ซาลเว่ โบโลญญ่า !!! ซาลเว่ภาษาอิตาเลียนแปลว่าสวัสดีคร๊าบ หลายคนสงสงสัยว่าทำไมไม่ ชาว Ciao คือจริง ๆ ใช้ได้ทั้งสองคำ แต่ชาวจะประมาณ Hi อะไรทำนองนั้น วันนี้มาหยุดเที่ยวกันที่อิตาลีกันต่อ กับเมืองโบราณที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี เมืองเล็ก ๆ นี้เดินท่องเที่ยวด้วยเท้าสบาย ๆ (ใครบอกเดินกันขาลากเลย เมื่อยมาก) เป็นเมือง Slow Life ดูผู้คนสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ และยังเป็นเมืองการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดด้วยอายุมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่กว่าพันปีเลย “เมืองโบโลญญ่า” ครับ
อากาศกลางตุลาแม้จะมีฝนบ้าง แต่ก็เป็นส่วนที่น่าท่องเที่ยวที่สุดตอนหนึ่งในยุโรป แม้จะอากาศค่อนไปทางเย็น แต่ก็ทำให้เดินสบายๆ ตลอดทั้งวัน แม้ว่าตอนเย็นจะหนาวบ้างก็ตาม โบโลญญ่าเป็นเมืองเก่าแก่มาก แต่แปลกที่สถาปัตยกรรมไม่ออกเป็นแนวอิตาลีเท่ากับเหมือนเยอรมันมากกว่า แต่ก็มีกลิ่นอายคลุกเคล้ากันไป จริงๆ เมืองนี้อยู่ใกล้เวนิสและเวนิเซีย นั่งรถไฟมาแป๊ปเดียวก็ถืงแล้วครับ แต่วันนี้เราพักกันที่เมืองนี้ และตามธรรมเนียมก็เริ่มต้นจากการพาไปรีวิวที่พักกันก่อนครับ
คราวนี้เราพักกันที่โรงแรม Iportici Hotel อยู่ในเมืองเก่าของโบโลญญ่าเลย แต่ยังเป็นเขตที่ขับรถเข้าไปได้อยู่ (ศึกษาถนนดี ๆ นะครับ) เป็นบูติกโฮเต็ลในกลุ่ม SLH แต่ราคาพอรับได้กับห้องที่กว้างและสวยงามครับ และถ้าใครเช่ารถไฮบริดไปที่นีมีปลั๊กไฟฟ้าให้เติมพลังงานกันด้วย แต่เราไม่ได้ใช้รถหรอกครับ เพราะเดินไปในเมืองจากโรงแรมก็สองบล๊อกถนนก็ถืงแล้ว โรงแรมนี้ประทับใจมากทั้งบริการและสถานที่ น้ำก็แรง ตามปรารถนาของคนเมืองร้อนเลย และรอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยร้านอาหารและแหล่งช๊อปปิ้งหรูๆ ครับ สรุปใครมาโบโลญญ่ามาพักโรงแรมนี้จะไม่ผิดหวังเลยครับ โรงแรมอยู่ด้านข้างสวน ปาร์โก้ เดอ ลา มอนตาญโนล่า (Parco de la Montagnola)
ขับรถลุยจากโดโลมิเทสมาโบโลญญ่าใช้เวลาไม่เท่าไรครับประมาณสักสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว หลังจากเอารถจอดก็ได้ไปสำรวจเมืองรอบแรกก่อนเลยครับ โดยเป้าหมายไม่ใช่อะไรไปหาร้านกล้อง เพื่อซื้อฝาปิดหน้ากล้องที่ทำหายตั้งแต่ดาวอสแล้ว เอาละเมื่อได้ของตามที่ต้องการก็เดินเที่ยวกันได้ครับ
แลนด์มาร์กแรกเลยก็ต้องพาไปชม two towers กัน ม่ายช่ายม่ายช่าย กำลังท้องหิวแบบนี้พาไปกินพิซซ่าที่ tripadvisor แนะนำดีกว่าครับ อยู่แถว two towers หรือย่านจัตุรัสปอร์ต้า เราเวญเญียน่า (Piazza di Porta Ravegnana) แต่ขอบอกว่าพิซซ่าที่นี้คนรอรับประทานเยอะไหม ก็เยอะล่ะครับเพราะตาม tripadvisor กันมา แต่ผมกลับเฉย ๆ แฮะ ได้ไปลองพิซซ่าอีกร้านหนึ่งที่ต้องยืนกินเพราะไม่มีพื้นที่ในร้าน ขอบอกว่าอร่อยกว่าร้านที่แนะนำอีก และชิ้นก็ใหญ่มากกินสองคนอื่มแถมโค๊กอีกหนึ่งแก้ว เติมพลังเดินต่อไปได้
ไม่ใช่ร้านตามภาพบนนะครับมัวแต่หิว เอาเป็นว่าอยู่ใกล้ๆ กับชอปไลก้าและมองเห็นมุมหอคอยแบบนี้เลยครับ จัตุรัสนี้เดินตรงแน่วจากโรงแรมไปใจกลางเมืองแล้วมองไปทางซ่ายก็จะเห็นหอคอยสูง ๆ อยู่คู่กันครับ คือ Torre degli Asinelli (Tower of the Asinelli) และ Torre dei Garisenda (Tower of the Garisenda) ครับ ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองโบโลญญ่าครับ ตัวหอไอซิเนลยี่ (Asinelli) หมายถึง “ลา (Donkeys)”สร้างขึ้นเมื่อพันปีที่แล้วประมาณ ปี ค.ศ. 1109 มีความสูง 330 ฟุต และหอคอยแกริเษนด้า (Garisenda) สร้างขึ้นทีหลังติดกันครับ ซึ่งในย่านนี้ยังเป็นย่านช๊อปปิ้งของเมืองด้วยครับ เพราะจะมีห้างสรรพสินค้าที่สร้างกลมกลืนไปกับอาคารโบราณและร้านแบรนด์หรู ๆ ครับ สุภาพสตรีไม่ควรพลาดครับ แต่แถว ๆ นี้ร้านเกลาโต้ หรือหลานไอสครีมก็หลายที่อยู่ครับ
โบโลญญ่าเป็นเมืองแห่งการศึกษาแต่ก็โดดเด่นในเรื่องของอาหารอร่อย ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่าหรือเจลาโต้ ไอศครีมอิตาลี กินตอนอากาศหนาว ๆ เย็น ๆ ยิ่งฟินกันเข้าไปใหญ่ ได้ชื่อว่าเป็นเมือง Slow life ระดับต้น ๆ ของอิตาลี และได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่สวยงามเป็นอันดับสองของอิตาลีรองจากเวนิส สถาปัตยกรรมทั้งเมืองเต็มไปด้วยอิฐสีส้มแดง ก็เลยได้อีกฉายาว่า Bologna la rossa เมืองสีแดงกุหลาบ
ย่านตามรูปด้านบนที่มีแมวน้อยเหม่อมองไปจากประตูโบสถ์เป็นย่านมหาวิทยาลัย University Quarter ตามถนนซามโบนี่ (Via Zamobi) ของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปแห่งนี้ แต่เต็มไปด้วยผับ ร้านเหล่า และร้านกาแฟนั่งดื่มนั่งทานกันได้ชิล ๆ ครับ บ้านเขาไม่มีกฎหมายแปลก ๆ แบบห้ามร้านเหล้าอยู่ใกล้สถานการศึกษานะ ส่วนหนึ่งเพราะคนจะเป็นนักศึกษาน่าจะต้องรู้จักและควบคุมตัวเองมากกว่า
ย้อนหลังไปกว่าร้อยปีก่อนคริสตกาล เมืองโบโลญญ่าเดิมมีชาวเซลท์จากยุโรปเหนือที่ตั้งรกรากบุกเบิกเมืองแห่งนี้อยู่ ก่อนที่จะถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันในเวลาต่อมา แต่ด้วยความที่อยู่ท่ามกลางมหาอำนาจเมืองโบโลญญ่าตลอดเวลาประวัติศาสตร์ก็ผลัดเปลี่ยนเจ้าของมาด้วยตลอดไม่ว่าเป็นพวก ฮันส์ จากเอเชียกลางที่บุกเผาโรมัน พวกก๊อธ ลอมบาร์ด แฟรงค์ ออสเตรีย และฝรั่งเศส แต่ก็เป็นเมืองสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการพูดถึงตลอดมา มีบางช่วงที่เป็นรัฐอิสระภายใต้การปกครองของตระกูลเปโปรี และเบนติโวกิลิโอ เป็นนรัฐที่ขึ้นตรงกับศาสนจักรมีพระสันตปะปาเป็นประมุข (Papal Fielfdom) ประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าพันปี ทำให้โบโลญญ่ามีชื่อเสียงในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการศึกษาและการปกครอง เช่น เป็นเมืองที่มีการจัดตั้งสภาประชาชนเป็นครั้งแรกของโลก เป็นเมืองที่ยกเลิกระบบทาสเป็นครั้งแรกของโลกอีกด้วยครับ
โบโลญญ่ายังได้รับการยกย่อยให้เป็นเมือง Create City of Music ขององค์การยูเนสโกในปี 2006 และยีงมีนักวิทยาศาสตร์คนดัง ๆ เกิดที่นี้และมาสร้างชื่อเสียงกันที่นี้อย่างกัลวานี (Luigi Alosio Galvani, 1737-1798) ผู้ค้นพบการกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยพลังงานไฟฟ้า ที่เรียกว่า Galvanism และยังเป็นแนวทางให้อาเลสซานโดร โวลต้า ผลิตแบตเตอรี่ชิ้นแรกของโลกด้วย ยังเป็นเมืองที่เชื่อว่าลีโอนาโด ดา วินซี่ใช้เป็นฉากหลังภาพวาดโมนาลิซ่าด้วยครับ ใจกลางเมืองคือที่ตั้งของวิหารซานเปโตรนีโอ (Basillica of San Petronio) ด้านหลังของน้ำพุเทพเจ้าเนปจูนขนาดใหญ่ เสียดายที่ตอนผมไปปิดซ่อมทั้งส่วนของน้ำพุและโบสถ์ครับ แต่ย่านนี้อยู่ใจกลางเมืองพอดีเลยครับ ตอนเย็น ๆ ดึก ๆ นักท่องเที่ยวก็ยังมาเยี่ยมชมไม่หยุดเลย เป็นทั้งแหล่งช๊อปปิ้งและร้านอาหารมากมายด้วยครับ
เช้าอีกวันหนึ่งครับ วันนี้เราได้รับข่าวหน้าตื่นเต้นมาก เพราะเมื่อคืนพวกเรารู้สึกว่าพื้นมันไหว ๆ ยังไงก็ไม่รู้ มาตื่นนอนตอนเช้าถึงได้รู้ว่ามีแผ่นดินไหวที่ตอนกลางของอิตาลี แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับโบโลญญ่ามากเท่าไร ไม่เหมือนตอนวันรุ่งขึ้นที่เราไปพักที่โรมแล้วสิครับ อันนั้นแผ่นดินไหวรับรู้ของจริงกันได้แบบเห็นโรงแรมโยกซ้ายขวาเลย ตอนกำลังอาบน้ำ นึกเสียวเลยว่าเฮ้ยเกิดแผ่นดินไหวหนัก.ๆ จะทำยังไง คงมาเสื้อผ้าไม่ทัน ดีที่ไหวสัก 20 วินาที แต่ก็ทำเอาตื่นเต้นกับประสบการณ์แผ่นดินไหวขนาดนี้มาก่อนเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยครับ วันนี้พาไปเดินเล่นด้านตะวันออกของเมือง เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอีกฝั่ง และส่วนใหญ่เป็นแหล่งที่พักอาศัย บรรยากาศก็เลยไม่พลุ่กพล่านเท่าไร แต่เดินเล่นชิล ๆ ได้ชมความงามในมุมต่าง ๆ ของเมืองที่คนไม่หนานแน่นมาก เดินไปจิบกาแฟร้อน หยุดกินขนมปังกรอบไป โอ้ยอย่างทิ้งงานที่เมืองไทยทั้งหมดแล้วไปเที่ยว (แต่ก็ไม่มีตังค์พอนะสิ) มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เด็กมหาลัยไปนั่งตากแดดคลายหนาวเสียด้วย อะไรจะทำให้เราพลาดล่ะ ไปดูน้อง ๆ น่ารัก ๆ กันดีกว่า (แต่ไม่ได้ลงนะครับ ขอเก็บไว้ดูคนเดียว แต่สาวอิตาลีนี้สวยจริงไรจริง รองจากรัสเซียเลย)
ในแถบนั้นก็มีวิหารขนาดเล็ก ๆ แต่สวยงามไม่แพ้กันชื่อ Basilica of San Domenico ครับ วิหารนี้เข้าหรีไม่เสียตังค์ เราก็เข้าไปนมัสการกันเสียหน่อยเป็นมงคล
เดินกันมาทั้งวันและปิดท้ายย่านแถว ๆ โรงแรมเราล่ะนะครับ ชื่อเดียวกันกับโรงแรมนั้นและ I Portici แปลว่า the Archade ย่านนี้ก็คงเป็นชื่นชอบขาวสาว ๆ อีกเช่นกัน เพราะเป็นย่านถนนสายช๊อปปิ้งขนานแท้ ๆ เลยครับ ตั้งแต่ กระเป๋า แฟชั่น ห้าง ร้านอาหาร โรงหนัง อุปกรณ์ไฮเทค ก็รวมตัวกันอยู่ถนนสายนี้เลยครับ ขอบคุณครับผมที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม
TravelTherapy
วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.52 น.