"ภูเขา" ที่ที่ความเงียบ "เสียงดัง" ที่สุด
หนึ่งในเหตุผลของคนรักภูเขา


ดอยหลวงเชียงดาว . .

". . ที่ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีร้านค้า ร้านอาหาร ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีห้องน้ำ(มีเพียงส้วมหลุม) มีเพียงผืนป่า และขุนเขาที่รายล้อม อยู่ได้รึเปล่า . ."


เมื่อเราโหยหาการเดินทาง จนต้องเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง . .

ทริปดอยหลวงเชียงดาว แบบ 3 วัน 2 คืน

กำหนดการเดินทาง 20 - 22 มกราคม 2560

"ดอยหลวงเชียงดาว" หรือ "ดอยเชียงดาว" เป็นภูเขาหินปูน และเป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ (รองจากดอยอินทนนท์ และดอยผ้าห่มปก) สูงถึง 2,275 เมตร จากระดับน้ำทะเล อยู่ในเขตพื้นที่อุทยานเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่


** ช่วงเวลาเปิดเส้นทางเดินป่า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. - 31 มี.ค. ของทุกปี **

เบอร์ของอุทยานแห่งชาติเชียงดาว 053 456 623, 081 111 6203


. . บนยอดดอยที่อนุญาตให้ขึ้นไปเที่ยว มี 2 ยอดดอยกัน คือ "ยอดดอยกิ่วลม" ซึ่งส่วนใหญ่นิยมไปชมพระอาทิตย์ขึ้น และยอดสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาวเหมาะกับการไปชมพระอาทิตย์ตก (ตรงยอดนี้มีป้ายสำหรับถ่ายรูป) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสามารถไปชมพระอาทิตย์ตก-ขึ้น ได้ตามใจชอบเลย . .

จากลานกางเต็นท์ไปยังทั้งสองจุดใช้เวลาเดินประมาณ 30 - 40 นาที โดยประมาณ ไม่เกิน 1 ชั่วโมง


สำหรับทางขึ้นดอยมี 2 ทาง . .

1. เส้นทางปางวัว-อ่างสลุง ระยะทางประมาณ 6,500 เมตร (6.5 กิโลเมตร) ระยะทางจะสั้น แต่ทางจะชันและลื่นกว่า ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 11 กิโลเมตร นั่งรถประมาณ 30 นาที

2. เส้นทางเด่นหญ้าขัด-อ่างสลุง ระยะทางประมาณ 8,500 เมตร (8.5 กิโลเมตร) ระยะทางจะไกลกว่า ลักษณะทางจะสลับกันไประหว่างทางราบกับทางชัน ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 32 กิโลเมตร จาก อุทยานฯ ต้องนั่งรถ 4w ของชาวบ้านที่ชำนาญทาง(เหมา) ในการไต่เขาขึ้นไปยังเส้นทางเด่นหญ้าขัด นั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะทางค่อนข้างขระขรุ ชัน และโค้ง ไปตลอดทาง

**โดยทั้งสองเส้นทางเดินเท้าจะมาบรรจบกันที่สามแยก หลังจากนั้นเดินต่อไปยังเส้นทางเดียวกันไปลานกางเต็นท์**


การเดินทางขึ้นสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาว สามารถใช้บริการทัวร์ท้องถิ่น(ทัวร์ป่า ที่มีทั้งของชาวบ้าน หรือ อบต. เป็นต้น) ในอำเภอเชียงดาว ซึ่งมีให้บริการอยู่หลายเจ้า หรือจะใช้บริการทัวร์เดินป่าที่ให้บริการจากกรุงเทพฯ ซึ่งการเดินทางไปกับทัวร์จะค่อนข้างสะดวกกว่า เพราะทัวร์จะจัดการทุกอย่างให้หมด ไม่ว่าจเป็นในรื่องของอาหาร เต็นท์ ฯ เตรียมแค่ใจถึงๆ ไปก็พอแล้ว^^

. . แต่พวกเราไปแบบกันเอง ซึ่งจะประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า โดยต้องจองผ่านทางอุทยานฯ (ล่วงหน้าในช่วงที่กำหนดให้จอง) ติดต่อลูกหาบผ่านทางอุทยานฯ ติดต่อรถรับจ้างและจัดการเรื่องอาหารเอง ฉะนั้นพวกอาหาร เครื่องนอนต่างๆ เราต้องพร้อม เราจ้างลูกหาบในการแบกของส่วนกลาง(อาหาร อุปกรณ์ครัว เต็นท์ ฯ)


**ทัวร์ชาวบ้านหรือทัวร์ท้องถิ่น เชียงดาว**

- ร้านลุงแกละแปดริ้ว โทร โทร. 053 456 410, 081 993 8397

- คมสันต์ วงศ์สุข โทร. 089 998 0712, 089 903 0083

- สมพงษ์ แซ่ลี้ โทร. 089 951 8823

หรืออาจจะมีมากกว่านี้ลองติดต่อสอบถามกับทาง อบต. หรือทางอุทยานฯ เพิ่มเติมได้


สิ่งอุทยานฯ มีให้เช่า/ซื้อ

- เต้นท์ (ต้องแจ้งล่วงหน้า)

- แผ่นรองนอน (ต้องแจ้งล่วงหน้า)

- เสื่อ

- ถุงนอน (ต้องแจ้งล่วงหน้า)

- น้ำดื่ม ถังละ 500 บาท ถังละ 20 ลิตร ควรแจ้งล่วงหน้า

- ห้องน้ำ จะเป็นห้องน้ำแบบส้วมหลุม ลักษณะจะเป็นหลุมลึกๆ มีไม้พาดไว้ให้เหยียบเว้นช่องไว้ตรงกลาง มีผ้าสแลนสีดำล้อม **จะมีไม่กี่ที่บนยอดดอย ส่วนใหญ่จะพึงพาตามธรรมชาติ**

- ลูกหาบ ลูกหาบหนึ่งคนสามารถแบกสัมภาระได้ 20 กม. (คิดราคาลูกหาบ 450 ต่อคนต่อวัน)


สิ่งที่ควรเตรียม

- อาหารสด/อาหารแห้ง/ข้าวสารฯ (ควรคำนวณให้ครบทุกมื้อ)

- น้ำดื่ม อันนี้สำคัญมาก เพราะบนนั้นจะไม่มีแหล่งน้ำเลย ควรพกน้ำระหว่างทางให้พอ(ประมาณ 1-2 ขวด ขนาด 1.5 ลิตร) หากต้องการน้ำที่จะใช้บนยอดดอยต้องแจ้งล่วงหน้ากับลูกหาบ หรือสามารถแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ตอนติดต่อได้ ถังละ 500 บาท/20 ลิตร (เราใช้ 2 ถัง กับสมาชิก 7 คน ซึ่งน้ำเหลือ)

- อุปกรณ์เครื่องครัวแบบปิกนิค (หากมากับกรุ๊ปทัวร์ไม่ต้อง ทางทัวร์จะทำอาหารให้ทาน)

- ทิชชูเปียกสำหรับอาบน้ำแห้ง บนนั้นหนาว อากาศเย็น และไม่มีน้ำให้อาบ!!

**ที่สำคัญ หากใช้ทิชชูเปียกแล้วควรนำเก็บมาทิ้งที่ถุงขยะตัวเอง วันที่ไปดงกระดาษทิชชูเยอะมว๊าก (มันย่อยสลายยากนะเออ)

- ถุงขยะ ไว้ใส่ขยะต่างๆ ลงมาทิ้งด่านล่าง เพราะก่อนขึ้นจะมีค่ามัดจำขยะ **ห้ามลืมเชียว**!!

- รองเท้า ควรเป็นรองเท้าที่มีดอกยางลึกๆ เพราะทางจะลื่น มีโคลนบางช่วง และรองเท้าควรมีน้ำหนักเบา หลายๆ ชอบใส่ **รองเท้าสตั๊ดดอย** ราคาสบายที่ใส่ลุยป่าได้สบายเช่นกัน แต่ควรใส่ถุงเท้าหนาๆ หน่อย

- ถุงนอน หากนำมาเองควรเลือกให้เหมาะกับสภาพอากาศเพราะบนนั้นอากาศจะเย็น ช่วงที่ไปประมาณ 6 องศา (ดูตอนเจ็ดโมงเช้า)

- ไฟฉาย และเทียนไข เนื่องจากด้านบนไม่มีไฟฟ้าใช้ แนะนำเป็นไฟฉายแบบคาดหัว เพราะตอนไปดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ต้องปืนป่ายและเกาะหินหรือกิ่งไม้ขึ้นไป

- ขนม ของขบเคี้ยว ลูกอม ที่ให้พลังงาน และทำให้สดชื่น อาจไว้กินระหว่างเดินหรือบนยอดดอย หากไว้กินระหว่างทางแนะนำเป็นช็อคโกแลต หรือพวกน้ำผลไม้ที่หวานๆ จะได้มีแรงเดิน

- ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด หรือยาอื่นๆ ที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้

- เสื้อกันหนาว หมวก ผ้าพันคอ ถุงมือ ถุงเท้า ให้พร้อม เพราะบนนั้นอากาศจะหนาว ยิ่งช่วงที่ต้องเดินไปไปดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ด้านบน ลมจะแรงและอากาศหนาวเย็น

- มื้อกลางวันระหว่างทาง แนะนำเป็นพวกเมนูง่ายๆ จำพวกข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไก่ย่างฯ

- และที่สำคัญใจล้วนๆ . .^^


วันเดินทาง..

วันที่ 19 ม.ค. 2560

เราเดินทางด้วยรถทัวร์ ฝากค่ำคืนนี้อันยาวนานนี้กับสมบัติทัวร์ รถออกเดินทางจากกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ เวลา 20.20 น. โดยประมาณ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ภาพบางภาพมาจากล้องสมาชิกบ้าง แต่โดยส่วนมากจากโทรศัพท์เราเอง


DAY1 (20 ม.ค. 2560)

06.30 น. โดยประมาณ เราถึงอาเขตที่เชียงใหม่ ล้างหน้าล้างตา และรอรถมารับไปยังเชียงดาว..

(ด้วยความโชคดีเพื่อนในทริปมีพี่ที่รู้จักที่เชียงใหม่ อาสารับ - ส่ง จากอาเขตไปยังเชียงดาว.. สบายแฮร่^^)

แต่ . .!! ต้องมีเหตุสุดวิสัย พี่ที่มาด้วยกัน ลืมโทรศัพท์ไว้บนรถทัวร์ เราเลยต้องรอ(ทางรถแจ้งว่าจะฝากมาโทรศัพท์มากับรถรอบแรกที่อาเขต ช่วง 08.00 น. พวกเรานั่งรอนานจนตัดสินใจแบ่งไปซื้อของที่แม็คโครกันก่อน แล้วจะกลับมารับ

. . เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเรามุ่งหน้าไปยังอุทยานฯ (ระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังเชียงดาว ประมาณ 70 กม.) ก่อนถึงได้แวะที่ตลาดแม่มาลัย เพื่อซื้อของเพิ่มอีกและหามื้อกลางวัน และมุ่งหน้าสู่ที่ทำการอุทยานฯ กัน . .


เราถึงที่ทำการอุทยาน ประมาณ 12.00 น. ทำการติดต่อเจ้าหน้าที่ จ่ายเงินค่าเข้า ชั่งน้ำหนักของส่วนกลางที่จะให้ลูกหาบแบก ซึ่งพี่ลูกหาบมารอเราอยู่ก่อนแล้ว วันนั้นลูกหาบค่อนข้างน้อย เราจึงได้ลูกหาบแค่ 2 คน กับสัมภาระที่หนัก 60 กม. (ของกองกลาง) แต่โดยปกติลูกหาบสามารถรับน้ำหนักได้เพียง 20 กม./คน (ตอนคำนวณค่าใช้จ่ายคิดเป็น 3 คน) และสมาชิกทั้ง 7 คน ก็พร้อมรวมถึงพี่ลูกหาบด้วย นั่งรถกระบะที่ติดต่อไว้ล่วงหน้ามุ่งหน้าสู่ทางเดินเท้าที่ "เด่นหญ้าขัด"


. . ในที่สุดก็ถึงแล้วววว "เด่นหญ้าขัด-อ่างสลุง" กับการนั่งโยกในรถประมาณสองชั่วโมง นั่งรถดึ๋งๆ มาตลอดทาง ทั้งโค้งทั้งชัน โอนเอนไปมาเหมือนนั่งรถบั้มในสวนสนุกเลย

แท๊น แท่นนนน นั่นไง . . !! ดอกนางพญาเสือโคร่งที่ไม่ได้มีแค่ขุนช่างเคี่ยนนะจ๊ะ . .^^


14.00 น. พร้อมออกเดินด้วยเส้นทางเดินเท้า . .

โฉมหน้า ผู้ร่วมชะตากรรมในทริปนี้ พร้อมลุย!!



ทางเดินในช่วงแรกยังเป็นทางราบ ค่อยๆ เดินตามทางไปเรื่อยๆ เหมือนวอมร่างกายกันก่อน แดดก็ร้อนแรงตามเวลา . .

เดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ มีบางช่วงต้องเดินตามไหล่เขา เหมือนกับไต่เขาขึ้นไปอย่างช้าๆ เส้นทางยังคงไม่ชันมาก และสลับกับทางราบไปมา


บรรยากาศโดยรอบๆ มองเห็นวิวทิวทัศน์ เห็นภูเขาหินปูนสูงใหญ่ทั้งซ้ายและขวา มีต้นไม้น้อยใหญ่ระหว่างทาง และมีลมคอยพัดผ่านเรื่อยๆ สลับกันไปกับแสงแดด ทำให้อากาศไม่ร้อนมาก . .


เส้นทางเดินยังคงเดินตามไหล่เขาไปเรื่อยๆ ถือว่าทางยังคงเดินสบาย และอากาศยังคงไม่ร้อนมากนัก . .


ระหว่างทางก็เจอวิวสวยๆ เป็นภูเขาหินปูนตั้งตระหง่าน ทั้งฝั่งซ้าย-ขวา

และสองหนุ่มก็ใช้เราถ่ายรูป.. ภูเขาหินปูนฝั่งขวามือ


และนี่คือภูเขาหินปูนฝั่งซ้ายมือ


มุ่งหน้าเดินทางกันต่อ . .

เราเดินทางผ่านป่าทึบบ้าง ผ่านทั้งต้นไม้น้อยใหญ่ ผ่านดงต้นกล้วย ผ่านทางราบ ทางชัน จนเดินมาถึงตรงนี้ทางค่อนข้างลื่น อาจเดาได้ว่าคืนที่ผ่านมาฝนคงกระหน่ำลงมาไม่ใช่น้อย ทำให้ต้องค่อยๆ เดินและประคองตัวเองให้ทรงตัวให้ดีกับสัมภาระที่แบกอยู่ข้างหลัง


ในที่สุดเราก็เดินมาถึงทางสามแยก . .

เป็นเส้นระหว่าง เส้นทางปางวัว กับเส้นทางเด่นหญ้าขัดจะมาบรรจบกัน เมื่อมาถึงบริเวณนี้แสดงว่าเราได้เดินมาครึ่งทางแล้ว บริเวณนี้แอบมีสัญญาณโทรศัพท์ซ่อนอยู่นะ แวะพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเดินทางกันต่อ . .


เมื่อพ้นทางสามแยกมา . .

ทางจะเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ มีสลับกับทางราบบ้าง และทางก็จะมีช่วงลื่นขึ้นเยอะกว่าเดิม


เริ่มเข้าสู่ป่าทึบอีกครั้ง. .

สองข้างทางก็จะเป็นต้นไม้น้อยใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านออกมาบดบังแสงแดด มีเครือเถาวัลย์มากมายเลื้อยไปตามกิ่งก้านของต้นไม้ระโยงระยาง ก้อนหินเล็กใหญ่วางเรียงเป็นกองอยู่ระหว่างทาง เหมือนถูกธรรมชาติจัดวางเรียงรายเอาไว้อย่างสมบูรณ์


พ้นจากป่าทึบ ก็เจอแสงแดดปล่อยพลังใส่เลย


เราเดินกันมาเรื่อยๆ จนถึงจุดกางเต็นท์จุดแรก ซึ่งเป็นจุดกางเต็นท์ระหว่างทาง . .


ลืมบอกเลยระหว่างทาง เหนื่อยๆ หอบๆ ได้กินอันนี้ชื่นจายยยเลยนะ ^^


เราเดินผ่านภูเขา ผ่านป่าทึบ จนเดินมาถึงที่โล่งๆ มีต้นหญ้าสูงๆ ขึ้นมากมาย ลักษณะทางจะเป็นทางราบมีบางช่วงที่เป็นทางลาด ถือว่าช่วงนี้เดินสบาย บรรยากาศในตอนนี้ก็เริ่มร่มรื่น ไม่ค่อยมีแสงแดด อาจเป็นเพราะใกล้เวลาเย็นแล้วด้วย


เราเดินข้ามผ่านเขาลูกนั่นลูกนี้มาเรื่อยๆ จนเจอพระอาทิตย์กำลังจะลับระหว่างช่องภูเขาไป แต่บรรยากาศโดยรอบยังไม่ค่อยมืดมากนัก

จากตรงนี้ มองเห็นมุมของช่องเขา เป็นมุมระหว่างเขาที่ทับซ้อนกัน ช่องเขาตรงนี้จะคล้ายรูปตัววี ด้านล่างเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว แต่ตอนนี้มันกำลังกลายเป็นสีดำแล้ว เนื่องจากแสงอาทิตย์กำลังลอดผ่านตรงช่องตัววีตรงนี้ไป นั่นแสดงว่าเวลากลางวันกำลังจะหมดไปแล้ว . .


แวะถ่ายรูปเพลิดเพลินกับบรรยากาศได้ซักพัก ก็ต้องขึ้นเขาอีกครั้ง เรารีบเดินเร่งฝีเท้ากันมากขึ้น กลัวจะมืดระหว่างทาง เพราะต้องเดินข้ามสันเขาไปอีกใช้เวลาสักพักถึงจะเจอบริเวณลานกางเต็นท์


ระหว่างทางเราก็เจอพี่ลูกหาบ พี่ลูกหาบบอกข้ามสันเขาที่เห็นด้านหน้าไปก็เป็นลานกางเต็นท์แล้ว


และแล้วเราก็เดินมาถึงลานกางเต็นท์แล้ว มาถึงก็มืดสนิทพอดี เราหาทำเลเหมาะๆ ที่สามารถตั้งเป็นแคมป์ของเราได้และจัดการกางเต็นท์ ทำอาหารด้วยเมนูง่ายๆ คือ "ผัดมะกะโรนีใส่ไส้กรอก" ด้วยอาการที่เหนื่อยล้าจากการเดินมาแล้ว และในวันพรุ่งนี้เช้าเราต้องรีบตื่นได้รับแสงของวันใหม่

คืนนี้พวกเรานอนกันบริเวณทางไปบนยอดดอยหลวงเชียงดาว พื้นก็ลักษณะค่อนข้างลาดเอียง บอกเลยเวลานอนไถลลงมาตลอด สนุกดี555


DAY2 (21 มกราคม 2560)

05.00 น. ได้เวลาตื่นเพราะต้องรีบเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกที่ยอดดอยกิ่วลม ตื่นมาอากาศก็เย็นมาก ประมาณ 5-6 องศาได้ ใส่เสื้อตัวหนาๆ ผ้าพันคอ หมวก ถุงมือ และไฟฉาย พร้อมลุย . .

จากจุดกางเต็นท์เดินไปยังยอดดอยกิ่วลมใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีได้ แล้วแต่การเดิน เราเดินย้อนกลับไปเล็กน้อยจะมีทางแยกและมีป้ายบอกทางอยู่สำหรับไปยอดดอยกิ่วลม ช่วงแรกของการเดินเป็นทางราบ หลังๆ ทางจะชันขึ้นเรื่อยๆ ต้องปีนป่ายก้อนหิน เกาะกิ่งของต้นไม้ไปเรื่อยๆ ตลอดทาง เพราะทางจะค่อยๆ ชัน และสูงขึ้นเรื่อยๆ

ระหว่างทางเดิน . . ขอบอกเลยเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอต่างๆ แทบอยากจะโยนทิ้งกลางทางมาก เหงื่อออก ร้อนมาก และเมื่อมาถึงบนยอดดอยต้องรีบใส่เสื้อหนาวโดยเร็ว เพราะบนนี้อากาศเย็น และมีลมตลอด อากาศดีมว๊ากกกกกก . .


แสงอาทิตย์มาแล้ววววว . .


หมอกกำลังพุ่ง ไ ห ล . .


หลังจากลงจากยอดดอยกิ่วลมลงมาเตรียมอาหารเช้า กินแบบอิ่มหนำสำราญ เบิกบานใจ นั่งรอ นอนรอ ให้เวลาผ่านไป มีบางกลุ่มเริ่มทยอยลงจากดอยไป เราก็เตรียมตัวเก็บของหาทำเลย้ายที่นอนใหม่ เนื่องจากที่เดิมนอนไถลทั้งคืน พอได้ที่ใหม่ก็นั่งๆ นอนๆ ทำอาหารกินไปเรื่อยๆ รอเวลาที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกดินบนยอดดอยหลวงเชียงดาวกัน

** จริงๆ สามารถมาแบบ 2 วัน 1 คืนกำลังดีเลย เพราะตอนกลางวันของอีกวันค่อนข้างว่าง ถ้าหากมาแค่หนึ่งคืน ตอนบ่ายที่มาถึงก็ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตก ส่วนเช้าอีกวันก็สามารถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดดอยกิ่วลม แล้วเตรียมตัวกลับ **


16.30 น. ได้เวลาเตรียมตัวเดินไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดดอยเชียงดาว เตรียมเสื้อหนาวให้พร้อมบนนั้นลมแรงพอสมควร ที่สำคัญห้ามลืมไฟฉายเลย ระยะเวลาในการเดินจะคล้ายๆ ที่เดินไปดอยกิ่วลม ประมาณ 30 - 40 นาที ก็เดินถึงยอดดอย

ลักษณะทางขึ้นก็คล้ายๆ กัน เนื่องจากเป็นเขาหินปูนเหมือนกัน มีก้อนหินเรียงรายขึ้นไปจนถึงยอดทั้งก้อนเล็กใหญ่ ค่อยๆ เกาะ ปืน ไต่ ขึ้นไป เหนื่อยก็แวะพัก แต่ช่วงที่เดินขึ้นจะร้อนมาก แสงแดดแผดเผา แนะนำควรพกหมวกมาด้วย . .

บนยอดดอยหลวงเชียงดาวอากาศดีมากมีลมเย็นพัดมาตลอด จากที่ร้อนๆ ยืนรับลมเย็นๆ สบาย วิวตรงนี้ก็สวยมาก มองวิวได้แบบ 360 องศาเลย มองเห็นวิวของสันเขามากมายงางเรียงสลับซับซ้อนกันไปเรื่อยๆ จนไกลสายตา มีท้องฟ้า และก้อนเมฆ ที่มองเห็นอยู่ใกล้แค่เอื้อมเอง ลมก็พัดเอาความเย็นมาเรื่อยๆ อากาศดีมว๊ากกกก . .


this is me . .^^


"น้องเมย์" เราเป็นดูโอ้กันมาก่อนจากการเดินป่าด้วยกันที่ภูสอยดาว


"ละไม" ผู้ที่เคยผิดนัดเราจากทริปภูสอยดาว5555 นางเลยมาแก้มือใหม่ที่นี่


คนนี้ชื่อ "พี่เต็ม" ผู้ที่ผ่านการเดินป่ามาอย่างนับไม่ถ้วน และที่สำคัญพี่เต็มยังเป็นเชฟใหญ่ประจำทริปอีกด้วย


"มิวสิค" หนุ่มที่เล่าเรื่องราวน่ากลัว ให้กลายเป็นเรื่องฮาเฮได้


"แบงค์" สมาชิกใหม่แกะกล่อง


ไม่มีรูปเดี่ยว "พี่เอ" เลย เอารูปกลุ่มละกัน


ฝั่งโน้น หมอกกำลังจะมา . .


ส่วนที่อยู่ตรงหน้า . .อาทิตย์กำลังจะลาลับไปแล้ว

ลูกกลมๆ สีส้มแดง กำลังหายลับไป. .


มาพิชิตละฮ่ะ . .



เสร็จสิ้นภารกิจ จากการถ่ายรูปก็ลงมาทำมื้อเย็น . .


ต้มหมูยอผักกาดดอง กินท่ามกลางอากาศเย็นๆ หนาวๆ


กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา. .จากเด็กดอย555


ลาบหมูรสชาติจัดจ้าด ซะใจมาก พริกผงที่แวะซื้อจากตลาดแม่มาลัยหอมมาก แซ่บถึงทรวง


ทานมื้อเย็นเสร็จก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ เต็นท์เรือนเคียงก็มานั่งคุยด้วยกัน มีอาหารมาแลกเปลี่ยนกันบ้าง อากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ ดึกๆ เลยมีเมนู "กล้วยบวชชี" แก้หนาว ละมุนทีเดียว


หลังสี่ทุ่ม แต่ละเต็นท์ก็เริ่มเบาเสียงคุยกันลง บางเต็นท์ก็ทยอยเริ่มเข้านอนแล้ว บรรยากาศเงียบๆ ได้ฟังเสียงธรรมชาติท่ามกลางป่าเขามันก็ฟินดีนะ แต่ก็ไม่ได้ขนาดได้ยินเสียงของลมหายใจ เพราะบางจุดก็ยังไม่นอนมีเสียงคุยกันแบบกระซิบลอยมาตามลมเรื่อยๆ ส่วนพวกเราสู้อากาศกันไม่ไหวก็นอน Gnnnn...Zzzz


DAY3 (22 มกราคม 2560)

วันนี้เราตื่นกันสายๆ หน่อย เพราะเมื่อวานไปดูพระอาทิตย์กันแล้ว เลยขอหลับกับอากาศเย็นๆ ให้เพลิน ตื่นกันมาก็เจ็ด แปดโมง มาล้างหน้าล้างตา ทำอาหารเช้า เตรียมเก็บของกลับ . .

เช้านี้วัดอุณหภูมิได้ 6 องศา เย็นจับใจ . .


เมนูมื้อเช้า . .


ยำแหนม รสเด็ด


ต้มโคล้งปลาแห้ง ซดน้ำกับอากาศเย็นๆ ในตอนเช้ามันฟินจริงนะ


ผัดถั่วลันเตาใส่หมู


เมนู "ตำแตง" แลกเปลี่ยนจากเต็นท์ใกล้เรือนเคียง


เตรียมเก็บของกลับ กว่าจะได้เดินลงก็ปาไปซะเที่ยงแล้ว . .

** ถ้าใครจองผ่านอุทยานฯ คำนวณเวลาให้ดี เพราะอุทยานฯ จะปิด 16.00 น. ถ้าไปไม่ทันอดได้ค่ามัดจำขยะคืนนะ**


ภาพทิวเขาตอนเดินลงสวยมาก


เห็นเขาพูดกันว่า ตรงที่เห็นนี่คือ “ดอยพีระมิด” และ “ดอยสามพี่น้อง” ไม่รู้ใช่ตรงนี้มั้ย


ขากลับลงทางเส้นปางวัว ทางชันมาก และลื่นด้วย เห็นรอยลื่นเต็มเลย เวลาเดินต้องคอยเกร็งข้อเท้าและปลายเท้าไว้ เพื่อไม่ให้ลื่น ข้อเท้าอาจจะพลิกได้

สุดท้ายเรามาถึงเส้นทางขึ้นปางวัวด้านล่างตอนบ่ายสอง เดินลงสองชั่วโมง


มาถึงอุทยานฯ จ่ายเงินค่าลูกหาบ ค่ารถรับจ้าง และอาบน้ำเตรียมตัวกลับบางกอก

**เราจองรถไว้รอบ 20.00 น. แนะนำให้จองแบบไป-กลับไว้เลย หรือไม่ก็มาถึงอาเขตเชียงใหม่แล้วจองเลย**



สรุปค่าใช่จ่าย ทริปดอยหลวงเชียงดาว 3 วัน 2 คืน

- ค่ารถทัวร์ไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 488(2) = 976

- ค่าเสื่อปูนอนผืนละ 100 บาท 100/2 = 50

- เก็บกองกลางคนละ 1,704(7) = 11,928

- ค่ารถรับ-ส่ง อาเขตเชียงใหม่-เชียงดาว(ให้เป็นสินน้ำใจ) 500

- ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน 20(7) = 140

- ค่ากางเต็นท์ 30 บาท 2 คืน จำนวน 5 หลัง = 30*2*5 = 300

- ค่าขับรถเข้าที่อุทยานฯ 50

- ค่ารับรับจ้าง ไปส่งที่เด่นหญ้าขัด และรับที่ปางวัว 2,100

- ค่าลูกหาบ 450 ต่อคนต่อวัน 450*3*3 = 4,050

- ค่าน้ำ 2 ถัง ถังละ 500 = 1,000

**นอกนั้นจะเป็นค่าน้ำดื่มระหว่างทางเราซื้อแพ็คใหญ่กับเล็ก ค่าอาหารต่างที่เราซื้อ**

- สรุปค่าใช่จ่ายคนละ 2,730 บาท -

ความคิดเห็น