" O N C E . . . J O U R N E Y "
- ก า ญ จ น บุ รี -
สวัสดีค้าบบบ ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งการท่องเที่ยวในแบบสไตล์ของเรา อารมณ์แชร์ประสบการณ์และความรู้สึกของเราที่ได้ไปมากกว่ารีวิวเป็นการเป็นงานนะ เน้นรูปเยอะ(ถึงแม้มันจะไม่สวยก็เถอะ 555+ )
****อ๋อ !! นี่เป็นรีวิวแรก ถ้าผิดพลาดอะไรตรงไหนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยน้าาาา...จ๊ะ****
เริ่มเลยละกัน คือช่วงกลางเดือนมกราที่ผ่านมา เราหนีฝนปรอยๆ ในหน้าหนาวของกรุงเทพมาหาธรรมชาติที่กาญจนบุรี(อ๊ะ งงอะดิ นี่ก็งง สรุปจะฝนหรือจะหนาว) โดยอาศัยจากการดูรีวิวว่าที่ไหนน่าไป และเราก็มาเจอกับที่นี่ ที่ๆ มีกระทู้รีวิวมากมายยยย นั่นก็คือ...
" T h e F o r R e s t R e s o r t "
การเดินทางมา The For Rest Resort มาได้ 2 เส้นทางแล้วแต่สะดวกตามภาพ ระยะทางประมาณ 247 โลเมตร ใช้เวลาประมาณ สองชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว แต่ด้วยความชิวในทริปนี้เราจึงใช้เวลาไป 4 ชั่วโมงกว่า ไม่ใช่อะไรนะ ขับอ้อมไปทางพระรามสอง อย่าถามว่าทำไม ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน 5555+ ช่วงที่เรามาเป็นวันธรรมดา รถไม่ติดเลย แต่ที่พักก็เต็มนะเออ ของเค้าดีจริง
นี่คือบรรยากาศตลอดระหว่างการเดินทาง ใบไม้เปลี่ยนสีจนเป็นสีน้ำตาลคือสัญลักษณ์ของฤดูหนาว ถึงแม้ว่าแดดจะร้อนมากก็ตามที
"ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงที่หมายแล้ววววววววว The For Rest Resort กาญจนบุรี"
เข้ามาเราก็จะเจอกับสระว่ายน้ำ เราสามารถลงเล่นน้ำได้แต่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำเท่านั้นนะ! ถ้าใครไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำสวยๆ มาก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะทางรีสอร์ทเขามีทั้งให้เช่าและขายเลยแหละ พร้อมมาก พร้อมสุดๆ
ก่อนอื่นพอเรามาถึงที่พักก็ต้องไปเชคอิน ทางลงไปเชคอินและห้องพักค่อนข้างไกลนิดนึง ต้องเดินลงไปข้างล่าง แนะนำว่าให้เตรียมสัมภาระที่มีทั้งหมดลงไปด้วยเลย หรือถ้าใครอยากออกกำลังกายก็แล้วแต่สังขารเลยจ้า ส่วน จขกท.ด้วยความอยากสำรวจก็ลงไปแต่ตัวและหัวใจจ๊ะ เอาจริงป่ะ แค่เดินตัวเปล่ายังเหนื่อยอ่ะ ท้ายที่สุดเราก็ต้องขึ้นมาแบกสัมภาระของเราอีกรอบนึง เรียกได้ว่าลืมฟิตเนตไปได้เลย
เรามาดูบรรยากาศและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่มาพักที่รีสอร์ทนี้กันดีกว่าว่าพวกเค้าเหล่านั้นจะ slow life และชิวกันขนาดไหน
"เพื่อนร่วมทริปสุดน่ารัก ทั้งทริปมีแต่รูปไอนี่แหละ เสียใจไม่มีรูปตัวเอง 5555 "
" บางคนชอบพายเรือ ส่วนบางคนก็ชอบบินเหนือน่านน้ำ 5555 "
ที่นี่มีบริการเรือคายัคให้พายเล่นด้วยน้า ไม่มีค่าบริการครับ แต่ต้องมีมัดจำไม้พาย ไม้ละ 500 นะครับ
ในส่วนของห้องพักเป็นบ้านไม้ชิคๆ บนแพที่ติดกันเป็นแนวยาวไปตามริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย มีเปลสีขาวไว้ให้นอนชิวหน้าบ้านรับลมเย็นๆ ที่พัดมากับแม่น้ำแคว โคตรชิวเลยยยยยย
ค่าที่พักอยู่ที่ 1,100 บาท/คน นะครับ เป็นค่าที่พักรวมอาหารเช้าและอาหารเย็นครับ
ถึงเตียงแล้วดีใจเกินไปหน่อย กระโดดจนเตียงยับเลยไม่ได้ถ่ายสภาพเต็มมา T.T
ประทับใจมากกับแอร์เย็นๆ เย็นจนอยากจะก่อกองไฟไว้หน้าเตียง ประหนึ่งว่าเปิดไว้เลี้ยงเพนกวินได้อะ หนาวสุดอะไรสุด แอร์เค้าดีจริงๆ ไม่ได้โม้
หลังจากแยกย้ายกันไปเก็บของพวกเราก็ออกมารวมตัวกันเพื่อจะไปล่องแพ โดยแพจะออกวันละ 3 รอบคือ บ่ายสามโมงครึ่ง สี่โมงครึ่ง และห้าโมงครึ่ง ซึ่งพวกเรามาทันรอบสุดท้ายพอดี หลังจากนั้นก็เลทส์โก ไปล่องแพกั้นนนนนนนนน
พอแพออกตัวล่องไปตามแม่น้ำ ทุกคนก็ต่างจับจองพื้นที่ในการถ่ายรูปเก็บบรรยากาศสวยๆ ท่ามกลางธรรมชาติจ๋าของกาญจนบุรี เราก็เป็นอีกคนที่อยากจับจองพื้นที่ในการถ่ายรูปบ้าง แต่ไม่ทัน 5555+ ได้แต่แถวๆริมกะขอบแพนั่นแหละ ตรงกลางไม่มีใครลุกเลย ฮือออ...
จะมีหนึ่งประโยคสุดฮิตที่เป็นจุดเริ่มต้นบนสนทนาของคนบนแพ นั่นก็คือ “ขอโทษนะคะ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้มั้ยคะ" นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างการเดินทางและการฝากของมีค่าไม่ว่าจะเป็นกล้องมือถือไม้เซลฟี่มาครบแถมลังเบียร์ไว้ด้วย ดีนะจขกท.ไม่ดื่ม ไม่งั้นนะ หึหึ
แสงสุดท้ายกำลังจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
หลังจากล่องแพกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยกับการถ่ายรูปและเล่นน้ำอันหนักหน่วงก่อนมื้อค่ำก็ยังแอบไปพายเรือคายัคกันนิดนึงเสียดายไม่ได้พกกล้องไปด้วยกลัวตกน้ำ 555 ขอบอกว่าเป็นการออกกำลังกายก่อนทานมื้อค่ำได้ดี เพราะกระแสน้ำค่อนข้างแรงพอประมาณ ต้องพายทวนน้ำเหนื่อยโฮก (มีค่ามัดจำไม้พาย ไม้ละ 500 บาทนะคับ ส่วนค่าบริการฟรีครับ) หลังจากนั้นพวกเราก็มารวมตัวกันอีกทีที่แพห้องอาหารของรีสอร์ทครับ หลายคนไม่ยอมพูดยอมจาครับเพราะกำลังมีความสุขอยู่ในโลกแห่งการเติมพลังของตนเอง เนื่องจากเสียพลังงานจากการเล่นน้ำมา
รับประทานอาหารกันเรียบร้อยก็เข้าห้องแล้วก็หลับปุ๋ยยยยย
z..zZ.z.....Z
เช้านี้เราตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ไก่ยังโห่ หวังจะมาดูหมอกลงเยอะๆ ในตอนเช้า แต่ก็ต้องแอบผิดหวังเพราะเช้านี้ไม่มีหมอก T.T แต่บนความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีนะ ถึงจะไม่มีหมอกหนาๆให้เห็น แต่ว่าอากาศเย็นมาก แถมยังมีดาวน้อยๆ ให้เห็นเต็มท้องฟ้าก่อนแสงอาทิตย์จะมาด้วย จะว่าพอไม่มีคนก็วังเวงอยู่นะ ลมพัดมาทีเสียวสันหลังวาบบบบบ
" เห็นหมอกลอยเหนือน้ำมั้ยยยยยยยยยย เห็นมั้ยยยยยยยย ถึงจะมีน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยเนาะ ดีใจกับเราหน่อยยยย ^^ "
หลังจากถ่ายรูปเราก็นั่งชิวกันก่อนช่วงพระอาทิตย์ขึ้น(ทำให้เข้าใจคำว่านั่งจนลืมเวลาเลย มันอากาศดี แล้วชิวมาก นั่งเอาเท้าแกว่งน้ำ สัมผัสธรรมชาติ มันดีแบบโอ้ว ว้าวววว)พอแสงอาทิตย์เริ่มขึ้นอ่อนๆพนักงานก็เริ่มเอาอาหารเช้ามาตั้ง (เริ่มตั้งเช้ามากกก 6 โมงก็มาแล้ว) เราจึงรีบปรี่เข้าไปที่อาหารทันที มีอาหารน่าทานมากมายครับส่วนใหญ่ก็คือเบสิคของรีสอร์ท เช่น ข้าวผัด ข้าวต้ม แฮม ไส้กรอก ไข่ดาว กาแฟ โอวัลติน แพนเค้ก ขนมปังปิ้ง โอ้ยเยอะเหมือนกันนะ ไม่รอแล้ว ลำไส้ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปอีกต่อไป ขอไปหม่ำๆสักครู่นะฮ๊ะ
พอกินข้าวเช้ากันเสร็จก็เข้าห้องพักเก็บของ เคลียร์ตัวเอง แล้วก็ออกมานั่งริมแพครั้งสุดท้ายก่อนจะไปเที่ยวกันต่อ
" จขกท.แอบเอากระเป๋าสนู๊ปปี้ไปร่วมทริป เพื่อความสมวัย 555555 "
สถานีต่อไป เราจะไปที่ไหน ไปดูกันเล้ยยยยยยยย...
" E R A W A N W A T E R F A L L "
- อุ ท ย า น แ ห่ ง ช า ติ เ อ ร า วั ณ -
การเดินทาง (อ่านแล้วจินตนาการถึงเสียงหล่อๆนะครับ อะแฮ่มๆ)
ออกเดินทางจาก The For Rest Resort โดยใช้เส้นทางหลวง 323, 3457 และ 3199 ระยะทาง 94 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ จะมีจุดขายของกินทั้งร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารอยู่ระหว่างทาง และก็มีตลาดก่อนเข้าไปในอุทยานด้วยครับ มีห่วงยางรูปสัตว์ต่างๆ ขายเยอะเลย ใครอยากซื้อไปถ่ายรูปเกร๋ๆ ในน้ำตกก็แวะซื้อกันได้ครับผม แต่เรายังไม่เห็นใครถือไปซักคนเลยนะ หรือถือแล้วทิ้งไว้กลางทางก็ไม่รู้ 5555555+
นี่คือเสน่ห์ของฤดูหนาวครับ ต้นไม้ใบหญ้าเหลืองอร่ามมากครับผม ถ่ายรูปสวยเลยดีเทียว แนะนำว่าถ้าใครจะมาช่วงหน้าหนาวอย่าใส่เสื้อเหลืองมานะครับ เดี๋ยวจะแยกไม่ออกว่าไหนคนไหนต้นไม้เด้ออออ (จขกท. แอบอยากตัดสายไฟทิ้งมาเลยขอบอก = =")
ก่อนเข้าอุทยานต้องเสียค่าเข้าอุทยานคนละ 100 บาท (แต่ถ้าใครมีบัตรนักศึกษา ลดได้ 50% เลยนะ แนะนำๆ) ถ้าขับรถส่วนตัวมาก็เสียเพิ่มคันละ 30 บาทครับ
เส้นทางในการเดินขึ้นไปถึงน้ำตกชั้น 7 ประมาณ 1.5 กิโลเมตร เหมือนจะใกล้ๆใช่มั้ยครับ ตอนแรกผมก็คิดอย่างงั้นแหละ พอเดินถึงชั้น 4 เท่านั้นแหละ หึหึ อยากจะบอกน้องที่ไปด้วยว่า “พี่ว่าพี่แก่แล้ว ขออยู่แค่นี้ละกันนะ >.<“ แต่สุดท้าย จขกท ก็โดนฉุดกระฉากลากถูขึ้นไปจนได้ ด้วยคำพูดของเพื่อนร่วมทริปที่ว่า มาทั้งทีก็ไปให้สุด
แล้วบอกเลยครั้งนี้เราไม่ได้กันมาเล่นๆ นะครับ เรามาเดินแบกกล้องซึ่งใส่เลนส์ 70-200 (คือแค่เลนส์กับกล้องก็ทำเอาคอห้อยละครับ มันหนักม๊ากกกกก !!!) ลากกันไปจนถึงชั้นเจ็ด อ๋อ แนะนำว่าถ้าใครจะใส่ผ้าใบมาขอให้เป็นผ้าใบแบบพร้อมลุยน้ำเลยนะครับ เพราะมีด่านข้ามน้ำด้วย หรือถ้าไม่อยากข้ามน้ำก็ปีนหินข้ามไปเนาะ 55555+ แต่ไหนๆ ก็มาน้ำตกแล้ว เปียกเถอะครับ เย็นดี ฮี่ๆ
ยอมใจครอบครัวนี้มาก ขึ้นกันมายังไง โอ้โห แอดเวนเจอร์สุดๆ แต่ดูแล้วคนที่เหนื่อยและหมดแรงไม่ควรเป็นคนที่ถูกแบกขึ้นมารึเปล่า 5555+
เสียดายที่วันที่เราไปกันคนเยอะมากกกกกกก (ก.ไก่ล้านตัว) มีทั้งทัวร์เมืองนอก ทั้งเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษา โอ้วโหหหห เดินติดกันแทบจะนั่งหลับรอได้ พอขึ้นมาถึงชั้น 7 ด้วยความที่ออกจากรีสอร์ทช้า คนเยอะโฮกฮากมากๆ ไม่มีที่ยืน เลยได้แค่ถ่ายป้ายแล้วก็ลงมาครึ่งชั้น(ระหว่างชั้น 7 กับ ชั้น 6 ปักหลักอยู่ที่นี่พักหายใจหายคิดถ่ายรูปกันสักหน่อย
"น้ำใสใจจริงมากครับ เย็นมากๆ ด้วย"
"บางคนก็คิดซะว่าเป็นจากุสซี่เฉยยยย"
ใครสายฝรั่งก็แนะนำครับ เยอะแยะมากมายเลือกจับจองกันได้เลย เอ้ย !! ไม่ใช่ ฮ่าๆ
ทั้งเดินขึ้น - ลง น้ำตก 7 ชั้น รวมพักแวะถ่ายรูปพวกเราใช้เวลากันไปประมาณ 3 ชั่วโมง หิวสุดๆ เพราะเลยชั้น 2 ขึ้นมาแล้วจะไม่มีจุดขายของ หรือห้องน้ำ เพราะงั้น จขกท แนะนำว่าให้จัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเดินขึ้นมานะครับ เพื่อความสบายตัวและสบายใจของทุกคน 555
ขากลับครับแวะมาเก็บบรรยากาศที่สันเขื่อนศรีนครินทร์ โอ้วแม่เจ้า แสงแดดยามบ่ายที่ส่องลงมากระทบกับน้ำและต้นไม้มันสวยมากๆ เลยครับ ฟินไปอีกกก
ด้วยความที่อาการและแสงแดดดีเกินไปหน่อย เลยขอนั่งถ่ายรูปอยู่บนรถจอดแค่ 5 นาที แต่ก็รับรู้ถึงพลังงานแสงอาทิตย์ได้ดี รีบถ่ายรีบกลับเลยครับพี่น้อง ดีว่าเพื่อนร่วมทริปเรากล้าเสี่ยงตายแสงแดด ขอวิ่งออกไปยืนถ่ายรูป
หลังจากที่เราโดนน้ำตกเอราวัณทั้ง 7 ชั้นดูดพลังไปกว่า 70% ก่อนกลับไปที่พัก เราก็แวะเที่ยวที่ถ้ำกระเเซ ทางรถไฟสายมรณะกัน จะเป็นยังไง ไปดู...
“ T H A M K R A S A E “
- ร ถ ไ ฟ ส า ย ม ร ณ ะ -
การเดินทาง
กลับมาเส้นเดิมเลย โดยทางหลวงหมายเลข 3199, 3457, 323 และ 343 มีป้ายบอกตลอดทาง ไม่หลงแน่นอน ระยะทาง 56 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบชั่วโมงจากอุทยานแห่งชาติน้ำตกเอราวัณ
เดินจากจุดจอดรถประมาณร้อยกว่าเมตรก็ถึงสถานีรถไฟถ้ำกระแซครับ แนะนำให้เชคตารางรถไฟด้วยจะดีมากเลย เพราะถ้าเรามาแล้วตรงกับเวลาที่รถไฟมาพอดีเราก็จะได้ถ่ายรูปคู่กับรถไฟสวยๆ เท่ๆ แบบนี้ครับ(ตรงทางโค้งบนสะพานรถไฟจะวิ่งช้าครับทำให้เรามีเวลาได้ถ่ายรู้คู่กับรถไฟแบบนี้นี่เอง อิอิ)
วินาทีที่ต้องหลบรถไฟมันระทึกใจจริงๆ จ้ะ รู้สึกเหมือนเป็นซูเปอร์สตาร์มาก มีแต่คนยื่นมาออกมาถ่ายรูป (จริงๆแล้วเค้าถ่ายทางรถไฟกันครับแต่เรามั่นใจว่าต้องถ่ายติดเราไปบ้างไม่มากก็น้อยเลยต้องแอ๊คท่าเผื่อไว้ก่อน) จังหวะนั้นพอรัวชัตเตอร์เสร็จ จขทกด้วยความที่รักเพื่อนรักฝูง ก็วิ่งหลบรถไฟโดยไม่บอกนายแบบด้วย 55555 (รักตัวกลัวตายก่อนครับจุดนี้)
พอรถไฟไปแล้วก็เหลือแต่ราง รออะไรล่ะครับ รีบวิ่งไปถ่ายรูปสิ่ครับ โชคดีที่ตอนเราไปคนน้อยมาก ทำให้ไม่ต้องเคลียร์เฟรมอะไรมากมาย อยากถ่ายมุมไหนก็ถ่าย เพลินมากกก
หลังจากที่เราเสียเหงื่อให้กับ ถ้ำกระแซ ทางรถไฟสายมรณะ อยู่พักนึง เราก็เดินทางมาเชค
อินที่พักในคืนที่สองที่เราจะพักกัน นั่นก็คืออออ
“ B U T I Q U E R A F T R E S O R T R I V E R K W A I ''
- บูติค ราฟท์ รีสอร์ท ริเวอร์ แคว -
ที่นี่มีห้องพักสองแบบ เป็นแบบบ้านพักบนฝั่ง และบนแพริมน้ำ เราจองในอโกด้ามาแหละ แต่ไม่ได้ระบุประเภทห้อง ซึ่งตอนจองแพมันยังว่างอยู่ แต่พอมาถึงแพเต็มเฉย! เลยได้นอนเป็นบ้านพักบนฝั่ง (โดยปลอบใจตัวเองว่าเมื่อวานเรานอนแพมาแล้ว วันนี้ก็เปลี่ยนบรรยากาศมั่งจะเป็นไรไป TT) แต่รู้มั้ยว่าห้องพักบนฝั่ง กว้างมาก ใหญ่มาก อุปกรณ์ครบมาก มากมากมาก
ห้องนอนว่าใหญ่แล้ว ห้องน้ำก็ใหญ่มากเช่นกัน มีอ่างให้ลงไปแช่ได้ด้วย ด้านหลังก็มีฝักบัวให้ยืนอาบได้อีก แยกโซนเปียกโซนแห้งให้พร้อม โอ้ยยย ห้องน้ำน่านอนมาก (ขออภัยถ่ายภาพมาไม่หมด ตื่นเต้นอะไรก็ไม่รู้ตอนนั้น 5555+)
เดินมาดูบ้านพักบนแพ เป็นแพริมน้ำที่เทพมาก บรรยากาศดีสุดๆ โคตรโรแมนติกเลย น้ำตาจะไหลเพราะได้แค่มองอยู่ไกลๆ อยู่ตรงนี้ สัญญาว่าคราวหน้าจะระบุประเภทเลยว่า “จะนอนแพ จะนอนแพ จะนอนแพ" (อ๋อแพมี 2 แบบนะครับ เป็นแพธรรมดากะแพแบบพิเศษ แพแบบพิเศษจะมีสระน้ำในตัวด้วย ใครอยากได้ก็จับจองกันล่วงหน้าเด้อ)
"ค่าที่พักที่นี่ ตอนที่ผมไปพักประมาณ 1000 บาท/คน (ราคาเท่ากันทั้งบนบกและบนแพ) ส่วนแพพิเศษลองสอบถามทางรีสอร์ทกันดูน้า ราคานี้รวมอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วครับ"
ที่นี่บรรยากาศดีมาก ลมพัดเย็นสบาย ต้นไม้เยอะ ร่มรื่น มีความเป็นส่วนตัว เงียบสงบ พนักงานเป็นมิตร ผู้ร่วมพักอาศัยน่ารัก โอ้ยชีวิตดี เหมาะแก่การ Slow Life อีกนิด จขกท เกือบ Stop Life แล้ว มันแบบฟินมาก แค่นั่งเฉยๆ ก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปได้ทั้งวัน
นี่คือส่วนกลางของรีสอร์ท เอ๊ะ! หรือว่า ส่วนกลางของแม่น้ำแควน้อย 5555555+ เอาไว้เลือกนั่งชิวรับแสงแดดอุ่นๆ ตอนเช้า หรืออากาศดีๆ ตอนเย็น แต่ จขกท. มานั่งชิวตลอดเลย เอะอะมาที่แพ ก็เพราะอากาศมันดี
ติดกับรีสอร์ทมีสะพานด้วย แม่เจ้า สวยมาก แต่เขาติดป้ายไว้ว่า "ห้ามใช้สะพาน สะพานชำรุด" แต่เราเห็นมีเด็กๆ แถวนั้นวิ่งไปบนสะพาน เราก็เลยต้องอาศัยวิชาตัวเบาขึ้นไป
แต่ จขกท บอกเลยว่าจังหวะนี้แล้วเนี้ย ต้องได้รูปบนสะพาน เลยต่อสู้กับความกลัวแล้วก้าวข้ามมันไป (อะไรจะเวอร์ป่านนั้น) กว่าจะไปถึงกลางสะพานบอกเลยเดินยากมาก ไม้บางแผ่นก็หัก บางแผ่นก็ไม่มี บางแผ่นตะปูหลุด โอ้วยิ่งกว่านั้น มีเด็กวิ่งบนสะพานจ้าาาา วิ่งแบบ เหมือนวิ่งเล่นในสนามฟุตบอล แล้วเป็นสะพานเชือก คุณพระ !! สะพานแกว่งงงงงง ได้แต่กลั้นน้ำตายิ้ม เสียวมากจริงจัง แต่รูปที่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่านะ ฮ่าๆ
ในใจนี่สวดมนต์ตลอดเวลา ตะปูกับแผ่นไม้อยู่ในสภาพพร้อมหลุดตลอดเวลา นับว่าเรามีบุญมากที่มีโอกาสได้กลับมานั่งแชร์ประสบการ์ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน (แต่อันตรายจริงๆนะ ไม่ควรลอกเลียนแบบ เพราะชีวิตจริงไม่มีสแตนอิน ไม่มีตัวแสดงแทน)
" นี่คือมุมได้ถ่ายจากบนสะพาน เธอคนนี้ชิวมาก บอกเลยว่าอิจฉามาก เรายินดีด้วยที่เธอได้พักบนแพนั้น "
หลังจากถ่ายรูป แช่น้ำกันริมแม่น้ำแควกันเรียบร้อยก็พักผ่อนตามอัธยศัย มีร้านอาหารขายถึง 3 หรือ 4 ทุ่มนี่แหละ (แอบจำไม่ได้) อาหารรสชาติค่อนข้างโอเคนะ แต่ของทอดแอบเกือบไหม้ไปนิด แต่รสชาติโอเคครับ กินเสร็จก็ตามสเต็ปเดิม...หลับครับ 5 5 5
ช่วงเช้าเป็นช่วงที่ทุกคนรอคอย เรามั่นใจว่าทุกคนจัดเต็ม รวมถึงตัวเราด้วย 55555+
ทั้งหมดนี่ก็คือการท่องเที่ยวสไตล์แบบสไตล์ของเรา ความสุขและการพักผ่อนของเราคือการได้ออกเดินทางไปในที่ใดที่หนึ่ง ในที่ๆแปลกตาทั้งสถานที่และผู้คน มีกล้องและเลนส์คู่ใจห้อยคอไปด้วย คอยเก็บภาพบรรยากาศเหล่านั้นไว้ดู เก็บไว้เป็นความทรงจำ แค่นี้เราก็ก็ทำให้เรามีพลังในการใช้ชีวิตต่อไปละ ขอบคุณทุกประสบการณ์ ขอบคุณผู้ร่วมเดินทางไปด้วยกันในครั้งนี้ ถ้ามีโอกาสไว้เจอกันใหม่ทริปหน้า ส่วนถ้าใครอยากติดตามรูปบางส่วน บางสถานที่ที่ไม่ได้เอามาทำลงขนาดนี้ก็ฝากติดตามใน Twitter และ ig ได้นะครับ (แอบขายของฮ่าๆ) @aloneww แล้วเจอกันทริปหน้าจ้าาาาา บ๊าย บายยยยยยยย
ถ้าใครชอบดูรูปสวยๆ ชอบอ่านคำคม ฝากตัวด้วยนะค้าบ
FB :
https://www.facebook.com/siwajs
Twitter : https://twitter.com/aloneww
****ถ้าผิดพลาดอะไรยังไงก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ****
Aloneww
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.18 น.