น้องเค้าถ่ายรูปสวยนะใบละ 20 บาทเอง ถ่ายเสร็จแล้วขากลับก็มารับรูปได้เลยเ ค้าตื้อหนักมากเข้าตัดความรำคาญก็เลยถ่ายกันคนละรูปคิดซะว่า 20 บาทก็ถือซะว่าตัดรำคาญละกันแต่มันยังไม่จบแค่นั้น
ไกด์นำทางพวกเราไปชื่นชมความงดงามของปราสาท ซึ่งก็จะมีรูปแกะสลักต่างๆ นานา
เดินเข้ามาได้สักพักก็มาถึงมุมมหาชนกับวิวเงาปราสาทสะท้อนผิวน้ำ เสียดายตอนที่ไปมีการบูรณะตัวปราสาทอยู่รูปออกมาเลยติดผ้าใบสีเขียวมาด้วย
เมื่อเดินมาถึงตัวปราสาทก็ได้เวลาเข้าไปชมภาพแกะสลักในตัวปราสาทซึ่งจะต้องปีนบันไดชันๆตามรูปเข้าไปในตัวปราสาทค่ะ
เมื่ออยู่ในตัวปราสาทไกด์ก็แนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับภาพแกะสลักแต่ละภาพไป จนมาหยุดที่ภาพหนึ่งซึ่งเป็นการยกทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 โดยกองทัพเสียมกุก (คำเรียกกองทัพไทยสมัยโบราณ) ไกด์บอกว่านี่เห็นไหมว่าคนไทยน่ะเป็นคนไม่มีระเบียบวินัยมาตั้งแต่สมัยโบราณกองทัพอื่นเค้าเข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่กองทัพเสียมกุก คุยกันหันหน้าหันหลัง แหนบกันเบาๆ แต่ก็ยอมรับนะว่าก็จริงเค้าถึงว่าทำอะไรตามใจคือไทยแท้ไง
ออกมาจากตัวปราสาทก่อนจะเดินทางไปเที่ยวที่อื่นต่อย้อนกลับไปมองภาพนครวัดที่ได้เห็นตรงหน้าตื่นตาตื่นใจและประทับใจมากๆ ค่ะ
ตามประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่านครวัดถูกปล่อยให้ป่าปกคลุมนานถึง500 ปี จนนักพฤกษศาสตร์ชื่อนายอังรี อูโลต์ มาพบ และปราสาทก็ได้รับการบูรณะให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง
สถานที่ต่อไปรถตู้พาพวกเราไปปราสาทตาพรหมกันค่ะ พอไปถึงตากล้องคนเดิมก็ขี่มอเตอร์ไซค์มารอเพื่อถ่ายรูปเราต่อพวกเราก็บอกว่าไม่ถ่ายแล้ว ถ้าจะถ่ายกันอีกเราไม่จ่ายตังค์นะแต่เค้าก็ยังตื้อถ่ายรูปพวกเราไปเรื่อยเราถ่ายกันเค้าก็คอยมาถ่ายซ้อน จนพวกเรารำคาญและพยายามทำตัวให้ห่างจากตากล้องคนนี้
ปราสาทตาพรหมเป็นวัดในศาสนาพุทธ ที่สร้างขึ้นมาอย่างใหญ่โตตั้งอยู่กลางป่ามีแมกไม้ขึ้นปกคลุมตัววัดไว้
บางแห่งก็มีรากไม้ใหญ่อันใหญ่โตโอบอุ้มพระเทวสถานไว้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปราสาทแห่งนี้ยังได้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องทูมเรเดอร์ ด้วยค่ะ
สถานที่ต่อไปเราไปชมความงามของปราสาทนครธมกันค่ะซึ่งตากล้องคนเดิมก็ยังคงสร้างความรำคาญให้พวกเราต่อไป
รูปที่ถ่ายออกมาเหมือนจุ๊บกับเทวรูปเป็นไอเดียของตากล้องค่ะ
ก่อนที่จะได้มาเที่ยวเข้าใจมาตลอดว่านครวัดนครธมคือที่เดียวกัน
จากทริปนี้ทำให้เข้าใจว่าความจริงแล้วคือคนละที่ ไกด์พาพวกเราไปชม ปราสาทบายน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของนครธม ยอดปราสาทขนาดยักษ์ทุกหลังจะแกะเป็นเทวพักตร์ 4 หน้าหันออกไปทอดพระเนตรความเป็นไปและทุกข์สุขของประชาชนทั้ง 4 ทิศ
จากนั้นรถวิ่งผานสะพานนาคราชพวกเราเห็นว่าสวยดีเลยขอให้เค้าจอดรถให้ถ่ายรูปค่ะ สะพานนาคราชเป็นหลักศิลามีเอกลักษณ์เฉพาะด้านเช่น รูปแกะสลักรูปเทวดากำลังฉุดนาค ฯ
หลังจากนั้นก็ไปชมพระอาทิตย์ตกกันที่เขาพนมบาเค็งหรือวนัมกันตาล ซึ่งการจะไปชมพระอาทิตย์ตกต้องเดินขึ้นเขาไป ไกด์แจ้งว่าให้พวกเราเดินขึ้นไปเอง เค้าจะรออยู่ข้างล่าง เราเห็นว่าไกด์ไม่ไปแสดงว่าเดินขึ้นเขาต้องเหนื่อยและต้องไม่มีอะไรน่าสนใจแน่ๆก็เลยตัดสินใจไม่เดินขึ้นเขาไปด้วย ส่งเพื่อนไปถ่ายรูปแทน แล้วก็นั่งกินขนมกินน้ำมะพร้าวแบบฝุ่นตลบรอคณะที่เดินขึ้นเขาไปชมพระอาทิตย์ตกดิน
ด้านล่างก็จะมีร้านค้าขายขนมขายอาหารและมีเด็กกัมพูชามาขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวเด็กๆ สื่อสารภาษาอังกฤษเฉพาะที่ได้รับการสอนมา พอเจอถามเยอะๆ เข้าก็ตอบไม่ได้ นั่งสอนเด็กพูดภาษาไทยกันไปรอเวลาเพื่อนลงจากเขาค่ะ
ทั้งหมดเป็นรูปที่เพื่อนถ่ายมาซึ่งเราไม่สามารถอธิบายได้เพราะไม่ได้ไปด้วย
พอเพื่อนลงจากเขากันครบทุกคนแล้วรถก็พาพวกเราไปกินอาหารเย็นกันที่ภัตตาคารตนเลแม่โขง
เป็นอาหารสไตล์บุฟเฟ่รสชาติก็ไม่ต่างไปจากอาหารไทยค่ะ ระหว่างกินอาหารก็มีการแสดงบนเวทีซึ่งก็ไม่ต่างจากการแสดงของไทยด้วยเช่นกัน
ระหว่างที่พวกเราทานข้าวกันอยู่ตากล้องก็โผล่มาเอารูปมาขายค่ะจากที่บอกว่ารูปละ 20 บาทนึกว่าจะถ่ายกันคนละรูปที่นครธมแล้วจบกลายเป็นว่าตามติดพวกเราไปทุกทีโดนกันไปไม่ต่ำกว่าคนละ 10รูป แต่ดีหน่อยตรงที่เค้าเอารูปของทุกคนไรท์ลงซีดีแผ่นเล็ก ๆ แจกให้เจ้าของรูปด้วย ระหว่างนี้ก็มีทะเลาะกันนิดหน่อย ตากล้องก็พูดไทยฟังไทยไม่ออก ไกด์ก็ไม่อยู่ช่วยจบท้ายกันด้วยการผิดใจกัน โกรธไกด์ด้วยแหละเป็นใจกันดีนักมีปัญหาก็ไม่ยอมอยู่ช่วยสรุปว่าถ้าไม่อยากมีปัญหาเจอตากล้องพวกนี้อย่าไปยุ่งด้วยตั้งแต่แรกดีกว่าค่ะ
หลังจากกินข้าวเสร็จและแก้ปัญหากับตากล้องกันไปแล้วรถก็พาพวกเราไปเช็คอินที่โรงแรม เก็บข้าวของจัดการภาระกิจส่วนตัวแล้วก็ออกไปช๊อปปิ้งกันที่ถนนผับสตรีทค่ะ ที่ถนนนี้ก็จะคล้ายๆ ถนนข้าวสารบ้านเราค่ะมีผับ มีที่ขายสินค้าที่ระลึก สามารถจ่ายเป็นเงินยูเอสดอลล่าห์ได้ค่ะ ช๊อปปิ้งกันเสร็จแล้วก็กลับโรงแรมนอนพักเอาแรงหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน
วันที่สาม สถานที่ท่องเที่ยวแรกของวันนี้ทัวร์มาเราไปที่วัดTHMEY (wat teppothivong) ซึ่งวัดนี้เป็นเหมือนทุ่งสังหารสมัยสงคราม ก็จะมีป้ายที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสงคราม หัวกะโหลกของเหยื่อ ไกด์เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความโหดร้ายของพวกเขมรแดงที่เข่นฆ่าประชาชน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ต่างๆ นานา พากันมาหดหู่ตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นก็ไปไหว้พระกันในโบสถ์ค่ะ
หลังจากนั้นก็นั่งรถยาวๆพาไปลงเรือเพื่อล่องแม่น้ำโตนเลสาป ทะเลน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ชมวิถีชีวิตชาวเรือที่อาศัยอยู่ในริมน้ำ ซึ่งโตนเลสาปครอบคลุมพื้นที่ถึง 5 จังหวัดของกัมพูชา
ชาวบ้านบางคนก็ใช้เรือเป็นบ้าน ในชุมชนชาวน้ำมีครบทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน คาราโอเกะ ร้านขายของชำลอยน้ำ ส่วนตัวเราเป็นคนไม่ค่อยชอบล่องเรือค่ะ เราจะบ่นทุกครั้งที่รีวิวถึงการล่องเรือซึ่งสำหรับวิวโตนเลสาปก็ยังคงทำให้ไม่ชอบการล่องเรือเหมือนเดิม
จากนั้นก็นั่งรถกลับตัวเมือง จ.เสียมราฐ ไปช๊อปปิ้งกันที่ตลาดต้นโพธิ์ (ตลาดซาจ๊ะ)
ของที่ขายก็มีพวกสินค้าที่ระลึกต่างๆ ไม้แกะสลัก เสื้อผ้า ฯลฯ
ช๊อปปิ้งเสร็จก็นั่งรถต่อเพื่อไปไหว้พระองค์เจก-พระองค์จอมซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดเสียมเรียฐ
ตามประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่าองค์เจ๊กกับองค์จอม เป็นพี่น้องกัน และมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมากวันหนึ่งหลังจากไปทำบุญกลับมาก็นอนหลับไม่ตื่นขึ้นมาอีกบิดามารดามีความเสียใจและอาลัยกับลูกสาวทั้งสองคนอย่างมากจึงได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นมาสององค์ องค์ใหญ่นามว่าองค์เจ็ก องค์เล็กเป็นน้องนามว่าองค์จอมเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของเมืองเสียมราฐ ที่ประชาชนที่นี่ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก
ไม่ไกลจากศาลาองค์เจก –องค์จอมก็จะมีศาลาและสวนอะไรก็ทราบได้แต่ที่นี่ก็สวยรมรื่นย์ดีไปอีกแบบ
ปิดทริปนี้รถพาพวกเราไปชมหมู่บ้านแกะสลักหิน ที่อำเภอพระเนตร จ.บันเตียเมียนเจย เพื่อเลือกซื้อหินแกะสลักแต่ก็ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาหรอกค่ะ ไปชมกันเฉย ๆ
นั่งรถต่อไปเรื่อย ๆ ก็เดินทางถึงชายแดนปอยเปต หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้วก็นั่งรถตู้กลับกรุงเทพกันค่ะ
จบทริปนครวัดนครธม การไปต่างประเทศโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องบิน แต่เดี๋ยวนี้แอร์เอเชียเปิดไฟล์ท กรุงเทพ - เสียมราฐแล้ว
ก็คงทำให้ไปเที่ยวนครวัดนครธมกันง่ายขึ้น ถ้ามีโอกาสอยากให้ไปกันนะคะอย่างกับคำที่เค้าว่ากันไว้ว่า See angkor wat and die.
Tharasaki
วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 14.08 น.