ทริปนี้เป็นการเดินทางสู่ทวีปแอฟริกาเป็นครั้งแรกของผม ซึ่งผิดคาดมากเพราะคิดว่าแอฟริกาจะเป็นทวีปที่มีอากาศร้อนและกันดาร แต่โมร็อคโคไม่เป็นอย่างที่คิด เป็นเหมือนประเทศในยุโรปประเทศนึง(ที่จริงก็ติดกับประเทศสเปนเลย) ประเทศนี้มีภูมิประเทศหลากหลายมากมาย ทั้งการได้นอนกลางทะเลทรายซาฮาร่าแถมได้ขี่อูฐดูพระอาทิตย์ขึ้น เมืองชายทะเลริมมหาสมุทรแอตแลนติก ซากปรักหักพังของอาณาจักรโบราณเมืองโมลูบิลิส หุบเขาตากอากาศเหมือนสวิสเซอร์แลนด์ เทือกเขาแอตลาสที่ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะ แถมวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์น่าหลงใหลมากๆ ฯลฯ เที่ยวประเทศเดียวถือว่าคุ้มเลยทีเดียวครับ ใช้เวลาในการเดินทางยาวนานมาก555 สิริรวมการเดินทางบนเครื่องบินทั้งสิน 20 กว่าชั่วโมง เมื่อยก้นกันมากๆ และการเดินทางแต่ละเมืองก็ยาวนาน แต่กลับมีความสนุกสนานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างแดนแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ที่สำคัญช่วงเวลาที่ไปอากาศเย็นสบายเชียวครับ(อุณหภูมิประมาณ 14-20 องศา) รีวิวนี้คงไม่ใช่การรีวิววิธีการเดินทางแต่เป็นการแชร์ประสบการณ์และบันทึกการเดินทางส่วนตัวครับ
ทั้งนี้รูปถ่ายทั้งหมดใช้กล้องสำหรับมือสมัครเล่นอย่างผมคือกล้องFuji XA2 + เลนส์เทพXF35mm f1.4
และใช้iPhone 6 Plus เป็นบางรูปนะครับ ดังนั้นขอบอกเลยว่ารูปภาพที่ถ่ายออกมาไม่สวยเท่าของจริงที่ด้วยตาเปล่าเลยล่ะครับ
***รูปภาพทั้งหมดไม่ผ่านการแต่งภาพใดๆทั้งสิ้นมีแค่ย่อขนาดรูปเพื่อทำรีวิวนี้เท่านั้นครับ (คือแต่งรูปยังไม่เป็นอีกเช่นเคยครับ)
***ขอบคุณช่างภาพส่วนตัวฝีมือดีผมจ้างไปถ่ายรูปให้ตลอดทริปครับ
รีวิวของผมส่วนมากจะเป็นแนวบันทึกการเดินทางของตัวเองน่ะครับเพราะรูปภาพส่วนมากจะเป็นรูปหล่อๆของตัวผมเอง 555
ติดตามได้จากกระทู้เก่าๆด้านล่างนะครับ
ซุปตาร์พาเที่ยวฮอกไกโด Hokkaido - Begin Again in Autumn : 14-22 October 2016
เที่ยวแบบมีแผน อยู่ดี กินดี มีรถขับ 9 วัน 8 คืน ค่าใช้จ่ายไม่ถึง 4 หมื่นบาท
https://pantip.com/topic/35776500
รีวิว– ซุปตาร์พาขับรถเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต J A P A N - 2 0 1 6
http://pantip.com/topic/35058416
ซุปตาร์พาเที่ยวฮ่องกงH O N G K O N G : 2 0 1 6
http://pantip.com/topic/34885088
มือใหม่หัดรีวิวท่องเที่ยวโอซาก้า-เกียวโตแบบประหยัด 6 วัน (4 คืน) รวมค่าใช้จ่ายหัวละ 22,093 บาท
http://pantip.com/topic/32797930
เมื่อผมใส่ชุดไทยท่องเที่ยวยุโรป
http://pantip.com/topic/33636773
บันทึกการเดินทางเกาะหัวใจมรกต(ทะเลพม่า) - บ้านไร่ไออรุณฟาร์มสเตย์
http://pantip.com/topic/34538992
ซุปตาร์พาเที่ยวภูลมโล–ภูเรือ ณ สวนชัชนาถWoodland / Café de Mena @จังหวัดเลย
http://pantip.com/topic/34757467
สรุปข้อมูลและสิ่งควรรู้จากทริปโมร็อคโค
1. ชื่อทริป : “แกรนด์โมร็อคโค 11 วัน” เป็นทริปที่ยาวนานและสถานที่เที่ยวเยอะที่สุดในแพ็คเกจทัวร์โมร็อคโคที่มีขายในท้องตลาด ณ เวลานั้น
เดินทาง 10-20 เมษายน 2017 ราคา 82,900 บาทต่อท่าน เท่านั้น
จัดโดยบริษัท Go Together Travel (www.gotogethertravel.com)
หัวหน้าทัวร์คนไทย คุณชำนาญ อรุณพูลทรัพย์
2. ทำไมต้องซื้อทัวร์ : จริงๆ ประเทศนี้จะเดินทางไปเองก็ได้นะครับถ้าคุณสตรองจริง การเดินทางแต่ละเมืองให้ครบทั้งหมดจะใช้เวลายาวนานมาก แถมการติดต่อกับเอเย่นทัวร์ท้องถิ่นในการจองรถและการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรื่องภาษา ที่ใช้สื่อสารและความไม่ค่อยโปร่งใสในการทำการค้ากับคนท้องถิ่นครับ (ได้ฟังจากนักท่องเที่ยวคนไทยที่มาเที่ยวเองกับครอบครัวโดยการเช่ารถขับเที่ยวเอง เล่าให้ฟังก่อนชึ้นเครื่องตอนขากลับ)ผู้คนอัธยาศัยดีแต่ส่วนใหญ่ที่ดีกับเราคือสุด้ายเค้าต้องการเงินทั้งนั้น อันนี้ไม่ได้เหมารวมหรือดูถูกผู้คนทั้งประเทศนะครับ แถมสัญญาณอินเตอร์เน็ตในโทรศัพท์มือถือจะชัดเจนดีเฉพาะในตัวเมืองและwifiในโรงแรมเท่านั้น หากขับรถหลงทางก็จะลำบากหน่อยครับ ลองเช็คตั๋วเครื่องบินราคาถูกสุดที่เจอ ไปกลับ ราคาประมาณ3-4 หมื่นบาทยังไม่รวมค่าโรงแรมค่าอาหารทุกมื้อและค่าอำนวยความสะดวกต่างๆ ดังนั้น ทริปนี้ราคา 8 หมืนกว่าบาทไปได้ครบทุกจุดสำคัญถือว่าไม่แพงเลยครับ เพราะที่พักและบริการจัดว่าดี(ดีมากๆระดับ 5 ดาว ที่โรงแรมฮิลตัน และ โรงแรมกลางทะเลทรายซาฮาร่า) ขนาดไปกับแพ็คเกจทัวร์มีคนจัดแจงให้ทุกอย่างร่างยังแทบพัง ถ้าไปเองคงเหน่อยมากจะหมดสนุกเอาง่ายๆ
***** ขอบอกว่า เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ร่วมทริปนี้ แต่ละท่านมีประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบโชกโชนกันทั้งนั้น ทั้งขับรถเที่ยวเองในยุโรป นิวซีแลนด์ ล่าแสงเหนือ ทริปประเทศแปลกๆอีกมากมาย ฯลฯ มาแล้วทั้งนั้น สรุปได้ว่าทริปโมร็อคโคนี้ เป็นทริปที่นักท่องเที่ยวตัวจริงควรมาสัมผัส
3. สายการบิน : ยังไม่มีบินตรงจากกรุงเทพ-โมร็อคโค แต่ ณ เวลานั้นบริษัททัวร์ต่างๆก็มีแค่ 2 สายการบินให้เลือกคือ ETIHAD และ EMIRES ซึ่งเราไปกับสายการบิน ETIHAD(EY) ต้องบินไปต่อเครื่องที่ UAE (เมืองอาบูดาบี้) ซึ่งค่อนข้างตรงเวลา มีอยู่บางไฟล์ท departure ช้า(ไม่เกิน 1 ชั่วโมง) แต่ก็ถึงที่หมายตรงเวลา (ก่อนเวลาด้วยซ้ำ) การบริการดีมากมีอุปกรณ์การนอน (Amenity kits เช่น ผ้าปิดตา ที่อุดหู ถุงเท้า แปลงสีฟัน+ยาสีฟัน) นอกเหนือจากหมอนรองคอ ผ้าห่มและหูฟังสำหรับดูทีวี(มีทีวีทุกที่นั่ง)อาหารบนเครื่องธรรมดารสชาติเฉยๆมากครับ
4. เครื่องบิน : เส้นทาง กรุงเทพ-อาบูดาบี้ , อาบูดาบี้-กรุงเทพ ใช้เครื่อง Boing 777 ที่นั่งแบบ 3-4-3 ใช้เวลาบิน 8-9 ชั่วโมง
5. เครื่องบิน : เส้นทาง อาบูดาบี้-คาซาบลังก้า , คาซาบลังก้า-อาบูดาบี้ ใช้เครื่อง Airbus A330 ที่นั่งแบบ 2-4-2 ใช้เวลาบิน 6-7 ชั่วโมง
6. เล้าจน์ : ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เล้าจน์ THE WISDOM , ที่สนามบินอาบูดาบี้ ใช้ได้ 3 เล้าจน์ จากบัตร Priority pass (ได้มากับบัตร Wisdom) เลือก Al reem lounge เพราะใกล้สุด ที่คาซาบลังก้าถ้าไม่ใช่ชั้น Business class ขึนไปก็จะไม่มีสิทธิ์ใช้เล้าจน์ของสายการบินนะครับ (บัตร Priority pass จะใช้ไม่ได้ หรือผมหาไม่เจอก็ไม่ทราบ555)
7. สภาพอากาศ : ช่วงเดือนเมษายนนี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาว อุณหภูมิประมาณ 10-25 องศา โดยทั่วไปทั้งทริปอากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าสดใส เดินทั้งวันแทบไม่มีเหงื่อเลยครับ ประเทศนี้แดดแรงมากแต่ไม่ร้อน ตัวดำกันง่ายๆเชียว อากาศแห้งเพราะความชื้นต่ำผิวแตกกันเป็นแถว ยกเว้นที่เมืองมาราเกซตอนบ่ายๆ ร้อนเมือนเมืองไทยเลยสูงถึง 36 องศา เป็นเมืองเดียวที่อากาศร้อน และร้อนกว่าในทะเลทรายมาก (ในทะเลทรายอุณหภูมิตอนเช้าประมาณ 14-17 องศาC) ***ท่านใดไปเที่ยวช่วงหลังจากเดือน พฤษภาคม เตียมใจไว้เลยว่าร้อนตับแตก ไหม้แน่นอน
8. เตรียมเงินดอลล่าห์หรือยูโรไปจากไทย เพื่อไปแลกเงิน Morocco Dirham (MAD) ที่โมร็อคโค และให้แลกกลับให้หมดก่อนเข้าสนามบิน เพราะ Duty free ในสนามบินไม่รับเงิน Dirham แล้วนะครับ : แลกเงินสดไป 10,000 บาท แลกเป็น MAD แค่ 2000 MAD ที่เหลือคงไว้เป็นดอลล่าห์ (หากต้องการแลกเพิ่มก็อาศัยแลกกับไกด์ท้องถิ่นได้) ซื้อแต่ของฝากที่ระลึกประมาณ 4 พันบาท นอกจากนั้นใช้บัตรเครดิตได้บางร้านใหญ่ๆ อัตราแลกเปลี่ยน 1 MAD : 3.7 THB
9. เข้าห้องน้ำทุกที่ทั้งห้องน้ำสาธารณะ,ปั๊มน้ำมัน,สถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหาร ต้องเสียเงินค่าทิปให้คนเฝ้า 1-2 MAD ยกเว้นร้านอาหารที่เราไปทานตามโปรแกรม
10. อาหารหลักเป็นทาจีน คือ เนื้อสัตว์(ไก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ *ประเทศมุสลิมไม่ทานเนื้อหมูและห้ามนำผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูใดๆทั้งสิ้นเข้าประเทศ) อบเครื่องเทศในหม้อดิน มีออร์เดิร์ฟเป็นขนมปังกินกับผักดองต่างๆ แต่ในโปรแกรมทัวร์ได้เลือกร้านที่รสชาติดี(ดีกว่าที่คิด) ไม่มีปัญหาในรสชาติแต่ทานหลายวันก็เบื่อมากครับ ทางหัวหน้าทัวร์ก็มีน้ำพริก น้ำจิ้มแจ่ว ซอสพริก มาช่วยเพิ่มรสชาติ รวมถึง ทำอาหารมื้อพิเศษ(นอกเหนือจากโปรแกรม ขึ้นอยู่กับความสามารถของหัวหน้าทัวร์ ทริปนี้โชคดีจริงๆ) เช่น ผัดกระเพราไก่ไข่ดาว ข้าวต้มกุ๊ย ข้าวต้มไก่ และส้มตำ โชคดีที่ผืมืออาหารของหัวหน้าทัวร์เจ๋งสุดๆ และไม่ใช่แค่มื้อเดียว รสชาติคนไทยอร่อยเหมือนกินที่เมืองไทยเลยครับ (อร่อยกว่าร้านอาหารที่เมืองไทยด้วยซ้ำ) มาม่าที่เตรียมไปแทบไม่ได้ทาน ต้องขนกลับไทยทั้งหมดครับ (หัวหน้าทัวร์ก็เตรียมมาม่าและคัพโจ้กไปให้ด้วยครับ)
11. อาหารเช้าที่โรงแรม ทุกที่จะเป็นแบบบุฟเฟต์นานาชาติ แต่ก็มีอาหารท้องถิ่นแจมอยู่ด้วย เช่น คูสคูส ไก่อบ เนื้อแกะอบ
12. เมืองท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาดหากคุณมีเวลาน้อยและไม่สามารถเลือกโปรแกรมแบบแกรนด์ได้
12.1 ทะเลทรายซาฮาร่าและต้องขี่อูฐด้วยนะครับ ณ เมืองเมอร์ซูก้า มีอีกหลายกิจกรรมเช่น ตั้งแคมป์ค้างคืนนอนดูดาว หรือ ขับรถ ATV เที่ยวเนินทราย
12.2 นครสีฟ้า ณ เมืองเชฟชาเวิ้น Chefchaouen (บางท่านเรียกว่า เชฟชาอูน) การได้เดินใน เมดิน่า หรือ เขาวงกตกลางเมืองเก่าซึ่งเป็นตลาดมีของขายและตรอกซอกซอยมากมาย บางถนนแคบๆไม่ถึง 1 เมตร ทาสีฟ้ากันทั้งเมืองถ่ายรูปสวยงามดูสดชื่นมากๆครับ
12.3 เมืองเฟส การเดินท่องเที่ยวในเมดิน่าเมืองเฟส เปนเขาวงกตที่มีขนาดใหญ่กว้างขวางมากกว่า 5000 ซอกซอย
12.4 จัตุรัส Jemaa el-Fna กลางเมืองมาราเกซ เป็นแหล่งช๊อปปิ้งรวบรวมทุกอย่างที่นึกได้ในโมร็อคโค ราคาถูกที่สุดและหลากหลายที่สุดต่อรองได้เต็มที่ เช่น ฟอสซิลหอยแอมโมไนท์ราคาตั้งไว้ 150 MAD ต่อได้เหลือ 60 MAD
13. ของฝากและสินค้าที่ไม่ควรพลาด (ทุกอย่างหาซื้อได้ที่เมืองมาราเกซ ส่วนฟอสซิลแนะนำให้ดูร้านแถวๆ จุดต่อรถเข้าทะเลทรายจะมีสวยๆให้เลือกเยอะกว่าครับ)
13.1 ซากฟอสซิลสัตว์ทะเลต่างๆ เนื่องจากทะเลทรายเคยเป็นทะเลมาก่อน โมร็อคโคคือแหล่งที่แท้จริงของฟอสซิลในตลาดการค้าของโลกนี้นอกเหนือจากมาดากัสก้า เช่น ฟอสซิลหอยแอมโมไนท์แบบผ่าครึ่งและเต็มตัว สัตว์อื่นๆ ผมไม่รู้จัก 555
13.2 ฟอสซิลฟันไดโนเสาร์ : ฟันสไปโนซอรัส ราคาหลักร้อยบาท , ฟันไดโนเสาร์ Carcharodontosaurus จะมีราคาแพงกว่าสไปโนซอรัส หลักร้อย-หลักพันบาท
13.3 หม้อทาจีนดินเผาขนาดต่างๆ ไว้เป็นขอที่ระลึกตกแต่งบ้าน
13.4 ทรายจากทะเลทรายซาฮาร่า(ไม่เห็นมีใครห้ามนะครับ)จะมีสีแดงกว่าทรายบ้านเรา มีคนเร่ขายเป็นขวดเล็กๆ ณ จุดเปลี่ยนรถก่อนเข้าทะเลทราย ตั้งราคาไว้ที่ 30 MAD ต่อขวด แนะนำให้นำถุงไปใส่ทรายกลับมาและหาซื้อขวดสวยๆที่เมืองมาราเกซ แล้วมากรอกทรายใส่ขวดเองครับ ราคาขวดเปล่าตั้งขายอยูที่ 30 MAD รวบรวมเพื่อนๆ ซื้อกันหลายๆ ขวด ก็ได้ราคาประมาณ 10-15 MAD ครับ
13.5 โพรงแร่หิน จะเป็นหินกรวงๆ กะเทาะผ่ากลางออกมาข้างในเป็นผลึกแร่สีต่างๆ แต่อันไหนมีสีสดใสมากให้เดาไว้เลยว่ามีการใส่สีเคลือบไว้ แต่ถ้าหากถูกใจและราคาไม่แพงก็ซื้อมาตกแต่งบ้านได้ราคาชิ้นนึง ร้อยกว่าบาทครับ
13.6 ผ้าคลุมหัว สำหรับโพกหัวถ่ายรูปตอนขี่อูฐเท่ห์ๆ ซื้อได้ ณ จุดต่อรถเข้าทะเลทราย ราคาตั้งไว้ 50-100MAD ต่อราคาได้มาที่ 30 MAD (ไม่ต้องรีบซื้อในเมืองก่อนหน้านี้จะราคาแพง)
13.7 ไอครีมแมคนั่ม ราคาแท่งละ 24-30 MAD (ร้อยบาท) โค้กกระป๋องละ 10 MAD น้ำแข็งหายากมาก ตามร้านอาหารแทบไม่มีน้ำแข็งขายเลย
13.8 ชุดจารบ้า : ชุดของชาวมุสลิมพื้นเมือง ราคาประมาณ 100-300 MAD ขึ้นอยู่กับแบบและเนื้อผ้า
13.9 ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันอาร์แกน ส่วนมากใช้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีชื่อเสียงด้านสรรพคุณอย่างมาก
14. หัวหน้าทัวร์ คือ ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทริปนั้นๆ สมบูรณ์และสนุกสนานประทับใจ หัวหน้าทัวร์ของเราคุณชำนาญ อรุณพูลทรัพย์ หรือพี่นาญ ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการนำทัวร์และภาษาอาราบิด ข้อมูลประวัติศาสตร์เป๊ะตามแบบฉบับของหัวหน้าทัวร์ แต่ยังมีความสามารถด้านเอ็นเตอร์เทน เสียงหัวเราะสร้างความสนุกสนาน ตามถ่ายรูปถ่ายวีดีโอให้ลูกทัวร์ อีกทั้งยังทำอาหารอร่อย เป็นอาหารมื้อพิเศษถึง 4 มื้อ อร่อยกว่าร้านอาหารที่เมืองไทยอีกด้วยซ้ำ
ก่อนเดินทางก็แวะใช้บริการ เล้าจน์ The Wisdom ที่สนามบินสุวรรณภูมิซะหน่อยครับ (สงวนสิทธิ์เฉพาะผู้ถือบัตรเครดิตวิสดอมของธนาคารกสิกรไทยเท่านั้นครับ) อาหารร้อนมีไม่มากนักแล้วแต่วันครับ แต่มีพวกขนมขบเคี้ยว ขนมจีบ คุ๊กกี้ เครื่องดื่มร้อน-เย็น และไวน์ กินกันไม่อั้นเลยทีเดียว ที่นั่งสะดวกสบายครับ
ถึงสนามบิน Mohamed V International Airport เมืองคาซาบลังก้า เมืองท่องเที่ยวชื่อดังของโมร็อคโค ซึ่งซุปตาร์เองเป็นแฟนหนังสือของอากาธาร์ คริสตี้ มีนวนิยายสืบสวนตัวเอกชื่อ เฮอร์คูล ปัวร์โรห์ (ซึ่งปัวโรห์ น่าจะพักอาศัยอยู่ที่เมืองนี้)
สถานที่แรกที่ไปคือ สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Hassan II Mosque) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากเมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมร็อกโคทุกแขนง ชมวิวทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งทะเล ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว อากาศเย็นสบายดีมากๆครับ
จบท้ายด้วยรูปไกด์ทัวร์ชาวไทยและไกด์ท้องถิ่นครับ
ถึงเวลาให้อาหารมื้อแรก เป็นอาหารพื้นเมืองในเมืองราบัต ซึ่งเป็นเมืองหลวงของโมร็อคโค
เป็นไก่ทาจีน จานแรกที่เสริฟจะเป็นพวกผักดองรสชาติแปลกๆ แต่ก็ถือว่ากินผักเพื่อช่วยในการขับถ่ายกันนะครับ
ทานอาหารเสร็จแล้วจากนั้นแวะชม สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 (Mohammed V Mausoleum) พระอัยการของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนสง่าเฝ้าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น
ชม หอคอยฮัสซัน (Hassan Tower)
จากนั้นก็แวะไปชมป้อมปราการ อุดายา คาชบาห์ (Oudaya Kasbah) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ ด้านในเป็นเมดิน่า บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า ที่สะอาดตาน่าเดินเล่น เหมือนศิลปะบนกำแพง
ถ้ำของเฮอร์คิวลิส ซึ่งอยู่นอกเหนือจากโปรแกรมทัวร์ครับ ถ้ำนี้อยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ภายในถ้ำอากาศเย็นสบาย และมีมุมถ่ายรูปจากในถ้ำรอดผ่านออกมาทางทะเล บรรยากาศดีครับ
ค้างคืนที่เมืองแทนเจียร์ เมืองที่อยู่เหนือสุดของโมร็อคโค เป็นเมืองชายทะเล เราได้พักที่โรงแรมฮิลตันการ์เด้นแทนเจียร์ เป็นโรงแรมที่สะดวกสบายอาหารอร่อยดีมากครับ ก่อนนอนได้เดินเล่นริมชายหาดเมืองแทนเจียร์อากาศหนาวๆ ลมทะเลพัดเย็นสบาย
แวะชมป้อมปราการเมืองแทนเจียร์ (Tangier Kasbah) ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของ เมืองแทนเจียร์ โดยป้อมปราการตั้งอยู่เหนือสุดของเมือง เป็นอีกวิวพอยท์สำคัญที่คุณจะสามารถมองเห็นช่องแคบยิบรอลตาร์ได้เป็นอย่างดี
มีร้านกาแฟเก๋ๆ ครับ
ไฮไลท์ที่ผมชอบคือ นครสีฟ้า เมืองเชฟชาเวิ้น (CHEFCHAOUEN) เป็นเมดินา เขาวงกตมีตลาดบ้านเรือนขายของ ตรอกซอกซอยทาสีฟ้ากันหมด สวยงามมากครับ
ได้แวะชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman City of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ.1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997
ประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส (The Royal Palace) ประตูทางเข้าพระราชวัง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม และเป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมร็อคโค
เข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่ง เมดินาเมืองเฟส ในเขตเมืองเก่าได้ มีซอยกว่า 10,000 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง 3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆที่หน้าร้านจะมีหม้อ กระทะ อุปกรณ์เครื่องครัว วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่า
ไฮไลท์อีกจุดนึงคือ บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ (Tannery of Fes) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก
เดินทางต่อไปยังเมืองอิเฟรน (IFRANE) เมืองตากอากาศที่มีความสูงกว่า 1,650 เมตร เหนือระดับนํ้าทะเล ที่พักตากอากาศซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างขึ้นบริเวณนี้ ในช่วง ค.ศ.1930 บางครั้งเรียกเมืองแห่งนี้ว่า “เจนีวาแห่งโมรอคโค” บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้บาน และทะเลสาบสวยงาม เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน เส้นทางนี้ผ่านเทือกเขาแอตลาส ชื่อที่คุ้นเคยกันมานาน เดินทางข้าม Middle Atlas ภูมิประเทศเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ สองข้างทางเปลี่ยนสภาพจากความแห้งแล้วเป็นป่าไม้ พุ่ม และสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา
ผ่านภูมิประเทศแปลกๆ และ ทะเลสาบสีฟ้า ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำ สร้างโดยกษัตริย์ของโมร็อคโค ฟ้าสวยงามมากกก
เข้าสู่ทะเลทรายซาฮารา
พักอย่างหรูกลางทะเลทราย แถมอาหารอร่อยอีกต่างหาก
อ่างล้างหน้าทำจากฟอสซิล
ส้มตำฝีมือเด็ดจากพี่ไกด์ของเราครับ แซ่บมากกกกก
ถึงเวลาขี่อูฐชมทะเลทรายซาฮาร่าครับ ทีมงานนัดมาเจอที่แคมป์ข้างโรงแรมประมาณ 05.45 น เลือกอูฐกันคนละตัว ขึ่กันไปแบบคาราวาน สนุกมากอากาศหนาว ประมาณ 14 องศา
ไม่อยากลุกกลับจากทะเลทรายเลยเชียว ทรายนุ่มๆ เย็นๆ ขอนอนต่อได้มั๊ย
ป้อเอ็ทเบน ฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Haddou) เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrence of Arabia, Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก
เมืองมาราเกช (MARRAKECH) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ ตั้งอยู่แถบ เชิงเขาแอตลาส ในอดีต เมืองโอเอซิส แห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐ ที่มาจากทางตอนใต้ของโมร็อคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วงศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A City of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้
แวะจัตุรัสกลางเมือง (Djemaa Fnaa Square) ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวาที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมร็อคโคขนานแท้
Majorelle Garden หรือ Jardin Majorelle ว่ากันว่าเป็นสวรรค์น้อยๆ ย่านเมืองมาราเกช สวนแห่งนี้เป็นที่รวบรวมพันธุ์ไม้นานาจากทั่วโลก โดยเฉพาะต้นกระบองเพชรนับพันต้น หลากหลายสายพันธุ์ มีสวนบัว และป่าไม่ดูร่มรื่น กับบรรดากระถางดินที่ศิลปินเจ้าของเดิม Jacques Majorelle ที่สรรหาสีมาป้ายทาทับ ตกแต่งทำให้สวนแห่งนี้ดูโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ สวนแห่งนี้เดิมเป็นบ้านของศิลปินชาวฝรั่งเศส เขาสร้างบ้าน และสวนเอาไว้อยู่เอง พร้อมสร้างงานศิลปะของเขาต่อมาสถานที่แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ รวบรวมเอาศิลปะของโมร็อคโคไว้ และมีมุมแสดงงานศิลปะของเจ้าของเดิมเอาไว้ด้วย
เที่ยวชมเมืองมาราเกซอีกรอบ ก่อนเดินทางกลับครับ
ไว้พบกันทริปถัดไปนะครับ กำลังเตรียมตัวไปตุรกี และ ปลายปีนี้ก็ญี่ปุ่นอีกรอบ (ญี่ปุ่นอีกแล้ววววววว)
คลิปหลุดตอนขี่อูฐ กลางทะเลทรายครับ อิอิ
ซุปตาร์พาเที่ยว Suptar Traveller
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 10.40 น.