ทริปนี้เราจะพาเพื่อนๆ เดินตะลุยเที่ยวเมดินา (ย่านเมืองเก่า) ของกรุงมาราเกช ไปสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ ที่ได้ถูกสตาฟไว้ตั้งแต่สมัยอดีตกาล
เมืองมาราเกชเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศโมร็อคโค รองมาจาก Casablanca, Fez และ Tangier นอกจากนั้นแล้ว ทางองค์การ UNESCO ยังได้ยกให้เขตเมดินานี้ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมอีกด้วย
ใช้เวลาเดินเที่ยว 3 วัน
Day 1: เดินเที่ยวโซนใต้ของเมดิน่า
Day 2: เดินเที่ยวโซนเหนือของเมดิน่า
Day 3: เดินเที่ยวตลาด และ โรงย้อมสีหนัง
ที่พัก
เราพักอยู่ในเมดินา 4 คืน ที่พักเป็น riad เล็กๆ ชื่อ Dixneuf La Ksour (Riad 19) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากจตุรัส เจ็มมา เอล ฟีน่า (Jemaa el-Fnaa square) มากนัก เดิน 5 นาทีถึง ที่ตัดสินใจพักที่นี่ ก็เพราะกะจะออกมาเดินกิน เดินเที่ยว ที่จตุรัสตอนกลางคืนกัน
บรรยากาศ ณ จตุรัส Jemaa el-Fnaa เริ่มครึกครื้นตอนช่วง 5-6 โมงเย็น จะมีซุ้มอาหารตั้งเรียงติดๆ กันอยู่กลางจตุรัส พ่อค้าพัดเตาถ่านเรียกลูกค้ากันแบบไม่เกรงใจใคร ควัญโขมงโฉงเฉง กลิ่นอาหารอวล ฟุ้งทั้งตลาด ส่วนลานด้านหน้าของจตุรัส ก็จะมีการร้องรำทำเพลงเป็นวงๆ ตีฉิ่งตีฉาบกันอย่างสนุกสนาน จะเป็นอย่างงี้ไปตลอดจนถึงประมาณ 4-5 ทุ่มได้
รอบๆ Jemaa el-Fnaa จะเป็น "ซุก" (souk) หรือ ตลาดนัดบ้านเรานั่นเอง ร้านค้าในตลาดก็จะตั้งขายของเป็นโซนๆ กันไป — มีขายทั้งอาหารสด งานฝีมือ เสื้อผ้า สบู่ ชุดเครื่องชา และเครื่องประดับต่างๆ มากมาย — ร้านค้าในซุก ส่วนใหญ่จะเปิดกัน 10 โมงเช้า และเริ่มทยอยปิดร้านกันหลังหนึ่งทุ่ม
นอกจากจตุรัส Jemaa el-Fnaa และซุกที่มีอยู่กระจัดกระจายในเมดินาแล้ว ยังมีราชวัง มัสยิท และมิวเซียมสวยๆ ที่น่าไปเยือนอีกเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
Day 1
วันแรก เราจะพาเพื่อนๆ เดินเที่ยวโซนที่อยู่ทางใต้ของจตุรัส Jemaa el-Fnaa กัน สถานที่เที่ยวในย่านนี้จะเป็นราชวัง และสถานที่สำคัญๆ ที่ใช้รับรองคนในราชวงค์ซะส่วนใหญ่
1. Koutobia Mosque เป็นมัสยิดที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในมาราเกช ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1147 เพื่อประกาศชัยชนะของชาวมุสลิมที่ได้นำศาสนาเข้ามาเผยแผ่ได้อย่างสำเร็จ ผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามไม่สามารถเข้าไปชมได้ในได้เองนะครับ สามารถเดินถ่ายรูปในลานด้านนอกรอบๆ ตัวอาคารได้
2. Bab Agnaou (รูปด้านล่าง) เป็นหนึ่งใน 19 ประตูเมืองในมาราเกชที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 ช่วงราชวงศ์ Almohad ครองราชย์ ประตูนี้ส่วนใหญ่ใช้โดยคนในราชวงศ์เพราะอยู่ใกล้วังหลวงมากที่สุด
พอเดินทะลุประตู Bab Agnaou ไปอีกด้านของกำแพง ก็จะเห็นร้านขายสินค้างานฝีมือ handicrafts ชื่อ Ensemble Artisanal Twizra ด้านในร้านมีของขายสารพัด และคุณภาพของในร้านนี้ ค่อนข้างดีกว่าของที่ขายอยู่ตามซุก แต่ถ้าจะซื้ออะไรก็อย่าลืมต่อราคาด้วยนะครับ
รูปด้านบน คือ หน้าประตูทางเข้าร้าน
3. Saadian Tombs (รูปด้านล่าง; เปิด-ปิด: ทุกวัน 9:00-18:00; ค่าตั๋ว: 10 Dhs) เป็นสถานที่ฝังศพของกษัตริย์และคนในเชื้อสายราชวงศ์ Saadian ที่ปกครองประเทศโมร็อคโคในช่วงปี ค.ศ. 1549-1659 สถานที่ฝังศพแห่งนี้ถูกค้นพบและบูรณะใหม่ในปี ค.ศ. 1917
หลังจากเดินดู Saadian Tombs เสร็จ เราก็ออกมานั่งกินอาหารเที่ยงกันที่ร้าน Zeitoun Café เดินข้ามถนนไปแปบเดียวก็ถึงเลย ร้านนี้อาหารรสชาติถูกปากดีครับ ห้องน้ำสะอาด บรรยากาศเป็นกันเอง
ถ้าใครมีเวลา แนะนำให้หยุดเข้าไปดู El-Badi Palace ซึ่งเป็นวังร้างที่ตั้งอยู่ติดกับ Saadian Tomb เลย วังร้างแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1593 ใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 15 ปี และเชื่อกันว่า เป็นวังที่ใช้วัสดุในการก่อสร้างที่แพงที่สุดในสมัยนั้น
4. Bahia Palace (รูปด้านล่าง; เปิด-ปิด: วันศุกร์ 8:00-17:00 วันอื่นๆ 9:00-16:30; ค่าตั๋ว: 10 Dhs) Bahia Palace มีความหมายว่า “ราชวังแห่งความวิโรจน์” เป็นวังที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ในพื้นที่ 2 เอเคอร์ ตั้งอยู่ในเมดิน่าไม่ห่างจาก Bab Agnaou มากนัก แต่ละห้องจะถูกตกแต่งด้วยลวดลายกระเบื้อง และงานแกะสลักที่ละเอียดอ่อน งดงามมากเลยทีเดียว
ในวัง Bahia Palace มีห้องที่ตกแต่งไว้ทั้งหมด 150 ห้อง
Day 2
วันนี้เราเดินเที่ยวด้านเหนือของเมือง แวะดูสวนหย่อมชื่อดัง Le Jardin Secret ที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมดีน่า หลังจากนั้นก็ไปนั่งพักกินอาหารเที่ยง ที่ร้าน de jardin ร้านนี้ ผมกล้าแนะนำเลยครับ บรรยากาศดีจริงๆ มีสวนหย่อมอยู่กลางร้าน ร่มรื่นมากๆ อาหารอร่อย และราคาเป็นกันเอง
พอบ่ายๆ ก็นั่งรถม้าออกไปเที่ยวนอกเมดินา เข้าไปเดินดู Majorelle Garden พอตกเย็นก็ออกมาเดินเล่น หาอะไรกินกันแถวย่าน Gueliz ซึ่งมีร้านค้าเล็กๆ ขายของเก๋ๆ ให้เดินดูกันมากมาย
1. Le Jardin Secret (เปิด-ปิด: ทุกวัน 9am-6:30pm; ค่าตั๋ว: ผู้ใหญ่ 30 Dhs, เด็กตำ่กว่า 6 ขวบเข้าฟรี) เป็นพื้นที่สวนขนาดปานกลาง ตั้งอยู่ในใจกลางเมดินา ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ซาเดียน (Saadian)
ช่วงศัตวรรศที่ 19 สถานที่นี้ถูกใช้เป็นจุดพบปะพูดคุยของนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในมาราเกช เพิ่งไม่นานมานี้เองถึงเปิดให้คนภายนอกได้เข้าชมได้
2. Majorelle Garden (รูปด้านล่าง; เปิด-ปิด: ทุกวัน 8:00-17:30; ค่าตั๋ว: 70 Dhs) เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ มีพื้นที่ทั้งหมด 2.5 เอเคอร์ ตั้งอยู่นอกรั้วเมดินา สวนแห่งนี้ออกแบบโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Jacque Majorelle ในปี 1924 เป็นระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งในช่วงนั้น โมร๊อกโกตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส
หลังจากเดินเที่ยว Majorelle Garden กันเสร็จเรียบร้อย ก็มาเดินเล่นย่าน Gueliz กันต่อ มีร้านค้าเล็กๆ ขายของเก๋ๆ มากมาย ย่านนี้เต็มไปด้วยคาเฟ่ ขายทั้งอาหารกินเล่น และอาหารสากล กับบรรยากาศที่แสนชิว น่านั่งกันทุกร้านเลย
Day 3
วันนี้ วันสุดท้ายของเราในมาราเกช เลยขอเป็นวันง่ายๆ เฉื่อยๆ เดินตลาด ซื้อของ นั่งจิบ mint tea ดูวิว ไม่เร่งรีบอะไรมาก ตอนเช้า เราเดินไปเที่ยวย่านโรงย้อมสีหนังสัตว์ (tannery) ของมาราเกช อาจจะไม่ใหญ่เท่าโรงย้อมของเมือง Fez แต่กลิ่นก็แรงไม่แพ้กันเลย
ถ้าเพื่อนๆ ต้องการเข้าไปดูโรงย้อมหนัง แนะนำให้ไปช่วงเช้านะครับ เพราะคนทำงานส่วนใหญ่เริ่มงานกันตั้งแต่เช้ามืด และเลิกงานกันตอนบ่ายๆ ถ้าไปแต่เช้าจะเห็นพนักงานทำงานด้วย
รอบๆ โรงย้อมก็มีมุมสวยๆ ให้มือกล้องที่อยากจะเก็บภาพ บรรยากาศดิบๆ ของมาราเกช ให้เห็นกัน
ตกเย็น เราเดินกลับไปหาอะไรทานกันที่ จตุรัส Jemaa el-Fnaa เสร็จแล้วก็ไปนั่งจิบชาดูวิวบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม Hôtel Restaurant Café de France — ถ้าเพื่อนๆ อยากมาเก็บภาพวิว 180 ของจตุรัส Jemaa el-Fnaa แนะนำให้เดินขึ้นมาชั้นบนสุดโรงแรมนี้ ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดตึกนึงในย่านนั้น
. . .
เพื่อนๆ ที่อยากอ่านเรื่องราวการเดินทาง ตลอด 2 อาทิตย์ ในโมร๊อคโก ของเราสามคน พ่อ แม่ ลูก ติดตามได้ที่นี่: Morocco Archives
แฟนเพจ: #manotat
Manotat
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 00.35 น.