บางทีความสงสัยและลึกลับ--ก็ทำให้เราออกเดินทางครับ

เหมือนอย่างครั้งนี้ที่ผมกางแผนที่ประเทศไทยออกดู กวาดสายตาไปรอบๆ ก็สะดุดกับชื่อของ “อำเภอลับแล อุตรดิตถ์” จังหวัดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ถูกรายล้อมด้วยพิษณุโลก สุโขทัย แพร่ น่าน ซึ่งเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวคุ้นเคยมากมาย นี่อาจเป็นเหตุผลที่ใครหลายลืม(ลับ)แลเวลาอยากไปเที่ยว



แต่ไม่ใช่ผมครับ ยิ่งลึกลับ ยิ่งน่าค้นหา ยิ่งอยากไปให้รู้ดูให้เห็น เคยได้ยินตำนานตั้งแต่ตอนเด็กๆ ว่า “หุบเขาเมืองลับแลห้ามพูดโกหก” เล่าถึงผู้ชายคนหนึ่งที่แอบเห็นหญิงสาวสวยๆ หลายคนออกมาจากป่าลับแล โดยถือใบไม้คนละใบเพื่อใช้เข้าออกป่าแห่งนี้อย่างน่าอัศจรรย์ ชายหนุ่มจึงหยิบใบไม้หนึ่งใบมาซ่อนไว้ ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งกลับไปไม่ได้ ชายหนุ่มจึงยื่นข้อเสนอว่า หากต้องการใบไม้คืนต้องให้เข้าไปในป่าด้วย สาวคนนั้นก็ยินยอม สุดท้ายจึงรักกันและมีลูกชายขึ้นมา

วันหนึ่งเด็กร้องงอแงไม่หยุด ผู้เป็นพ่อจึงพูดปลอบเล่นๆ ว่า “นั่นๆ แม่กลับมาแล้วลูก” แต่ลืมไปว่าลับแลมีกฎเหล็กคือ “หากพูดโกหกต้องออกจากที่นี่” เมื่อหญิงสาวกลับมาจริงๆ ก็เสียใจมาก แต่กฎย่อมเป็นกฎ เธอจึงเตรียมของจำเป็นให้สามีเดินทางกลับ หนึ่งในนั้นคือ “หัวขมิ้น” ซึ่งหนักและมีจำนวนมาก ระหว่างทางชายหนุ่มจึงโยนทิ้งเป็นระยะๆ เมื่อกลับถึงบ้านเหลืออยู่แค่ชิ้นเดียว เมื่อหยิบออกมากลับเป็นทองคำแท่ง จึงรีบย้อนกลับไป แต่ดันกลายเป็นต้นขมิ้นไปหมดแล้ว เป็นอันว่าสิ้นสุดเรื่องราวเมืองลับแลอันโด่งดัง

นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงกับชื่อลับแลตามหลักภูมิศาสตร์ด้วย นั่นคือก่อนเข้าเมืองจะเห็น “ประตูเมือง” ตั้งตระหง่านต้อนรับอยู่ ซึ่งมีไม่กี่แห่งในประเทศไทย ดูไปแล้วคล้ายกับที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว พร้อมกับประติมากรรมรูปปั้นแม่หม้าย พอเดินผ่านเข้าไปจะมองเห็นภูเขาใหญ่ๆ ที่ชื่อว่า “ม่อนฤาษี” ด้วยความที่อยู่ทิศตะวันตก เมื่อพระอาทิตย์คล้อยแค่ช่วงบ่ายแก่ๆ เมืองนี้ก็มืดเร็วกว่าปกติ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ลับแลง” แปลว่า ตอนเย็นในภาษาเหนือ และเพี้ยนมาเป็นลับแลในที่สุด



ชุมชนสองข้างทางปัจจุบันอาจเปลี่ยนไปตามยุคสมัยบ้าง แต่เมื่อถึง “ตลาดศรีพนมมาศ” ความคลาสสิคของเรือนแถวไม้ยังคงไว้อย่างสวยงาม โดยตั้งตาม “พระศรีพนมมาศ” บุคคลที่สร้างความเจริญให้กับเมืองลับแลตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถัดไปจะพบกับ “วัดเสาหิน” ที่โดดเด่นด้วยศิลปะเชียงแสน ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่บุกเบิกเมืองนี้ตั้งแต่ยุคสุโขทัย จากนั้นจะผ่านทุ่งนาและทิวเขาที่โอบล้อมเมืองอย่างสวยงาม และวิถีชาวบ้านที่ผูกพันกับพุทธศาสนา แต่สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเห็นจะเป็น “วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง” สร้างก่อนสมัยสุโขทัย บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และมีหลวงพ่อโต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่ภายในโบสถ์ หากดูรีวิวเก่าๆ จะเห็นว่าพระบรมธาตุนี้มีสีดำ ซึ่งจริงๆ แล้วมีสีขาวล้วน แต่เมื่ออยู่ที่โล่งและตากแดดตากฝนมานาน จึงมีคราบสีดำเกาะเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผมไปถึงกำลังทำความสะอาดและมีงานบูรณะองค์พระธาตุอยู่ จึงเป็นสีขาวอย่างชัดเจนครับ ห่างกันนิดเดียวจะมี “พระแท่นศิลาอาสน์” ตั้งอยู่เนินเขาขนาดย่อม กับตำนานพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์เคยเสด็จมาจำศีลบำเพ็ญพุทธบารมีที่แห่งนี้



เที่ยงถึงบ่ายคล้อยจนท้องร้องเป็นระยะๆ ต้องไม่พลาดอาหารเอกลักษณ์เมืองลับแลคือข้าวพันผัก ที่ขึ้นชื่อและยกนิ้วความอร่อยให้ก็ต้องเป็น “ข้าวพันผักป้าตอหรือป้าอินดี้” คล้ายกับข้าวเกรียบปากหม้อ แต่จะโรยผักต่างๆ ลงไปแทน เช่น กะหล่ำปลี ผักบุ้ง แถมยังมีเมนูฟิวชั่นอย่างเช่น ข้าวพันผักไข่เจียว และอีกมากมายให้เลือกทานกันตามสบาย ย้อนไปที่ชื่อป้าอินดี้นิดนึงครับ...หลายปีก่อนป้าตอทำคนเดียว ตั้งแต่รับออเดอร์ ทำอาหาร เสิร์ฟอาหาร เก็บโต๊ะ เรียกได้ว่าครบวงจร ทำให้คิวคนรอยาวเป็นชั่วโมง แต่ก็ทนไหวเพราะความอร่อย จนได้นิคเนมว่าป้าอินดี้ทำคนเดียว แต่ปัจจุบันมีลูกชายมาช่วยแล้ว

พูดถึงเรื่องการกินอยู่ หุบเขาลับแลมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ภูเขากินได้” ปลูกอะไรก็ขึ้น นำทัพโดยทุเรียนหลงลับแลชื่อดังที่ออกช่วงมิถุนายน ส่วนหมอนทองกินได้ตลอดปี เริ่มต้น 80 บาท/กก. รวมถึงลองกองหวานๆ ลูกใหญ่และสดใหม่ กิโลกรัมแค่ 15 บาทเท่านั้นเอง ตลอดทางจะเห็นภาพชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ ขนผลไม้เป็นสิบๆ โลขึ้นๆ ลงๆ เนินเขาอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนชื้นคล้ายภาคใต้ มีฝนตกอยู่บ่อยๆ ด้านบนจึงมี “น้ำตกแม่พลู” น้ำตกขนาดใหญ่ที่มีน้ำตลอดปี เป็นแหล่งพักผ่อนของคนลับแลและนักท่องเที่ยวให้ชิลล์ได้สบายๆ



ลองสร้างโจทย์การเดินทางขึ้นมาครับ จะช่วยสร้างสีสันในการท่องเที่ยวได้ไม่น้อยเลย เหมือนอย่างตำนานเมืองลับแลที่ลึกลับ น่าค้นหา บวกกับความสงสัยต่างๆ นานา ทำให้พบเจอกับเสน่ห์แบบตกหลุมรักได้ง่ายๆ ที่สำคัญมันคือแรงจูงใจชั้นดีที่ทำให้ก้าวเท้าออกจากบ้าน --ต้องไปครับ รับรองว่าประทับใจลับแล...ผมไม่พูดโกหกแน่นอน

แถม / ท้าย / ทริป…กับ Trick เท่ห์ๆ :

  • พิพิธภัณฑ์เมืองลับแลอยู่ติดกับประตูเมือง เข้าฟรีครับ--เย็นวันเสาร์จะมีตลาดนัดถนนวันวานด้วย
  • จุดชมวิวห้วยเฮียที่ลับแล อนุญาตให้ขึ้นเฉพาะหน้าหนาว นอกนั้นใช้เป็นเส้นทางขนผลไม้ครับ
  • ไร่องุ่นคานาอัน แปลว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า--ที่ชิลล์แห่งใหม่ ห่างตัวเมืองเพียง 20 กม.




  • Contact & Camping :

    • ณ ลับแล รีสอร์ท 055-431-137 / 082-661-0881

    • เฮือนลับแล 055-427-009 • Good Time 055-411-554

    • ข้าวพันผักป้าอินดี้ 080-447-0345 • ไร่องุ่นคานาอัน 086-207-2096

    • ททท. สำนักงานแพร่ (แพร่ น่าน อุตรดิตถ์) 054-521-127

    ความคิดเห็น