สถานที่ : ผาหินกูบ หน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งเพล อ.มะขาม จ.จันทบุรี
สมาชิก : 14 คน นุ่ม นิค เทียน ไผ่ ตอง(ABC) พี่เติ้ล พี่โจ้ พี่อาย พราว จอย อันโทน กั๊ม เป้ ตอง(KK)
วันเวลา : 3-4 มิ.ย.2560 >> 2 วัน 1 คืน<<
ความสูง : 960 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ระยะทาง : 5-6 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 6-8 ชั่วโมง
แก๊งค์ : หาเรื่องเดินป่า..ใส่บ่าแบกหาม
ภาพถ่าย : จากหลายๆกล้อง
ผาหินกูบเป็นชื่อที่ได้ยินมานานและก็อยากไปมาหลายปีแต่หาผู้ร่วมเดินทางไม่ได้ (กะจะไปคนเดียวอยู่แล้วเชียว) อยู่ๆมาปีนี้ก็เกิดคิดเห็นตรงกันจึงกำหนดวันและหาผู้ร่วมเดินทางด้วยกันเพียง 2 สัปดาห์ ได้เพื่อนๆร่วมเดินทางทั้งเก่าและใหม่อย่างรวดเร็วจนเต็มโควต้าที่ตั้งไว้ เมื่อได้วันได้เพื่อนก็กำหนดเมนูอาหาร เตรียมของส่วนกลาง การเดินทางและที่พัก ในส่วนของที่นี่นั้นเปิดให้ขึ้นทั้งปีเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์ ถ้าสัปดาห์ไหนมีช้างลงหรือมีเหตุที่อันตรายจะไม่ปลอดภัยกับนักท่องเที่ยวเจ้าหน้าที่จะยกเลิกทริปในสัปดาห์นั้น
::เรามาทำความรู้จักกับสถานที่แห่งนี้กันสักหน่อย::
ผาหินกูบ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติบนเทือกเขาสอยดาวใต้ เป็นที่เที่ยว unseen ของจังหวัดจันทบุรี ที่มีเส้นทางท้าทายนักผจญภัย นักเดินป่า ที่ไม่กลัวความยากลำบาก เส้นทางการเดินป่าที่ครบทุกรสชาติ บุกป่า ผ่านธารน้ำ ปีนเขา เข้าถ้ำ เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างโหด ต้องใจเท่านั้นจึงจะฝ่าฟันอุปสรรคได้ตลอดเส้นทาง เพื่อพิชิตความสวยงามแห่งขุนเขา
ผาหินกูบ ตั้งอยู่ทางใต้ของเทือกเขาสอยดาวใต้ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ภายใต้การดูแลของหน่วยพิทักษ์ป่าบ้านทุ่งเพล ตำบลฉมัน อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี
ผาหินกูบ อยู่บนเทือกเขาสอยดาวใต้ ที่ความสูงประมาณ 960 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นยอดเขาที่เหมือนปฏิมากรรมทางธรรมชาติที่งดงามไม่เหมือนที่ไหน บนยอดเขามีลักษณะเป็นหินแกรนิตขนาดมหึมา รูปทรงโค้งมน ผิวเกลี้ยง วางซ้อนตัวกันตามธรรมชาติ (เหมือนกับที่เขาคิชฌกูฏ) ส่วนที่เรียกกันว่า "ผาหินกูบ" นั้น มาจากหินก้อนหนึ่งบนยอดเขา มีรูปลักษณะโหนกนูนตรงกลาง และโค้งลาดลงสองด้าน คล้ายกับกูบช้าง คำว่า "กูบ" หมายถึงที่นั่งบนหลังช้าง เมื่อขึ้นไปนั่งบนยอดเขา จึงเหมือนนั่งอยู่บนหลังช้าง
จากภาพการเดินทางแบ่งเป็น 2 ช่วงหลักๆ
ช่วงที่1 ระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร เป็นทางราบๆ เดินสบายๆ
ช่วงที่2 ระยะทางอีก 2กิโลเมตรกว่าๆ เป็นทางชันถึงชันมาก
ขอบคุณภาพจาก hikingthai.com
ทำไมต้อง 4.0 (เอ้า..เดี๋ยวมันไม่ทันสมัย) พวกเราออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวในเย็นวันศุกร์นัดเจอกันที่ หน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งเพล
มาถึงที่หมายราวๆเที่ยงคืนครึ่ง เก็บกวาดปูเสื่อเพื่อนอนพักเอาแรง ในส่วนของค่าใช้จ่ายสำหรับเจ้าหน้าที่นำทาง เก็บคนละ 200 บาท
หากกลุ่มใดจะใช้ลูกหาบให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ไว้แต่เนิ่นๆมีค่าใช้จ่าย 1,000 บาท/คน/วัน
ที่นี่ฝนตกตลอดคืนแต่ก็ไม่ทำให้เย็น กลับกลายเป็นร้อนชื้น หลับๆตื่นๆ แป๊บๆก็ตีห้า ฟ้าเริ่มสว่าง
ผมและทีมงานก็จัดแจงนึ่งข้าวเหนียวเพื่อเป็นอาหารเช้าและกลางวัน ส่วนหนึ่งเตรียมวัตถุดิบที่จะนำขึ้นไปทำกินบนเขา
รอบนี้อาหารการกินเราจัดเต็มมากเพราะคิดมาเสมอว่ามันเดินชิลๆ เตรียมมาทั้งหมูย่าง ไก่ย่าง หมักมาอย่างดี
จิตนาการไว้อย่างสวยหรู ระหว่างเตรียมของก็รอสมาชิกที่เหลือเดินทางมาสมทบกว่าจะรวมตัวกันเสร็จก็กินเวลา
ไป 9โมงกว่าๆ ซึ่งอีกกลุ่มได้เริ่มเดินกันไปนานแล้ว แต่ไม่เป็นไรครับกลุ่มเรามีหน่วยจู่โจมเร็วซึ่งน่าจะเดินทันและ
แซงไปแย่งที่นอนตรงผาได้สบายๆ มากับเรามันไม่มีกำหนดการตายตัวอยากให้ได้สัมผัสธรรมชาติกันได้เต็มอิ่ม
เวลา 9.40 น.โดยประมาณเริ่มออกเดินทางจากที่ทำการหน่วยฯ วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใสทางเดินช่วงนี้
ไปจนถึงลำธารคลองมะเดื่อเป็นทางเดินแคบๆผ่านป่าระกำ,ต้นหวาย และป่าดิบชื้น เป็นทางราบไต่ระดับความสูงเรื่อยๆ
ไม่ชัน ช่วงแรกนี้อากาศจะร้อนชื้น มากมันก็จะอบอ้าวหน่อยๆ ลมพัดลงมาไม่ถึงพื้นล่าง เหงื่อนี่ท่วมเลยและรู้สึกอึดอัด
เพราะอากาศไม่ค่อยถ่ายเท เป็นความรู้สึกหน่วงๆ
ดูภาพบรรยากาศรอบๆระหว่างทางเดินกันยาวๆหละกัน
ทางเดินช่วงนี้สบายๆ เดินไปถ่ายรูปเล่นไป ยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้า
ทุกคนยิ้มแย้ม แต่สังเกตว่าหน่วยเคลื่อนที่เร็วไม่อยู่ในภาพเลย เพราะล่วงหน้าไปไกลมากแล้ว
บางช่วงทางเดิมต้นไม้ล้มขวางทางต้องเปิดทางใหม่ซึ่งก็ลื่นดี
ทริปนี้มีสมาชิกมาเป็นคู่ด้วยนะ
โดนหลอกมาก็มี น้องกั๊มซึ่งโดนพี่เติ้ลหลอกมาว่าเดินสบายๆ
เดินไปเดินมาเห็นระกำเยอะก็มีลองกินบ้าง บอกเลยว่าเปรี้ยวจี๊ดดดดดดดดด
2มือไม่ไหวก็ต้อง 4 เลยคร๊าบ
พวกเราเดินทางมาถึงลำธารนั่งพักเล่นน้ำให้สดชื่น บางคนก็ล้างหน้าล้างตาพอได้ดับร้อน
เราพักกันที่นี่นานพอสมควรแบบว่าไม่รีบ(ณ ตอนนี้ก็ยังคิดว่ามันเดินชิวๆสบายๆ) พักบ่าพักไหล่
ให้คลายเมื่อยหน่อยเพราะทริปนี้แบกของหนักกัน 10 กิโลกรัมขึ้นไป ไม่ธรรมดานะครับแต่ละคน
ส่วนหน่วยเคลื่อนที่เร็วของกลุ่มเราเหรอครับ ไปถึงไหนแล้วไม่รู้ ตามไม่ทันจริงๆ
ร้อนๆมาเจอเย็น มันคือสวรรค์ชัดๆ
สุขใดเล่าจะเท่าศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
น้ำเย็นชื่นใจ การเดินป่าถ้าได้เจอลำธารนี่ถือเป็นอะไรที่ฟรินมาก
น้องพราวนั่งดูพี่ๆเพลิดเพลินกับลำธาร
เหล่าสัตว์น้อยๆก็มาต้อนรับพวกเรา
แค่เล่นน้ำมันฟรินไม่พอ มันต้องดิฟกาแฟด้วย หอมกรุ่นทั่วทั้งป่า
เอาหละครับพักเสร็จแล้วก็เดินทางกันต่อ มุ่งหน้าสู่หินแปดเหลื่ยมซึ่งเป็นจุดพักกินข้าวกลางวัน
จากลำธารคลองมะเดื่อไปนั้นทางจะเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆจนรู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้น ยิ่งแบกของมาหนักยิ่งทำให้เหนื่อยเร็ว
ต้องใช้ความอึดพอสมควร ทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ถามเจ้าหน้าที่แกบอกว่าอีก 500 เมตร เป็น 500 เมตรที่ไกลเหลือเกิน
การเดินในป่าทึบแบบนี้แม้แดดจะส่องไม่ถึง แต่ก็ร้อนเพราะอากาศ ทำให้กระหายน้ำบ่อยๆ ดังนั้นควรเตรียมน้ำไปให้พอ
ระหว่างเดินขึ้นเขา อีกอย่างถ้าเริ่มเดินจากหน่วยช้ามาถึงคลองมะเดื่อสักเที่ยงๆก็ให้กินข้าวตรงนั้นเลยไม่ต้องรอให้ถึง
หินแปดเหลี่ยม เพราะเดี๋ยวจะหมดแรงซะก่อน
ทริปนี้ค่อยข้างจะมีแต่ภาพบรรยากาศการเดินทาง เพราะอยากถ่ายทอดการเดินทางให้ได้รับรู้
เพราะความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว ความสุขเกิดขึ้นได้ระหว่างทางเช่นกัน
เดินแล้วก็เดิน บอกแล้วว่ามันเป็น 500 เมตรที่ไกลมาก ถ้ายังไม่ได้กินข้าวอาจจะหน้ามืดได้เลย
เมื่อมาถึงหินแปดเหลี่ยมก็พักกันยาวๆสักหน่อย เพราะเหนื่อยล้ากันเหลือเกิน ว่ากันว่าตรงนี้คือครึ่งทางแล้ว
ฟังแล้วเหมือนมีกำลังใจขึ้นมาทันที แต่ๆๆๆ ดูทางเดินต่อจากนี้ไปพร้อมกับดูความสูงที่นาฬิกาก็รู้ได้ทันทีว่า
ทางเดินจากนี้ไปมันจะชันมากๆเพื่อไต่ระดับความสูงขึ้นไปถึง 960 เมตรจากระดับน้ำทะเล ณ จุดนี้สามารถ
เติมน้ำดื่มจากลำธารได้ ตรงนี้สัญญาณโทรศัพท์ทรูมูฟจะแรงมากสามารถวีดีโอคอลได้ แล้วก็เช็ค facebook
ไปมาพบว่าหน่วยเคลื่อนที่เร็วของเราได้ไปถึงยอดเขาเป็นที่เรียบร้อย โพสรูปชมวิวสบายใจเฉิบ
ถ่ายรูปชมนกชมไม้ไปเรื่อย
เดินกันต่อเลยดีกว่าเพราะนี่ก็จะบ่ายสามแล้วเดี๋ยวจะถึงมืด เส้นทางต่อจากนี้เป็นไปอย่างที่คิดไว้ว่ามันชันมาก
และชันอย่างต่อเนื่องทำให้นึกถึงตอนเดินที่โมโกจู หลายครั้งตะคริวจะขึ้นที่ขา ก็อาศัยนั่งพักยืดเส้นยืดสาย
พอขึ้นมาที่สูงลมเริ่มพัดเย็นสบายผิดกับช่วงแรกที่เดิน เมื่อรับรู้ถึงลมเย็นๆนั่นหมายถึงเรากำลังเข้าสู่ป่าไผ่
ความสูงตรงนี้น่าจะอยู่ราวๆ 600 เมตร สังเกตกราฟระดับความชันขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านป่าไผ่มาก็จะเข้าสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่ และทางน้ำป่าไหล มีปีนป่ายเป็นช่วงๆ
ยิ่งช่วงหน้าฝนนี้ต้องระวังมากๆเพราะทางจะลื่น เพื่อนๆในกลุ่มก็ลื่นกันไปหลายคน เดินมาเรื่อยๆ
ก็จะเจอถ้ำหินซึ่งเราจะต้องเดินรอดไป มาถึงตรงนี้ก็ให้คิดไว้ว่าใกล้จะถึงแล้วน่าจะอีกราวๆ 200 เมตรก็ถึงยอดเขา
ในช่วงทางเดินสุดท้ายนี้ไม่ค่อยเห็นรีวิวกล่าวไว้สักเท่าไหร่ว่ามันชันและโหด skipข้ามไปยอดเขากันเลย
ก็เข้าใจมาตลอดว่าเดินสบายๆ ที่ไหนได้ฟิลลิ่งโมโกจูชัดๆ ผมกับเพื่อนอีก2 คน ขึ้นมาถึงกลุ่มสุดท้ายน่าจะห้าโมงกว่าๆเกือบมืด
เมื่อถึงที่พักที่เพื่อนๆชุดแรกมาจองที่ไว้ก็หาที่ผูกเปลกางฟายชีทกันน้ำค้าง ส่วนหนึ่งก็พักผ่อนตามอัธยาศัย
โชคดีที่เรามีหน่วยเคลื่อนที่เร็วได้ขึ้นมาเก็บภาพบรรยากาศข้างบนเขาให้ได้ชมกัน
หลังจากพักผ่อนก็มาจัดเตรียมทำอาหาร อาหารมื้อนี้ที่เตรียมมาก็จะมีเมนู
1.ผัดกระเพราหมูสับ
2.ผัดพริกแกงลูกชิ้น
3.ไข่เจียว
4.แกงจืดไข่น้ำ
5.ต้มยำปลากระป๋อง
6.ยำปลากระป๋อง
7.หมูย่าง
8.ไก่ย่าง
เป็นไงครับแบกของหนักเพื่อมากินอย่างราชาท่ามกลางป่าเขา (จะบอกว่าบ้าก็ได้มาแบบนี้ไม่เอาอาหารกินง่ายๆอย่างมาม่า ขนมปังมากิน) ทริปนี้เชฟพี่เติ้ลกับเชฟไผ่ลงมือเอง กว่าจะทำอาหารเสร็จก็สองทุ่มกว่า แถมหมูย่างไก่ย่างที่เตรียมไว้ก็ไม่ได้ทำเพราะจุดไฟไม่ติด 55555 อารมณ์ย่างหมูย่างไก่ของหนังคุณอาฉลองอดไป แต่ไม่เป็นไรอาหารเยอะแล้วจะรออะไรก็ลุยสิครับ อิ่มหมีพีมันบางส่วนก็เข้าที่นอนเพราะเข้าใจว่าเหนื่อยล้ากันมามาก จะเหลือก็สมาชิกเก่าๆที่เคยร่วมทริปกันตั้งวงคุยกันสนุกสนานเฮฮา พร้อมยาดองภูมิปัญญาของไทย 4 กลม 4 สูตร อร่อยถูกปากถูกใจกันไป
เวลาล่วงเลยมาถึงห้าทุ่มกว่าๆก็แยกย้ายกันเข้านอน แล้วบรรยากาศก็เงียบลงเหลือไว้เพียงเสียงฟ้าร้องครึ้มๆเป็นระยะๆ
ม่านตายังไม่ทันได้ปิดสนิท ทันใดนั้นเม็ดฝนก็เริ่มโปรยปราย ก็หวังเพียงว่าจะตกไม่หนักฟายชีทที่กลางไว้คงเอาอยู่สบายๆ
แต่!!!! มันไม่เป็นอย่างที่คิด เพียงไม่กี่นาทีทั้งลมทั้งฝนได้พัดกระหน่ำเข้าที่พักพวกเราอย่างจัง เพราะที่นอนเราอยู่ตรงช่องลมพอดี
คนที่นอนปลาทู 11 ชีวิตต้องพบกับความชุ่มช่ำ แถมยังมีสัตว์โลกน่ารักมาทักทายนั่นคือตะขาบของคุณยายวรนาถที่หนีน้ำออกมา
ก็ให้ระวังกันด้วยนะครับ (ตะขาบแม้พิษไม่ร้ายแรงแต่ทำให้ปวดแสบปวดร้อนได้ ถ้าหาแพ้อันตรายถึงชีวิตเลยนะ)
>>กลับเข้าสู่โหมดระทึกขวัญกันต่อ...สายลมโหมกระหน่ำซัมเมอร์เซลอย่างไม่หยุดยั้งลดแลกแจกแถมมาแบบที่ไม่ได้ต้องการ
ฟายชีทถูกลมตีกระพรือปั๊บๆๆๆๆๆ รอบนี้ผมไม่เปียกครับเพราะลมเข้าฝั่งที่ดึงฟายชีทไว้ต่ำ ผ่านไปได้สักครึ่งชั่วโมงเหตุการณ์ก็สงบลง
จัดแจงที่นอนแล้วก็หลับต่อ เวลา 3.40 น. โดยประมาณไม่มีเสียงหวอเตือนใดๆทั้งสิ้น ทั้งลมทั้งฝนโหมกระหน่ำอีกครั้งแต่ครั้งนี้หนักกว่าเดิม
แถมลมยังเปลี่ยนทิศเข้าอีกทาง รอบนี้ผมไม่รอดครับเปียกซก น้ำท่วมเป็นเตียงน้ำไปเลย รอบนี้ตกนานยันเช้านอนไม่หลับแล้วครับเพราะมันเปียกไปหมด ตื่นมารอดูแสงแรกของวันเลยหละกัน เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพตอนพายุฝนพัดถล่มไว้ เพราะตอนนั้นก็ลืมคิดและกลัวของจะเปียก
เราได้แต่ภาวนาว่าแดดจะออกฝนจะหยุดท้องฟ้าจะแจ่มใส ทะเลหมอกมาเต็ม หึหึ 8 โมงก็ยังไม่หยุด งั้นเก็บของเตรียมกลับเลยละกัน
ขอตัดภาพมาตอนเช้าเลยนะเพราะตอนกลางคืนฝนตกไม่ได้ถ่ายเก็บไว้
ยังพอได้เก็บภาพบรรยากาศตอนเช้าท่ามกลางฝนมาอยู่นะ
หมอกเริ่มมาให้เชยชมกัน
วิวสวยๆแบบนี้ถ่ายรูปกันซะหน่อย
ถ่ายร่วมกับดาวไลน์ (ในที่นี้หมายถึงสมาชิกใหม่ที่ถูกชวนมาร่วมทริปด้วย)
ถ่ายเดี่ยวบ้าง ถ่ายคู่บ้าง ถ่ายหมู่บ้าง
เสร็จก็เก็บของเตรียมกลับ
เหมือนฟ้าจะสงสารเดินลงไปตรงผาที่เป็นแลนด์มาร์ค ฝนหยุด ทะเลหมอกมา ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อย อาจจะได้ภาพไม่มากแต่ก็ถือว่าได้มาแล้ว เสร็จสับก็เริ่มเดินกลับ นัดหมายกันที่จุดพักหินแหลมเพื่อตั้งวงต้มมาม่ากินข้าวเช้ากัน กินเสร็จก็ตัวใครตัวมัน เจอกันอีกทีที่หน่วยฯเลยครับ ตอนเดินลงต้องใช้ความระมัดระวังเยอะหน่อยเพราะดินจะลื่นมากเนื่องจากฝนตกเมื่อคืน แค่นั้นยังไม่เท่าไหร่ฝนดันตกระหว่างเดินกลับอีกด้วย เดินป่าท่ามกลางสายฝนสุดโหดมาก ประสบการณ์น่าประทับอีกหนึ่งทริป กลับถึงหน่วยก็จัดการทอดหมูที่ตอนแรกกะเอาไปย่างบนเขา แต่สุดท้ายต้องแบกกลับมาทำข้างล่าง อย่างน้อยก็ได้รสชาติแหนมนิดนึง
เสพบรรยากาศให้เต็มอิ่ม พร้อมกับเสพสุขกับธรรมชาติ
ขอบคุณผู้ร่วมชะตากรรมทุกคนที่ต้องมาเจออะไรที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องเจอ
ขอบคุณสมาชิกใหม่ที่ตกลงปลงใจมาร่วมทริปกันแถมยังเดินเก่งซะด้วย
ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางทุกคนแม้จะแปลกหน้าแต่ก็เข้ากันได้ดี
ขอบคุณมิตรภาพการเดินทางที่นำพามาพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ
ขอบคุณธรรมชาติที่ให้เราได้ค้นหาและสัมผัส และสุดท้ายขอบคุณสมาชิกทุกคนที่ไม่ทิ้งขยะไว้บนเขา (แบกขึ้นมาได้ก็ต้องแบกกลับไปได้)
..........จบบริบูรณ์...........
numishiro
วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.19 น.