ทริปนี้เกิดจากการสมัครวิ่งที่อำเภอปัว รายการ ALTRA TRAIL NAN100 ระยะ 15 กิโลเมตร เวลาเย็นวันพฤหัสบดีหลังเลิกงานผมรีบออกจากออฟฟิศกลับบ้านย่านสายไหม ฝ่ารถติดเพื่อไปขึ้นรถที่สถานีเดินรถนครชัยแอร์ ซ.วิภาวดี 19 เราถึงน่านเช้าวันศุกร์เหมารถสองเเถวแค่ครึ่งวันจาก บขส. ราคา 600 บาท บอกคนขับว่าพาไปไหนก็ได้ช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายให้ไปส่งที่สนามบินเพราะจองรถเช่าไว้
คุณลุงถามว่ากินข้าวเช้าไหม มีหรือจะปฎิเสธ ร้านวันดา จึงเป็นที่หมายของเราเช้านี้ เป็นร้านที่มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นเยอะพอควร จัดข้าวซอยไก่ไปอร่อยเลย
หลังจากอิ่มกันแล้วคุณลุงพามา วัดพระธาตุเขาน้อย ที่นี่สามารถมองเห็นเมืองน่านได้ทั้งเมือง ตอนเเรกตั้งใจจะมาดูเเสงเช้าที่นี่แต่ไม่ทัน ดูแสงสายไปพลางๆ :)
อ้าวๆ โดนจิ๋กโก๋หน้าวัด หาเรื่อง
หลังจากนั้นคุณลุงพามาอีกฝั่งนึงของเมืองเป็นวัดที่อยู่บนเนินเขานั่นคือ วัดพระธาตุแช่เเห้ง โดยคุณลุงบอกว่าพาไปที่สูงๆก่อนค่อยลงต่ำ 55+
พอดีวันที่ไปชาวบ้านมีงานทำบุญเหมือนจะทอดผ้าป่าหรืออะไรเนี่ยแหละ รำกลองยาววนไป
ที่นี่เท่ตรงที่ถอดรองเท้าช่องไหน จำกันให้ดีรับรองไม่ต้องหานาน แต่ถ้าโดนขโมยอันนี้ตัวใครตัวมันนะครับ
องค์พระบรมธาตุแช่แห้ง (บุทองจังโก้) โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองน่าน
หลังจากนั้นกลับเข้าเมืองมากันที่ วัดภูมินทร์ เรียกได้ว่าเป็นวัดที่ทุกคนรู้จักกันดีถ้ามาน่านไม่มาวัดภูมินทร์มันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง
ภายในมีภาพเขียนซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในวัดภูมินทร์ คือ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” เป็นภาพขนาดใกล้เคียงกับขนาดคนจริงของชายหนุ่มและหญิงสาวในชุดแต่งกายแบบพม่าหรือแบบไทยใหญ่ ในอิริยาบถยืนเคียงกัน ฝ่ายชายจับบ่าหญิงสาวและใช้มือป้องปากเหมือนกำลังกระซิบกระซาบถ้อยคำบางอย่างข้างๆ หู ซึ่งไม่มีใครทราบว่ากระซิบว่าอย่างไร แต่ด้วยสายตาของทั้งคู่นั้นมีแววกรุ้มกริ่มแฝงนัยบางอย่างที่น่าคาดเดาไปในทางโรแมนติก จนอาจารย์สมเจตน์ วิมลเกษม ปราญช์เมืองน่าน ได้แต่งคำกลอนอันสุดแสนโรแมนติกเป็นภาษาเหนือเพื่อบรรยายถ้อยคำกระซิบของปู่ม่านย่าม่านนี้ว่า
“คำฮักน้องกูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว
จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาขะลุ้ม
จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป
ก็เลยเอาไว้ในอกในใจ๋ตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา...”
ข้างๆกันก็เป็นอุโมงซุ้มต้นลีลาวดี อยู่ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน บริเวณใกล้เคียงกันแถวข่วงเมืองน่านก็มีวัดอีกหลายวัด สามารถเดินเล่นได้เพราะอยู่ไกล้กัน
มะไฟจีนโซดา เป็นเครื่องดื่มแนะนำของร้าน จริงๆหลายๆร้านที่น่านก็มีน้ำมะไฟจีนกันเกือบทุกร้าน
ที่น่านจะว่าไปมีคาเฟ่เยอะเหมือนกัน แต่ร้านนี้เรารีเเควสคุณลุงเอง work boxes เป็นร้านเล็กๆ วัยรุ่นน่านเค้านิยมมานั่งที่นี่กัน :) หลังจากนั้นก็จบทริปทัวร์ครึ่งวันตัวเมืองน่าน คุณลุงไปส่งเราที่สนามบิน จัดการรับรถเช่าเรียบร้อย พร้อนเดินทางไป อ.ปัว กันแล้ว แต่....
ก่อนออกนอกเมืองขอทิ้งท้ายมื้อเที่ยงกันที่นี่เสียก่อน ร้านเฮือนฮอม ช่วงที่ไปคนเเน่นร้านต้องรอคิว เนื่องจากคนเยอะมากอาหารอาจจะช้าไปนิดแต่ รสชาตินั้นอร่อยแบบอาหารเหนือแท้ๆ คือแบบเอออร่อยยอ่ะ หรือเพราะหิวก็ไม่แน่ใจ
หลังจากนั้นมุ่งหน้าไปปัวกันไปถึงก็มืดพอดี
เช้านี่เราตั้งใจจะขับรถโดยใช้เส้นทางเป็นวงกลม จากปัวไปบ่อเกลือใช้เส้นดอยภูคา ส่วนขากลับนั้นจะกลับเส้นสันติสุข เริ่มต้นกันที่ ปตท.ปัว
และนี่คือวิวหลังร้านกาแฟในปั๊ม คือเเค่นี้ก็ดีแล้วจริงๆไม่ต้องไปดูทุ่งนาที่ไหนแล้วก็ได้ ดูมันที่นี่แหละ 55+ รู้สึกเช้านี่มีพลังในการเดินทางขึ้นมาทันที
ระหว่างทางหิวอีก ก่อนขึ้นดอยภูคาเห็นร้านเพิงข้างทางเห็นหม้อแกงวางอยู่ เลยลองเเวะก็เจอขนมจีนน้ำเงี้ยว รสชาติคือใช้ได้เลยครับ ที่สำคัญคือเยอะมากกก คุณป้าตักให้เเบไม่หวงเส้นเลย ราคา 30 บาท!!! หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ระหว่างทางก็จะเจอพี่ๆ นักวิ่ง altra trail ระยะ 30, 50 และ 100 กิโล ซึ่งปล่อยตัวเมื่อช่วงเช้าของวัน ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นตาของเราที่ระยะ 15 กิโล
ขับมาสักพักหูเริ่มอื้อเเสดงว่ามาถูกทางแล้วครับ ถนนลอยฟ้า ดอยภูคา กิจกรรมที่นี่ไม่มีไรมาก จอดรถ เดินหรือนั่งบนถนน ถ่ายรูป กลับขึ้นรถ ไปต่อ :)
จากสภาพนักวิ่งแต่ละท่านนี่ เหมือนไปตกเขากันมาจากไหน คิดในใจ ตรูจะรอดไหมนี่พรุ่งนี้!!!
ต้นชมพูภูคา มีอยู่ต้นเดียวริมถนน ถ้าไม่มีป้ายบอกนี่ บอกเลยไม่รู้หรอก 55+
เลยมาอีกหน่อยจะมีจุดเเวะพักนั่นคือ จุดชมวิว 1715 อุทยานแห่งชาติดอยภูคา คือตรงนี้อากาศดีมากกกก เรียกได้ว่าเป็นจุดที่เย็นที่สุดในน่านเลยก็ว่าได้
น่านกรีนๆ จริงๆหน้าฝนน่าจะชุ่มฉ่ำกว่า ตอนนี้มันแห้งๆไปหน่อย
และเราก็มาถึงอำเภอบ่อเกลือ ซึ่งช่วงนี้เข้าพรรษาชาวบ้านจะไม่ต้มเกลือนะครับ ยังไงแล้วถ้าอยากมาเห็นเค้าต้มเกลือกันก็ตรวจสอบเวลาก่อนหรือหลังเข้าพรรษา ได้เห็นแน่นอน
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการต้มเกลือแต่เค้าก็อนุญาตให้เค้าไปถ่ายรูปเตาต้มได้นะครับ
นี่คือบ่อเกลือโบราณ อายุ 800 ปี ชาวบ้านจะตักน้ำจากบ่อเกลือ เพื่อนำไปต้มทำเกลือสินเธาว์
บริเวณนี่ก็มีร้านกาแฟอยู่หลายร้านเลือกได้ตามใจชอบ
มาถึงอีกสถานที่หนึ่ง อุ่นไอมาง ที่เป็นทั้งที่พักและร้านกาแฟริมแม่น้ำมาง
บรรยากาศร้านดูสบายๆ มานั่งเล่นจิบกาแฟ หรือจะเอนหลังก็ยังได้
ที่นี่ดริปกาแฟโชว์กันหน้าร้านเลยนะ
เบื้องหน้าร้านเป็นลำธารที่มีฉากหลังเป็นภูเขา นั่งเล่นที่นี่ทั้งวันก็ไม่เบื่อ
ขากลับผมใช้เส้นทางบ่อเกลือ-สันติสุข วิวทุ่งนาสองข้างทางทำให้เราต้องจอดรถอยู่เรื่อยๆ
ทุ่งนาช่วงนี้ชาวบ้านเริ่มเก็บเกี่ยวกันแล้ว รวงข้าวเริ่มเป็นสีทองตัดกับสีเขียวบางทุ่งที่ยังไม่สุกดี ถ่ายรูปกันเพลินไปเลย
ช่วงไกล้ถึงอำเภอสันติสุข บังเอิญสังเกตุเห็นถนนเป็นเลขสาม นี่เเค่ถนนยังสวยเลย หลังจากนั้นเราไปรับ BIB สำหรับวิ่งวันพรุ่งนี้ แล้วเข้าที่ หินผาโฮมสเตย์
พร้อมลุย!!!
เส้นทางวิ่งลัดเลาะไปตามทุ่งนา เข้าป่าบ้าง ผ่านชุมชน และยังต้องปีนบันไดตรงน้ำตกอีกด้วย เหนื่อยแต่ก็มันส์ดี
จากนั้นช่วงบ่ายๆ เรามาฝากท้องกันที่ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ
ที่นี่เมนูส่วนใหญ่จะใช้เห็คในการทำอาหาร แต่เมนูเด็ดเลยคือ พิซซ่าเห็ด ใส่มาทุกเห็ด รสชาตินี่อร่อยเลย หลังจากนั้นฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาร วันนี้เราเลยไม่มีกิจกรรมไดๆทั้งสิ้น มื้อเย็นสั่งขันโตกจากโฮมสเตย์เพราะขี้เกียจออกไปข้างนอก
เช้านี้เราตื่นมาพบกับสายหมอกบางๆที่ปกคลุมดอยภูคา ที่ซึ่งเมื่อวานเราขับรถข้ามไปบ่อเกลือ
เดิยสำรวจรอบบ้าน ทุ่งนายังมีน้ำค้างจากฝนเมื่อคืนอยู่เลย
สักพักเจอเพื่อนใหม่ เพื่อนชวนเดินเล่นบนคันนา แต่เพื่อนไม่พูดด้วยเลย :)
เเละนี่บ่านของเรา จะเป็นบ้านเป็นหลังอยู่ห่างจากหินผาโฮมสเตย์ประมาณ 1 กิโล ราคาคืนละ 2500 ถ้ามากันเป็นเเก๊งค์นี่คุ้มมาก จองผ่านหินผาโฮมสเตย์ได้เลย ชื่อบ้านว่า ตะวันหมอก ดีสุดๆไปเลย
หลังจากเช็คเอ้าเเล้ววันนี้เราจะเเวะเที่ยวไปเรื่อยระหว่างทางกลับเข้าเมือง วัดภูเก็ต เป็นที่แรกที่นึกออก
จุดเด่นของวัดนี้ตือวิวหลังวัด ที่รายล้อมไปด้วยเทือกเขาดอยภูคา และเบื่องล่างก็เป็นทุ่งนาอันกว้างใหญ่
เดินเล่นลงมาถ่ายรูปในนากันบ้าง
ที่ต่อมาคือ กาแฟบ้านไทลื้อ ข้างๆกันยังมีร้านผ้าไหม ลำดวนผ้าทอ เค้าจะตากผ้าใว้ตรงสะพานไม้ ทำให้ท้องนาที่นี่มีสีสันที่น่าสนใจ
กาแฟแบบชาวบ้านราคาน่ารัก แก้วละ 30 บาท หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
บรรยากาศโดยรอบของร้าน หลังจากนั้นมุ่งตรงเข้าเมืองกันครับ
มาถึงในเมืองปุ๊บ กินปั๊ม เฮือนภูคา ร้านอาหารพื้นเมืองที่ตกแต่งร้านได้น่ารักมาก
เมนูเด็ดที่นี่มีหลายอย่าง แต่ที่ชอบมากสุดคือ ซี่โครงทอดมะเเขว่น มะเเขว่นเป็นพืชสมุนไพร ผลและใบใช้เป็นเครื่องเทศชูรสอาหาร พบแต่ที่จังหวัดน่าน รสชาติแบบไม่เคยกินมาก่อนแต่อร่อยมากกก
หลังจากนั้นเรามาหาของหวานล้างปากกันที่ ขนมหวานป้านิ่ม ตอนนี้ป้าแกย้ายร้านมาไกลหน่อย แต่ผู้คนยังเยอะเหมือนเดิม ที่นี่ผมแนะนำไอติมบัวลอย คือดีเลย ดีที่สุด :)
อิ่มขนมหวานเเล้วเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อย ได้เวลาเดินหาของกินตอนเย็นกันที่ กาดข่วงน่าน ซึ่งอยู่ตรงถนนข้างวัดภูมินทร์นั่นแหละ
ทุกศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ที่นี่จะคราคร่ำไปด้วยผูคน หาเลือกซื้อของฝากกันที่นี่ได้เลย
เลือกซื้ออาหารกันแล้วไม่ต้องห่วงว่าจะต้องเอากลับไปกินที่โรงแรม สามารถมานั่งกินที่โต๊ะขันโตกที่ทางตลาดจัดไว้ให้ กินเสร็จก็เก็บไปทิ้งคนอื่นจะได้มาใช้ต่อ เป็นเมืองที่น่ารักมาก จากนั้นกลับโรงแรม
อาหารเช้าของ โรงแรมศรีนวลลอดจ์ ให้มาเป็นเซ็ตปิ่นโตมีให้เลือกสองแบบ จะเป็นอาหารภาคกลาง กับอาหารเหนือ นั่งกินข้าวเช้าฟังประกาศเสียงตามสายเป็นภาษากำเมืองจากที่ไหนสักแห่ง ลำแต๊ๆเจ้าาา
หลังจากเช็คเอ้าท์โรงแรม คืนรถเรียบร้อย เราก็พร้อมกลับ กทม กันเเล้ว
แล้วพบกันใหม่ นะน่าน :)
JACKNATWUTH
วันพฤหัสที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.58 น.