ทริป "ขึ้นภู...ไปดูหมอก" เป็นการไปเที่ยวเหนือใน "หน้าฝน" ของเราเป็นครั้งแรก... และนอกจากเป้าหมายว่า อยากจะขึ้นไปพิชิต "ภูชี้ดาว" แล้ว... ก็ไม่ได้เตรียมการอะไรอย่างอื่นกันอีก... เมื่อวันหยุดยาวใกล้จะมาถึง... งานก็เข้า... รีวิวต่าวๆ ก็ไม่ดูมากนัก... แต่เราก็ยังตัดสินใจออกเดินทาง... เพราะเราเชื่อว่า "การเดินทางไปสู่จุดหมาย ไม่จำเป็นต้องมีแผนที่สมบูรณ์" หลายครั้งที่เราออกเดินทาง "แบบไปตายเอาดาบหน้า" กลับทำให้เราพบเจอเรื่องราวดีๆ ระหว่างทางอย่างที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว...

ขอแค่ใจพร้อม คนพร้อม การออกเดินทางก็แค่ การเริ่มต้นค้นหาความหมายของชีวิต และจุดหมายก็คงอยู่อีกไม่ไกล... เกินกว่าจะไปถึง...

ถ้าพร้อมแล้ว...ก็ออกเดินทางไปพร้อมกันนะครับ...

DAY 1 : เริ่มต้นการเดินทาง (กรุงเทพฯ - อุตรดิตถ์)

เมื่อวันหยุดยาวปลายเดือนกรกฎาคม 2561 กำลังจะมาถึง กับหัวใจที่เรียกร้องอยากออกไปเที่ยว... ต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จ แล้วขออนุญาตเจ้านายออกก่อนเวลา 1 ชั่วโมง... กลับบ้านเก็บของ รวมพล... จากนั้น 5 โมงเย็น จึงบ่ายหน้าออกจากกรุงเทพมหานคร พร้อมกับผู้คนอีกมากมายที่ออกเดินทางไปยังถิ่นฐานบ้านเกิด และละทิ้งเมืองหลวงอันแสนวุ่นวายไว้เบื้องหลัง...

ตอนแรก พวกเราตั้งใจว่าจะขับรถไปเรือยๆ แล้วไปนอนพักเอาแรงที่แพร่ แต่เนื่องจากเวลาที่เราออกจากกรุงเทพฯ ค่อนข้างเย็นมากแล้ว บวกกับการจราจรที่หนาแน่น ทำให้เราไม่สามารถทำเวลาได้ ในที่สุดเราก็ไปหมดแรงขับรถกันที่อุตรดิตถ์ตอนตี 3 (การขับรถช่วงนี้หลีกเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงนะครับ เพราะมีโอกาสหลับในสูงมาก...) จึงตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในตัวเมืองอุตรดิตถ์ ตระเวนหาที่พักอยู่เป็นชั่วโมง แต่ปรากฏว่าเต็มทุกที่จริงๆ ไม่มีที่ไหนว่างเลย สงสัยเป็นเพราะวันหยุดยาว... เราจึงจำใจหันหัวออกจากตัวเมืองอีกครั้ง จนขับเลยตัวเมืองมาหน่อย จึงเจอที่พักริมทางที่ชื่อว่า "ป๋าเดชรีสอร์ท" เมื่อโทรเช็คแล้วว่ามีห้องว่างแน่ๆ เราก็ไม่สนใจอะไรแล้วครับ ขับรถตรงไปหาที่พักกันอย่างเดียว...

ที่พักของเราอยู่กลางทุ่งข้าวโพด อยู่ห่างจากถนนใหญ่ไม่ไกลมากนัก แต่ทางค่อนข้างเปลี่ยว (โดยเฉพาะถ้าเข้าไปตอนกลางคืน) แต่เพราะเราไปกันหลายคนและหมดแรงแล้วจริงๆ จึงกล้าเสี่ยงเข้าไปพัก ซึ่งโดยรวมแล้วก็ถือว่าอยู่ในสภาพดีเลยครับ ถ้าเทียบกับที่บางที่ที่เคยไปพัก ลองสอบถามเจ้าของที่ตื่นมาต้อนรับ ก็พอทราบว่า เป็นรีสอร์ทแบบลูกค้าประจำมาใช้บริการซะส่วนใหญ่... จากนั้นก็เข้าสู่โหมดสลบทันเมื่อหัวถึงหมอน Zzzzz แล้วพบกันใหม่จนกว่าจะเช้า....


DAY 2 : วัดพระนั่งดิน - แสงดาวรีสอร์ท - ยอดภูชี้ฟ้า

หลังจากชาร์จแบตตัวเองกันอย่างเต็มที่แล้ว เราก็ออกเดินทางจากอุตรดิตถ์ แวะกินข้าวเช้าแถวๆ แพร่ และปล่อยให้ GPS นำทางเรามาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดหมายแรกตอนประมาณบ่าย 2 โมง ที่ "วัดพระนั่งดิน อ.เชียงคำ จ.พะเยา" ... จริงๆ แล้ว ที่นี่ไม่ได้อยู่ในแพลนของเรา แต่เห็นป้ายแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้เลี้ยวเข้ามา เลยถือโอกาสแวะทำบุญซักหน่อย เพราะวันนั้นป็นวันอาสาฬหบูชาพอดีครับ

พอเข้ามาแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย... นอกจากจะสวยงามแล้ว วัดแห่งนี้ยังมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน และมี Unseen อยู่ที่พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งไม่ได้ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีเช่นเดียวกับพระประธานองค์อื่นๆ ที่เราเห็นหันทั่วไป... หากแต่ประดิษฐานอยู่บนพื้นดิน ชาวบ้านจึงออกนามท่านว่า "พระเจ้านั่งดิน" ตามตำนานกล่าวว่า พระพุทธองค์เมื่อครั้งที่เสด็จมาประทับที่เมืองแห่งนี้ได้ตรัสกับพระเจ้านั่งดินว่า “ขอให้ท่านจงอยู่รักษาศาสนาของกูตถาคตให้ครบ 5,000 พระพรรษา”

ในพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่บนพื้นดินอยู่หลายองค์ ผมสันนิษฐานเองว่า คงทำนองเดียวกับที่วัดหลวงพ่อโสธร ที่มีองค์หลวงพ่อโสธรอยู่หลายองค์ เพื่อไม่ให้รู้ว่าองค์ใดเป็นองค์จริงกันแน่... นอกจากพระเจ้านั่งดินแล้ว ภายในวัด ยังมีองค์พระธาตุ (อยู่ระหว่างการบูรณะ) และมีศาลาให้เราจุดเทียนตามวันเกิดสำหรับเสริมด่วชะตากันด้วยครับ

มาถึงแล้วเราก็เสริมดวงชะตากันนิดนึงนะครับ ^___^

ออกจากวัดพระนั่งดิน เราแวะหาอะไรทานในตัวเมืองเชียงคำ แล้วจึงขับรถขึ้นไปยังที่พัก "แสงดาวรีอสร์ท" ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับภูชี้ดาว (ทางเดียวกับที่ขึ้นไปภูชี้ฟ้า) โดยเราเพิ่งโทรจองที่พักไว้ตอนเช้า ตอนแรกก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ไม่ได้จองล่วงหน้ามา จะมีที่พักให้เราหรือเปล่า แต่นี่แหละครับ... ข้อดีของการเที่ยวหน้าฝน คนไม่ค่อยมา จึงยังพอมีที่พักเหลือให้เรา และพอมาถึง ก็ทำให้รู้ซึ้งถึงคำว่า "ที่พักหลักร้อย วิวหลักล้าน" มันสุดยอดแบบนี้นี่เอง.......................


บ้านหลังสีเขียวๆ ด้านบนนั่นล่ะครับ คือที่พักของเรา...

หลังจากเก็บของ ชมวิว และสูดอากาศบริสุทธ์กันจนเต็มปอดแล้ว... เรามีแพลนจะไปถ่ายรูปกับภูชี้ฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกดินซะหน่อย เพราะไหนๆ ก็ขึ้นมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับภูชี้ฟ้าก็ดูกระไรอยู่ แต่.......... ปรากฏว่า เราขึ้นไปผิดทางครับ สุดท้ายจากที่เราจะไปถ่ายรูปกับภูชี้ฟ้า กลายเป็นเราเดินขึ้นไปบน "ยอดภูชี้ฟ้า" แทนซะงั้น...

แต่อย่างว่าล่ะครับ สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว... สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ... การได้เดินขึ้นบนยอดภูชี้ฟ้า ก็ทำให้เราฟินไปอีกแบบ ได้สัมผัสอากาศเย็นๆ ท่ามกลางไอหมอกที่ลอยฟุ้งไปทั่ว มันก็ทำให้เราได้สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติในอีกรูปแบบหนึ่ง คิดในทางกลับกัน ถ้าเราไปถ่ายรูปกับภูชี้ฟ้าตรงมุมนิยมในวันนั้น ก็คงจะไม่เห็นอยู่ดี เพราะหมอกเยอะมากจริงๆ ครับ... และที่พลาดไม่ได้เมื่อขึ้นไปแล้วคือ... ต้องอย่าลืมไปถ่ายกับหลักเขตที่แบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยและลาวครับ

ทางเดินขึ้นไปบนภูชี้ฟ้า... ใครไปฤดูฝนต้องระวังมากๆ เพราะจะค่อนข้างลื่น และอาจจะเจอวัวเจ้าถิ่นขวางทางอยู่ ผมต้องเจรจาขอเดินผ่านทางอยู่นานทีเดียว... บรรยากาศแบบนี้ ทำให้นึกถึงตอนที่ขึ้นภูกระดึงเมื่อหลายปีก่อน บรรยากาศประมาณนี้เลย... ชอบมากมาย



DAY 3 : ภูชี้ดาว - น้ำตกภูซาง - วัดพระธาตุภูซาง - สะพานฮัก - ศูนย์วิปัสนาไร่เชิญตะวัน - ไร่ชาฟุยฉง

การจะขึ้นภูชี้ดาว ปกติไม่ใช่เรื่องยาก คุณพักที่ไหนก็ติดต่อที่พักที่นั่นว่าจะขึ้นภูชี้ดาว วันไหน เวลาอะไร ทางที่พักเค้าก็จะเหมารถในพื้นที่ให้กับเรา เราก็เตรียมค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละประมาณ 100 บาท ก็สามารถขึ้นไปพิชิตภูชี้ดาวได้แล้ว ซึ่งปกติก็จะรวมคนที่พักอยู่ที่เดียวกันขึ้นไปพร้อมกัน... แต่ถ้าไปหน้าฝน ก็อาจจะมีรถที่ขึ้นไปบนภูน้อยหน่อย และเส้นทางก็ค่อนข้างอันตราย เพราะถนนจะลื่น ช่วงสุดท้ายก่อนถึงลานจอดรถ รถที่พวกผมเหมาไปเกือบขึ้นไม่ได้...ลุ้นกันแทบตาย แต่สุดท้ายก็ขึ้นได้... ทางเดินขึ้นภูชี้ดาวจะใกล้กว่าตอนเดินขึ้นยอดภูชี้ฟ้า แต่พอขึ้นไปแล้ว...ก็จะฟินกับบรรยากาศหมอก 360 องศา ซึ่งถ้าเรามาหน้าหนาวเราก็จะเห็นวิว 360 องศา แต่ไม่ว่าจะยังไงเวลาที่เราเดินอยู่ท่ามกลางสายหมอก และลมเย็นๆ ถึงมองไม่เห็นอะไร แต่มันก็รู้สึกสดชื่นและฟินอยู่ดี รู้สึกเหมือนเดินอยู่สรวงสวรรค์ยังไงอย่างงั้นเลยล่ะ...


เราใช้เวลาบนภูชี้ดาวอยู่เกือบชั่วโมง จนหัวเปียก เพราะหมอกหนาและลมแรงมาก ข้างบนนั้นทำให้เราได้พบมิตรภาพระหว่างเพื่อนคณะอื่นๆ ที่เดินขึ้นไปบนภูพร้อมกับเรา ได้ช่วยกันถ่ายรูป ได้แบ่งปันข้อมูล ผมว่ามันเจ๋งนะ... การเดินทางนี่ทำให้เราได้พบประสบการณ์ใหม่ๆ จริง


ลงจากภูชี้ดาว... เราก็เก็บของ กินข้าวเช้า แล้วลัดเลาะไปตามทิวเขามุ่งหน้าสู่ "น้ำตกภูซาง" ซึ่งน้ำตกเป็น "สายน้ำอุ่น" ตั้งอยู่ริมถนนเลยครับ การเดินทางสะดวก บรรยากาศโดยรอบก็ดี มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกครบถ้วน แต่เราก็ไม่ได้ลงเล่นเพราะดูแล้วน้ำค่อนข้าขุ่น เลยได้แต่เดินชมบรรยากาศรอบๆ ครับ



เรากินมื้อเที่ยงที่น้ำตกภูซาง ออกเดินทางมาได้น่อยก็เห็นวัดอยู่บนเขา มีป้ายบอกว่า "วัดพระธาตุภูซาง" เราจึงแวะขึ้นไปกราบสักการะ วัดแห่งนี้ก็เป็นวัดเก่าของอำเภอภูซางนะครับ แต่ได้รับการบูรณะใหม่ ช่วงที่เรามีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่เพียง 2 รูป เท่านั้น... แต่ก็เรียกว่าท่านดูแลและบำรุงรักษาวัดได้สอาดและสวยงามมากครับ เป็นวัดที่สงบจริงๆ ใคร่ผ่านไปแถวภูซางก็สามารถขึ้นไปนัมสการกันได้ครับ




ออกจากวัดพระธาตุภูซาง เราก็มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองเชียงราย ระหว่างทางเจอจุดที่เรียกว่า "สะพานฮัก" เลยลงไปเก็บภาพซะหน่อย...




จากนั้นเรามาถึง "ศูนย์วิปัสนาไร่เชิญตะวัน" ของท่าน ว.วชิรเมธี

ปิดท้ายการเดินทางในวันที่ 3 ณ ไร่ชาฟุยฉง ตามคำเรียกร้องของนายแม่ที่อยากเค้กโรลชาเขียว แต่เนื่องจากตอนเราไปมันเย็นแล้ว เค้กหมด...อดกิน T T เสียใจมากกกกก อุตส่าห์อยากกิน เลยได้แต่สั่งเครื่องดื่มแล้วก็มานั่งชิลล์ๆ กันอยู่พักนึง... ก่อนขับรถต่อไปนอนที่เมืองแพร่...


DAY 4 : คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ - คุ้มวงศ์บุรี (ปิดทริป) ^___^

เช้าวันสุดท้ายของการเดินทางเราเข้าไปชมคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ และคุ้มวงศ์บุรีที่อยู่ใกล้ๆ กัน ส่วนตัวผมเ็นคนชอบสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ไหนๆ มาเมืองแพร่แล้วก็เลยต้อขอแวะเข้าไปซักหน่อย ถึงแม่จะมากลายครั้งแล้วก็ตาม รอบนี้ก็เลยเก็บแต่ภาพด้านในมา ไม่ได้ตัวอาคารด้านนอกเลย... ใครเป็นถึงเมืองแพร่ ก็อย่าลืมไปชม "คุ้ม" ทั้งสองแห่งนี้นะครับ ท่านจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเมืองแพร่ที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น...

สำหรับวันนี้..ขอจบกันรีวิวครั้งแรกแต่เพียงเท่านี้ โอกาสหน้าไปเที่ยวไหน..จะมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ชมกันอีกนะครับ

จนกว่าจะได้พบกันใหม่ ... สวัสดีครับ

^ ภาพเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เจ้าหลวงเมืองแพร่องค์สุดท้าย ก่อนจะต้องหนี้ราชภัยไปอยู่ ณ เมืองหลวงพระบาง อันเนื่องมาจากเหตุการณ์เงี้ยวยกมาปล้นเมืองแพร่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นอันสิ้นสุดระบบ "เจ้าผู้ครองนคร" ในเมืองแพร่


^ ภาพสตรีที่เห็นอยู่ด้านโน้น คือ แม่เจ้าบัวไหล พระชายาของเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ ซึ่งก็อาจกล่าวได้ว่า เป็นพระชายาของเจ้าหลวงท่านสุดท้าย


^ บริเวณคุ้มวงศ์บุรี ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของแม่เจ้าบัวถา พระชายาองค์แรกของเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์



Bye Bye !!!

ความคิดเห็น