สวัสดีครับ เพื่อนๆ ทุกคน ทริปนี้เป็นทริปครอบครัวพวกเราอยากเห็นดอกซากุระที่ญี่ปุ่น เลยจัดทริปญี่ปุ่น ช่วงซากุระ ช่วงวันที่ 15-25 April 2015 ซึ่งการเดินทางทั้งหมด 10 วัน



โดยแผนการเดินทางของพวกเราเป็นดังนี้ครับ Tokyo (Narita Airport) – Matsumoto – Tokyo (Ueno) – Gala Yuzawa – Yokohama – Lake Kawaguchiko – Matsumoto - Japan Alp – Tokyo ( Narita Airport)



ช่วงที่เรากำลังเดินทางไปนั้น ดอกซากุระกำลังบานเต็มที่เลย ทำให้ความ หวังของครอบครัวเราได้เห็นดอกซากุระจริงๆสักครั้ง ที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นจริงขึ้นมาทุกที ทริปนี้จัดตามใจคุณแม่เลย เลยอยากให้เป็นทริปที่ประทับใจที่สุด แม่อยากไป Gala Yuzawa และไปชม Snow Wall ที่ Japan Alp หรือชื่อที่พวกเรารู้จักกันดีก็คือ tateyama kurobe alpine route นั้นเองครับ



หากเพื่อนๆพร้อมชมรีวิวแล้ว เริ่มกันเลยดีกว่าครับ



แต่ก่อนจะชมรีวิว หากใครอยากติดตามรีวิวอื่นๆ หรืออยากชมภาพสวยๆ พร้อมเรื่องราวการเดินทาง สามารถติดตามเพจของพวกเราได้นะครับ



Twin Traveller : Travel and Lifestyle.



Fackbook : https://www.facebook.com/TwinTraveller

Wedsite : https://twintravellerblog.wordpress.com/



หากชอบรีวิวชิ้นนี้ เพื่อนๆ อย่าลืมกดโหวดกันนะคร้าบ เพื่อเป็นกำลังให้กับพวกเรา ขอบคุณครับ

DAY 1


หลังจากที่เราเดินทางมาถึงสนามบิน นาริตะ Narita international Airport (NRT) เราเลือกเดินทางแบบไฟล์ค่ำ จากสนามบินดอนเมือง Don Mueang International Airport (DMK) ถึงประมาณช่วงเช้าเลย เหตุผลที่เลือกถึงญี่ปุ่นตอนเช้าก็คือ เราจะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ เพราะเราต้องเผือเวลาไปต่อแถวเข้าคิวแลก JR PASS และเดินทางเข้าเมือง เชคอิน ที่พักอีก เกรงว่าจะไมไ่ด้เทียวในวันแรก และ เสียวันเที่ยวไป 1 วัน โดยไม่ได้ไปไหนเลย มาเที่ยวต้องมาให้คุ้ม ใช้ทุกวันให้คุ้มค่ากับค่าตั๋วที่มาครับ



ขั้นตอนแรกเมื่อมาถึงสนามบิน รับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็ถึงขั้นตอน ไป Ticket Office ครับ เพื่อไปแลกเอาบัตร JR Kanto Area Pass กับ JR East Pass เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะเดินทางเพือไปยังจุดแรก ที่เราจะเที่ยวกันเลย


เมืองแรกที่เราได้ไปชมซากุระกัน ก็คือ เมือง Matsumoto นั้นเอง เมืองที่ขึ้นชื่อว่า มีปราสาทมัตสึโมโต้ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าประจำชาติของญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยื่ยมชมกันไม่ขาดสาย ใครจะรู้ว่าสถานที่ปราสาทมัตสึโมโต้แห่งนี้ มีสวนอยู่ใกล้ๆด้วย และตอนที่เรากำลังไปนั้น ดอกซากุระกำลังบานสะพรั่งเลย มาดูความสวยงาม ของปราสาทแห่งนี้ และบรรยากาศรอบๆ ที่สวยงามกันเลย แต่ก่อนจะไปชมความงามของปราสาทมัตสึโมโต้ ขอแนะนำโรงแรมที่เราพักก่อน นั้นก็คือHOTEL MORSCHEIN นั้นเองHOTEL MORSCHEIN ( DOUBLE ROOM WITH SMALL DOUBLE BED ) AT MATSUMOTO CITY.



ที่ตั้ง



โรงแรมแห่งนี้หากพูดถึงการเดินทาง ถือว่าสะดวกสบายมากๆ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ใกล้ห้าง หรือ ร้านสะดวกชื้อต่างๆ และร้านอาหารราคาย่อมเยา จากสถานีรถไฟฟ้า เดินเท่าเพียงแค่ 280 เมตรเท่านั้น ตามแผนที่พอเดินออกจากสถานี แล้วเดินไปทางซ้าย ข้ามถนน เดินไปแปปเดียว เจอซอยแรก เลี้ยวเข้าไปเลย ก็จะเจอที่พักตั้งอยู่ ใกล้และสะดวก



ประเภทห้อง



โรงแรมแห่งนี้แบ่งเป็น 5 ประเภทดังนี้



1.Single Room พักได้ 1 ท่าน



2.Double Room with Small Double Bed พักได้ 2 ท่าน



3.Twin Room พักได้ 2 ท่าน



4.Double Room พักได้ 2 ท่าน



5.Triple Room พักได้ 2 ท่าน



โดยทริปนี้เราได้เลือกห้องพักเป็นแบบ Double Room with Small Double Bed (Room Size: 16 m²)



ตอนไปที่พัก 2 คืน ราคา ¥18,021(2คืน)



โดยในห้องนอนมีแอร์ปรับอากาศ มีทีวีจอแบน ตู้เย็น และชา พร้อมกาน้ำร้อนไว้บริการพร้อม ในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ โดยรวมแล้วเกินพอมากๆ ขนาดห้องนอน ไม่เล็กมากจนเกินไป สำหรับ 2 คนอยู่



ในห้องมีชุดนอน เตรียมไว้ให้บริการ



ห้องน้ำกว้างขวางมากๆ เพียงพอต่อการใช้งาน มีแซมฟู สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน พร้อมหมด ที่เป่าผมก็มี



ข้อดี



1.ใกล้สถานีรถไฟหลัก ( Matsumoto Station ) เดินเท้าไปแค่ 280 เมตร ระยะเวลาแค่ 4 นาทีเท่านั้น



2.มีบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า แบบฝรั่ง อาหารแนะนำคือ มะเขือเทศอร่อยมาก หวานกรอบอร่อย ไปแล้วต้องลอง ไม่ผิดหวัง



3.บริเวณที่พักเงียบสงบ ไม่มีเสียงดัง



4. มีจักรยานให้ยืมใช้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ



5. ใกล้ๆโรงแรมมีร้านอาหารหลากหลาย ทั้งราคาถูกและแพง ให้เลือกเอาตามใจชอบ



6. โรงแรมสะอาดมากๆ ไม่มีกลิ่นใดๆ



ข้อเสีย



1. พนักงานไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ แต่เข้าใจได้ไม่ยาก พนักงานพยายามสื่อสารให้เข้าใจเต็มที่แนะนำร้านอาหาร



โรงแรมแห่งนี้ใกล้ ร้านอาหารมากมาย ทั้งราคาประหยัด และ ราคาแพงๆ มีหลายประเภทให้เลือกเลย ทั้ง บาร์ ร้านปิ้งย่าง ร้านราเมน ร้านอาหารจานด่วนก็มี

ไม่ว่าจะเป็น Coco ร้านข้าวแกงกระหรี่ ที่คนไทยอย่างเรา ไม่ว่าใครไป ก็ต้องไปฝากท้องไว้กับร้านแห่งนี้หลายมื้อเลย ราคาไม่แพง และอร่อยถูกปากคนไทยอย่างเราๆ



ร้านแรกที่ผมจะแนะนำก็คือ



1. Matsuya


ร้านอาหารตู้หยอดเหรียญ นั้นเองครับ นอกจากราคาจะถูกแล้ว ยังให้เยอะอีกด้วย รสชาติอร่อยมากๆ ผมไป 2 วัน ฝากท้องไว้หลายมื้อเลย มีหลากหลายเมนูให้เลือกเลย



ร้านนี้เป็นร้านแรกๆ ที่ผมแนะนำให้เลยครับ ถูกและดี ไม่ดีจริงๆไม่แนะนำเลยจริงๆ 55



การเดินทางหาร้านนี้ไม่ยากครับ เดิน 1 นาที จากที่พักก็ได้ทานแล้ว



2. CoCo ICHIBANYA



ร้านข้าวแกงกระหรี่ที่มีหลายสาขาในประเทศไทย รสชาติอร่อย ถูกปากคนไทย เชื่อเลยว่า ใครที่ไปญี่ปุ่นต้องได้ลองกินกันเกือบหมดทุกคน เวลาผมจองที่พัก ผมจะเลือกโรงแรมที่ใกล้ร้านพวกนี้ เพราะมีรสชาติอร่อย ราคาไม่แพงมากเท่าไหร่



ส่วนการเดินทางนั้น 1 นาทีจากที่พักเท่านั้น สะดวกสบายมากๆ อีกแล้ว ดึกๆไม่มีไรทำ ก็สามารถออกมาทานได้นะครับ เหมือนจะเป็นถึง 4 5 ทุ่ม



ร้านอาหารที่ผมอยากจะแนะนำก็คงจะเป็นแค่สองร้านนี้ครับ ร้านอาหารง่ายๆ บางที่ที่ผมไปพัก ไม่มีร้านพวกนี้นี่ แย่เลย เพราะร้านญี่ปุ่นแท้ๆ บางทีมีราคาแพง แต่ก็อร่อย แต่เราอยากได้ถุกๆ และอร่อยด้วย เลย 555



รอบๆ ที่พัก Hotel Morschein แห่งนี้มีซุปเปอมาเก็ตแยอะแยะมากมายครับ ครบหมด ไม่ต้องกลัวอดตายเลย แนะนำครับ



ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ในเมืองมัตสึโมโต้นั้น มีให้เที่ยวเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะช่วง ซากุระ หรือ ใบไม้เปลื่ยนสี โดยเราสามารถเข้าไปหาข้อมูลได้ตามเว็ปของการท่องเที่ยวของจังหวัดนั้นๆ โดยผมได้ไปค้นหา และนำมาให้ดูกันครับ ว่ามีที่ไหนบ้าง



เว็ปข้อมูลภาษาอังกฤษ

http://welcome.city.matsumoto.nagano.jp



หรือจะเป็นเว็ปที่เป็นข้อมูล ภาษาไทยก็มีให้เลือกชมกัน



http://www.go-nagano.net/



หรือจะเป็น เว็ปที่พวกเราชาว Pantip น่าจะคุ้นเคยกันดีก็คือ Japan - guide นั้นเองครับ

http://www.japan-guide.com/e/e6050.html



หลังจากที่เราจัดการ เชคอิน เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เวลาก็เย็นพอดี ประมาณบ่าย 3 ถึงเวลาเที่ยวของพวกเราซะที โดยเป้าแรกของวันนี้ก็คือ เที่ยวปราสาท Matsumoto Castle ครับ เพราะเราอยากเห็นช่วงเวลาที่สวยที่สุด ของปราสาทแห่งนี้ก็เลย อยากรอจนเวลาเย็น พระอาทิตย์ตก รอตัวปราสาทเปิดไฟ แล้วเรามาดูกันจะสวยมากมายขนาดไหน



จุดเด่นของปราสาทมัตสึโมโต้แห่งนี้ มีสะพานแดงสวยงามอยู่ด้วย ช่างเข้ากันจริงๆ มุมมหาชนที่ใครมาแล้ว ต้องถ่ายเก็บไว้ แต่ถ้าหากอยากได้ภาพที่สวยงามอีก ต้องรอช่วง Twilight เพระเราอยากได้ภาพที่ปราสาทเปิดไฟยามค่ำคืน โดยที่ฟ้ายังเป็นสีน้ำเงินอยู่ ทำให้ภาพนั้นลงตัวมากกว่า ถ่ายตอนฟ้ามืดสนิท จะทำให้การถ่ายภาพนั้นยากขึ้นไปอีก



เมื่อดอกซากุระ บานเต็มที่แล้ว ก็คงถึงเวลาที่มันจะร่วงโรยลงไป เป็นที่น่าเสียดายที่กลับร่วงหมดในเพียงแค่ 1สัปดาห์ ซากุระจะบานพร้อมกัน และร่วงพร้อมกัน เวลาที่ดอกซากุระร่วง จะเป็นภาพราวกับหิมะจำนวนมาก ดังนั้น จึงเรียกภาพซากุระที่ร่วงหล่นนี้ว่า “桜吹雪 (cherry blossoms blizzard)"



ข้างๆปราสาทนั้นมีคูน้ำอยู่ มีต้นที่ออกดอกซากุระเยอะเลย ยิ่งตอนกลางคืนเปิดไฟด้วย จะได้ไฟ กับต้นดอกซากุระ สะท้อนกับผิวน้ำ สวยงามมากๆ เนืองด้วยวันแรกที่เรามาถึงเมือง Matsumoto ก็ตกเย็นแล้ว เลยยังไมไ่ด้เก็บบรรยากาศที่สวนรอบๆ ปราสาทมัตสึโมโต้ เราเลยตั้งใจจะไปเก็บภาพอีกวันแทน ช่วงเช้ามืดเลยDAY 2



เช้าวันที่สองเรารีบตื่นกันแต่เช้ามืดเลย ตั้งแต่ตี 4 เพราะช่วงที่เราไปนั้น พระอาทิตย์ขึ้นไวมาก อย่าลืมเชคแอฟพยากรณ์ต่างๆด้วยนะครับ จะได้ไม่พลาด หากอยากได้ภาพดีๆ ช่วงเวลาคือสิ่งสำคัญ เรารีบตื่นขึ้นมา อาบน้ำ แต่งตัว รีบเดินไปยังปราสาทมัตสึโมโต้ ช่วงเช้าอากาศเย็นมาก สดชื่น เมืองแห่งนี้ช่วงเช้า เป็นเวลาที่ชวนผ่อนคลายมากๆ เมืองค่อนข้างเงียบ สงบ ไม่วุ่นวายเหมือนเมืองใหญ่ๆ เดินประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว เราเดินมาถึงก็ 5:30 พอดี ตอนเช้าๆ บรรยากาศรอบๆปราสาทนั้น มีคนมาเดินเล่นตอนเช้าเหมือนกัน บ้างก็จูงหมามาเดินเล่น มีช่างภาพมาเก็บภาพด้วยเหมือนกัน เช้าวันนี้สดใสมากๆ ฟ้าใส แสงแดดกำลังจะมา พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น



ช่วงเวลาเช้านั้นน้ำนิ่งมาก เราเลยได้เห็นภาพเงาสะท้อนของตัวปราสาท ทำให้ภาพดูมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น นักท่องเที่ยวเริ่มมากันแล้ว ณ เวลานี้ ดอกซากุระบานแล้ว 100% มาชมบรรยากาศรอบๆกันเลยดีกว่า



บรรยากาศรอบๆห้องน้ำ ตรงปราสาทมัตสึโมโต้ ยังสวยงามขนาดนี้ แล้วส่วนอื่นจะขนาดไหน น่าสนใจมากๆ ขนาดห้องน้ำยังสวยขนาดนี้ ญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ ให้ความสนใจกับทุกสิ่งทุกอย่างดีครับ



ช่วงเช้าน้นบรรยากาศเงียบสงบมากๆ ไม่มีใครมาเลย เพราะพวกเราแหกขี้ตามารอตั้งแต่ ตี 5 ครึ่งเลยทีเดียว 555 เลยได้ภาพแบบโล่งๆ ไร้ผู้คนแบบนี้ ใครอยากได้ภาพคู่กับดอกซากุระ แบบไร้ผู้คน สวยๆ แนะนำให้ตื่นมารอแต่เช้านะครับ



ที่นี้มีหงส์ด้วย ตัวใหญ่มากๆ เป็นตัวประกอบให้ภาพนี้สวยงามยิ่งขึ้นอีก



ดอกซากุระบานออกดอกเต็มต้นไปหมด มองไปทางไหน ก็ขาวไปหมดเลยครับ ยิ่งตอนมีลมมานี่เหมือน กับว่า เป็นหิมะร่วงลงจากท้องฟ้าเลยครับ สวยงามมากๆ เป็นความทรงจำที่ดีครับ



ช่วงเช้าๆ นั้น นักท่องเที่ยวยังไม่มากันเท่าไหร่ จะเห็นมีแต่คนญี่ปุ่น เด็กๆ และ นักเรียนมาชมความงามของสวนแห่งนี้ครับ



บรรยากาศร่มรืนมากๆ พวกเราใช้เวลานานมาก ในการเดินชม เพราะไม่อยากรีบมา รีบไป เดินถ่ายรูปทั่วสวนเลย เหนือยก็พัก นั่งมองชีวิตของคนแถวนี้ ก็เพลินไปอีกแบบนะ ถ่ายรูปเพลินๆ จนใกล้เวลาเที่ยงแล้ว นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะขึ้นเรือยๆ มีนักเรียนมาเดินเล่นชม บรรยากาศซากุระที่สวนนี้ด้วย ดูแล้ว ได้อารมณ์ญี่ปุ่นแบบแท้ๆเลยหลังจากที่ถ่ายรุปกันอย่างเมามัน ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว จนถึงตอนเที่ยงแล้ว เราก็ได้แวะไปทานอาหารแถวที่พัก เพื่อไปอีกสถานที่นึง เพื่อชมซากุระอีกแห่งนึง ที่จริงแล้ว สถานที่นี่ พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะมีต้นซากุระเยอะมากมายขนาดนี้ เพราะไม่เคยเห็นมีคนมารีวิวเลย ว่าเป็นจุดที่มีต้นซากุระ ออกดอกสวยงาม และมีมุมถ่ายรูปอยู่หลายจุด จุดที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมานัก ที่เห็นก็มีแต่คนที่อยู่ในพื้นที่เท่านั้น ที่มานั่งพักผ่อนกัน ทำกิจกรรมครอบครัวกันที่นี้



Agatanomori Park

เราถ่ายรูปกันตั้งแต่เช้า จนถึงเทียงเลยทีเดียว จึงอยากจะย้ายที่ถ่ายรุปบ้าง แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะไปที่ไหนดี มองดูในแผนที่ มีสวนแห่งนึงในเมืองซึ่งน่าสนใจ ชื่อว่า Agatanomori Park และเดินทางไม่ยากด้วย การเดินทางเราเริ่มจากสถานีรถไฟหลัก Matsumoto Station เลย ด้านหน้าของสถานีจะมีป้ายรถเมล์ ดูตามในแผนที่แล้วเลือกนั่งรถเมล์สายที่ไปถึง แล้วนั่งไปเลย ไม่เกิน 15 นาที ก็ถึงแล้ว



หน้าตาป้ายรถเมล์ที่เราลงกันครับ หน้าตาเป็นแบบนี้



บรรยากาศรอบๆ สวยงามมากๆ สวนแห่งนี้ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย



รถญี่ปุ่นคันเล็กๆ มีให้พบเห็นได้ทั่วไปในเมืองที่อยู่ ณ ชนบท เห็นแล้วน่ารักจริงๆ เลย



ช่วงที่เราไปถึงนั้นเป็นช่วงบ่ายๆ เราได้เจอกลุ่มนักเรียนเด็กๆกำลังเดินไปเรียนกัน ก็ไม่รู้ว่าทำไมมากันตอนบ่ายๆ เพราะเราดันเดินตามไปด้วย ด้วยความสงสัย เดินไปถึงหน้าโรงเรียนเลย ด้วยความอยากรู้ จึงรู้ว่าโรงดรียนวันนั้น มีสอนคาบบ่าย เลยเจอเด็กๆนักเรียน ช่วงเวลานี้ ก็เลยได้ภาพเด็กนักเรียนญี่ปุ่น มาเพิ่มเติมเรื่องราวในภาพเพิ่มขึ้นอีก



มีคุณลุงเดินออกกำลังกายด้วย สดใสดีจริงๆ



บ้างก็พาสุนัขออกมาเดินเล่น



พยายามเดินถ่ายรอบๆ อยากเก็บบรรยากาศของคนที่นั้น คู่กับดอกซากุระ



ภาพเด็กนั่งเล่นกัน โดยที่แม่ของเด็กนั้น แอบเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ



สวนแห่งนี้มีลานให้เล่นกิจกรรมมากมาย มีผู้สูงอายุมาเล่นกีฬากันเยอะแยะมากมายเลย เหมือนกับว่า มีชมรมยังงั้นแหละ เห็นแล้วก็รู้สึกดี ที่วัยปูนนี้แล้ว ยังหากีฬาเล่นกันอยู่ จะได้มีสังคม และออกกำลังกายไปด้วย เห็นได้ทั่วไปใน ชนบทแบบนี้ในญี่ปุ่น



ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงาม คงจะดีหากมีคนที่รักอยู่ข้างกาย



การออกมาปีกนิก ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ ฟินมากมายยย



สรุปแล้ว สวนแห่งนี้มีลานกว้าง ไว้เล่นกิจกรรม มีต้นไม้เยอะแยะมากมาย ไว้นั่งเล่นพักผ่อน น่ามาเที่ยวมากๆ สำหรับใครที่อยากหลบออกจากสถานที่ที่คนไปดูดอกซากุระเยอะแยะมากมาย ไม่ต้องแย่งมุมกัน เดินถ่ายรุปกัน สบายใจเลย มีต้นซากุระเยอะมากมาย แนะนำเลย ที่นี้ไม่ผิดหวังแน่นอน



จบแล้ว 2 วันที่ เมือง มัตสึโมโต้ ได้ดูดอกซากุระ สมใจอยากที่เมืองแห่งนี้ หลังจากที่ลุ้นอยู่ว่า จะได้เห็นมันแบบฟูลบูมมั้ย 55 คืนนี้นอนหลับพักผ่อน พรุ่งนี้ เราจะเข้าโตเกียวกันDAY 3



ตอนนี้เราอยู่ ณ เมืองโตเกียว พักอยู่ย่านแถวๆ Ueno แผนการวันนี้พวกเราอยากไป เที่ยวเล่นหิมะ และเล่นสกีกัน หาข้อมูลดูในเน็ตก็พบว่า จากโตเกียวมีสถานที่นึงที่เป็นที่นิยม ผู้คนไปเล่นเยอะ นั้นก็คือ Gala Yuzawa นั้นเอง GALA ยูซาวะเป็นสถานที่ที่ใครๆก็ชื่นชอบ มีทางลาดที่หลากหลายและมีสถานที่เล่นสำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ เต็มไปด้วยวิธีที่จะสนุกสนานไปบนทางลาดมากมาย จนทำให้รู้สึกลังเลเลยล่ะว่าจะทำอะไรต่อไปดี GALA ยูซาวะตั้งอยู่ที่เมืองเอจิโกะ ยูซาวะ จังหวัดนีงาตะ อยู่ห่างจากโตเกียวมาทางทิศเหนือประมาณ 200 km พื้นที่นี้มีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่ที่มีหิมะตกลงมาปกคลุมมาก GALA ยูซาวะเป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถสนุกไปกับการลื่นไถลด้วยสกีจากความสูงตั้งแต่ 1,181 เมตร ไปจนถึง 358 เมตรได้ เป็นสกี รีสอร์ทที่เหมาะที่สุดในการทดสอบสภาพของหิมะที่ยอดเยี่ยม



วิธีการเดินทางไปยัง Gala Yuzawa Click!!



http://www.galaresort.jp/winter/thai/access.html



ช่วงที่เราไปนั้น ไม่ใช่ช่วงพีค ไฮ ซีชั่น และเรามากันเช้า คนเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เวลาเดินทางจากกรุงโตเกียว ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที ครับ หลับยาวๆ ได้เลย



เมื่อเราเดินเข้ามาจากประตูทางเข้าสถานีรถไฟ ก็จะพบกับ จุดชื้อบัตรเข้าไปเล่นด้านใน กว้างขวาง ใหญโตมากเลยครับ



ด้านหน้าเคาเตอร์จะร้านขายของฝาก และมีขายพวกอุปรณ์เล่นสกีด้วย ใครลืมเอามา ที่นี้ก็มีบริการขายครับ ไม่ต้องห่วง ส่วนอื่นๆ จะเป็นขนม และพวกเสื้อผ้า



เมื่อเราชื้อ Pass เพื่อเข้าไปเล่นแล้ว เราต้องเดินมากรอกข้อมูล ที่จุดนี้ก่อน ไปเช่ารองเท้า ถุงมือ และ อุปกรณ์เล่นหิมะครับ



ใครอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่เป็นไม่ต้องห่วงครับ มีใบแปลเป็นภาษาไทยให้อ่านด้วย รายละเอียดในการกรอก ก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่ถามว่า เช่ากี่คน มีรองเท้ากี่คู่ ไซต์อะไรที่เช่าไป แค่นั้นไม่ยากเลย

จุดนี้ในลองรองเท้าก่อนครับ ว่าขนาดของตัวเองเท่าไหร่ก่อนไปกรอกในใบรายละเอียด



เมื่อกรอกใบข้อมูลเสร็จแล้วทุกอย่าง ก็เดินเข้าช่องนี้ แล้วยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ได้เลย และรอรับอุปกรณ์เล่นหิมะได้เลย และอย่าลืมอย่าเอาของที่ไม่ใช่ไปฝากในล๊อกเกอร์นะ โดยเค้าจะมีแบ่งเป็นชาย หญิง เอาไปฝากในนั้น ก่อนเดินทางด้วย กระเช้าเพื่อขึ้นไปบนภูเขาหิมะ



เมื่อรับของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำของที่คิดว่า ไม่ใช้ไปฝากที่ ล็อคเกอ โดยจะแบ่งเป็นชาย หญิง วิธีการฝากของ ไม่ยากเลยมีวิธีทำอธิบายหมด เข้าใจง่าย



พอเราจัดการเสร็จทุกอย่างเลย ก็ถึงเวลาที่เราจะขึ้นกระเช้า เพื่อขึ้นไปเล่น หิมะ ข้างบนกันเลยยย!!!



รอกระเช้าไม่นาน ก็มา ช่วงเช้าคนไม่เยอะเลย ด้านในกระเช้าเลยไม่แออัด นั่งสบายๆ ถ่ายรูปรอบๆ ชมวิวสวยงามของเมือง Gala Yuzawa



ภาพบรรยากาศเมืองแบบเต็มๆ ครับมีหิมะปกคลุมทั่วไปหมด แต่ทำไมอากาศไม่ยักหนาวแหะ ทั้งๆ ที่ใส่เสื้อผ้าไม่ค่อยหนาเท่าไหร่



ไม่นานนักพอเราขึ้นไปถึงก็พบกับจำนวนผู้คนจำนวนมาก มาเล่นกัน ณ บนนี้ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ เต็มไปหมด รู้สึกว่าที่นี้จะมีคอสให้ลงเรียนด้วย หากใครสนใจมาเรียนกันได้เลย



สถานที่กว้างมากๆ หิมะขาวสะอาดมากครับ ยังใหม่ๆอยู่เลย อากาศด้านบนสดชื่น สบายๆ



นอกจากจะมีโซนเล่นสำหรับผู้ใหญ่แล้ว ก็มีโซนสำหรับเด็กๆ และคนทั่วไปเล่นได้เหมือนกัน โดยจะมีลานสำหรับเล่นถาดเลื่อนหิมะ เล่นกันสนุกๆ ก็น่าสนใจเหมือนกัน สำหรับที่นี้แล้ว เหมาะสำหรับผุ้เล่นทุกเพศ ทุกวัย



หากใครสนใจที่อยากจะเล่นอะไรแปลกใหม่ หรือเบือบรรยากาศในเมือง ก็สามารถเดินทางมาเที่ยวเล่นที่นี้ได้เลยครับ มีวิวสวย มุมดีๆ ให้ถ่ายรุปกัน จุใจเลย แถมมีกิจกรรมให้เล่นอีก คุ้มค่าจริงๆ ครับ พวกเราเล่นกันประมาณ 2 ชั่วโมงใกล้เที่ยงแล้ว เลยวางแผนจะไปเที่ยวที่ต่อไปกัน โดยสถานที่ที่เราวางแผนจะไปต่อนั้น เราจะไป Yokohama กัน แต่เราจะไปแวะกินข้าวที่ โตเกียวก่อน แล้วพอเย็นๆ ค่อยเดินทางไป โยโกฮาม่ากัน จุดประสงค์ที่จะไปก็คือ ถ่ายรุปเมืองตอนกลางคืนนั้นเอง เดินทางแค่ 30 นาที จากสถานโตเกียว



หากสงสัยว่า เมื่องโยโกฮาม่าแห่งนี้ มีอะไรดีนะ ประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร ก็คือ โยโกฮามาเป็นเมืองท่าเรือแห่งแรกที่ทั่วโลกได้รู้จักว่าเป็นประตูสู่ประเทศญี่ปุ่น อารมณ์ของเมืองจะมีความเป็นฝรั่งๆ หน่อย ถูมิประเทศของเมืองนี้จะติดกับ อ่าว อากาศที่นี้จึงเย็นสบาย น่าเดินเล่นตอนเย็นมากๆ กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมกันคือ การมาเดินเล่นชม พระอาทิตย์ตก ณ ที่แห่งนี้



สถานที่ที่เราจะแนะนำก็คือ Ōsanbashi Pier นั้นเอง เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยว นั่งเล่น และเป็นที่ที่ช่างภาพชอบมาถ่ายรูปกัน ตอนกลางคืนนั้นเอง Nihonodori Station สถานีสุดสายเลย แล้วเดินออกมา ไม่ไกล ก็ถึงแล้ว



บรรยากาศรอบๆ นั้นดีมากๆ มีคู่รัก มานั่งชมบรรยากาศยามเย็นกัน มากมาย



พอตกดึก แสงสี ไฟจากในเมือง เริ่มเปิดกันแล้ว ช่วงเวลานี้เหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ เพราะจะได้ฟ้าที่น้ำเงินพอดี และแสงไฟจากในเมือง ที่ส่องสว่างสวยงาม หลังจากที่เก็บภาพกันหนำใจแล้ว ก็เตรียมตัวกลับ โตเกียวเลยครับ หาข้าวกินกัน และพักผ่อน เพื่อลุยต่อในวันพรุ่งนี้



จบวันที่ 3 ของการเดินทาง )



DAY4



วันที่ 4 ของการเดินทางวันนี้อยู่ในเมือง โตเกียว วันนี้เป็นวันพักผ่อนไม่อยากออกไปไหนไกล เดินหาของกิน และ ช้อปของเล็กๆน้อยๆ พอช่วงเย็นๆ เราเดินทางไป Karuizawa เมืองที่ขึ้นชื่อ ว่าเป็นเมืองตากอากาศ บรรยากาศดี ร่มรื่น ผู้คนน้อย เพราะไปช่วงโลว์ซีซัน ฮ่าๆ แต่โดยรวมแล้ว บ้านเมืองสวยงาม แต่คนมันดูร้างๆไปหน่อย เวลาเดินเลยรู้สึกเหงาๆ ภาพไม่คอยได้ถ่ายเก็บมาไว้เท่าไหร่



สถานที่เที่ยวเมืองนี้ มีหลากหลายสถานที่ให้เที่ยวครับ



1. Karuizawa Outlet



เป็นสถานที่ช้อปปิ้ง มีของแบรนเนมมากมาย ราคาถือว่าไม่แพงมาก จุดนี้มีคนมาเที่ยวเยอะมาก ทัวร์ลงกันเต็มเลย ใครเป็นคอช้อปปิ้งมาที่นี้น่าจะถูกใจน่าดูครับ



ข้อมูลเพิ่มเติมหากใครสนใจ http://www.karuizawa-psp.jp.e.kd.hp.transer.com/web/plazaguide/en/



นอกจากจะมีช้อปปิ้งแล้ว ยังมีส่วนอื่นๆ ที่น่าสนใจอื่น



สามารถชมข้อมูบที่น่าสนใจได้เลยครับ



Karuizawa Travel Guide.



http://www.japan-guide.com/e/e6030.html



วิวทะเลสาปขนาดใหญ่ เหมาะแก่การนั่งทอดสายตามองยาวๆ บรรยากาศสงบมากๆ หากมานั่งเล่น ณ จุดนี้ ตรงนี้เป็นจุดที่ชอบมากที่สุด เพราะเราจะเห็น น้ำที่นิ่งสงบ จนเราเห็นภาพสะท้อน ของต้นไม้ และ บ้านเรือน เมือง Karuizawa เป็นเมืองตากอากาศที่มีโรงแรมอยู่มากมาย หลายแห่ง ทั้งเล็กๆ จนไปถึงขนาดใหญ่ หรูหราเต็มไปหมด และก็มีบ้านเป็นหลังๆ อยู่เยอะเหมือนกัน อากาศเย็นสบาย เพราะเมืองแห่งนี้มีภูเขารายล้อมอยู่ จึงมีลมพัดมาตลอด สบายๆ พอพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะกลับเมือง โตเกียวกันDAY5 – 6 – 7



วันนี้เราตื่นเช้าหน่อย เพราะต้องขึ้นรถไฟขบวนแรกๆ เพื่อไปยัง Kawaguchiko Lake สถานที่ยอดนิยมที่คนไทย และชาวต่างชาติที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว จะต้องไปให้ได้ จุดเด่นของทะเลสาปแห่งนี้คือ จะได้เห็น ภูเขาไฟฟูจิ ที่ตั้งอยู่อย่างยิ่งใหญ่ อยู่ริมทะเลสาปแห่งนี้ หากสภาพอากาศ และดวงดี จะได้เห็นภูเขาลูกนี้เต็มๆ หากโชดไม่ดี ก็อดเห็น ฮ่าๆ โหดร้ายๆจริง สำหรับผมแล้ว ทะเลสาปแห่งนี้ผมเคยมาตอนช่วง ฤดูใบไม้เปลื่ยนสี ครั้งนึงแล้ว แล้วได้จองบ้านพักแห่งนึง ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ 2 ชั้น เพราะครอบครัวผมมากันเยอะ การนอนบ้านหลังเดียวจึงสะดวกกว่า และพวกเราชอบทำอาหารด้วย ที่นี้มีครัว ห้องรับประทานอาหาร โต๊ะใหญ่ สะดวกสบาย มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบหมดเลย



หากใครสนใจที่พักที่ Lake Kawaguchiko สามารถติดตามรีวิวได้ที่นี้ครับ



ที่พัก LAKE VILLA KAWAGUCHIKO @LAKE KAWAGUCHIKO ที่พักวิวภูเขาไฟฟูจิ และมีอ่างแช่ออนเซ็น.

https://goo.gl/SdGaZo



LAKE VILLA KAWAGUCHIKO (SUPERIOR COTTAGE).

https://goo.gl/AMNQcE



เราจองบ้านหลังนี้ ในทริปนี้ ทั้งหมด 3 วันอยู่ให้เต็มอิ่มเลย อยากใช้ชีวิตช้าๆ ที่นี้บ้าง ไม่ต้องรีบไปไหน อยากตื่นเช้ามาดูภูเขาไฟฟูจิ และ ตอนพระอาทิตย์ตกดิน อยากเดินชมต้นไม้ดอกซากุระ ที่อยู่ข้างทาง เดี๋ยวจะลงบรรยากาศรวมๆ ทั้ง 3 วันให้ชมกันนะครับ



ช่วงที่เราไปถึงมีเทศกาล ขายของต่างๆ รวมถึงอาหารด้วย มีให้เลือกหลากหลาย มาที่นี้ทีไร ชอบสั่ง ของย่างกินตลอดเลย ของแนะนำที่ชอบเลยก็คือ เนื้อย่าง เนื้อย่างที่นี้ชิ้นใหญ่มาก ไม่เหนียวเท่าไหร่ กินละลายในปากเลย เต็มปากเต็มคำ ปลาหมึกก็อร่อยว เหนียวกำลังดี มีน้ำซอสราดทา มาด้วย อร่อยเข้ากันดีมากๆ ราคาไม่แพงเท่าไหร่ ไม้ละ 300-500 Yen เองครับ



วันนี้เราได้เห็นภูเขาไฟฟูจิตลอด ทั้งวัน แต่เหมือนว่า วันนี้หมอกจะหนามาก เลยเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่เราตั้งกล้องรอพระอาทิตย์ตก แต่ปรากฎว่า แสงมันไม่มา เมฆบังหมด เลยแต่ภาพหมอกๆ ลางๆ แบบนี้แทน เอาเป็นว่า พรุ่งนี้เช้าเอาใหม่ละกัน เผือจะมีโชดได้เห็นแบบ อากาศโปร่งๆ



แต่เดี๋ยวก่อน คืนนี้เป็นคืนแรกที่มาถึง เรามีนัดตอนเที่ยงคืน ถ่ายรูปภูเขาฟูจิ ที่ริมทะเลสาป ที่อยากถ่ายเพราะเราเคยเห็นรูปใน internet ที่เป็นทะเลสาป และมีภูเขาไฟฟูจิ และดาว ก่อนกลางคืน สวยงามมากกก ระหว่างที่รอเวลาถ่าย ก็นั่งเล่นคอมไปเรือย หาไรทำฆ่าเวลา จนถึงเวลาเที่ยงคืน ออกมาหน้าบ้าน มองไปบนท้องฟ้า เมฆไม่เยอะเท่าไหร่ แต่อากาศนี่สิ ขอบอกเลยว่า หากอยากถ่ายรูปตอนกลางคืนที่ทะเลสาปคาวากูชิโกะ นั้นไม่ง่ายเลย เพราะอากาศตอนกลางคืนนั้นเย็นมาก เลขตัวเดียวแน่นอน และมีลมแรงมาก แต่ใจที่อยากได้ภาพนี่สิ เลยจัดเตรียมเสื้อกันหนาว ใส่หลายๆชั้น หยิบกล้อง และขาตั้งกล้อง เดินออกไปเลย ท้าความหนาว ระหว่างที่เดินสั่นออกไป บริเวณรอบๆ ทะเลสาป บ้านเรือน ทุกหลังปิดไฟนอนหลับกันหมดแล้ว บรรยากาศน่ากลัวมาก แต่ก็ไม่ท้อ เดินส่องไฟฉายจนไปถึง ริมทะลสาป กางขาตั้งกล้องถ่ายรูปเลย ตอนตรงๆ สภาพเบี้องหน้าที่เห็นนั้น ไม่เห็นฟูจิแม้แต่น้อยเลย แต่หากจ้องดีๆ จะเห็นลางๆ ว่ามีภูเขากองใหญ่ๆ ดูตรงหน้า เลยไม่รอช้า ถ่ายรูปเลย



ถ่ายไปไม่กี่ภาพ สุดท้ายทนความหนาวไม่ไหว เพราะลมแรงมาก เลยยอมแพ้ รีบเดินกลับที่พักเลย หลังจากกลับที่พักก็รีบเปิดดูกล้อง ปรากฏว่า คืนนี้เราทำสำเร็จได้ภาพทะเลสาปคาวากูชิโกะที่มีภูเขาไฟฟูจิยามค่ำคืน และดาว ที่อยู่บนฟ้าหลากหลายดวง คุ้มค่าจริงๆ !! หลังจากที่อดหลับอดนอนตลอดทั้งคืน ก็ถึงเวลานอนพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เช้า เราจะมารอแสงเช้าที่ริมทะเลสาปอีกครั้ง.....



DAY 6



เตรียมตัวตื่นเช้า ตี 5 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นดีกว่า ก่อนออกจากที่พักไปถ่ายรูปทุกครั้ง เราจะเชคสภาพอากาศก่อน ในตอนนี้มีเว็ปที่เราสามารถส่องเจ้าฟูเขาไฟฟูจิ และส่วนต่างๆ รอบๆ ภูเขาไฟฟูจิด้วย สะดวกสบาย เว็ปที่อยากจะแนะนำคือ http://www.fujigoko.tv/live/camera.cgi?e=1&n=10 เว็ปนี้เราสามารถดูสภาพอากาศ ณ เวลานั้นๆ ได้เลย สะดวกมากๆ กับการเตรียมตัวออกไปถ่ายรูป ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แนะนำให้เซฟเก็บไว้ครับ



เราตรวจดูสภาพอากาศ ประมาณ 6 โมงกว่าๆเมฆเริ่มกระจายตัวออก ภูเขาไฟฟูจิค่อยๆ เผยโฉมออกมา เราต่างรีบคว้ากล้อง วิ่งไปยัง ริมทะเลสาปเลย เพราะโอกาสมันอาจจะมีแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ในที่สุดก็ไปถึงจุดถ่ายรูป เรามาทันเวลา แสงแดดเริ่มส่องออกมา จากกลุ่มเมฆ กระทบเข้ากับภูเขาไฟฟูจิ น้ำที่นิ่งสงบ ทำให้เห็นเงาสะท้อน ของภูเขา และ ก้อนเมฆที่ลอยอยู่เหนือน้ำ เป็นภาพที่งดงามจริงๆ กับการเฝ้ารอคอย เรามีโอกาสถ่ายกันแค่ 10 นาที เมฆก็ปิด ปกคลุมภูเขาไฟฟูจิหายไปกับตา



" แค่ 10 นาที ที่พบเจอ ก็นับว่ามันคุ้มค่า กับการรอคอย "



บรรยากาศรอบๆ ทะเลสาป ตอนที่ไปมีจัดงาน Cherry Blossom Festival (April 11th~19th) ด้วย จึงมีการตกแต่งด้วยดอกไม้หลากหลายสี หลากหลายสายพันธุ์ สวยงาม เยอะแยะมากมาย ตอนกลางคืนมีเปิดไฟด้วย



วันนี้เป็นวันท้ายๆ ที่ดอกซากุระเริ่มจะร่วงแล้ว ดอกเขียวๆเริ่มแตกออกมา แต่ผู้คนยังคงเดินทางมาเที่ยวชมซากุระอยู่อย่างหนาแน่น



บรรยากาศยังคโรแมนติก หากใครมากับคู่รักคงเป็นช่วงเวลาที่วิเศษน่าดูเลยDAY 7



วันที่ 7 วันสุดท้ายที่จะอยู่ที่ ทะเลสาปคาวากูชิโกะแล้ว เราเลยมีแผนว่าจะไป เจดีแดง ที่เป็นจุดยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวด้วย จึงไม่พลาดที่จะเดินทางไป



วิธีการเดินทาง



เดินทางจาก Kawaguchiko St. – Shinmoyoshida St. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที หรือมากกว่านั้น แต่ไม่นานมากครับ เดินทางสะดวก



เมื่อเดินทางมาถึงสถานีแล้ว เดินออกมาเลี้ยวขวา จะเจอป้ายไปยังเจดีแดง เดินตามไปเลย ไม่ยากครับ สถานที่แห่งนี้ นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมา เพราะ ที่นี้มีเจดีแดงที่สวยงาม และ มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเจดีแดง ที่ตั้งอยู่อย่างสวยงาม และ มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิที่ยิ่งใหญ่ สวยงามเข้ากันมากๆ ช่วงเวลาอากาศดีๆ ที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ จะมีช่างภาพทั้งชาวต่างชาติ และ ช่างภาพญี่ปุ่นมาถ่ายรุปกัน



เมื่อเดินมาถึงจุดๆนี้ ก็เดินเข้าไปด้านในและเดินเข้ามาตามทางได้เลยครับ



เมื่อเดินมาสักพัก จะพบกับทางเดินที่เป็นบันได สำหรับเดินขึ้นเขา ให้ทดสอบกำลังขา ถือว่าเดินเพลินๆ ออกกำลังกายละกัน แต่กว่าจะไปถึงนี่ ถ้าแบกกระเป๋ากล้อง ขาตั้งกล้องมาด้วยนี่ มีหอบแน่ๆ ครับ



แต่เดี๋ยวก่อน หากใครมีรถ รู้สึกว่า ข้างๆ ทางเดินขึ้นบันได จะมีอีกทาง ซึ่งเป็นทางลาด ซึ่งไปถึงข้างบนยอดเหมือนกัน ก็สามารถขับรถมาก็ได้ครับ สะดวกมากๆ ไม่ต้องเดินขึ้นเหนือยๆ



เดินมาถึงเรียบร้อยแล้ว แทบหอบ เราก็เดินเข้ามาด้านในอีก ก็พบเจดีแดงแล้ว สวยงามมากๆ คุ้มค่ากับการเดินขึ้นมา แต่จุดไม่ใช่จุดที่มองแล้วสวยที่สุด จะมีทางเดินขึ้นไปอีก ไปกันต่อเลยครับ



ผู้สูงอายุยังเดินขึ้นมาได้เลย อย่าอายเค้านะครับ สู้ๆ



ระหว่างทางขึ้นไปดูจุดชมวิว เราก็สามารถมองเห็นเมืองด้านล่างได้ แต่โชดร้าย วันนี้ภูเขาไฟฟูจิ ขี้อาย ไม่ออกมาให้เห็นสักนิดเลย



และแล้วเราก็เดินทางเข้ามาถึง จุดชมวิว ที่สวยที่สุดของสถานที่แห่งนี้แล้วครับ ซากุระกำลังออกดอกสวยงาม เจดีแดง สีเด่นสดใส แต่ขาดพระเอกของเราไปก็คือ ภูเขาไฟฟูจินั้นเอง น่าเสียดาย ที่ตั้งใจเดินขึ้นมาแล้วแต่ไม่เห็นเลย



หลังจากเดินเล่นถ่ายรูป รอบๆ เจดีแดงแล้ว ก็ได้เวลา ช่วงบ่ายพอดีเรามีแผนจะไปหมู่บ้านโบราณซึ่งเป็นมรดกโลกอีกด้วย ชื่อว่า Saiko Iyashino-Sato Nenba (Healing Village) ซึ่งที่ที่เราจะไปนั้น ตั้งอยู่ Saiko Lake ซึ่งต้องไปเริ่มที่ สถานีคาวากูชิโกะ แล้วนั่งรถประจำทางสีเขียว เพื่อไปยังหมู่บ้านนั้น นั่งรถไปสักระยะนึง ถือว่านานพอสมควรแล้ว แต่วิวข้างทางนั้นสวยสุดยอดจริงๆ ครับ



เข้าไปชมที่นี้ต้องเสียค่าเข้าด้วย คนละ 350 Yen



Hours of operation



9:00 a.m. to 5:00 p.m., March to November



9:30 a.m. to 4:30 p.m., December to February



Closed



Wednesdays from December to February



พอตกช่วงเย็นพวกเราต่างต้องรีบกลับที่พัก เพื่อไปถ่ายเจ้าฟูจิ ที่ริมทะเลสาปที่เดิมแต่คราวนี้ มีสิ่งที่ผิดปกติก็คือ มีก้อนเมฆที่ใหญ่มากมาย และมีรูปร่างทรงประหลาด มองไปแลกๆ ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ยืนถ่ายไปนานๆ มันมีรูปทรงแปลกขึ้น คือ หมือนมันกำลังดูดอะไรสักอย่าง ดูๆแล้วก็หลอนเหมือนกันนะครับ



DAY 8



เช้าวันที่ 4 หลังจากที่พัก 3 คืนที่ คาวากูชิโกะอย่างเต็มอิ่ม ได้ภาพบรรยากาศรอบๆ ทะเลสาปคาวากูชิโกะ เรียบร้อยแล้ว วันนี้ก็ตื่นมาลุ้นภูเขาไฟฟูจิอีกรอบนึง ขอให้ได้ภาพสวย สักทีเถอะ แต่ก็รอแล้วรออีก ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเห็นตัวเต็มๆเลย แต่บรรยากาศช่วงนั้นขอบอกเลยว่า อากาศดีมากๆ สดชื่นจริงๆเลย รอจนวินาทีสุดท้าย เจ้าเมฆที่ลอยอยู่ด้านหน้าฟูจินั้น ค่อยๆ สลายตัวออกมา ให้เราได้เชยชมจนได้ แต่จะไม่เห็นเต็มๆ ตา แต่ก็ถือว่า ได้เห็นแล้ว 3 คืน 4 วันที่ ทะเลสาป คาวากูชิโกะนั้นเราได้ช่วงเวลาที่พิเศษ และเต็มอิ่มกับสิ่งที่พบเจอมากๆ ได้เวลาที่เราจะเดินทางกลับไปยังเมือง Matsumoto อีกแล้ว



DAY 9



จุดเที่ยวสุดท้ายที่เป็น ไฮไลท์ในทริปนี้คือ Japan Alp นั้นเอง สิ่งที่เราอยากเห็นมากที่สุดก็คือ กำแพงหิมะที่เขาว่ากันว่า สูงมาก ปีนี้สูงถึง 19 เมตรเลยทีเดียว เลยไม่พลาดที่จะไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ เลยตัดสินใจเดินทางไปชมเลยดีกว่า ส่วนการเดินทางนั้น เราสามารถเดินทางได้จากหลากลายเส้นทาง แล้วแต่ความสะดวกเลย



วิธีการเดินทาง



https://www.alpen-route.com/th/access



แนะนำเข้าสู่เส้นทางแอลป์



https://www.alpen-route.com/th/introduction



เว็ปหลักหากสนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติม



https://www.alpen-route.com/th/



ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง เส้นทางต้นๆ ก่อนไปถึงจุดที่เป็นกำแพงหิมะ นั้นก็คือ Kurobe Dam เขี่อนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สามารถกักเก็บน้ำได้อย่างมหาศาล



น้ำในเขื่อนนั้น แข็งเป็นพื่นน้ำแข็งหมดแล้ว เป็นภาพที่ประหลาดตาดี



นักท่องเที่ยวส่วนมาก มากับทัวร์ มากันหลายกรุ๊ปเลย ทั้งจีน ไทย และอื่นๆ ช่วงที่เปลื่ยนรถคงต้องรอหน่อยนะครับ ใช้เวลาพอสมควร เพราะฉะนั้นเดินทางมาเที่ยวช่วงเช้าๆดีกว่าคนจะได้ไม่เยอะมาก



พอเราชมเขื่อน Kurobe Dam เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลานั่งรถราง ครับ



รถลางก็จะลากดึงเราขึ้นไปด้านบน ตามในช่องท่อนี่ขึ้นไปเรือยๆ ขึ้นไปนานมาก ไม่ถึงซะที ท่อนี้มีความยาวมากๆ เลยครับ



และแล้วก็ขึ้นมาถึงข้างบนสักที วิวที่เห็นก็จะสูงขึ้นมาเรือยๆ แต่นี่ยังไม่หมด ยังมีขึ้นต่อไปอีก แต่พวกเราหยุดพัก ถ่ายรุปกันก่อนดีกว่า ช่วงเช้า เวลายังเหลืออีกเยอะ



ด้านบนนี้ มีจุดถ่ายรุปเยอะแยะมากมาย นักท่องเที่ยวต่างจับจองมุมถ่ายรุปกันอย่างสนุกสนาน



และแล้วก็มาถึง จุดสุดท้าย นั้นก็คือการนั่งเคเบี้ลขี้นไปนั้นเอง เสียวดีเหมือนกันนะเนี้ย มันสูงมากกกกกก



เมื่อเราขึ้นมาถึงแล้ว เราจะพบเจอ หิมะ หิมะ และก็หิมะเต็มไปหมด นี่เราขึ้นมาถึงบนยอดแล้ว Snow Wall ก็คงจะอยู่อีกไม่ไกล



เดินไปตามทางก็จะเจอกำแพงหิมะจนได้ สูงมากๆ แต่ถ้าเดินเข้าไปอีก จะสูงกว่านี้ เดินกันต่อดีกว่า…



จุดนี้เป็นจุดที่มีป้ายบอกว่า สูงที่สุด โดยความสูงที่วัดวันนี้คือ 19 เมตรนั้นเอง!! ถือว่าสูงมากๆ



สรุปแล้ว การเดินทางครั้งนี้ ที่มาดู Snow wall นั้นคุ้มค่ามากๆ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี แม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่ก็ ถือว่าเป็นฝืมือคน ที่สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ ที่น่าตกตลึงได้เหมือนกัน เราเดินเที่ยวบนนี้ถึงบ่ายโมงปุ้บ ก็ได้เวลากลับเมือง Matsumoto เพื่อพักผ่อน พรุ่งนี้เราจะกลับโตเกียว และเที่ยวเป็นวันสุดท้าย.



DAY 10 Tokyo



หลังจากที่เดินทางจากเมือง matsumoto มา โตเกียว ในช่วงเช้าเสร็จ และ เข้าที่พักโรงแรมจัดของเรียบร้อยแล้ว ที่สุดท้ายที่เราจะไปชมกัน เป็นที่ปิดทริปก็คือ Odaiba นั้นเอง ก็คงจะไม่อธิบายไรมาก ไปชมบรรยากศกันเลยดีกว่าครับ สถานที่ที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยกันดี



Diver City odaiba Gundam.



Gundam RX-78 ขนาดเท่าตึก DiverCity Tokyo Plaza



FUJI TELEVISION NETWORK, INC.



Odaiba Kaihin Koen



Rainbow Bridge (Tokyo)



ปิดทริปการเดินทางตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราเดิน Odaiba จนถึงเที่ยงๆ แล้วก็กลับที่พัก เดินเล่นแถวๆย่าน Ueno ซึ่งมีตลาด ตึกม่วง ให้ช้อปของมากมาย เดินชิล หาของอร่อยๆ ทานกัน พรุ่งนี้เราก็จะเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ขอปิดทริปญี่ปุ่นเพียงเท่านี้ครับขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตาม มาตลอดครับ มีปัญหาอะไรอยากสอบถาม ถามมาได้เสมอครับ ขอบคุณครับ

ความคิดเห็น