" เขลางค์นคร หรือ ลำปาง " จังหวัดที่ใครหลาย ๆ คน รวมถึงตัวผมเองเคยมองเป็นแค่ทางผ่านสู่จังหวัดอื่น
จนมาวันหนึ่งได้มาสัมผัสด้วยตัวเองมันทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป ด้วยเหตุการณ์อะไรหลายๆ อย่างที่ได้พบเจอไม่ว่าจะเป็นความเป็นกันเองของผู้คน สไตล์การพูดแบบชาวเหนือ สถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่เสียงฝีเท้าของม้าที่ได้ยินเกือบทั้งวัน
มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนและรู้สึกประทับใจมากจริงๆ ถ้าให้พูดชื่อจังหวัดที่คนส่วนมากอยากไปมากที่สุดคงหนีไม่พ้น เชียงใหม่เชียงราย แม่ฮ่องสอน
แต่ผมอยากให้ลองเปลี่ยนมุมมองดูครับว่า "จังหวัดลำปาง" ยังมีอะไรที่น่าค้นหา และน่ามาสัมผัสอีกมากมายแล้วลำปางจะไม่ใช่ทางผ่านอีกต่อไป ลองไปอ่านกันดูครับ
วันเดินทาง
จาก กทม. 20.30 น. ในวันที่หมอชิตเต็มไปด้วยผู้คน บางคนก็หารถไม่ได้ เนื่องจากเป็นวัดหยุดยาว 3 วัน ส่วนมากคิวรถจะเต็มแต่บางบริษัทก็ยังมีรถเสริมรองรับคนอยู่เหมือนกัน
วันที่หนึ่ง
ใช้เวลาเดินทางเกือบ 11 ชั่วโมง และเวลา 7.00 น. เราก็มาถึงยังสถานีขนส่งลำปาง โดยการมาเที่ยวลำปางครั้งนี้จะเป็นการ "เช่ารถยนต์" ขับไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นครั้งแรกเลยตั้งแต่ทำรีวิวมา เราได้นัดแนะกับพี่เจ้าของรถเช่าไว้ที่ ปั๊ม ปตท. ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับขนส่งลำปางเลย ระหว่างที่รอก็หาของกินรองท้อง หรือจะซื้อข้าวที่ 7-11 ในปั๊มก็ได้
ใช้เวลารอไม่นานรถยนต์เช่าของเราก็มาส่งรถให้ถึงที่เลย ซึ่งเราได้ใช้บริการของ "อาลัมภางค์ กรุ๊ป (รถเช่าลำปาง" เอาง่ายๆ ว่าเสิร์ชใน google ก็เจอเลย ซึ่งต้องบอกเลยว่าพี่เจ้าของให้คำแนะนำดีมาก ตอบแชทได้รวดเร็วทันใจเสมอต้นเสมอปลายมาก
* ใครสนใจ ติดต่อได้ที่ 054-224454, 083-568-1555, 099-236-0176 หรือจะ Inbox ไปที่เพจเลยก็ได้
หลังจากตรวจเช็คสภาพรถเรียบร้อยแล้ว เวลา 7.30 น. เราก็เริ่มออกเดินทางเพื่อไปยังเป้าหมายแรกนั่นก็คือ "วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ (วัดพระพุทธบาทปู่ผาแดง)" ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. จากตัวเมืองมาก็มาถึงยังจุดหมาย
จากนี้เราจะต้องอาศัยรถกระบะที่จอดรถให้บริการเพื่อขึ้นไปยังจุดเดินเท้าต่อไปยังด้านบน ค่าบริการจะอยู่ที่คนละ 90 บาท โดยแบ่งเป็น
- ค่าเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 50 บาท
- ค่าบำรุงสถานที่ 20 บาท
- ค่ารถขึ้น-ลง 50 บาท
นั่งรถประมาณ 5 นาที ก็มาถึงยังจุดเดินเท้า จากตรงนี้เราจะต้องเดินต่อไปอีกราว ๆ 800 เมตร เพื่อไปยังจุดชมวิวด้านบน
เดินมาประมาณ 20 นาที ก็มาถึงยังจุดหมาย ก่อนอื่นเลยต้องขึ้นไปกราบนมัสการองค์พระธาตุซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอีกนิดนึง จุดนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดที่จะมองเห็นวิวรอบ ๆ ได้
หลังจากกราบนมัสการองค์พระธาตุกันไปแล้ว เราก็จะเดินต่อไปอีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นศาลาสวดมนต์
และที่เป็นไฮไลท์ที่มีชื่อเสียงของที่นี่เลยก็ว่าได้นั่นก็คือ เจดีย์สีขาวน้อยใหญ่ ตามชะง่อนผาต่าง ๆ บอกได้เลยว่าคนสร้างนี่สุดยอดมาก
ใช้เวลาเก็บภาพบรรยากาศประมาณ 1 ชม. เราก็ลงจากเขานี้ เพื่อที่จะไปสถานที่ต่อไปนั่นก็คือ "อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน"
ขับรถต่อมาอีกไม่ไกลนักโดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที เราก็มาถึงยัง อช. แจ้ซ้อน ซึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือ แสงอาทิตย์กระทบผิวน้ำแล้วจะเห็นเป็นไอน้ำลอยฟุ้งๆ พร้อมพื้นหลังเป็นแสงสีทองจะทำสวยงามมาก ก่อนอื่นเราต้องเสียค่าเข้า อช. คนละ 40 บาท และค่านำรถยนต์เข้าอีก 30 บาทต่อคัน
ก่อนจะลงไปยังบ่อน้ำพุร้อนนั้น ก็ไม่ควรลืมที่จะไปซื้อไข่ไก่เอาไปต้มในบ่อกันด้วยนะ มาน้อยก็ซื้อแค่ 3 ใบพอ 20 บาท เท่านั้นเอง บ่อที่เราเอาไปแช่นั้นมีอุณภูมิอยู่ที่ 75 องศา ว่ากันว่าใช้เวลา 22 นาทีไข่จะสุกกำลังดี ได้ทำเลปุ๊บก็แช่ทิ้งไว้แล้วไปเดินเล่นถ่ายรูปก่อนค่อยกลับมาเอา
จากความฝันที่จะเจอแสงอาทิตย์ส่องมายังผิวน้ำแล้วเป็นแสงสีทองสวยๆ ปรากฏว่าฝันสลายจ้า ไม่มีแดดให้เห็นเลย เดินถ่ายรูปได้สักพักฝนก็ตกลงมาอย่างหนักหาที่หลบกันแทบไม่ทัน กะว่าจะไปนั่งแช่เท้าในบ่อซะหน่อยอดเลย
ประมาณครึ่งชั่วโมงฝนก็เบาลง และในความโชคร้ายยังมีความโชคดี หลังจากที่ฝนตกนั้นไอน้ำลอยฟุ้งขึ้นจากบ่อสวยงามมาก ต่างกันกับตอนก่อนฝนจะตกที่ไม่ค่อยเห็นไอน้ำเลย รีบหยิบกล้องขึ้นมารัวให้ไวเลย ถือว่าไม่เสียเที่ยว
และที่ใกล้ ๆ กันกับบ่อนั้นก็มีธารน้ำตกเย็นๆ ให้เล่นน้ำได้ด้วยนะ หรือบางคนก็ลงไปเล่นน้ำในบ่อน้ำพุเลย ซึ่งเป็นบ่อที่มีความร้อนอยู่ในอุณภูมิที่สามารถลงไปเล่นได้
ก่อนกลับก็อย่าลืมล่ะ ! แช่ไข่เอาไว้ก็ไปเอามาดูผลงานกันสักหน่อยว่าไข่จะอร่อยแค่ไหน จากที่จะแช่แค่ 22 นาที กลายเป็น 1 ชม. พอดีเลย เพราะฝนเจ้ากรรมแท้ๆ ปรากฏว่า ไข่แดงสวยมาก อาจะเป็นเพราะฝนมีส่วนด้วยหรือป่าวก็ไม่รู้คือ ไข่แดงนุ่มมาก เคี้ยวแล้วหนึบหนับไม่เหมือนที่เคยกินมาก่อนเลย
หลังจากซัดไข่จนหมด เราก็จะเดินทางกลับเข้าไปยังตัวเมืองอีกครั้ง เพื่อเช็คอินเข้าที่พัก
14.00 น. ก็มาถึงยังที่พักของเราในค่ำคืนนี้ " Flat White Cafe & Poshtel " ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าที่พักนี้ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย เห็นจากใน Booking.com แล้วดูสะอาดน่าพักก็จองเลย แต่มารู้ทีหลังว่ารายการ "เทยเที่ยวไทย" ก็เคยมาถ่ายรายการที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ และหลังจากที่ได้เข้าพักรู้สึกประทับใจมาก ด้านล่างเป็น Cafe มีมุมถ่ายรูปที่เป็นจุดขายของที่นี่ ส่วนด้านบนเป็นห้องพัก ราคาถือว่าไม่แพง ห้องเตียงเดี่ยวคิงไซส์ 2 คน อยู่ที่ 900 บาท เท่านั้น รวมอาหารเช้าแล้วด้วย
** หากสนใจคลิก http://www.booking.com/Share-e170811
หลังจากเก็บของเข้าที่พัก และชาร์ตแบตกันสักแปบนึงแล้ว เราก็จะออกเดินทางไปเที่ยวต่อที่ " วัดพระธาตุลำปางหลวง " เป็นวัดที่เก่าแก่ และมีความศักดิ์สิทธิ์มากๆ ของนครลำปาง ทุกมุมของวัดแฝงไปด้วยเรื่องราวต่างๆ สิ่งที่ควรทำเมื่อมาถึงคือการกราบไหว้พระเจ้าล้านทอง ไหว้องค์พระธาตุ และพระประธานในโบสถ์
ตรงรั้วองค์พระธาตุยังคงมีร่องรอยประวัติศาสตร์หลงเหลืออยู่ให้ชมด้วย
หนึ่งในไฮไลท์ของวัดนี้คือ เงาพระธาตุกลับหัว สำหรับผู้หญิงสามารถดูได้แต่ในโบสถ์ด้านข้างองค์พระธาตุ
ส่วนผู้ชายยังสามารถขึ้นไปดูได้ที่รอยพระพุทธบาทด้านหลังองค์พระธาตุ
นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดยังมีพิพิธภัณฑ์โบราณที่เก็บรวบรวมของเก่าให้เราเข้าไปชมได้ และใกล้ๆกันก็มีองค์พระแก้วมรกตอีกด้วย
หลังจากกราบไหว้องค์พระธาตุกันเสร็จแล้ว หน้าวัดก็จะมีรถม้าให้นั่งชมรอบๆ ด้วย ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 200 บาท หรือถ้าไม่อยากนั่งชมเมือง ใกล้ ๆ กันก็มีรถม้าจอดไว้ให้ถ่ายรูปด้วย ถ้าถ่ายเองก็เสียแค่ 10 บาท หรือถ้าอยากได้ภาพสวยๆ ไปประดับบารมีก็อยู่ที่ 100 บาท รอรับภาพได้เลย
วิวองค์พระธาตุลำปางหลวงยามเย็นจากนอกวัดเป็นมุมที่ร่มรื่น และรู้สึกชอบมากๆ
ตกเย็นเราก็มาเดินหาของกิน ช๊อปปิ้ง ที่ " กาดกองต้า " ของกินเยอะมากหรือจะเป็นสินค้าจิปาถะทั่วไปก็มี
เดินมาตั้งแต่ต้นทางไปจนสุดทางที่ " สะพานรัษฎาภิเษก " สะพานที่มีประวัติศาสตร์คู่เมืองลำปางมายาวนาน แม้แต่เสาก็เแฝงไปด้วยความหมาย เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่ามาถ่ายรูป และมานั่งเล่น ถ้าเป็นกรุงเทพฯ ก็คงจะคล้าย ๆ สะพานพุทธ
หลังจากกลับจากกาดกองต้า เดินเลยที่พักไปนิดนึงก็จะเป็นห้าแยกหอนาฬิกา ซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คอีกหนึ่งจุดของลำปาง และนี่ก็เป็นที่สุดท้ายของวันนี้
วันที่สอง
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาพร้อมความหวังที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับวิวสวย ๆ ที่ " วัดพระธาตุดอยพระฌาน " ขับรถมาตั้งแต่เช้ามืดเลย จากตัวเมืองขับรถมาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงยังบริเวณวัด ขับรถเข้ามาปุ๊บหมาก็เห่ากันอย่างพร้อมเพรียงจนไม่กล้าลงจากรถเลย และที่พีคคือมันไม่ใช่หมาวัดธรรมดา แต่มันเป็นพันธุ์ปั๊กหลายตัวเลย และมีไซบีเรียนตัวสองตัว และที่พีคคือเปิดประตูลงจากรถปุ๊บเจ้าไซบีเรียน มันปันเข้ามาในรถเลย 555 แต่ยังดีที่เรียกแล้วมันก็ลงจากรถ
(หากใครไม่อยากเดินเท้าก็สามารถขับรถขึ้นไปได้เลยถ้าคนไม่เยอะ แต่สำหรับใครที่อยากเดินเท้าขึ้นไปก็จอดรถไว้ด้านล่าง)
ด้วยความที่ตอนนั้นเป็นเวลา 6 โมงเช้า ฟ้าก็ยังปิดอยู่เพราะหมอกลงเยอะมากจะเดินขึ้นไปก็กล้า ๆ กลัว ๆ แต่โชคดีที่มีไอ้เจ้าหมาปั๊กนี่แหละนำทางเราขึ้นมา ระหว่างทางจริงๆ เจอทางแยกด้วยถ้าไม่ได้หมานำคงจะสับสน
ยังมีเรื่องพีคอีกนะคือ เจ้าไซบีเรียนที่วิ่งตามมาที่หลังเนี่ย มันขึ้นมาปุ๊บมันก็ลงไปว่ายน้ำในบ่อหน้าตาเฉยขึ้นหมาเห็นแล้วก็ตลกดี
ข้างบนนี้ก็จะมีโบสถ์ ซึ่งเช้าเกินไปจึงยังไม่เปิด
ด้านหลังโบสถ์ก็จะมีองค์พระธาตุ
อยู่บนนี้มาสักพักก็ไม่มีวี่แววมาจะเห็นพระอาทิตย์เลย เพราะหมอกเยอะมาก จนมองไม่เห็นวิวอะไรเลย อยากแนะนำสำหรับคนที่จะมาแนะนำมาช่วงสาย ๆ หรือบ่าย ๆ จะดีกว่าเพราะท้องฟ้าอาจจะเปิดมากกว่านี้และจะได้เห็นวิวด้านล่างด้วย
หลังที่สัมผัสบรรยากาศจนเต็มที่ ก็เดินทางกลับไปยังที่พักเพื่อเก็บของ และรับประทานอาหารเช้า อีกอย่างวันนี้เราต้องคืนรถยนต์ด้วย พี่เจ้าของรถใจดีมากให้เราคืนรถเรทได้ 2 ชั่วโมง
แผนในวันนี้ของเราคือ " เช่ามอเตอร์ไซค์ " ขี่เที่ยวในเมือง ร้านเช่ารถอยู่ใกล้ ๆ ที่พักเลย ชื่อร้านว่า " Ozone Rent 2 Ride " ซึ่งมีทั้งมอเตอร์ไซค์ และจักรยาน เราเช่ามอเตอร์ไซค์ที่ราคา 300 บาท ค่าประกันพี่เขาไม่เอาด้วยโคตรใจดี
** ใครสนใจติดต่อ : 081-287-5527, 081-796-9866
เวลา 10.30 น. หลังจาก Checkout ที่พักเรียบร้อยก็ขอฝากสัมภาระไว้กับเขา หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่สถานที่ต่อไปคือ " วัดเจดีย์ซาว " หรือวัดที่มีเจดีย์ 20 องค์ นั่นเอง
ขี่รถมาไม่ไกลก็มาต่อยัง " วัดพระแก้วดอนเต้า " ซึ่งช่วงที่เราไปกำลังอยู่ในช่วงบูรณะเลยได้ภาพมาให้ชมนิดเดียว
ขี่ต่อมาใกล้ๆ กันเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนนิยมมจะมาถ่ายรูปกันนั่นก็คือ " บ้านเสานัก " ที่มีเอกลักษณ์ของบ้านก็คือมีเสาบ้านถึง 116 ต้น สมกับชื่อ "เสานัก" หรือในภาษาเหนือที่แปลว่า "เสามาก" นั่นเอง นอกจากเสาที่เยอะบนบ้านก็จะมีข้าวของเครื่องใช้เก่า ๆ ให้เราได้ชมกัน บางคนก็มาถ่ายรูปแต่งงานกันที่นี่ ค่าเข้าชมของบ้านเสานักแห่งนี้อยู่ที่คนละ 50 บาท พร้อมกับมีน้ำสมุนไพร 1 แก้ว และข้าวตัง 1 ชิ้น ให้กินฟรีด้วย
จากบ้านเสานัก เราก็ขี่รถต่อไปยัง " พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี " ที่เป็นจุดกำเนิดของ " ชามตราไก่ " บนแผ่นดินสยาม
การเข้าชมนั้นจะมีเป็นรอบ ๆ มีวิทยากรนำชม ค่าเข้าก็คนละ 50 บาทสำหรับผู้ใหญ่ เนื้อหาการนำชมก็จะเป็นการเล่าประวัติไปจนถึงกระบวนการทำชามตราไก่ในแต่ละขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นเลย เป็นการเสียเงินที่คุ้มค่ามาก สิ่งที่จะทำให้คุณว้าว ว้าว ว้าว ! เลยก็คือ การเพ้นท์ชามตราไก่ ที่ต้องฝีมือจริง ๆ เท่านั้นถึงจะออกมาสวยงาม และยังมีความลับอีกหลาย ๆ อย่างของชามตราไก่หากใครอยากรู้ต้องลองมากันดูนะครับ
ตู้เก็บชามตราไก่ในแต่ละยุคสมัย
ชามตราไก่ 2 ใบนี้ ด้านขวาเขียนด้วยฝีมือของทายาทรุ่นที่ 2 ส่วนด้านซ้ายเป็นฝีมือของพนักงาน
ชามใบนี้จัดว่าเป็นชามตราไก่ที่เก่าแก่ที่สุด
ส่วนใบนี้เป็นชามในปัจจุบัน
ต่อไปก็มาถึงโซนกระบวนการทำในแต่ละขั้นตอน
ด้านนอกนั้นมี ช๊อปสำหรับขายผลิตภัณฑ์จากเซรามิคอีกหลาย ๆ อย่างในราคาที่จับต้องได้ และที่สำคัญที่กิจกรรมให้ทำด้วย คือ การเพ้นท์เซรามิค ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันออกไปตามภาชนะที่เลือก ใช้เวลาอยู่ตรงนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง กว่าจะเพ้นท์สำเร็จถึงจะได้ไปเที่ยวที่อื่นต่อ 555
จากที่ที่แล้วเราก็มาต่อกันที่ " วัดศรีชุม " เป็นวัดที่ทำจากไม้ฝั่งพม่าทั้งหมด และจัดว่าเป็นวัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในไทยอีกด้วย หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ อาคารไม้ได้พังลง วิหารในปัจจุบันจึงเป็นครึ่งไม้ครึ่งตึก ภายในวิหารจะประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ
ส่วนองค์พระเจดีย์สีทองอร่ามด้านหลังโบสถ์ มีพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากพม่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนบรรจุอยู่ภายในองค์พระเจดีย์
จากวัดศรีชุมเราก็มาต่อยังสถานีรถไฟนครลำปาง ซึ่งที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างไทยกับยุโรป เป็นอาคาร 2 ชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ รั้วระเบียง วงกบประตูก็มีการฉลุลวดลายสวยงามเป็นอีกหนึ่งที่ที่ควรมาเช็คอิน
ตู้อะไรก็ไม่รู้ ใครรู้บอกหน่อย
จากนั้นเราก็ขี่รถไปต่อยังที่สุดท้ายของทริปนี้คือ " วัดปงสนุก " เป็นหนึ่งในวัดที่คู่เมืองลำปางมานานมาก
ไฮไลท์จะอยู่ที่วิหารพระเจ้าพันองค์ ที่ได้รางวัล Award Of Merit จาก UNESCO ในปี 2551 ด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอีกด้วย ภายในวัดจะมี พระธาตุศรีจอมไคล
วิหารพระเจ้าพันองค์ ที่เป็นวิหารโถงทรงจัตุรมุข มีพระพุทธรูปหันสี่ทิศ มีความเชื่อเกี่ยวกับการขอพร และสะเดาะเคราะห์
และยังมีวิหารพระนอนอยู่ด้านหลังองค์พระธาตุด้วย
หลังจากตะลอนจนครบตามเป้าหมาย ก็ขี่รถกลับไปคืน และเข้าไปนั่งดื่มน้ำเย็น ๆ พร้อมชาร์ตแบตที่ Cafe ด้านล่างที่พักของเรา
ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถนั้นก็ได้ไปค้นหาสิ่งที่สงสัยมาโดยตลอดว่า
ทำไมต้องมีที่บังตาม้าไม่ให้เห็นข้าง ๆ ?
ซึ่งคำตอบที่ได้รับมาก็คือ
" เวลาม้าวิ่งบนถนน ถ้าไม่มีที่บังตาม้า อาจจะทำให้ม้าเกิดอาการตกใจได้ จึงต้องบังไว้เพื่อให้ม้ามองแต่ข้างหน้า "
เวลา 18.00 น. เราก็นั่งสองแถวไปยังสถานีขนส่งเพื่อขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ในเวลา 20.15 น.
ขอขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้
ผมได้เที่ยวตามคำขวัญลำปาง 3 ประโยค ส่วนอีกประโยคหนึ่งนั้นเวลาไม่พอจริง ๆ
" รถม้าลือลั่น เครื่องปั้นลือนาม งามพระธาตุลือไกล "
" เป็นเเค่เมืองรอง แต่ถ้าได้มาลอง < นครลำปาง > ไม่เป็นรองจังหวัดใด ๆ "
By : I Will Go Thailand
ฉันจะไป : I Will Go
วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 09.19 น.