มินกาลาบา สวัสดีค่ะ

สำหรับการเดินทางครั้งนี้เดินทางไปกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย จุดหมายปลายทางเมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่ากับตั๋วโปรข้ามปีไปกันทั้งหมด 19 คน ก่อนการเดินทางเราติดต่อทัวร์ไว้กับไกด์พม่าชื่อคุณแสง (emial: [email protected] Line : Ocean Myanmar Tour) ให้เค้าจัดการเรื่องทัวร์ให้ เราสามารถสื่อสารกับคุณแสงเป็นภาษาไทยได้ค่ะ พิมพ์ภาษาไทยได้เลย


โปรแกรมการเดินทางที่คุณแสงส่งมาให้ตามนี้ค่ะ

วันที่ 1 กรุงเทพฯ – มัณฑะเลย์ –พุกาม

12:20 มาถึงสนามบินมัณฑะเลย์ จากนันไปรับประทานอาหารที่ Tom YanKoong ( อาหารไทย )

เดินทางไปพุกาม ใช้เวลานั่งรถประมาณ 4.30 ชั่วโมง ประมาณ 18:00 น. ถึงพุกาม

รับประทานอาหาร Nanta ( อาหารจิน+พม่า ) เข้าสู่ที่พัก

วันที่ 2 พุกาม – มัณฑะเลย์

07:00น. ทานอาหารเช้าที่โรงแรมที่พัก – ชมตลาดพุกาม เป็นตลาดเก่าแก่

นมัสการเจดีย์ชเวซีกอง , เจดีย์อะโลต่อเปีย ,เจดีย์ติโรมินโร , เจดีย์อานันดา , วัดมนุหา

เที่ยง- รับประทานอาหาร River view ( จีน+ไทย )

บ่าย- นำท่านแวะชม เครี่องเขิน ,จากนันไปนมัสการเจดีย์สัพพัญญู , ชมวิหารธรรมยันจี, เจดีย์ชเวซานดอ

14:00น. เดินทางกลับมัณฑะเลย์ ประมาณ 18:00 ถึงมัณฑะเลย์ รับประทานอาหาร Tom Yan Koong ( อาหารไทย )

เข้าสู่ที่พักโรงแรม My World

วันที่ 3 อังวะ – สกาย – มินกุน –มัณฑะเลย์

07:00น. ทานอาหารเช้าที่โรงแรมที่พัก เดินทางไปมินกุน เจดีย์มะยะเต็งตั่น เจดีย์มินกุน ระฆังมินกุน

เที่ยง- รับประทานที่ Myanata ( จีน+พม่า )

ขึ้นเขาสกาย เจดีย์ซุนอูปุยะชิน

จากนั้นนั่งเรือไปอังวะ วัดปักกาญา วิหารอ่องเมบอนซาน

เดินทางไปชมสะพานไม้อูเบ็ง รับประทานอาหารค่ำ Golden Duck ( จีน )

เข้าสู่ที่พักโรงแรม My World

วันที่ 4 มัณฑะเลย์ –กรุงเทพฯ

04:00น. ไปนมัสการ พระมหามัยมุนี

06:00น. บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นเดินทางไปชมพระราชวังมัณฑะเลย์, วัดชเวจอง , วัดกุโสดอ

เดินทางสู่สนามบินมัณฑะเลย์

12:50น. เดินทางกลับ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ......


พร้อมแล้วไปเที่ยวด้วยกันเลยค่ะ

จากสนามบินดอนเมืองเดินทางสู่สนามบินมัณฑะเลย์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.50 ชั่วโมง พอผ่านตม.มาได้คุณแสงมายืนรอรับพวกเราแล้ว เดินตามไกด์ไปที่รถก็ลุ้นไปว่ารถจะมีสภาพเป็นไงหนอ พอได้เห็นรถบัส 33 ที่นั่งคันสีแดงที่มารอรับพวกเราก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยรถก็แอร์เย็นฉ่ำไปกัน 19 คนแต่รถ 33 ที่นั่ง พวกเรานั่งกันเบาะละคนเลยค่ะสบายมาก


ออกเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองมัณฑะเลย์เพื่อไปทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารไทยชื่อร้านต้มยำกุ้ง 2 ป้าเจ้าของร้านแกเป็นคนอ่างทองไปทำงานอยู่ที่นั่นจนมีร้านของตัวเอง


ทานอาหารกันอิ่มแล้วก็นั่งรถเพื่อเดินทางไปพุกามค่ะ จากมัณฑะเลย์ไปพุกามใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.30 ชั่วโมง สภาพถนนดีตลอดเส้นทาง

เดินทางไปได้ซักหน่อยไกด์ก็จอดข้างทางนำเสนอแตงโมค่ะ แตงโมที่นี่ลูกใหญ่มากเห็นแล้วก็คิดถึงตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นแตงโมบ้านเราก็ลูกใหญ่แบบนี้ รสชาดดีแต่ไม่ได้หนาวฉ่ำแบบบ้านเรา ไกด์เค้าบอกว่าที่นี่ไม่ใช้สารเร่งความหวาน

กินแตงโมแล้วก็นั่งรถยาวๆ ไปพุกามกันต่อค่ะ บ้านเมืองนี้ด่านเก็บเงินเยอะมาก รถต้องจอดจ่ายเงินค่าเข้าหมู่บ้าน ค่าเข้าเมืองเยอะมาก ไกด์แกก็บ่นไปตลอดทางว่าด่านจะเยอะไปไหน


นั่งรถไปจนค่ำประมาณ 18.30 น. ก็มาถึงพุกาม ไกด์พาเราไปกินข้าวที่ร้าน nanta เป็นอาหารจีนสไตล์พม่าที่นี่มีโชว์หุ่นกะบอกด้วยค่ะ ดูเพลิน ๆ กินข้าวไปเรื่อย


คืนแรกเราพักกันที่โรงแรม The Floral Breeze Hotel Bagan อยู่ย่าน New Bangan วันแรกหมดไปกับการเดินทาง แต่รอดตัวค่ะ ทัวร์ถูก รถดี โรงแรมดี อาหารดี ลูกทัวร์แฮปปี้ คนติดต่อทัวร์รอดตัวไม่โดนด่า


เช้าวันที่สองของการเดินทาง ตื่นนอนตีห้า ทานอาหารหกโมง ล้อหมุนเจ็ดโมง

สถานที่แรกไปเที่ยวชมตลาดกันค่ะ ดลาดที่นี่เป็นตลาดสดขายพวกผัก ผลไม้ ดอกไม้ ซึ่งผักที่นี่ขนาดใหญ่มาก เราเจอมะเขือเปราะลูกเท่ามะพร้าว


เดินทางกันต่อเพื่อไปนมัสการเจดีย์ชเวสิกอง หนึ่งในห้าสิ่งสักการะบูชาสูงสุดของพม่า ระหว่างทางพวกเราเจอขบวนแห่ลูกแก้วสำหรับเด็กชาย และพิธีเจาะหูสำหรับเด็กหญิง ดนตรีคึกคักเชียวค่ะ


อย่างที่บอกไปว่าที่นี่เป็นหนึ่งในห้า สิ่งสักการะบูชาสูงสุดของพม่า ดังนั้นที่นี่คนจะเยอะมากทั้งชาวพม่าเองและนักท่องเที่ยว

สิ่งที่เด่น ๆ ของที่นี่ก็จะมีเจดีย์ รูปปั้นกษัตริย์พ่อลูกสำหรับขอเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและหน้าที่การเงิน ฉัตรเก่าสำหรับขอเรื่องการค้า


สำหรับตรงนี้เอาไว้ดูเงาสะท้อนของเจดีย์ค่ะ มองลงไปในน้ำจะเห็นยอดเจดีย์หัวกลับเหมือนในรูป


เมืองพุกาม เป็นเมืองแห่งเจดีย์การที่เราจะเที่ยวครบทุกเจดีย์คงต้องใช้เวลาหลายวัน แต่ด้วยความที่เรามีเวลาที่พุกามแค่หนึ่งวัน คุณไกด์เลยจัดให้เราเที่ยวเฉพาะเจดีย์ที่เป็นที่รู้จัก ภาพนี้คือเจดีย์อะโลต่อเปียประวัติและความสำคัญจำไม่ได้ค่ะช่วงนั้นยังง่วงแบ็ตยังไม่เต็ม


เจดีย์ติโลมิโล ประวัติและความสำคัญของเจดีย์เป็นเช่นไรจำไม่ได้เช่นกันค่ะ จำได้แต่ว่าเจดีย์นี้มีของขายเยอะมาก


วัดอนันดา ที่วัดนี้มีพระพุทธรูปอยู่ 4 ด้านซึ่งมีองค์หนึ่งที่เวลาอยู่ใก้ลพระพักตร์จะบึ้งหน่อยแต่ถ้าเดินออกไปไกล ๆ พระพักตร์จะยิ้ม


วัดมนุหา สร้างโดยพระเจ้ามนูหะกษัตริย์มอญที่ถูกจับมาเป็นเชลยที่พม่า ภายในวัดแคบมากแต่มีพระนอนหนึ่งองค์กับพระพุทธรูปอีกสามองค์ขนาดใหญ่นั่งเบียดเสียดอยู่ด้านใน สะท้อนถึงความคับแค้นใจของกษัตริย์มอญท่านนี้ วัดนี้คนไทยไปตั้งชื่อให้ว่าวัดพระพุทธรูปอึดอัด

ที่จริงไม่ไกลจากนี้มีเจดีย์ที่เป็นที่จองจำกษัตริย์มนูหะด้วยแต่ไม่ได้ไป


ได้เวลาอาหารกลางวัน ไกด์พาพวกเราไปกินอาหารจีนสไตล์พม่าที่ร้านอาหาร River View กินข้าวชมวิวริมแม่น้ำอิระวดีค่ะ กินอิ่มแล้วไปกิจกรรมประจำของทัวร์พาไปดูการทำเครื่องเขินที่โรงงานก็จะมีเครื่องเขินขายด้วยแต่ราคาแรงจริงอะไรจริงและที่ร้านมีไวไฟฟรี เราเลยหลบมานั่งเล่นเนตรอชาวคณะ


สถานที่ต่อไปเป็นไฮไลท์ของพุกาม คือการไปชมป่าเจดีย์ที่เจดีย์ชเวสันดอ ซึ่งจะให้ดีควรไปชมตอนพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกช่วงแดดร่มลมตกอากาศสบาย ๆ แต่ด้วยความที่เรามีเวลาที่พุกามแค่หนึ่งวัน การมาชมป่าเจดีย์ตอนบ่ายอากาศร้อนๆ ถอดรองเท้าปีนขึ้นเจดีย์ก็ได้รสชาติไปอีกอารมณ์หนึ่งเหมือนกัน ถึงจะร้อนแต่ที่นี่สวยมากค่ะ

การจะชมป่าเจดีย์เราต้องปีนบันไดขึ้นไปบนเจดีย์นะคะซึ่งบันไดจะสูงแค่ไหนดูได้จากรูปแรก ได้เหนื่อยกันพอประมาณ


เวลาตอนนั้นประมาณบ่ายสอง ดูเวลาแล้วบอกไกด์ว่าเราคงไปเที่ยวได้อีกแค่ที่เดียวเพราะไม่อยากไปถึงมัณฑะเลย์ดึกมากถ้าเราเดินทางกลับตอนบ่ายสองก็จะถึงมัณฑะเลย์ประมาณหกโมงครึ่งเวลากำลังดี ไกด์เลยพาเราไปสถานที่สุดท้ายในพุกามที่วิหารธรรมยันจี

ไกด์เล่าว่าวิหารนี้เป็นวิหารที่ไม่มียอดเพราะคนที่สร้างวิหาร สร้างเพื่อต้องการล้างความผิดที่ทำการฆ่าพ่อและพี่ชายของตัวเองเพื่อให้ได้เป็นกษัตริย์แต่พ่อและพี่ไม่ยอมยกโทษให้ วิหารนี้จึงไม่สามารถยกฉัตรได้


ในรูปที่เห็นเป็นงานไม้ห้อยตามต้นไม้ คือโมบายที่เด็กพม่าเอามาขาย น้องเค้าพูดภาษาอังกฤษได้ใครไปเที่ยวก็แวะไปอุดหนุนน้องได้นะคะ แกพูดเก่งน่ารักดี

เสร็จจากที่นี่ก็นั่งรถกันยาว 4.30 ชั่วโมงไปกินข้าวกันที่ร้านต้มยำกุ้งกันอีกรอบ แต่รอบนี้เป็นชาบูและหมูกะทะค่ะ


หมดวันที่สอง คืนนี้เรานอนกันที่โรงแรม Hotel My World โรงแรมระดับสามดาวความสะอาดใช้ได้นอนหลับสบายค่ะ


เช้าวันที่ 3 ของการเดินทางตื่นกันตั้งแต่ตีห้า ห้องอาหารของโรงแรมอยู่ชั้น 5 กินอาหารเช้าชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น


7 โมงเช้ารถบัสพาพวกเราไปที่ท่าเรือเพื่อล่องเรือไปชมเมืองมินกุน โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยชอบล่องเรือเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าวิวทางน้ำมันก็เหมือนกันไปหมดระหว่างที่อยู่บนเรือก็จะมีเด็กนำสินค้ามาขายส่วนใหญ่เป็นพวกสร้อยคอหยก รูปภาพ และโปสการ์ดใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมงเรือก็มาถึงเมืองมินกุนที่นี่ฝุ่นเยอะมากค่ะ


สิ่งแรกที่ได้เห็นคือดอกงิ้วและต้นงิ้ว กินขนมจีนน้ำเงี้ยวมาตั้งแต่จำความได้เพิ่งเคยเห็นดอกงิ้วและต้นงิ้วของจริงเป็นครั้งแรก


ไกด์พาพวกเราเดินไปชมเจดีย์พญาเธียรดาน (ไกด์เขาออกเสียงสำเนียงพม่าว่ามะยะเต็งตั่น) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2329 เพื่อให้เปรียบเสมือน

เจดีย์จุฬามณีที่ตั้งอยู่เหนือเขาพระสุเมรุ ตามความเชื่อในไตรภูมิพุทธศาสนาที่ว่าคือแกนกลางจักรวาล ซึ่ง ถูกล้อมรอบด้วยสัตตบริพันธ์และมหานทีสีทันดรทั้ง 7 ชั้น พระเจดีย์องค์นี้ยังถูกสร้างให้เป็นสักขีพยานรักของราชนิกุลอังวะ โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่มีต่อพระมเหสีชินพิวเมที่สิ้นพระชนม์ไปก่อนที่พระเจ้าบากะยีดอว์จะขึ้นครองราชย์ แม้จะไม่ใช่หินอ่อนเหมือนทัชมาฮาล แต่ก็ได้รับสมญานามว้า “ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี”


รูปที่เห็นสีแดง ๆ นั่นคือน้ำหมากค่ะ จะพบได้ทั่วไปตามพื้นและตามถนนต้องอาศัยความสามารถส่วนตัวหลบกันเอาเองนะคะ

เมืองมินกุนเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ สถานที่ท่องเที่ยวเดินถึงกันได้หมดค่ะระหว่างทางที่จะเดินไปชมระฆังมินกุนก็จะมีของขายข้างทางและมีเด็กพม่ามาคอยตีสนิทมาคุยโน่นนี่นั่น ดูแลเหมือนเราเป็นบุคคลสำคัญเพื่อหวังเงินเป็นสินน้ำใจ แต่เราไม่รู้สึกรำคาญน้องเค้านะแกสุภาพน่ารักดีไม่ได้ออกแนวตื้อจนน่ารำคาญ


ระฆังมินกุน พระเจ้าปดุง ได้ให้สร้างเพื่ออุทิศถวายแด่มหาเจดีย์มิงกุน จึงต้องมีขนาดใหญ่คู่ควรกันคือเป็นระฆังยักษ์ที่มีเส้นรอบวงถึง 10 เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตัน เล่าขานกันว่า พระเจ้าปดุงไม่ต้องการให้มีใครสร้างระฆังเลียนแบบจึงรับสั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทันทีที่สร้างเสร็จ


เจดีย์มินกุน ซึ่งเป็นร่องรอยแห่งความทะเยอทะยานของพระเจ้าปดุง ด้วยภายหลังทรงเคลื่อนทัพไปตียะไข่แล้วสามารถชะลอพระมหามัยมุนีมาประดิษฐานที่มัณฑะเลย์ได้เป็นผลสําเร็จ ก็ฮึกเหมที่จะทำการใหญ่ด้วยการทําสงครามแผ่ขยายไปรอบด้าน และได้เกณฑ์แรงงานข้าทาสจํานวน มากมาก่อสร้างเจดีย์มินกุนหรือเจดีย์จักรพรรดิเพื่อประดิษฐานพระทันตธาตุที่ได้จากพระเจ้ากรุงจีนโดยมุ่งหวังให้ยิ่งใหญเทียบเท่ามหาเจดีย์ในสมัยพุกาม และใหญ่โตโอฬารยิ่งกว่าพระปฐมเจดีย์ในสยาม ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในสุวรรณภูมิ

ส่งผลให้ข้าทาสชาวยะไข่หรืออาระกันจํานวน 50,000 คนหลบหนีการขดขี่แรงงานไปอยู่ในเขตเบงกอลเป็นดินแดนในอาณัติของอังกฤษ แล้วทําการซ่องสุมกําลังเป็นกองโจร อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้พม่าเสียเมืองในที่สุด


แต่สุดท้ายเจดีย์นี้ก็สร้างไม่เสร็จและเหลือให้เห็นแค่ฐานว่าถ้าสร้างเสร็จเจดีย์นี้คงใหญ่โตอลังการ

หมดสถานที่ท่องเที่ยวในมินกุนแล้วเราก็นั่งเรือกลับไปที่ท่าเรือเพื่อไปกินอาหารกลางวันกันค่ะ ระหว่างทางไกด์กลัวลูกทัวร์จะเบื่อเลยมีกิจกรรมนับเลขกันบนเรือ ฆ่าเวลาได้ดีมาก


ได้เวลาอาหารกลางวันมื้อนี้พวกเรากินอาหารบุฟเฟ่สไตล์รัฐฉาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็คล้ายๆอาหารทางภาคเหนือมีแกงฮังเล จอผักกาด ผัดผัก ฯลฯ ราคาหัวละ 4,000 จ๊าดสำหรับชาวพม่าตักได้เต็มที่หนึ่งครั้ง และราคา 8,000 จ๊าด (ประมาณ 300 บาท) สำหรับนักท่องเที่ยวเติมได้ไม่อั้นค่ะ


กินอาหารกับอิ่มแล้วไกด์พาเราไปขึ้นเขาสกายเพื่อไปชมวิวจากเจดีย์ซุนอูปุยะชินบนยอดเขาสกาย ที่วัดนี้เสียค่ากล้อง 300 จ๊าดค่ะ


บรรยากาศที่นี่คล้ายเขาวัง และแน่นอนทุกวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวต้องมีที่ขายของช๊อปปิ้งสบายใจกว่าค่ะเพราะแดดแรงร้อนมาก


ชื่นชมบรรยากาศที่นี่ได้ไม่นานเพราะเวลาตอนนั้นบ่ายโมง ร้อนมากการมาดูวิวบนเขาแนะนำเฉพาะช่วงแดดร่มลมตกดีกว่า หลังจากลงมาจากเขาสกายแล้วก็นั่งรถกันต่อไปยาวๆ เพื่อไปท่าเรือเมืองอังวะค่ะถนนเส้นนี้สวยมาก


ในการท่องเที่ยวของเมืองอังวะนี้ เราต้องนั่งเรือข้ามฟากไปขึ้นรถม้า ซึ่งรถม้าหนึ่งคันนั่งได้สองคนที่นี่ฝุ่นเยอะมากคุณไกด์แจกผ้าปิดจมูกคนละผืนเอาไว้กันฝุ่น


นั่งรถม้าไปพอฝุ่นตลบรถก็จอดให้เราไปชมวัดเก่าแก่ซึ่งทำมาจากไม้สัก ชื่อวัดปักกาญาสร้างโดยพระเจ้าบายีดอในปี ค.ศ. 1834 ซึ่งอาคารแห่งนี้มีเสาไม้สักรองรับน้ำหนักอยู่ถึง 267 ต้น


พักผ่อนชมวัดพอหายเหนื่อยแล้วก็นั่งรถม้ากันต่อ นั่งไปสักพักคนขับรถม้าก็ชะลอรถให้ถ่ายรูปหอคอยเมืองอังวะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง

เพื่อใช้สังเกตการณ์ข้าศึก สร้างขึ้นในปี 1822 หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวในปี 1838 หอแห่งนี้เกิดการเอียงตัวแต่ได้รับการบูรณะเป็นโครงสร้างเดิม


จุดหมายเดินทางต่อไปคือวัดมหาอ่องเหม่บอนซาน (Maha Aungmye Bonzan) สร้างโดยพระนางเมนุ มเหสีในพระเจ้าบาจีด่อ วัดนี้จะเป็นศิลปคล้ายๆกับที่นครวัดค่ะ เพราะว่าใช้ช่างจากเขมรมาสร้าง


หมดจากสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองอังวะเราก็นั่งเรือกลับไปนั่งรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปชมสะพานไม้อูเบ็งค่ะ

และแน่นอนทุกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงก็ต้องมีที่ให้ช๊อปปิ้งพอหอมปากหอมคอ ได้ยินมาว่าชายี่ห้อรอยัลเมียนมาร์ทีมิกซ์อร่อย

เห็นป้ายเลยกะว่าจะไปชิมซะหน่อยแต่ไม่มีขายซักร้าน แต่ช่วงเย็นหลังเข้าโรงแรมแล้วร้านข้างโรงแรมมีขายห่อละ 2,750 จ๊าด(ประมาณ 100 บาท) หนึ่งห่อใหญ่มี 30 ซองเล็กรสชาติหวานหอมอร่อยใช้ได้ค่ะ


หลังจากที่ไปชมวิวผิดเวลากันมาหลายที่แล้ว ก็ได้มาชมสะพานไม้อูเบ็งตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกซะที ที่นี่ร่มรื่นและอากาศดีมาก


จากที่เคยศึกษามาว่าที่สะพานแห่งนี้เป็นที่อาศัยของเชลยชาวอโยธยาแต่เท่าที่เห็น เห็นแต่ที่ขายของไม่ยักกะเจอบ้านคน จากนั้นไกด์ก็พาเราไปกินอาหารเย็นกันที่ร้าน Golden Duck ร้านนี้เป็นอาหารจีน ยกให้มื้อนี้อร่อยที่สุดในทริปนี้ค่ะ

คืนนี้เรานอนกันที่โรงแรมเดิม ออกจากโรงแรมเลี้ยวขวาเดินไปเรื่อย ๆ แล้วข้ามถนนตรงนั้นจะมีร้านขายส่ง ซื้อชาหรือทนาคาได้ราคาย่อมเยาว์ค่ะ


เช้าวันสุดท้ายของการเดินทางตื่นกันตั้งแต่ตีสามเพื่อไปชมพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุณี ซึ่งพิธีจะเริ่มกันตอนตีสี่ ไกด์บอกว่าถ้ามาช่วงหน้าหนาวอากาศเย็น ๆ พิธีจะเริ่มตอนตีสี่ครึ่งเพราะอากาศดีเจ้าอาวาสนอนตื่นสาย พิธีล้างพระพักตร์ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงหลังจากพิธีเสร็จแล้ว

พวกเราก็บูชาผ้าเช็ดพระพักตร์ผืนละ 1,000 จ๊าดและไกด์ก็เอาน้ำล้างหน้าที่ใช้ในพิธีมาแจกให้เอากลับไปบูชาที่บ้านหรือจะเอามาลูบหน้าเป็นสิริมงคลก็ได้ค่ะ


ระหว่างพิธีรู้สึกได้ถึงแรงศัทธราของชาวบ้าน ถึงแม้พิธีจะเริ่มแต่เช้ามืด ถึงแม้จะง่วงเหน็บจะกินแต่รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก

เวลาประมาณหกโมงเช้า พวกเราก็กลับไปทำภาระกิจส่วนตัวและทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม เจ็ดโมงเช้าก็ออกไปซิตี้ทัวร์มัณฑะเลย์กันต่อ

สถานที่แรกที่ไปคือพระราชวังมัณฑะเลย์รูปนี้ถ่ายตอนไกด์ลงไปซื้อตั๋ว เค้าบอกว่าถ่ายรูปได้แต่อย่าไปถ่ายรูปทหารที่เฝ้ายามละกันเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย


เข้าใจว่าพระราชวังมัณฑะเลย์น่าจะอยู่ในเขตทหารนะคะ เพราะที่นี่ทหารเยอะและร่มรื่นมาก

ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยอยากจะไปเที่ยววังซักเท่าไหร่เพราะวังที่นี่เป็นของที่จำลองมา ส่วนของจริงถูกเผาไปตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและจากที่เคยไปวังบุเรงนองที่เมืองหงสาก็ดูไม่ค่อยมีอะไร แต่พอมาถึงวังแห่งนี้สวยงามมากมีตำหนักน้อยใหญ่เยอะไปหมด


รูปนี้เป็นรูปของกษัตริย์และราชินีองค์สุดท้ายของพม่าชื่อพระเจ้าสีป่อและพระนางศุภยารัตน์ ซึ่งไกด์เล่าว่าพระเจ้าสีป่อเดิมบวชเป็นพระแต่เพราะพระนางศุภยารัตน์อยากได้อำนาจจึงไปจีบพระและยกให้เป็นกษัตริย์และพระนางได้ฆ่าบรรดาเจ้าชายโดยการฝังกลบทั้งเป็นไว้ภายในวังแห่งนี้เพื่อไม่ให้มาโค่นล้มอำนาจได้ ซึ่งพระนางได้ชื่อว่าเป็นซูสีไทเฮาแห่งพม่า

ฟังแล้วรู้สึกสนใจเป็นพิเศษเลยกลับมาค้นประวัติของท่านดูในกูเกิ้ลก็ไปเจอบทสัมภาษณ์ว่าพระนางไม่ได้เป็นคนฆ่าเหล่าเจ้าชายทั้งหลายเพราะตอนนั้นยังเด็ก พวกทหารอังกฤษต่างหากที่ทำ ปั้นปลายชีวิตพระนางถูกจับไปเป็นเชลยที่อินเดีย และสุดท้ายได้กลับมาเสียชีวิตที่พม่า

(ผิดพลาดประการใดโปรดอภัยข้อมูลทั้งหมดฟังจากไกด์และเสริจหาในกูเกิ้ล)


จากนั้นเราไปเที่ยวกันต่อที่วัดชเวนันดอจอง หรือคนไทยเรียกว่าวัดมณเฑียรทอง ซึ่งเปนวัดสังฆาวาส สร้างสมัยพระเจ้าธีบอ พ.ศ.2423

โดยใช้วัสดุจากการย้ายราชมนเฑียรทอง ที่พระเจ้ามินดงพระบิดาประทับตอนที่เสด็จสู่สวรรคาลัย ซึ่งวัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่ไม่ได้ถูกเผาช่วงสงคราม


สถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายสำหรับทริปนี้คือวัดกุโสดอร (Kuthodaw Pagoda) พระเจ้ามินดงโปรดให้สร้างขึ้นโดยจำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวซิกอง เมืองบากัน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2400 เจดีย์ประธานชื่อ มหาโลกะมารเซง สูง 30 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระไตรปีฎกจารึกบนแผ่นหิน 729 หลักจารึกอักษรข้อความ สะกดคําบาลีเป็นตัวทองอักษรพม่าเนื้อหาจากการสังคายนาพระไตรปีฎกครั้งที่ 5


ที่วัดนี้เราได้มีโอกาสเจอคณะพระสงฆ์ไทยด้วยเลยไปนั่งฟังพระสวดอยู่ซักพักใหญ่ๆ แต่อยู่จนคณะสงฆ์สวดเสร็จไม่ได้เพราะเราต้องกลับกันแล้ว

จากเมืองมัณฑะเลย์เดินทางไปสนามบินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ที่สนามบินมีไวไฟให้เล่นด้วยค่ะ

มิงกาลาบาพม่า หวังว่าคงมีโอกาสได้เจอกันอีกยังเที่ยวพุกามไม่จุใจเลย

ความคิดเห็น