Part 1 : Moscow - St.Petersburg - Palace Square & The Hermitage

Part 2 : Highlight รอบกรุง St.Petersburg - Catherine Palace - Peterhof

Part 3 : The Moscow Kremlin - Red Square - Cathedral of Christ the Saviour

มาถึง Part สุดท้ายของการร่อนเร่ 8 วันในรัสเซียของผมและผองเพื่อนอีก 4 ชีวิตนะครับ ใน Part นี้จะเล่าเรื่องราว 3 วันสุดท้ายในรัสเซียครับ เริ่มจากการเก็บตกบรรดาสถานที่ที่เหลืออยู่ในกรุง St.Petersburg นั่ง Night Train กลับไป Moscow เที่ยวอีกวันครึ่ง แล้วจึงเดินทางกลับกรุงเทพครับ โดยแพลนคร่าวๆเป็นดังนี้ครับ


Day 6

- Smolny Cathedral

- Trinity Cathedral

- Chesma Cathedral

- Kazan Cathedral

- Night Train to Moscow

Day 7

- Red Square

- St.Basil Cathedral

- The Moscow Kremlin

- Cathedral of Christ the Saviour

- Arbat Street

- Metro Tour

Day 8

- Izmailovo Market

- Back to Bangkok

ภาพทั้งหมดในรีวิวนี้ถ่ายจาก Fuji X-E2 นะครับ พกเลนส์ไป 2 ตัวคือ XF18-55 และ XF55-200 จะมีภาพจากกล้อง iPhone 5 ปนมาบ้างนิดหน่อย ค่าเงินตอนผมไป 0.58 THB = 1 RUB ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในรีวิวนี้จะใส่เป็น Rub ทั้งหมดนะครับ


Day 6 Smolny Cathedral/Trinity Cathedral/Chesma Cathedral/Kazan Cathedral

เช้าวันนี้เป็นเช้าที่ 2 ของทริปที่มีแดดตอนเช้าครับ เป็นลางที่ดีสำหรับวันสุดท้ายใน St.Petersburg พวกเราออกจากที่พัก 8.30 Check-Out กับทางที่พักแต่ฝากกระเป๋าเค้าไว้ก่อนจะออกไปกินข้าวเช้าที่ร้านฝั่งตรงข้ามร้านเดิมที่กินเมื่อวานครับ อาหารเปลี่ยนนิดหน่อย วันนี้ผมลองสั่งเนื้อบดราดชีส ไส้กรอก และก้อนเนื้อผสม(ตอนแรกไม่รู้ว่ามันคืออะไร) เอาขนมปังมากินด้วย ซึ่งเจอว่าขนมปังมันหวานและเลี่ยนมาก แต่ไส้กรอกนี่เต็มปากเต็มคำมากครับ ราคารวม 235 Rub ครับ



การเดินทางไป Smolny Cathedral เริ่มจากนั่ง Metro ไปลงสถานี Chernyshevskaya และเดินเท้าต่อประมาณ 2 km ครับ ระหว่างทางจะผ่านสวนสาธารณะ ที่นี่พวกเราได้เห็นวิธีชีวิตยามเช้าของคนที่นี่ครับ ส่วนใหญ่เค้าจะพาเด็กเล็กมาเดินเล่นกัน บางคนก็มาให้อาหารนก บางคนก็จูงมาหมาเดินเล่นบ้าน นั่งอ่านหนังสือบ้าง มีสนามบอลคนเล่นเพียบ เดาว่าน่าจะมีมหาลัยอยู่แถวๆนี้

ในสวนจะมีบ่อน้ำเล็กๆมีเป็ด นกนางนวล นกพิราบ บินกันขวักไขว่ บรรยากาศดีทีเดียว (เป็ดที่นี่บินถลาลงน้ำเร็วกว่านกอีกครับ) เจอคุณแม่พาลูกสาวมาให้อาหารนกในบ่อน้ำ ดูชิลมากครับทั้งๆที่ไม่ใช่วันหยุด ชีวิตชาวรัสเซียดูไม่เร่งรีบเหมือนในกรุงเทพฯ สังเกตว่า 7 โมงกว่าถนนยังโล่งอยู่เลย เคยเห้นรถติดอยู่ครั้งเดียวตอนหกโมงเย็นแถวสะพานใกล้ๆ The Hermitage ครับ แต่ก็ไม่ได้ติดนิ่งแบบที่อื่น พวกเราเสียเวลาชื่นชมบรรยากาศที่นี่อยู่พักใหญ่ๆเลยครับ


ภาพ(หลุด)ทีมงานอีกแล้ว

พอออกจากสวนมาจะผ่านตึกเป็นบล๊อคๆ คล้ายหอพักครับ ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็สุดถนน จะมีวงเวียนใหญ่หน้าตึกที่มีตรารัฐบาลรัสเซีย ให้เดินไปทางซ้ายมือ จะถึงลานโล่งหน้า Smolny Cathedral ครับ โบสถ์แห่งนี้จะเป็นธีมสีฟ้าขาว ด้านหน้าจะมีระฆังที่ถอดออกมาจากหอระฆังตั้ง ปีกรอบๆใช้เป็นที่เรียนของนักศึกษามหาลัยแถวนั้น ด้านในจะเป็นเวทีมีการซ้อมแสดงดนตรี และมีพวกภาพเขียนจัดแสดงอยู่

ลานด้านหน้าโบสถ์ครับ สังเกตไม่ยาก เดินตามยอดโบสถ์มาได้เลย

มีเด็กๆมาทัศนศึกษา เสื้อหนาวสีสันสดใสมากครับ

ระฆังที่ถอดจากหอระฆังลงมาครับ

ตึกเรียนของนักศิกษา ถ้าฟังไม่ผิดจะเป็นพวกคณะสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมครับ

ค่าเข้าที่นี่แบ่งเป็น 2 ส่วนครับ คือตัวโบสถ์ 250 Rub และหอระฆัง 150 Rub หอระฆังไว้สำหรับขึ้นไปดูวิวรอบๆ โดยต้องขึ้นบันไดไป 142 ขั้น ก็จะถึงทางขึ้นหอระฆังครับ orz ชั้นนี้จะมีทางขึ้นต่อ 2 ทางสำหรับขึ้นหอระฆัง 2 หอที่อยู่ติดกัน โดยเดินขึ้นปันไดเหล็กอีก 146 ขั้นก็จะถึงยอดครับ บนหอระฆังจะเป็นคล้ายๆห้องเล็กๆพนังเป็นซี่กรง ลมแรงมาก โดยเราจะเห็นวิวรอบๆวิหารไกลไปจนถึงวิหาร St.Isaac และ The Savior of The Spilled Blood ครับ

กล้องส่องทางไกลฟรีนะครับ ภาพชัดมากเหมือนมือเอื้อมถึง

หลังจากดูวิวบนหอระฆังเสร็จพวกเราก็ลงไปเข้าดูตัวโบสถ์ โดยทางเข้าจะเป็นม่านปิดไว้ วันที่พวกเราเข้าไป มีคณะประสารเสียงกำลังซ้อมร้องเพลงกันอยู่พอดีครับ ก็เลยถือโอกาสนั่งฟังสักพักนึง แล้วก็ไปเดินดูรูปภาพรอบๆนิดหน่อยครับ

ดูในโบสถ์เสร็จเรียบร้อยพวกเราก็กลับทางเดิมครับ ก่อนที่จะถึง Metro พวกเราแวะกินข้าวที่ร้านอาหารร้านนึง หน้าร้านดูพื้นเมืองดี เจ้าของร้านดูหน้าแขกนิดๆพูดอังกฤษได้ ออกมาต้อนรับขับสู้เราถึงหน้าร้าน รู้ตัวอีกทีก็นั่งเปิดเมนูเรียบร้อยแล้วครับ แต่เกิดเหตุวิกฤตินิดหน่อยเนื่องจากร้านนี้ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษครับ เจ้าของร้านเลยต้องมานั่งอธิบายให้เราฟังทีละอันว่าอะไรคืออะไร โดยเค้าเสนออาหารชุดให้เรา จะประกอบด้วย ซุป สลัด Main dish น้ำ ซึ่งเค้าต้องอธิบายเราว่า ซุปมีแบบไหนบ้าง สลัดแบบไหนคืออะไร Main Dish คืออะไร ซึ่งนานมากกก สุดท้ายผมก็ได้ชุดมาชุดนึงโดยประกอบด้วย สลัดแครอทมายองเนส ซุปเนื้อและไก่สไตล์รัสเซีย เครื่องในอบกับธัญพืชที่คล้ายๆข้าว และน้ำส้มจืดๆสไตล์รัสเซีย ราคา 190 Rub คือราคาถูกมากเทียบกับปริมาณอาหาร สลัดค่อนข้างเลี่ยน แต่ไว้ดับความฉุนของเครื่องในได้ดีมาก (ระบุไม่ได้ว่าคือเครื่องในส่วนไหนของตัวอะไร แต่มันฉุนมาก ถึงมากที่สุด ขนาดผมเป็นคนชอบเครื่องในเป็นทุนเดิมนะเนี่ย) ธัญพืชคล้ายๆข้าวแต่เม็ดกลมและเเข็งกว่าจึงไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ ส่วนซุปเป็นซุปใสรสชาดใช้ได้ครับ


สลัดธรรมด๊าธรรมดา

ซุปนี้ค่อนไปทางอร่อยเลยทีเดียว

จานนี้ยกให้เป็นหนึ่งในสิบสิ่งที่ยากลำบากในทริปนี้

ต่อจาก Smonly Cathedral พวกเราจะไป The Trinity Cathedral ต่อ โดยตอนแพลนครั้งแรกจากไทย ไม่มีโบสถ์นี้อยู่ในลิสครับ แต่เผอิญตอนขึ้นไปบน Colonnade Walkway ที่ St.Isaac โบสถ์นี้มันฟ้าเด่นเป็นสง่าาก จนพวกเราต้องไปค้นข้อมูลว่าอยู่ส่วนไหน และหาสล๊อตวันว่างเพื่อแวะไปเยือนครับ

รูปจากวันก่อนๆนะครับ มองจากบน Colonnade Walkway

ซึ่งการเดินทางไปโบสถ์นั้นพวกเราจะต้องนั่ง Metro ไปสถานี Tekhnologichesky Institut และเดินต่อไปอีกนิดหน่อย ที่นี่หาไม่ยากครับ ขึ้นจาก Metro ก็มองเห็นโดมสีฟ้าเลย เดินไปไม่นานก็ถึง แถวๆโบสถ์มีร้านอาหารเยอะด้วย หากใครไม่อยากเสี่ยงกินเครื่องในฉุนๆ ก็ทนหิวหน่อยขึ้นมากินที่นี่ได้ครับ


ด้านหน้าวิหารจะมีปืนใหญ่วางเรียงรายกันอยู่รอบๆ เสาสีดำ ซึ่งมีลวดลายเกี่ยวกับทางทหารทั้งสิ้น ข้างในห้ามถ่ายภาพนะครับ บางส่วนยังซ่อมอยู่จากที่เคยโดนไฟไหม้มาก่อน ที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์แบบ St.Issac ทำให้ยังมีผู้คนเข้ามาทำพิธีกรรมทางศาสนาเป็นปกติครับ


หามุมถ่ายค่อนข้างยากครับ ที่นี่ใช้รถเมล์ไฟฟ้า สายไฟระเกะระกะมาก

ตอนนี้เพื่อน 3 คนในทีมแยกกลับไปที่พักก่อนครับ ส่วนผมกับเพื่อนอีกคนเดินทางต่อไป Landmark สุดท้ายของวันนี้ คือ Chesma Catherdal ครับ จริงๆแล้วโบสถ์์นี้อยู่ใกล้ๆสถานี Moskovskaya ที่เคยมาขึ้นรถไป Catherine Palace ครับ แต่วันนั้นผมชวนแล้วไม่มีใครอยากไป พอมาวันนี้อยู่ดีๆอยากมา งงงวยดีจริงๆครับ การเดินทางก็หลังจากขึ้นมาที่ Moskovskaya แล้วก็เดินเท้าครับ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีก็ถึง

Chesma Catherdal เป็นโบสถ์เล็กๆ รูปทรงแปลกตาด้วยสีแดงสลับขาวคล้ายๆแท่งลูกกวาดวันคริสมาสต์ครับ วันนั้นไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเลยครับ เหมือนจะเป็นโบสถ์ของชุมชนแถวนั้นซะมากกว่า

สีสันสดใสทีเดียว เสียดายฟ้าขาวอีกแล้ว

ภายในโบสถ์นะครับ เป็นเโบสถ์เล็กๆดล่งๆน่ารักดีครับ

ต่อจากนั้นผมกับเพื่อนก็นั่ง Metro กลับมาที่พักครับ เนื่องจากเวลายังเหลืออยู่เลยถือโอกาสแวะเข้าข้างใน Kazan Cathedral ก่อน หลังจากเดินผ่านแต่ด้านนอกมาสักร้อยรอบได้ครับ 55+ ตอนแรกผมคิดว่าโบสถ์นี้เข้าไม่ได้ครับ เพราะวันก่อนผมจะลองเข้าไปพบว่ามันปิดคล้องโซ่ไว้ครับ ที่นี่เป็นโบสถ์ที่มีชาวรัสเซียเข้ามาแสดงความเคารพรูปพระเยซู และนักบุญทั้งหลายค่อนข้างเยอะ สังเกตได้ว่าตรงกลางโบสถ์จะมีชาวรัสเซียต่อแถวยาวเหยียดเลยทีเดียว

พวกผมกลับมาถึงที่พักประมาณ 18.00 ครับ เข้ามานั่งพักในที่ส่วนกลางรอเวลาไปกินข้าว พอคนอื่นมาครบก็ออกไปหาร้านอาหารตรงถนนเส้นที่เลยที่พักไปครับ ผ่านสะพานสิงโตมีปีกสีทอง ที่เห็นรูปตามโปสการ์ดบ่อยๆ แต่แถวนั้นไม่ค่อยมีร้านอาหารเท่าไหร่ จนสุดท้ายพวกเราก็แวะร้านนึงที่ดูแพงนิดๆครับ เป็น Pub&Restaurant คนขายพูดอังกฤษได้บ้างนิดหน่อย มีบารากุด้วยครับ เค้านั่งพ่นกันในร้านเลยทีเดียว ผมสั่งสเต๊กปลากระพง 450 Rub กับเบียร์ Amber weiss 180 Rub เบียร์นุ่มสไตล์เบียร์ Wheat ปลากระพงอร่อยครับแต่มีก้างปนมาเยอะอยู่


มื้อนี้หรูหน่อยนึง ถ้าค่าเงินไม่ลงนี่ให้ตายยังไงก็ไม่เข้าร้านนี้

กินเสร็จพวกเราก็เดินทางกลับที่พักเพื่ออาบน้ำก่อนจะไปขึ้นรถไฟนอนข้ามคืนไปกรุง Moscow ครับ โดยประมาณสามทุ่มครึ่งพวกเราก็ลา Host ที่แสนน่ารัก แบกกระเป๋าไปขึ้น Metro ไปลงสถานี Mayakovskiy ครับ เพื่อเดินต่อเข้าไปในสถานีรถไฟ Moskoskya


ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปพร้อมๆกับเวลาของพวกเราที่หมดลงในเมืองอันน่ารักแห่งนี้

ถึงเวลาบอกลากรุง St.Petersburg แล้วครับ

และแล้วก็เกิดปัญหานิดหน่อย คือพวกเราออกมาผิดทางออกครับ ทำให้เดินไปไกลหน่อยกว่าจะถึงสถานี (เกือบกิโลนึง) ปัญหาที่สองครับสถานีรถไฟที่นี่ไม่มีเครื่องขายตั๋วแบบ Moscow แถมเคาเตอร์ตั๋วก็หายากมาก พวกเราไปถึง 22.00 รถไฟออก 22.50 เพื่อนในทีมคนนึงไม่ได้ปริ้นตั๋วมาครับ มีแต่เป็นตั๋ว PDF ในมือถือ ทีนี้เราไม่แน่ใจว่าถ้าใช้การยื่นมือถือให้เค้าจะได้มั้ย ก็เลยพยายามหาเครื่องขายตั๋วเพื่อปริ้นตั๋วกระดาษครับ จนแล้วจนรอดก็หาไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ซึ่งสุดท้ายก็ใช้ตั๋ว PDF ในมือถือขึ้นรถแทนตั๋วกระดาษได้นะครับ

รถไฟนอนคราวนี้เป็นขบวน 005 ไม่ใช่ Red Arrow 002 แบบขามา จะถูกกว่ามากครับแค่ 1,800 Rub โดยรถไฟโบกี้นึงจะมี 2 ชั้นครับ ในห้องเป็นเตียง 2 ชั้น 4 เตียงเหมือนเดิม แต่เตียงเล็กกว่า และไม่นุ่มเท่า ใน Red Arrow จะแยกเบาะมาชัดเจน คือมีเบาะนั่ง พอจะนอนก็พับพนักลงมาเป็นเบาะนุ่มๆสำหรับนอน แต่ขบวนนี้ใช้วิธีนอนบนเบาะนั่งเลยครับ และไม่มีช่องเก็บของด้วย ต้องยัดเข้าใต้เก้าอี้เอา

ในห้องมีคนรัสเซียคนนึงเช่นเดิมครับ พูดอังกฤษได้นิดหน่อย แต่ไม่ค่อยพูดจาเท่าไหร่ เค้าคงเกรงๆชายฉกรรย์ชาวไทยสภาพหนวดเครารุงรังทั้งสามคนแหละครับ พอรถไฟออกวิ่ง พวกเราก็ลองเดินไปตู้เสบียงดูครับ หมายตาไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ชานชาลาว่ามันอยู่ประมาณตู้ที่ 7 ครับ โดยตู้นั้นชั้นล่างจะเป็นครัว ชั้นบนจะเป็นโต๊ะอาหารครับ โดยจะเป็นโต๊ะๆเหมือนร้านอาหารเลย เมนูมีไม่เยอะมาก อาหารจะถูกฟิกไว้ตามวัน เช่นวันพฤหัสจะเป็นซุปแซลมอน จะสั่งซุปอันอื่นไม่ได้ เพื่อนผมสองคนสั่งซุปมากิน ส่วนผมไม่อยากกินของคาวแล้ว เลยสั่งไอติมมาเป็นมารยาทครับ โดนไป 150 Rub แต่ก็ก้อนใหญ่อยู่


ตอนเข้าไปนั่งงที่โต๊ะ มีชาวรัสเซียนั่งโต๊ะข้างๆมาคุยด้วยครับ ตอนแรกเค้ามาช่วยแปลเมนูและสั่งอาหาร สภาพเมามานิดๆ พูดอังกฤษได้คล่อง ดูอารมณ์ดี ชวนคุยเรื่องทั่วไปถามว่ามาจากไหน ชอบรัสเซียมั้ย เค้าบอกเคยพยายามเรียนภาษาไทย แต่ไม่สำเร็จครับมันยากไป และก็บ่นเรื่องอเมริกาพิมพ์แบงค์ใช้เองทำให้เงินเฟ้อ ฯลฯ

กินเสร็จก็กลับมาที่ห้องครับ ขบวนนี้มี ปลั๊กไฟ และ Wifi ให้แต่ Wifi ช้ามาก เลยไม่เล่น ชาร์จแบตแล้วนอนเลย เก็บแรงสำหรับวันพรุ่งนี้มหาโหดครับ เพราะพวกเราจะมีเวลาแค่วันเดียวในการเก็บ Moscow ทั้งหมด โดยจะมีเพื่อนในทีม 2 คนจะต้องบินกลับตั้งแต่เช้าวันมะรืนครับ

บนรถไฟคืนก่อนสุดท้าย วันพรุ่งนี้จะเราไปยืนอยู่กลาง Red Square กัน



Day 7 Moscow Kremlin / Red Square /St.Basil /Cathedral of Christ the Saviour /Arbat Street / Metro Tour

รถขบวนนี้นอนหลับไม่ค่อยสบายครับ เตียงแคบและแข็งกว่าเทียบกับขบวนขามา (แค่อันนั้นก็แพงกว่าอ่ะนะ) อากาศที่เย็นลงในตอนเช้าทำให้ผมสะดุ้งตื่นเพียงไม่นานก่อนที่รถไฟจะเทียบชานชาลาที่กรุง Moscow พวกเราต้องเดินทางไปเก็บของที่ที่พักก่อน โดยต้องนั่ง Metro ไปที่ Pushkinskaya ครับ โดยผมซื้อตั๋ววันที่ช่องขายตั๋วราคา 210 Rub ซึ่งน่าจะคุ้มกว่าซื้อแยก เพราะเที่ยวนึงก็ 50 Rub แล้วใช้เกิน 4 เที่ยวก็คุ้มแล้ว และตั๋ววันนี่ใช้ได้กับทุกอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็น Metro Bus Train ซึ่งการซื้อตั๋วคราวนี้ผมใช้วิธีถ่ายรูปตารางที่บอกประเภทตั๋วต่างๆ แล้วเปิดรูปชี้ให้คนขายตั๋วดูว่า เราจะเอาใบนี้นะ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ไม่ต้องเสียเวลาใช้ภาษามือครับ

ยื่นแล้วชี้เลยครับ โดยผมเอารูปนี้ไปถาม Information ก่อนครับว่าแบบไหนคือตั๋ววัน (จนท.พูดอังกฤษได้)

ที่พักที่เราจะไปชื่อ Happy Hotel ดูจาก Google Map อยู่ที่ Metro Pushkinskaya เมื่อขึ้นมาแล้วต้องเดินทะลุตึกเข้าไปเหมือนที่ St.Petersburg ครับ หาตำแหน่งยากมาก เดินวนอยู่หลายรอบจึงเจอป้าย A4 สีดำบนประตู และการจะเปิดประตูต้องใช้ Password พวกเราจึงเข้าไม่ได้ครับ ต้องรอจนมีเข้าไปจึงติดเข้าไปด้วยได้ ที่พักอยู่ประมาณชั้น 4-5 ไม่มีลิฟท์ ผมใช้แบคแพคไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ แต่เพื่อนสองคนที่ใช้กระเป๋าลากอาการค่อนข้างสาหัสครับ พอขึ้นไปถึง Hostel ผมก็เอาที่ Booking ให้กับ Host ครับ เค้าเอาไปดูแปปนึงก็ตอบกลับมาในภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ บอกประมาณว่ามันเป็นคนละ Hostel แต่ชื่อเดียวกันครับ Orz แถมตามทางที่เค้าบอกมันอยู่ห่างกันพอดู และไม่ใกล้ Metro ใดๆเลย

สรุปคือ พวกเราต้องนั่ง Bus ไป 3 ป้าย และเดินเท้าต่ออีกกิโลกว่าๆครับ โดยโชคดีที่ Bus ที่นี่ใช้บัตรเดียวกะ Metro ขึ้นไปแล้ว Scan ได้เลย ไม่งั้นคงต้องวุ่นถามราคาอีก ขึ้นไปก็เอาแผนที่ให้คนขับดูถามว่าผ่านป้ายนี้มั้ย (ใช้วิธีชี้เอาครับ คนขับพูดได้แต่รัสเซียเช่นกัน) พอถึงป้ายก็เดินเข้าไปในที่ควรจะเป็นที่ตั้งของ Hostel ซึ่งก็ตามสเตปเดิม มันหายากมากกก มีแต่ประตูไม่มีป้ายบอก ถามคนแถวนั้นบ้าง กดกริ่งประตูที่ดูเหมือน Hostel จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ เกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเราเริ่มล้าขึ้นเรื่อยๆจนเพื่อนคนนึงเริ่มเชียร์ให้ทิ้งที่นี่แล้วไปหาที่ใหม่แทน แต่ผมก็เห็นว่า แค่หาที่พักที่เรารู้ตำแหน่งแน่ๆแล้วยังยากเลย จะไป Walk in ใน Area อื่นคงจะเสียเวลาอีกนาน

สุดท้ายพวกเราก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปหาร้านอาหารที่มี Wifi แล้วเสิร์จดูว่าที่พักอยู่ไหน หรือแถวนี้มีที่อื่นๆหรือไม่ ซึ่งอเดินออกจากซอยมาที่ถนนใหญ่ เลยไปอีกนิดนึงพวกเราก็เจอประตูที่มีโปสเตอร์ที่ Happy Hotel แปะอยู่พอดี มันเส้นผมบังภูเขาจริงจริ๊งงง สรุปคือที่พักมันอยู่ชั่นบนของตึกและกิน Area ไปหลายตึกแถวครับ ทำให้เลขที่บ้านมันจะไปตรงกับตึกแรกสุด แต่ทางเข้าจะอยู่ถัดมาอีกสองสามตึก มันช่างซับซ้อนจริงๆ -/\-

ที่พักของพวกเราอยู่ชั้น 5 ครับ มีลิฟท์ตัวเล็กขึ้นได่ทีละ 2 คน ตอนพวกเราไปถึง Host เพิ่งตื่นมาหน้ามึนๆขั้นสุดท้าย ดูวัยไล่เรื่อยกับพวกเรา แต่พูดอังกฤษไม่ได้เลย ดีที่มีเพื่อนเค้าอยู่พูดได้นิดหน่อยครับ จ่ายค่าที่พัก 590 Rub/คน/คืน ฝากกระเป๋า เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินทางไป Red Square ต่อเลยครับ

เดินวนหานานมากกกก


ที่นี่เน้นแคบแต่ยาวครับตรงกลางเป็นห้องน้ำ

เนื่องจากที่พักที่นี่ไม่ได้ใกล้อะไรเลยทั้ง Bus และ Metro พวกเราจึงต้องเดินเท้าไปเกือบครึ่งชม.จึงจะเจอ Metro สถานีแรก นั่นคือ Oxhotny Ryad ครับ ข้างทางร้านอาหารน้อยมากจนต้องประทังชีวิตด้วยครัวซองไส้กรอกที่ซื้อจาก Kiosk ในสถานี Metro ชิ้นละ 45 Rub ซื้อมา 2 ชิ้น กำลังร้อนๆแป้งกรอบไส้กรอกชิ้นใหญ่ รู้สึกอร่อยมากกก

แต่ทำเลที่พักก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว เพราะว่าตัว Red Square เองนั้นก็อยู่ตรงข้ามกับ Metro Oxhotny Ryad พอดี เราลง Metro เพื่อใช้ข้ามถนนครับ ขึ้นมาจะโผล่มาหน้าจตุรัสแดงพอดี ณ จุดๆนั้น คนพลุกพล่านมาก มีทั้งทัวน์ไทย ทัวน์จีน ทัวน์ยุโรป มายืนถ่ายรูปกลางจตุรัสแดง มองไปไกลๆจะเห็นมหาวิหาร St.Basil โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าชอบ The Savior of The Spilled Blood มากกว่าครับ อาจจะเพราะไปถ่ายรูปที่นั่นหลายวัน และสภาพแวดล้อมรอบๆด้วย

แต่เรื่องความอลังการก็การันตีรัสเซียสไตล์ครับ มันยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะเมื่อได้เดินเข้ามาเหยียบอยู่ตรงกลาง Red Square มีความรู้สึกเหมือนกับเราเป็นศูนย์กลางของโลก ดังประโยคที่ว่า " In Moscow all roads lead to Red Square" วันนี้เราได้มาอยู่ในศูนย์กลางหัวใจของประเทศรัสเซียจริงๆซะที



มหาวิหาร St.Basil

State Historical Museum อยู่ฝั่งตรงข้ามครับ


พวกเราเดินถ่ายรูปด้านหน้าสักพักฝนก็เริ่มตก(อีกแล้ว) เลยตกลงกันว่าจะเข้าไปใน Kremlin เลย โดยต้องเดินวนหาทางเข้าก่อนครับ ซึ่งจาก Red Square ทางเข้าต้องเดินผ่าน Alexandre Garden ค่อนข้างไกลครับ เหมือนอ้อม Kremlin ไปสักครึ่งวัง แถมฝนตกด้วยพวกเราเลยรีบๆกัน ในสวนนี้จะมีพวกรูปปั้นประดับอยู่เป็นจุดๆครับ มีสระน้ำพุ(ที่ไม่มีน้ำ ;__;) สังเกตว่ารูปปั้นในสระเป็นเรื่องราวในนิทานเช่น นกกระสากับหมาป่า ลูกเป็ดขี้เหร่ เจ้าชายกบ ครับ และมีไฮไลท์เป็นสระน้ำพุที่มีรูปปั้นม้า 5 ตัวกำลังควบ แต่เค้ากำลังซ่อมกระเบื้องอยู่ และเป็นหน้าหนาว เลยไม่เปิดน้ำครับ มัน Fail ได้อีกกก


ฟ้ามันต้องครึ้มแบบนี้ทุกวันสิน่าาาา


นกกระสากับหมาจิ้งจอกในนิทานอีสบ


นี่ต้องรอคุณลุงที่ซ่อมกระเบื้องอยู่ก้มลงไปก่อน ถึงจะได้ภาพนี้มานะเนี่ย


ถ้าแดดดีๆและมีน้ำคงสวยงามน่าดู

พอเดินไปจนสุดสวนก็จะเจอที่ขายตั๋วครับ เป็นตึกกระจก โดยค่าเข้าจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือค่าเข้า Kremlin 700 Rub และค่าเข้า Armuory Chamber 500 Rub ใน Kremlin จะไม่ได้เปิดให้เดินทั้งหมดครับ หลักๆที่ดูได้จะเป็น Cathedral of the Annunciation, Assumption, Ivan the Great Bell-Tower(ตอนผมไปมันปิดอยู่) และ The Church of Laying Our Lady's Holy Robe ซึ่งจะอยู่ติดๆกัน แล้วก็พวก Tsar Cannon กับ Tsar Bell ที่วางอยู่ด้านนอก ส่วนของ Armuory Chamber จะเป็น Museum ที่เก็บสมบัติต่างๆครับ ข้างในจะมี Diamond Fund ต้องเสียค่าเข้าแยก 500 Rub เป็นห้องเก็บเครื่องเพชรของราชวงศ์ครับ

ทางเข้า Kremlin จะอยู่ตรง Troitskaya Tower ครับ เป็นหอคอยที่สูงที่สุดของพระราชวัง Kremlin และถือเป็นป้อมปราการหลักของวัง เมื่อก่อนเคยมีนาฬิกาอยู่บนยอดหอคอย แต่เมื่อเกิดการรุกรานของชาวสวีเดน นาฬิกาถูกเอาออกและแทนที่ด้วยปืนใหญ่แทนครับ ใน Kremlin ถือว่าเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยหอคอนระวังภัยแบบ Troitskaya Tower ทั้งนั้นครับ จุดกำเนิดของ Kremlin แห่งนี้ย้อนไปตั้งแต่ค.ศ.1147 สมัยต้นราขวงศ์รัสเซียและจุดกำเนิดของเมืองมอสโคว โดยแรกเริ่ม Kremlin เป็นเพียงป้อมปราการทำจากไม้และหินครับ ต่อมารัสเซียตกอยู่ใต้การรุกรานของมองโกลในการนำของเจงกิสข่านเวลายาวนาน จนกระทั่งพระเจ้าอิวานที่ 3 ได้ปลดแอกรัสเซียจากมองโกลได้สำเร็จ และได้พัฒนาบ้านเมือง รวมถึงสร้างพระราชวัง Kremlin ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ซึ่งในปัจจุบัน Kremlin และ Red Square ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปแล้วนะครับ


Troitskaya Tower

เมื่อเข้ามาใน Kremlin จะมียามคอยชี้ทางที่เราต้องเดินไป โดยจะมีหลักๆคือโบสถ์ 3 โบสถ์ที่กล่าวมาตอนต้น ข้างในถ่ายภาพไม่ได้ จะเป็นโบสถ์เก่าผนังเป็นปูน มีภาพเขียนฝาผนัง ส่วน Tsar Bell & Tsar Cannon ก็จะตั้งอยู่ด้านหลังโบสถ์ครับ นักท่องเที่ยวชอบเข้าไปถ่ายรูปคู่ด้วยเพราะมันใหญ่มาก


Tsar Cannon ครับ ถูกสร้างโดยปรมาจารย์ด้านการหล่อสำริดของรัสเซ๊ย ไม่เคยได้ถูกใช้งานจริงครับ

โบสถ์ทั้งสามครับ ตอนนี้ฝนยังไม่หยุดตก

พอฝนหยุดแล้ว ฟ้าใสแจ๋วเลย

พวกเราเดินดูรอบๆโบสถ์ทั้งสามสักพักหนึ่งก็ต้องรีบเข้าไปดู Armuory Chamber ครับ เพราะเค้าจะเปิดให้ชมเป็นรอบๆ ฟิกไว้ตอนซื้อตั๋วว่าต้องเข้ารอบไหน โดยข้างในจะเป็นตู้ที่เก็บเครื่องประดับและเครื่องใช้ต่างๆครับ เช่น เหรียญตราของกองทัพ โบราณวัตถุ ชุดเกราะปืนดาบ เครื่องเงินเครื่องทอง ชุดในราชพิธี บัลลังก์ มงกุฎ และรถม้า โดยจะแยกเป็น Session ชัดเจน มีเลขบอกว่าอะไรคืออะไร ที่ได้เรียกว่า Armuory น่าจะมาจากจำนวนอาวุธในนี้ค่อนข้างเยอะ มีปืนกว่าร้อยกระบอก ส่วนไฮไลท์อื่นๆก็จะเป็นพวก ทอง เงิน จากศตวรรษที่ 17-19 รวมจากหลายประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นชุดช้อนซ้อมจานชามที่รัสเซียได้รับเป็นของขวัญจากอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันครับ อีกอันที่น่าสนใจคือรถม้าครับ เค้ายกรถม้าคันใหญ่ยักษ์เข้ามาให้ดูในนี้เลย แต่ละคันสวยงามและใหญ่อลังการมาก ไซส์น้องๆรถหกล้อเลยครับ เห็นแล้วสงสารม้าที่ลากขึ้นมาทันใด ข้างในห้ามถ่ายรูปนะครับ


ก่อนที่จะเข้าไปในพิพิธภัณฑ์จะมีห้องย่อยที่ต้องเสียค่าเข้าเพิ่มนั่นคือ Diamond Fund ครับ เสียค่าเข้า 500 Rub เปิดเป็นรอบเช่นกัน ข้างในเป็นที่เก็บเครื่องเพชร ทองคำ ทองคำขาว เครื่องประดับมีค่าต่างๆ โดยจะมี 2 ห้องย่อย ห้องแรกจะเป็นเครื่องประดับเพชรต่างๆที่ทางรัสเซียครอบครองอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งก้อนแร่ทอง และทองคำขาวที่มีรูปร่างแปลกๆ ทั้งทรงรองเท้าบู๊ท จระเข้ ปลาโลมา จำนวนมหาศาล อีกห้องหนึ่งจะเป็นเครื่องเพชรที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมูลค่ามหาศาล ในห้องจะมี Guard ท่าทางเหมือนหน่วย Spetsnaz ยืนจ้องเราตลอด (ปกติที่อื่นจะเป็นป้าแก่คอยเฝ้า) ที่เด่นสุดในห้องนี้น่าจะเป็นเพชรตัด 3 ด้าน Shah Diamond ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Legendary Diamond และ มงกุฏประจำราชวงศ์โรมานอฟที่ประกอบด้วยทับทิม ไข่มุก ทองคำ และเพชรกว่าพันเม็ดครับ


กว่าพวกเราจะออกจาก Kremlin ก็ย่างบ่ายสามโมงแล้ว เลยต้องรีบหาร้านอาหารตรงหน้า Red Square กินก่อน แพลนของเรายังมีอีกสองที่ๆต้องไปก่อนที่จะถึงเวลาปิด นั่นคือ Cathedral of Christ the Saviour และข้างใน St.Basil

ตรงหน้า Alexandre Garden จะมีร้านอาหารอยู่สองสามร้าน เป็นพวกฟาสฟู๊ดซะส่วนใหญ่ครับ พวกเราเข้าร้านที่คนน้อย เป็นร้านพิซซ่า + Cอาหารอิตาเลี่ยนให้ตักใส่ถาด โดยเราหยิบถาดตักอาหารใส่ตามสบาย ตอนจ่ายเงินพนักงานจะเอาจานเราขึ้นชั่ง และคูณ 0.88 Rub ครับ ซึ่งปรากฎว่ามันแพงมาก ใส่มันอบ มีทบอลและ ลาซานย่า คิดมาได้ 499 Rub + Coke 75 Rub ซีดไปเลยทีเดียว


รสชาดก็โอเคครับ แค่ราคาแรงไปหน่อย

พวกเรากินเสร็จประมาณ 16.00 ผมซึ่งมองว่าไม่น่าจะเข้าโบสถ์ทั้งสองที่ทันเพราะมันปิด 17.30 แปลว่าจะหยุดขายตั๋ว 17.00 ครับ ก็เลยเลือกไป Cathedral of Christ the Saviour เพราะน่าจะใหญ่อลังกว่า เนื่องจากโบสถ์นี้เป็นโบสถ์สไตล์ Orthodox ที่สูงที่สุดในโลกครับ

จากสถานี Oxhotny Ryad ตรงหน้า Red Square พวกเราจะต้องนั่ง Metro ต่อไปอีก 2 สถานีครับ โดยลงที่สถานี Kropotkinskaya พอออกมาก็จะเจอ Cathedral of Christ the Saviour เลย ด้านหน้าจะมีตู้ขายตั๋วอยู่ คนขายพูดได้แต่รัสเซียเหมือนเดิม แต่เค้าไม่ยอมขายตั๋วให้ครับ จากที่พยายามคุยกัน + ภาษามือสักพักใหญ่ๆ พอเดาได้ว่าที่นี่นั้นเข้าฟรี แต่ที่เสียตังคือเป็นกรุ๊ปทัวน์ขึ้นดาดฟ้าครับ ซึ่งประมาณว่าคนเราน้อยไป ไม่ก็เลยเวลาขึ้นไปแล้วปรมาณนั้นครับ

ข้างในโบสถ์ห้ามถ่ายรูปนะครับ ที่นี่มีขนาดใกล้ๆกับ St.Isaac แต่ไม่หรูหราอลังการเท่า มีชั้นใต้ดินอีกแต่ผมไม่ได้ลงไปครับ ข้างในอารมณ์คล้ายๆ Kazan Cathedral จะมืดๆนิดหน่อย ผนังเป็นปูน มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาทำพิธีกรรมทางศาสนา ด้านหน้าวิหารจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำครับ จะมองเห็นวิว Kremlin จากมุมไกลๆ อีกด้านจะเห็น The Peter the Great Statue รูปปั้นที่สูงเป็นอันดับที่ 8 ของโลกครับ สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสกองทัพเรือของรัสเซียอายุครบ 300 ปี พูดได้ว่าสะพานนี้เป็นจุดที่วิวทิวทัศน์สวยงามมากๆเลยครับ

ไปถึงก็พาโนก่อนรูปนึง


ละก็หันซ้าย The Peter the Great Statue


ละก็หันขวา The Moscow Kremlin


มีคนมาพรีเว็ดดิ้งด้วยครับ บรรยากาศดีมากๆเลย

เปิดตัวสมาชิกทั้ง 5 นะครับ รูปหมู่รูปแรกและรูปเดียวในทริปครับ (ชุดจขกท.หลุดธีมอยู่คนเดียว ;_;)

พวกเราถ่ายรูปเล่นอยู่ตรงสะพานจนหกโมงก็เดินทางกลับ Hostel เพื่อเอาของเข้าห้องครับ ตอนจองๆผมเป็นห้อง 2 คน 1 ห้อง และ เตียง 3 เตียงใน Dorm แต่พอไปถึงเค้าให้ห้อง 2 คน เรามา 2 ห้องครับ และแบกเตียงเสริมมาให้อีกเตียง (เราแบกนะครับ Host เป็นผญ.ตัวบางร่างน้อย น่างสาร) ค่อนข้างอัดกันนิดหน่อยในห้องครับ แต่ก็ได้ความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นมา พวกเราพักกันประมาณชั่วโมงนึงก็ออกเดินทางต่อไป Arbat Street ครับ

จากที่พักพวกเราสามารถเดินไป Arbat Street ได้โดยการลัดเลาะไปตามซอยครับ โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง Arbat Street เป็นตรอกเล็กๆประดับประดาด้วยของตกเเต่ง มีพวก Street Show ศิลปินมาแสดงผลงาน และร้านขายของที่ระลึกครับ พอพวกเราไปถึงก็เริ่มมืดแล้วตลาดก็จะเริ่มวาย ร้านขายของฝากที่นี่ราคาพอๆกับร้านที่อื่นครับ แต่จะมีของเยอะกว่า และเค้าจะลดราคาให้มากกว่า แต่ก็ถือว่ายังแพงอยู่เทียบกับ Izmailovo Market ครับ

เราไปดูราคาของฝาก 2-3 ที่ และกินอาหารเย็นที่นั่นครับ ร้านอาหารแถวนั้นค่อนข้างหรู ผมสั่งหมูย่างสมุนไพรกับมันบดก็โดนไปแล้ว 493 Rub ซึ่งจานขนาดเท่าแมวครับ(แปลว่าเล็ก) และสั่งเบียร์ Kronenburg 1664 Blanc มาด้วย ราคา 225 Rub (หอมมากก) พวกเรากินกันเสร็จแล้วก็เตรียมตัวลงไป Tour Metro ย่อยอาหารกันครับ


สภาพร้านครับ

ค่าเงินถูก จะกินหรูแค่ไหนก็ได้ ;__;

อันนี้อร่อย ยอมมมม

แพลน Tour Metro นะครับ แรกสุดผมหา Metro สถานีที่เค้าแนะนำมา 12 สถานี แต่พยายามจัดให้เป็นวงกลม และวกกลับมาที่พักให้ได้ครับ สุดท้ายก็ได้เส้นทางที่เริ่มจาก Arbatskaya > Kievskaya > Krasnopresnenskaya > Belorusskaya > Novoslobooskaya > Prospekt Mira > Komsomolskaya > Kurskaya > Oxhotny Ryad(ที่พัก) ผ่าน 9 สถานี ส่วนใหญ่เป็นสถานีใหญ่ในวงกลมสีน้ำตาล ใช้วิธีพอถึงสถานีก็ลงไปถ่ายภาพในชานชาลา รถคันใหม่มาก็ขึ้นไปลงสถานีถัดไป

จะลงเป็นรูปยาวไปเลยนะครับ

Kievskaya

Kievskaya

Kievskaya

Krasnopresnenskaya

Belorusskaya

Novoslobooskaya

Prospekt Mira

Komsomolskaya

พอกลับมาถึงเราแยกกลุ่มกันครับ โดยเพื่อน 3 คนแยกกลับที่พัก ส่วนเรากับเพื่อนอีกคนไปเก็บรูป Red Square ตอนกลางคืนครับ ไปถึงประมาณเกือบห้าทุ่ม แต่ก็ยังมีคนเดินขวักไขว่กันเต็ม Red Squre เลยครับ มีตำรวจที่กำลังจะเข้ากะมาเดินเล่น เซลฟี่เล่นกันไปตามเรื่อง แต่พอถึงเวลาเคัาก็จะสวนสนามไปเข้ากะอย่างพร้อมเพรียงกันครับ ผมถ่ายรูปใน Red Square จนเที่ยงคืนกว่าๆก็เดินทางกลับที่พักครับ

State Historical Museum ยามค่ำคืน

ห้างกุมอยู่ตรงข้าม Kremlin ครับ

และสุดท้าย St.Basil ครับ เสียดายๆจริงๆที่ไม่ได้เข้าไปดูข้างใน

ค่ำคืนสุดท้ายใน Moscow ก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วครับ เรียกว่าพวกเราได้ซึมซับกรุง Moscow อย่างเต็มที่จริงๆ ทั้งหลง ทั้งเปียก ทั้งหนาว อยู่ตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืนครับ ในวันรุ่งขึ้นทีมเราจะเหลือแค่ 3 คนแล้วครับ เพราะเพื่อนอีกสองคนจะกลับไฟลท์เที่ยง จึงต้องรีบเดินทางแต่เช้า และพวกเราจะไปรวมตัวกันอีกทีตอนทรานสิสที่โนโวซีบริสครับ


Day 8 Izmailovo Market


วันสุดท้ายในกรุง Moscow และในประเทศรัสเซียของพวกเราได้มาถึงแล้วนะครับ ขอบอกเลยว่าสภาพจากวันแรกถึงวันนี้ ร่างการมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาก เริ่มจากหน้าตาตอนนี้กับหน้าตาในพาสปอตเริ่มไม่เหมือนกันแลวนะครับ ผมเผ้าที่เคยเซ็ตซะเนี๊ยบเริ่มกระเซอะกระเซิง หนวดเครารุงรังเพื่อป้องกันความหนาวเย็นบนใบหน้า เวลาเดินเริ่มเดินกันไม่ตรง เนื่องจากเท้าระบมจากการเดินต่อเนื่องมาหลายวัน กางเกงเริ่มหลวมจนรู้สึกได้เพราะความหนาวเย็นอีกนั่นแหละที่ดึงเอาไขมันของเราออกไปหลายชั้น สิ่งที่ตระหนักได้อย่างสุดท้ายคือไม่น่าเสียเวลาเลือกเสื้อผ้ามาเลย ในเมื่อสุดท้ายก็ใส่เสื้อหนาวทับอยู่ดี

กลับมาสู่การร่อนเร่วันสุดท้ายนะครับ พวกเราออกจากที่พักประมาณ 8 โมงกว่าๆ ภารกิจแรกคือหาอาหารเช้าครับ อย่างที่กล่าวมาในตอนก่อนหน้า แถบที่พักเราไม่ค่อยมีร้านอะไรเท่าไหร่ในวันแรกพวกเราถึงต้องไปประทังชีวิตด้วยร้านขนมปังในสถานี Metro ครับ หลังจากเดินงมๆสักพักจนหมดหนทาง พวกเราก็ยอมแพ้และตัดสินใจเข้าไปทานข้าวในร้านกาแฟที่อยู่อีกฝากถนนครับ อารมณ์ก็เหมือนเราไปสั่งข้าวไข่เจียวในแบล๊คแคนยอนนั้นแหละราคามันค่อนข้างทำร้ายจิตใจอยู่ ผมสั่งออมเล๊ตผักโขมมาครับ มันราคาเบาที่สุดแล้วคือ 450 Rub แถมโดนคิดค่าขนมปังอีก 100 Rub(คิดว่าเป็น Side Dish) ก็ซีดไปตามระเบียบ

รับโปรตีนจากไข่ล้วนๆครับมื้อนี้

แพลนวันนี้คือจะไปซื้อของฝากกันที่ตลาด Izmailovo ครับ เพื่อนที่เคยมาก่อนหน้าแนะนำมา นางบอกว่าของมันถูกมากและต่อราคาได้อย่างสนุกสนานครับ โดยการเดินทางไปที่ตลาดแห่งนี้เราต้องนั่ง Metro ไปลงสถานี Partizanskaya ครับ เพื่อนอีกคนในทีมขอแยกตัวไปครับ เค้าอยากจะเข้าไปดูสุสานของเลนนิน ที่อยู่ด้านใน Red Square เมื่อวานมันปิดพอดีเลยไม่ได้เข้าไป โดยพวกเรานัดเจอกันที่ๆพักอีกที บ่ายสองโมงครับ เพื่อจะเตรียมตัวเดินทางไปสนามบิน

พวกเรานั่ง Metro มาถึงสถานี Partizanskaya เมื่อเดินออกมาจะเจอตึกสูง พอมองเลยตึกไปจะเจอยอดแหลมๆสีสันสดใสหลายๆอัน นั่นคือ Izmailovo Market ครับ ให้เดินตามยอดแหลมๆนั่นไปเลย โดยข้างในจะเป็นคล้ายๆถนนคนเดิน อารมณ์สวนจตุจักรแบบอากาศถ่ายเทกว่าหน่อย จะมีแผงขายของฝากเต็มไปหมด โดยมี 2 ชั้นครับ ชั้นล่างจะเป็นพวกของฝาก ชั้นบนจะเป็นของเก่า มีพวกกล้องเก่า โปสเตอร์สมัยคอมมิวนิส เสื้อผ้าต่าง ยาวไปจนกระทั่งโล่อัศวินครับ


ยอดปราสาทสีสันสดใสนี่แหละครับ Izmailovo Market

มองแว๊บแรกคิดว่าอยู่ญี่ปุ่น โซนนี้จะขายพวกของฝากครับ

เราเดินหาซื้อของฝากอยู่สักพักใหญ่ๆครับ ที่นี่ถ้าเป็นพวกของเก่าๆจะต่อราคาได้ค่อนข้างมากครับ ขึ้นอยู่กับสกิลการต่อรองเลย ผมลองไปถามราคากล้องเก่าดูทีนึง คนขายบอก 7,000 Rub พอผมบอกไม่เป็นไร เค้าก็ลดให้เหลือ 5,000 Rub พอผมจะเดินไปละ เค้าลดอีก 3,000 Rub ขนาดผมเดินไปแล้วยังตะโกนถามมไล่หลังอีกว่าอยากได้ราคาเท่าไหร่ มันสุดๆจริงๆครับที่นี่

โซนนี้จะเป็นพวกของเก่าครับ


แต่ถ้าเป็นของที่ระลึกจะลดได้ไม่เกิน 20% ของราคาขายครับ ผมลองต่อมาหลายร้านแล้ว (หรือสกิลเราไม่พอหว่า)? ของส่วนใหญ่ที่ขายหลักๆมี 4 อย่างครับ คือ

1.มาทราสก้า มีทุกไซส์ ลายหลากหลายตั้งแต่แบบคลาสสิกไปจนถึงลายล้อเลียนบุคคลสำคัญ ราคาจะต่างกันตามไซส์ และจำนวนลูกที่เปิดออกมาได้ โดยเยอะสุดที่เจอขายคือมีลูก 16 ตัว บางทีตัวเล็กถ้ามีลูกเยอะก็จะราคาแพงกว่าตัวใหญ่ครับ ส่วนลวดลายมีทั้งแบบ Hand made และ ใช้เครื่องสกรีน ราคาก็ตามความสวยงามครับ มีตั้งแต่ 80 Rub ยันหลายพัน Rub ยิ่งถ้าเป็นงานของศิลปินมีชื่อก็จะราคาอัพไปอีกครับ

2.Russian Easter Egg เป็นเครื่องประดับตกแต่งที่ราคาค่อนข้างสูงครับ เป็นตลับทรงไข่ไก่เปิดไส่ของได้ ฟองเล็กๆ หาได้ถูกสุด 500 Rub แต่จะลายไม่ค่อยสวย Texture ไม่หรูหราเท่าไหร่ คนขายบอกอย่างโจ่งแจ้งครับว่ามัน Made in China ที่สวยจริงๆจะ 2,000-3,000 Rub ขึ้นไป ถ้ามีของข้างในใส่มาด้วยราคาจะยิ่งอัพขึ้นไป

3.ตลับใส่ของเพ้นท์ลาย มันน่าจะมีชื่อเรียกอยู่ครับ แต่อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ เป็นตลับใส่ของสีดำ ตรงฝาจะเพ้นท์เป็นลวดลายต่างๆครับ ราคาตามความสวยงามของลายบนตลับ ถ้าดีมากๆจะเป็นระดับศิลปินวาด ราคาจะขึ้นไปได้ถึง 10,000 Rub เลยทีเดียว

4.หมวกรัสเซีย+เข็มกลัดติดหมวก หมวกอันเป็นเอกลักษณ์ของรัสเซียครับ มีหลายแบบให้เลือก เข็มกลัดก็เลือกได้จะเอาตราโซเวียต ตราทหาร ตราตำรวจ มีหลากหลายรูปแบบครับ

5.ตลับกระจกครับ เป็นตลบวงกลมข้างในเป็นกระจก ตรงฝาจะเป็นลายสีๆ บางอันก็จะปรับอัญมณ๊เป็นลวดลายนูนขึ้นมาครับ อันนี้ราคาไม่สูงมากจะเริ่มต้นที่ 150 Rub และยิงยาวไปตามความสวยงามและวัสดุครับ

ระหว่างที่เดินดูและต่อราคาของฝากไปเรื่อยๆ ก็ไปสะดุดตากับร้านขาย Easter Egg ร้านนึงครับ เค้ามีขายไข่ที่จำลอง Imperial Coronation Egg ของราชวงศ์ อยู่ด้วยครับ โดยเป็นไข่สีทองมีรถม้าอยู่ข้างในใบละ 2,500 Rub ผมได้คุยกับคนขายนิดหน่อย เค้าโม้ว่า Queen of Thailand เคยมาซื้อเหมาชุดตุ้มหูร้านเค้าด้วยครับ บอกว่าร้านเค้าเป็นร้านประจำของทูตไทยที่ประจำอยู่รัสเซียครับ จริงแท้แค่ไหนต้องใช้วิจารณญาณในการรับฟังครับ รู้แค่ว่าไข่ร้านเค้าสวยจริงๆครับ ราคาก็ไม่แพงมากเทียบกับร้านอื่น

และแล้วก็โดนไปครับ ฟองนี้นี่ราคาเกือบเท่าค่าที่พัก 4 คืนที่ St.Petersburg เลยทีเดียว


มาทราสก้าแบบลายกร์ตูนสมัยใหม่ก็มีครับ เพื่อนผมซื้อลายสตาร์วอไปอันนึงครับ

ประมาณเที่ยงกว่าๆเผมกับเพื่อนก็เดินทางกลับที่พักครับ ระหว่างทางไป Metro อยู่ดีๆหิมะก็ตกอีกแล้วครับ เล่นตกเอากลางแดดเลย ประหลาดมากจริงๆ แต่ตกไม่นานก็หยุดครับ เราแวะซื้อขนมปังไส้กรอกที่ร้านเดิมหน้า Metro รองท้องก่อน ไปเดินหาร้านอาหารประทังชีวิตครับ และแล้วเราก็เจอร้านฟาสฟู๊ดส์ร้านนึงซ่อนอยู่ระหว่างทางไปที่พักครับ ร้านมีขนาดเล็กมาก ประมาณห้องขายตั๋วบน BTS ครับ ผมซื้อขนมปังๆแข็งกระกบเนื้อบดอบใส่มายองเนสราคา 112 Rub + สไปรท์ 90 Rub นั่งกินไม่ไหวเพราะมันแคบมาก เลยถือขึ้นไปกินบนที่พักครับ นั่งพยายามเอาของฝากใส่ยัดกระเป๋าที่ตุงจนจะระเบิด และนั่งพักประมาณชั่วโมงนึงจนบ่ายสอง เราก็ลา Host ด้วยภาษามือ แล้วก็ออกเดินทางไปสนามบินครับ


สภาพกระเป๋าตอนจะมาครับ จริงๆควรให้ดูตั้งแต่ Part แรกเนอะ 55

ดูไม่ค่อยน่ากินแต่จริงๆแล้วอร่อยอยู่นะครับ

การเดินทางกลับนะครับ เรานั่ง Metro ไปสถานี Paveletskaya เพื่อไปต่อ AeroExpress ไปสนามบินครับ ตั๋วรถไฟน้องในทีมก็จองให้แล้วตั้งแต่ก่อนมาครับ ไม่ต้องไปซื้อหน้าตู้แต่อย่างใด ออกจาก Metro จะมีป้ายบอกทางไป AeroExpress ชัดเจนครับเดินตามไปเรื่อยๆก็จะถึงชานชาลา แต่พวกผมไปไม่ทันรอบ 15.00 ไปถึงหน้าประตู 15.02 เสียดายมาก รถไฟออกไปเรียบร้อยแล้ว มีชาวรัสเซียอีกหลายคนประสบปัญหาเดียวกับเราครับ จริงๆที่ไปไม่ทัน เพราะโดนสแกนกระเป๋าตอนลง Metro ครับ ไอ้ไข่ที่ซื้อมาเนี่ย พอเข้าเครื่องสแกนจะกลายเป็นสีดำบนจอ ผมต้องไปอธิบายพนักงานว่ามันเป็นของฝากจึงจะผ่านได้ (โดนเรียกตรวจทุกเครื่องสแกนครับ ไม่ว่าจะMetro เข้าสนามบิน ต่อเครื่อง)

พอ 15.15 รถไฟอีกขบวนก็มาครับ เราขึ้นไปนั่งรอ 15.30 เป๊ะรถก็เคลื่อน ถึงสนามบิน DME ตอนสี่โมงครึ่งครับ พวกเราบินตอน 17.30 ช่อง Check-in คนไม่ค่อยเยอะและเดินเรื่องเร็วกว่าตอนอยู่สุวรรณภูมิมากครับ แต่ที่แปลกคือกระเป๋าแบคแพคจะโดนนับเป็นกระเป๋า Over-Size และต้องไป Drop ที่เคาเตอร์อื่น แล้วค่อยมารับ Boarding Pass ครับ (ไม่ต้องเสียตังเพิ่มนะครับ แค่ต้องลากไป Drop อีกช่อง) พอพวกเราเดินถึง Gate ได้สักพักก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องพอดี เที่ยวนี้เป็นการบินในประเทศเลยไม่ค่อยมีการตรวจอะไรเท่าไหร่ครับ

พวกเราบินเครื่องเล็กไป Novosibrisk(OVB) ถึง 00.40 เวลาที่นั่นครับ บินประมาณ 5 ชั่วโมง มีอาหารให้บนเครื่องจัดเต็มเช่นเคย รอบนี้สั่งเป็นปลามาทานครับ ได้ปลานึ่งกับข้าว มีขนมปังชีสและ Chocopie ให้เป็นของหวาน พอถึง Novosibrisk แล้วจะต้องต่อเครื่องออกนอกประมาณ รอบ 04.10 ซึ่งการต่อเครื่องก็เหมือนรอบขามาคือรับของและเดินออกไปอีก Terminal นึงเพื่อไป Check-in International Terminal

กล่องสีสวยสดใสมาก

Main Dish ครับ

ของหวาน

มีความลำบากนิดนึงตรงที่ไอ้ International Terminal มันยังสร้างไม่เสร็จครับ ที่นั่งรอก็มีแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งเป็นผ้าปิดมีนั่งร้าน ฝุ่นเต็มไปหมด ร้านรวงอะไรก็ยังไม่ค่อยเปิดครับ มีร้านกาแฟอยู่ร้านนึง เราได้รวมทีมกับเพื่อนอีก 2 คนที่กลับไปก่อนเราเรียบร้อยครับ สองคนนี้นั่งรอต่อเครื่องอยู่ที่นี่ตั้งแต่ทุ่มกว่าๆครับ 7 ชั่วโมงเลยทีเดียว ผมหาที่นั่งรอประมาณตี 2 ครึ่งก็เปิดให้รอบเรา Check-in โดยเคาเตอร์มีแค่ 5 เคาเตอร์ แต่ก็ทำงานกันเร็วอยู่ มาช้าตอนจะออกตม.ครับเพราะเปิดแค่ 2 ตู้ สรุปแล้วใช้เวลาประมาณ 45 นาทีในการผ่าน Process มาที่หน้า Gate ครับ

ระหว่างรอบินผมไปเดินเล่นรอบๆ Gate ครับ ร้าน Duty Free ยังสร้างไม่เสร็จนะครับ ตอนแรกกะว่าจะมาซื้อวอดก้า Russia Standard ที่นี่ ก็ Fail ไปอีกรอบครับ มี Cafe อยู่ 2 ร้าน ขายพวกแซนวิท กับเบียร์ มีร้านคล้ายๆสะดวกซื้ออยู่ร้านนึง ด้วยความที่ Duty Free ปิดเลยต้องซื้อช๊อคโกแลตของฝากจากร้านนี้ครับ ซึ่งก็พอมีขายอยู่บ้าง แต่ไม่มีให้เลือกมาก และถือว่าเคลียร์เศษตังที่เหลือไปในตัวด้วย

เกิดวิกฤตขึ้นเล็กๆเมื่อถึงเวลา Boarding Time แล้วก็ยังไม่มีชื่อ Gate ใดๆขึ้นในจอครับ ก็สับสนวุ่นวายกันพักใหญ่ๆ จนประมาณ 03.40 ก็มีประกาศภาษารัสเซีย และหลายๆคนคนกรูกันเข้า Gate 4 ได้ยินเสียง Bangkok แว่วๆ พวกเราก็เลยตามเค้าไปกันครับ เครื่องลำนี้นี้จะบินไปถึง กทม. 12.35 เวลาไทย บินประมาณ 10 ชั่วโมง 20 นาที บนเครื่อง มีอาหารให้เช่นกัน เป็นอาหารเช้าครับ ปลาชุบแป้งทอดกับข้าว ขนมเป็นคล้ายเค้กกับขนมปัง และแฮม ใครที่กลับรอบนี้นะครับ ให้นั่งด้านซ้ายติดหน้าต่างจะเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก แต่ตรงที่ผมนั่งหน้าต่างสกปรกมากเลยถ่ายรูปยากหน่อย

12.35 ตามเวลาประเทศไทย พวกเเราแตะพื้นแผ่นดินเกิดโดยสวัสดิภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ก็เป็นจุดสิ้นสุดการไปร่อนเร่ 8 วันในรัสเซียของพวกเรานะครับ เป็นทริปที่ไหลไปได้อย่างราบรื่นอาจจะมีสะดุดบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเล็กน้อยมากสำหรับประเทศประชากร 80% ไม่พูดภาษาอังกฤษเลย พวกเราประทับใจในความสวยงาม และอบอุ่นของประเทศนี้มากๆครับ ทั้งที่ก่อนมาโดนขู่ไว้ก็เยอะอยู่ ภาพของประเทศรัสเซียที่สีเทาทะมึน เต็มไปด้วยอันตราย ได้สูญสลายไปจากหัวจนหมดสิ้นเมื่อได้ลองมาสัมผัส นับว่าเป็นที่เกินความคาดหวังมากๆทริปนึงก็ว่าได้ครับ

ตัวผมเองอยากจะฝากกับผู้อ่านหลายๆท่านที่ลังเลที่จะมาประเทศแห่งนี้นะครับ ว่าอย่าได้ลังเลเลยครับ เพราโอกาสเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลครับ เราไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปไหนต่อไหนอีกสักแค่ไหนครับ ถ้าเมื่อต้นปีผมไม่ตัดสินใจซื้อตั๋วบินไปรัสเซียกับเพื่อน วันนี้ผมก็คงจะมีคำว่ารัสเซียเป็นประเทศที่อันตรายฝังอยู่ในหัว และก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปีผมถึงจะยอมออกจาก Comfort Zone เพื่อวางแผนไปเที่ยวประเทศๆนี้ครับ

The Last Sunset

สรุปค่าใช้จ่ายของทริปนี้นะครับ คิดด้วยเรต 0.58 THB = 1 RUB

จริงค่าใช้จ่ายในทริปนี้หักส่วนที่เป็นของฝากออกก็จะประมาณ 31,000 ครับ


สำหรับคนที่ต้องการประหยัดจริงๆครับ แนะนำแนวทางการเที่ยวดังนี้ครับ

1.นอน Dorm ครับ เพราะตอนไปผมพักใน Dorm ก็จริงแต่ก็ยังเป็นการเหมาห้องอยู่ซึ่งจะแพงกว่า

2.พยายามหา Night Train รอบที่ราคาไม่แพงครับ ผมโดน Red Arrow ไปซึ่งราคาแพงกว่ารอบปกติเท่านึงครับ

3.ค่าอาหาร พยายามเลือกร้านที่เป็น Canteen จะคุมอยู่ในราคามื้อละไม่เกิน 200 Rub และอิ่มท้องครับ คราวผมพลาดไปหลายมื้อครับ ต้องตามเสียงส่วนมาก เลยจบลงที่ร้านหรูตลอด

4.ไปเป็นนักศึกษาและขอ ISIC Card มาลดค่าเข้าวังและโบสถ์ ถ้ามี Condition นี้จะบอกว่าค่าตั๋วจะลดลงครึ่งๆเลยครับ ทริปนี้ผมหมดไปกับค่าตั๋วเกือบ 10% ของค่าทริปรวมครับ ถ้าลดได้จะดีมากครับ

คิดว่าถ้าทำตามนี้ด้วยค่าเงิน 0.58 THB = 1 RUB ทั้งทริปไม่น่าจะเกิน 28,000 บาทนะครับ

ต่อให้ค่าเงินรูเบิ้ลจะแข็งขึ้นมา นี่ก็น่าจะเป็นวิธีที่ประหยัดสุดในการเที่ยวครับ


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดนะครับ เนื้อหาสาระมีบ้างไม่มีบ้างหากสร้างความรำคาญให้ใครก็ขออภัยด้วยนะครับ เชื่อว่าคงมีคำผิดและพิมพ์ตกเยอะพอดูไว้มีเวลาจะทยอยแก้เรื่อยๆครับ





ความคิดเห็น