ถไฟกำลังวิ่งขโยกไปบนรางที่มืดมิด จุดหมายปลายทางคือจังหวัดอุบลราชธานี ที่ๆปลายสายรถไฟไปสิ้นสุดที่นั่น คนบนรถไฟชั้นสามราคาถูกแออัดยัดเยียด เบียดเสียดกันอยู่บนขบวนรถไฟ ยังดีที่อากาศในช่วงปลายฝนต้นหนาวทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้นั่งรถปรับอากาศ ผมนั่งเบียดกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่หัวโงนไปเงนมาเพราะหลับไม่รู้เรื่อง บนที่นั่งไม้แข็งๆที่ตอนนี้เบียดกันนั่งสามคนเข้าไปแล้ว อะไรหนอดลใจให้ผมเลือกนั่งรถไฟที่ราคาตั๋วชั้นสาม เพราะจะว่าไปเงินในกระเป๋าก็มากพอที่จะทำให้ผมซื้อตั๋วนอนชั้นหนึ่งแบบ วีไอพี ได้สบายๆ อาจเป็นความกระสันอยากจะผจญภัยกระมัง ผมควักสมุดบันทึกการเดินทางมานั่งเขียนบันทึกเพราะใจหนึ่งหลับไม่ลง อาจจะด้วยเพราะตื่นเต้นหรืออึดอัดก็ไม่อาจแน่ชัด ก่อนหน้านี้แฟนสาวของผมมาส่งที่สถานีรถไฟ ซื้อตั๋วรถไฟไปอุบลด้วยเงินเพียง 169 บาท เรานั่งรอรถที่ช้ากว่ากำหนด 1 ชั่วโมงเต็มๆ ช่างสมกับเป็น รฟท. เสียจริงๆ ผมแบกเป้ใบโตพร้อมสัมภาระข้างใน และจุดหมายปลายทางนั้นก็ไม่ใกล้ไม่ไกล นั่นคือเมืองปากเซ ประเทศลาว คิดแล้วก็ตื่นเต้นไม่หายเพราะนี่คือทริปการเดินทางแบบแบ็คแพ็ค เพียงลำพัง ไม่มีเพื่อน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีเพียงสองมือ สองเท้าและสติปัญญาเท่าที่ตัวเองมี ผจญภัยไปยังดินแดนที่ไม่เคยไป ได้ยินว่าที่ลาวเองนั้นก็มีด้านมืด แต่ผมเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง และสุดท้ายก็พาตัวเอง ออกเดินทางมาอยู่บนโบกี้รถไฟ ในตอนนี้แล้ว....

ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วก่อนก้าวเท้าขึ้นรถไฟ ทันทีที่ถึงสถานีรถไฟ ผมกับแฟนรีบเดินไปซื้อตั๋วรถไฟชั้นสาม ราคา 168 บาท ตั๋วรถไฟราคาถูกแสนถูก นี่ถ้าเป็นช่วงรัฐบาลก่อนหน้านี้ ผมคงได้นั่งรถไฟฟรีไปแล้วล่ะ แต่ ณ ตอนนี้ รัฐบาลคงแบกรับไม่ไหว แต่ก็ถือว่าเป็นตั๋วรถไฟที่ราคาถูก
"มีรถไปอุบลเที่ยวไหนบ้างครับ" ผมเอ่ยปากถามเจ้าหน้าที่ขายตั๋วที่เป็นผู้หญิง ดูเธอเป็นผู้หญิงมีอายุ หน้าตาไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะนี่มันดึกมากแล้วและเธออาจจะต้องเข้าเวรดึก ซึ่งว่ากันจริงเวลานี้ควรเป็นเวลาพักผ่อนของทุกคน
"มีเที่ยวเที่ยงคืนยี่สิบสาม ตีสองก็มีนะ แต่เหมือนจะเต็มแล้ว มีห้าทุ่มที่ยังว่างอยู่แต่เป็นรถด่วนพิเศษนะ ราคาเจ็ดร้อยบาท ไปมั้ยคะ?" เธอตอบ
"งั้นขอรอบเที่ยงคืนยี่สิบสามครับ"
"เที่ยงคืนยี่สิบสามเหลือที่นั่งชั้นสามที่นั่งเดียวนะ คนเยอะหน่อยนะ" เธอเน้นตรงคำว่าคนจะเยอะหน่อย นั่นไง เธอเตือนผมแล้ว
"เอารอบนี้แหละครับ ไม่เป็นไร".....ผมรับตั๋วมา ดูเหมือนเธอจะเชียร์ให้ผมนั่งตู้ vip มากกว่า แต่ผมไม่รับข้อเสนอ เดี๋ยวก็รู้ว่านรกมีจริง และแล้วก็เป็นไปตามคาด.....เสียงประกาศดังมาจากลำโพง รถไฟล่าช้าไปหนึ่งชั่วโมง เราต้องนั่งถ่างตารอในสถานีรถไฟอีกหนึ่งชั่วโมงเต็ม ยังดีที่มีแฟนมาส่ง ไม่งั้นผมคงเหงาแย่ ท่ามกลางอากาศที่ค่อยๆเย็นลง หัวใจที่กังวลก็ค่อยๆคลายความกังวล เพราะคนรักที่มาส่งข้างๆ ที่เป็นกำลังใจให้ในทุกยาม นานอีกสองสามชั่วโมง ก็รอได้....

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถด่วนขบวนที่เรารอก็มาถึง ผมบอกลาแฟนแล้วรีบแบกกระเป๋าใบโต วิ่งขึ้นบนรถไฟในตู้ชั้นสาม ที่บัดนี้แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คน ที่นั่งทุกที่นั่งเต็ม ผมพยายามเดินหาที่นั่งแต่ก็ไม่มีสักที่ให้พอได้หย่อนกายลง จึงต้องยืนอยู่อย่างนั้น ไม่นานรถไฟก็เคลื่อนตัวออกจากชานชาลา...จู่ๆก็มีเสียงสวรรค์มาโปรด
"หนุ่มๆ นั่งตรงนั้นสิ ขยับๆเบียดๆกันหน่อยแบ่งๆกัน" คุณป้าที่แบกสัมภาระมาบนรถรุงรังชี้มือไปที่ที่นั่งที่บัดนี้ มีชายสองคนนั่งอยู่ คนนึงนั่งหลับอยู่ริมหน้าต่าง อีกคนเป็นเด็กหนุ่มที่เหมือนจะรู้งาน รีบขยับให้ผมได้มีโอกาสทรุดตัวลงนั่ง บรรยากาศของรถไฟชั้นสาม มันมีทั้งมุมมองของการสู้ชีวิต และน้ำใจ ผมยิ้มให้ขอบคุณเล็กน้อย เอาล่ะ ได้เวลาพักแล้ว แต่ก็คงนอนไม่หลับ การเล่นโทรศัพท์จึงเป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดที่ดีที่สุด ผมแอบเอามาร์ชเมโล่ใส่กระเป๋าติดมาด้วย เวลาที่หิวหรือรู้สึกเพลียก็จะหยิบมันขึ้นมากิน เป็นทริคเล็กๆน้อยๆสำหรับนักเดินทาง กองทัพ ต้องเดินด้วยของหวาน.....

เวลาตีสาม รถไฟวิ่งไปหยุดยังสถานีสถานีหนึ่ง ผู้คนทยอยลงจากรถ ผมจึงได้ขยับขยายที่นั่งให้กว้างขึ้น สบายขึ้น มีแม่ค้าขึ้นมาเดินขายของบนรถไฟกันขวักไขว่ ทั้งน้ำดื่ม กาแฟ และที่ดูจะสะดุดตาผมมากที่สุดก็คือ ไก่ย่าง....

แม่ค้าหอบหิ้วถาดที่บรรจุไก่ย่างเต็มถาด ปากก็เชื้อเชิญลูกค้า "ไก่ย่างกันทรารมณ์์จ้า ๆ " ผมรู้ทันที่ ที่นี่คือสถานีกันทรารมณ์นี่เอง ไม่รอช้า รีบสั่งไก่ย่างหนึ่งไม้ มาประเดิมการเดินทาง ทันที่ที่ไก่ย่างไม้ละ 30 บาท เข้าไปสัมผัสลิ้นในปาก พลางคิดในใจ หมักไก่หอมดีนะ แต่รสชาติเค็มไปหน่อย....

แม่ค้าขายไก่ย่างเดินขายไก่ย่างกันขวักไขว่ และนี่คงเป็นภาพชีวิตบนรถไฟชั้นสาม รถไฟชั้นประหยัด เพื่อคนรากหญ้าได้มีโอกาสเดินทาง....

แสงแรก ที่สถานีรถไฟกันทรารมณ์

อากาศที่หนาวเย็นของช่วงเช้ามืด เริ่มทำให้ผมผล็อยหลับลงไปบนเบาะนั่งที่ย้ายเปลี่ยนมาจากที่นั่งแข็งๆเป็นเบาะนุ่มๆ เพราะทนกลิ่นกระเทียมที่แม่ค้าหอบขึ้นมาบนรถไฟแล้วนั่งข้างๆไม่ไหว มารู้ตัวอีกทีก็เผลองีบบนที่นั่งปรับเอนได้ เป็นงีบแรกที่ได้หลับ ในระหว่างการเดินทาง.... แต่หลับได้ไม่นาน รถไฟก็จอดสนิทนิ่ง ความมืดทำให้ผมไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เสียงลำโพงดังประกาศมา ที่นี่สถานีอุบลราชธานี....

ถึงไวกว่าที่คิดแฮะ....

ลงจากรถไฟด้วยอาการงัวเงีย ภาพของผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ บ้างแบกสัมภาระ บ้างกึ่งวิ่งกึ่งเดิน มีคนที่ทำอาชีพรถเหมามายืนรอเราหน้าสถานีรถไฟเต็มไปหมด จนไม่รู้ว่าจะไปคันไหน มันเคว้งคว้าง ไม่นานนักก็มีป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผมว่าไปไหน แต่คนที่เดินนำไปก่อน กลับส่งซิกด้วยการส่ายหน้าเบาๆ ผมเข้าใจในทันทีเพราะเคยอ่านรีวิวมาก่อน.....รถเหมาบางคันจะมาชักชวนให้เราขึ้นรถในราคาที่ค่อนข้างแพง ต้องขอบคุณที่ส่งสัญญาณให้ไหวตัวทัน ผมปฏิเสธทุกคน แต่แล้วก็มีวินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งเดินมาถาม ผมบอกไปบขส.อุบล "120" คุณลุงวินตอบมา พอจ่ายไหว....ผมจึงตกลง รถมอเตอร์ไซค์วินวิ่งบรรทุกผมที่มีสัมภาระใบโต เข้าตัวเมืองอุบลราชธานี ที่ห่างจากสถานีรถไฟราวๆ 20กิโลเมตร ดูบ้านเมืองจังหวัดอุบลราชธานีจะเจริญมาก ถนนราบเรียบไร้หลุมบ่อ บ้านเมืองดูสะอาดสะอ้าน ไม่นานก็ถึง ผมจ่ายเงินแล้วรีบวิ่งไปซื้อตั๋วรถตู้ไปด่านช่องเม็ก ด้วยราคา 100 บาท แล้วรีบขึ้นรถ ไม่กี่อึดใจ รถตู้ก็วิ่งออกไปตามเส้นทาง มุ่งหน้าสู่ด่านช่องเม็ก ถึงตอนนี้ ผมก็งีบหลับบนรถไปด้วยความเพลีย

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถวิ่งถึงด่านช่องเม็ก อาคารสีม่วงทรงประหลาดเผยโฉมหน้าให้เห็นเด่นเป็นสง่า อยู่ท่ามกลางถนนที่มีร่มเงาน้อยเหลือเกิน ผมไม่รอช้า รีบวิ่งไปทำเรื่องขอผ่านแดน ระหว่างนั้นจะมีพี่น้องชาวลาว เริ่มเข้ามาทำความรู้จักขายซิมการ์ด ในราคา 100 บาท อยู่ในลาวแล้วสามารถใช้อินเตอร์เน็ต 4g ได้เลย 15 วัน ผมเองที่อยากรู้ว่าสัญญาณ 4g ที่ลาวจะแรงขนาดไหน ก็ไม่ลังเลที่จะซื้อ พร้อมกับแลกเงินบาทไทยเป็นเงินกีบจำนวนหนึ่ง ชายหนุ่มลาวดูคล่องแคล่วว่องไวและชำนาญกับเรื่องโทรศัพท์เป็นพิเศษ แถมหน้าตายิ้มแย้มอัธยาศัยดี ไม่แปลกเลยที่จะตกหลุมพรางเป็นเหยื่อการค้าไปโดยปริยาย แต่เชื่อเถอะ ว่าสิ่งที่ซื้อไป คุ้มค่าสำหรับการเดินทาง และเป็นเครื่องอุ่นใจ ในดินแดนที่ไม่เคยไปมาก่อนแน่นอน


เจ้าหน้าที่ประจำที่ด่านช่องเม็กดูเอกสารและปั๊มตราประทับของฝั่งไทยให้แล้วยื่นเอกสารให้ผม ผมรับมาและเดินทะลุออกมาอีกด้าน มันเป็นลานโล่งๆที่มีราวเหล็กกั้นให้เราเดินไปตามทางนั่น แล้วเราก็มองเห็นอุโมงค์ที่เราจะต้องลอดเผื่อผ่านพรหมแดนไทย ไปยังแผ่นดินลาว ลักษณะมันคล้ายหลุมหลบภัยมากกว่าที่จะเป็นเส้นแบ่งเขตแดนไทยลาว มีพ่อค้าแม่ค้าที่เดินเข้าออกอยู่สองสามคนไม่ได้มากมายอะไร ผมเดินเข้าไปด้วยความตื่นเต้น อีกแค่ก้าวเดียว ก็จะไม่ใช่แผ่นดินไทยที่เราเคยอยู่แล้ว....

แล้วเท้าของผมก็แตะ ที่แผ่นดินลาว ที่ที่ผืนดินแดง ดูแห้งแล้งกันดาร....

บ๊ายบายประเทศไทย อย่างน้อยก็ชั่วครู่หนึ่ง

ทันทีที่ก้าวข้ามชานแดนไทยไปถึงประเทศลาว ต้องรีบไปที่ด่านวังเต่าฝั่งลาว เพื่อไปปั๊มตราประทับเข้าเมือง เพราะหากไม่ปั๊ม จะถือว่าเรากลายเป็นคนเถื่อนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย และต้องโดนค่าปรับเป็นเงิน 100 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,000 บาทไทย ขั้นตอนนี้จะต้องระมัดระวังและตรวจตราให้ละเอียดถี่ถ้วนมากๆ อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่บ้านของเรา อะไรๆก็เกิดขึ้นได้หากไม่รอบคอบ เจ้าหน้าที่ลาวประทับตรา เราต้องเสียค่าเหยียบแผ่นดินอีก 100 บาท

หลังจากตรวจตราดีแล้ว ผมก็มองหารถตู้ เพื่อเดินทาง เข้าไปยังเมืองปากเซ คันที่ผมเลือก มีผู้โดยสารนั่งอยู่ไม่มาก เป็นผู้หญิงมีอายุเกือบทั้งหมด ผมแอบฟังภาษาลาวที่ไม่คุ้นเคยแม้ตนเองจะเป็นชาวอีสานก็ตาม ภาษามันแปร่งๆไปไม่เหมือนภาษาอีสานซะทีเดียว เหมือนภาษาอีสาน ปนสำเนียงแบบเขมร และพูดเร็วๆรัวๆเหมือนคนใต้ ฟังแล้วปวดเฮดซะเหลือเกิน......

เรื่องราวส่วนใหญ่ที่โชเฟอร์กับคนบนรถตู้คุยกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่อง หวย หวย หวย และหวย ทั้งหวยไทย และหวยลาว จะว่าไป ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ รายได้หลักที่ทำรายได้ให้รัฐส่วนหนึ่ง มีเรื่องของหวย ประกอบอยู่ในนั้นอยู่เป็นจำนวนหนึ่งแน่นอน โดยเฉพาะประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ที่ประชากรส่วนใหญ่ยากจนข้นแค้น ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาทั้งหวยรัฐทั้งไทยและลาวและหวยเถื่อน จึงไม่แปลกใจที่บทสนทนาส่วนใหญ่บนรถ จะพูดกันถึงเพียงแต่เรื่องเงินทอง ปากท้อง และหวย แอบคิดในใจอยู่เหมือนกันว่า หากปากท้องของประชาชนลุ่มแม่น้ำโขงกินดีอยู่ดี พวกเขายังจะต้องพึ่งพาหวยกันอยู่หรือไม่....

ไม่นานนัก สะพานลาว ญี่ปุ่น สีขาวยาวทอดข้ามแม่น้ำโขง ก็เผยโฉมให้เราเห็น

สะบายดีปากเซ เรามาเยือนเจ้าแล้ว

ทันทีที่ลงจากรถตู้ มีผู้คนรุมเข้ามาห้อมล้อมถามเราด้วยภาษาลาวว่่าจะไปไหน นั่งรถเหมามั้ย จะเหมารถเที่ยวไหม? อยากจะบอกว่า ใจเย็นๆโยม.....พึ่งจะก้าวเท้าลงจากรถเอง ผมบอกปัดปฏิเสธไปหมดทุกคน เพราะใจอยากเดินเที่ยวชมเมืองปากเซ ไหนๆก็มาถึงแล้ว ซึ่งคนที่นี่ก็น่ารัก ถ้าเราไม่ไป ก็ไม่ตื๊อจนน่ารำคาญ ก่อนอื่นต้องเช็คสัญญาณโทรศัพท์ก่อน....โอ้โห สัญญาณชัดแจ๋ว ไวปรู๊ดปร๊าดเหมือนเล่นด้วย wifi ชัดกว่าค่ายสีส้มที่เมืองไทยอีกแหนะ.....

แต่ปัญหาก็เกิดขึ้น ผมเปิดระบบจีพีเอสนำทาง ตั้งพิกัดไปที่โรงแรมลานคำ ที่ที่ผมตั้งใจไปพักที่นั่น ระบบแผนที่ทำงานปกติ ทว่า สัญญาณgps ไม่สามารถนำทางได้.....นี่แหละ แดนสนธยา คงต้องเดินตามแผนที่ในกูเกิ้ลแมพเอานี่แหละ

ระหว่างเดิน ผมฉลาดพอที่จะไม่ยกกล้องมาถ่ายอาคารบ้านเรือน เพราะเคยได้ยินข่าวมาบ้าง ว่ามีคนไทยไปเที่ยวแล้วดันไปถ่ายภาพสถานที่ทางทหาร โดนจับขังคุกลาวข้อหาเป็นสายลับ....ฟังดูโคตรเท่หยั่งกะหนังเจมส์บอนด์

การถ่ายภาพในประเทศลาวต้องระวังมากๆไม่ใช่เราจะถ่ายอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าก็ได้ โดยเฉพาะสถานที่ทางทหารและสถานที่ราชการ กฏหมายก็คือกฏหมาย เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม อย่าเสี่ยงเลย เพราะไม่รู้ว่าคุกลาวมันหน้าตาเป็นอย่างไร และไม่อยากรู้ด้วย


ผมเดินตากแดดชมบ้านเรือนด้วยตาเปล่า ก็รู้สึกว่าบ้านเมืองมีลักษณะคล้ายเมืองไทยไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกอุ่นใจเหมือนอยู่บ้านเรา เดินได้ประมาณสองกิโลเมตร ก็ถึงโรงแรมลานคำ ผมรีบเช็คอินทันที ทันทีทีถึงห้องก็สบายใจ ห้องที่โรมแรมลานคำดูสะอาดสะอ้าน แม้จะเป็นห้องพัดลมราคาถูก เพียง 250 บาท โชคดีที่ช่วงนี้ปลายฝนต้นหนาว อากาศเลยเย็นเป็นพิเศษ ห้องพักที่พักนั้นอยู่ด้านบนสุด มีระเบียงมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบๆเมืองปากเซ ถึงเวลานี้ ต้องเอนหลังพักเหนื่อยสักหน่อยแล้ว


อาหารมื้อแรกที่ปากเซ เป็นเฝอง่ายๆที่ขึ้นชื่อของเมือง "เฝอลานคำ" น้ำซุปกระดูกหมูหวานกลมกล่อม กับเส้นที่เหนียวนุ่ม มีเนื้อวัวแน่นๆเน้นๆ โรยพริกลงไปพอให้ไม่เลี่ยน แต่ที่ดูจะอร่อยมากๆคือน้ำจิ้มผัก ที่ดูคล้ายน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะที่มีถั่วลิสงเป็นส่วนผสม แต่อร่อยกลมกล่อมกว่า เสิร์ฟมาคู่ผักสดและน้ำชาในแก้ว ตอนหิวๆนี่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

ตกบ่าย ผมก้าวเท้าไปตามถนนในเมืองปากเซ เพื่อไปยังร้านเช่ารถ ร้านเช่ารถในเมืองปากเซดูจะเปิดแข่งกันมากเป็นพิเศษ มีตัวเลือกให้นักท่องเที่ยวหลากหลาย อาจเป็นเพราะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังเมืองใหญ่แห่งลาวใต้นี้คึกคัก ธุรกิจเช่ารถจึงเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด บางร้านเป็นร้านของคนลาว บางร้านเป็นร้านของคนไทย และบางร้านเจ้าของเป็นฝรั่ง เคยได้ยินมาว่า คุณไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในลาวได้ เพราะถือเป็นการเสียดินแดนให้ชาติอื่น แต่ทว่า คุณสามารถเช่ามันเพื่อทำธุรกิจได้ หรือถ้าอยากได้จริงๆ ก็ต้องแต่งงานกับคนลาวเท่านั้น จึงสามารถครอบครองกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินลาวได้....

ผมเช่ารถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าคลิกสีแดง ในราคาสองวัน 440 บาท เอกสารที่จำเป็นต้องใช้คือพาสปอร์ตตัวจริงและเงิน รอยยิ้มของเจ้าของร้านและอัธยาศัยไมตรี คือรอยยิ้มแรกที่ได้รับเมื่อมาถึงปากเซ

และแล้วก็ถึงเวลาออกท่องเที่ยวตามแผน และที่แรกที่เราจะไป คือ วัดพูสะเหล่า

ขับรถย้อนกลับมาทางสะพานมิตรภาพ ลาว ญี่ปุ่น ก็มาถึงเชิงเขาเตี้ยๆ ที่มองดูไม่สูงมาก และที่นี่แหละ คือวัดพูสะเหล่า ผู้คนที่เชิงตีนเขานี้เป็นวัยหนุ่มสาว ที่กำลังออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ประชาชนชาวปากเซดูจะค่อนข้างรักสุขภาพ เพราะเราเห็นคนมาวิ่งกันเต็มไปหมด เป็นระยะทางไกลมากเลยทีเดียว ผมไม่รอช้า รีบสาวเท้าเดินขึ้นไปบนขั้นบันได ที่มีรูปปั้นพยานาคตั้งเด่นหน้าทางเข้า จริงๆเรามองว่ามันเตี้ย แต่ทว่า ทางขึ้นเขานั้น ชันจนต้องใช้กำลังมากกว่าปกติ


ระหว่างทางหันหลังกลับไปมอง ทำไมเราคิดว่ามันเตี้ยนะ ทั้งที่มองดูมันแล้ว ภูเขาลูกนี้ไม่เตี้ยเอาซะเลย พระอาทิตย์ยามเย็นที่สาดแสงทอดลงมายังภูเขา สีส้มของต้นหญ้าแห้งสะท้อนออกเป็นแสงสีส้มดูอบอุ่น อีกไม่นานอาทิตย์ก็ใกล้จะลับขอบฟ้า

ในที่สุดก็มาถึง ยอดเขาพูสะเหล่า ที่เป็นที่ตั้งประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ หันหน้าเข้าหาเมืองปากเซ

ข้างบนมีพระพุทธรูปปางต่างๆวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แสงสีทองของแดดยามเย็นส่องลงมายังองค์พระ สว่างสไวดูจับใจในความรู้สึ


พระพุทธรูปที่วางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ดูแล้วก็สัมผัสได้ถึงความเข้มขลัง


องค์พระใหญ่หันหน้าเข้าเมืองปากเซ มีแม่น้ำโขงเป็นฉากคั่นกลาง ระหว่างองค์พระและเมืองปากเซ มีผู้คนมาเดินเที่ยวบนยอดเขานี้ ทั้งคนท้องถิ่นที่มาออกกำลังกาย และนักท่องเที่ยวชาวลาวจากเมืองอื่น รวมทั้งฝรั่งชาวต่างชาติ อาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ผมอยากดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเย็นนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด มันคือความสบายใจเหมือนยกเรื่องหนักๆออกจากชีวิต โดยเฉพาะเรื่องงานที่เมืองไทย นี่แหละถึงบอกว่า ยามชีวิตมีปัญหา ให้ลองออกเดินทางไปค้นหาคำตอบบางอย่าง...


สะพานที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นคือ สะพานมิตรภาพ ลาว ญี่ปุ่น พาดผ่านแม่น้ำโขงที่หล่อเลี้ยงคนในภูมิภาคนี้ สะพานนี้สร้างได้ไม่นาน เพื่อเป็นอนุสรณ์ของมิตรภาพที่ญี่ปุ่นมีให้กับลาว


ได้เวลาลงจากเขา เข้าเมืองปากเซไปพักผ่อนแล้ว อาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า บรรยากาศที่เมืองแห่งนี้ช่างดูเชื่องช้าแต่เรียบง่ายและสงบเงียบ แม้มีผู้คนอยู่แต่บางครั้งก็ดูเหงาๆ หรืออาจจะเป็นเพราะความเหงาที่ต้องเดินทางผจญภัยเพียงลำพังของตัวผมเองก็ไม่อาจทราบได้ สัญญาว่าครั้งหน้า จะพาคนที่รัก มาเยือนที่แห่งนี้อีกครั้ง.....

ตกค่ำ ร้านอาหารที่มีผู้คนขวักไขว่ ทั้งชาวลาวและชาวต่างชาติ พนักงานเสิร์ฟใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก มีเมนูอาหารตั้งอยู่หน้าร้าน ร้านตั้งอยู่ริมถนนท่ามกลางสี่แยกไฟแดงมองเห็นได้ชัด ผมเดินเข้าไปด้วยความหิวโหย ในร้านคลาคล่ำไปด้วยชาวต่างชาติตะวันตกผิวขาว ที่ส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าสบายๆ รองเท้าสบายๆสไตล์นักท่องเที่ยวแบบแบคแพคเกอร์ ผมหันไปยิ้มให้บางคน มีรอยยิ้มจางๆตอบกลับมา จะว่าไปการไปหาเพื่อนเอาข้างหน้า ก็ยากอยู่พอตัว เพราะไม่ได้แปลว่าเราจะเข้าไปตีสนิทกับใครก็ได้ เอาล่ะ กินข้าวกินปลากันดีกว่า

"ข้าวปุ้นซาว" นี่คือชื่อเรียกของอาหารมื้อนี้ มันคือขนมจีน ในน้ำยาที่เป็นน้ำซุป เจือด้วยน้ำพริกเผาลอยด้านบนจางๆ เราเป็นคนไทยที่มาจากเมืองไทยย่อมคุ้นชินกับขนมจีน แต่ทว่ารสชาติของ ข้าวปุ้นซาว นั้นต่างไป มันอร่อยและกลมกล่อมกว่ามาก อาจเป็นเพราะน้ำซุปที่เคี่ยวนานมากกว่าปกติ ชามนี้หมดไปสองหมื่นกีบ หรือเท่ากับแปดสิบบาทไทย สังเกตว่าร้านอาหารทุกร้าน จะต้องเสิร์ฟน้ำชามาให้ เหมือนเป็นธรรมเนียม เป็นมารยาท ที่ไปกินอาหารร้านไหน ก็จะต้องมีน้ำชาไว้คอยบริการลูกค้า

เมื่อท้องอิ่มก็ได้เวลาเดินเล่น กลับห้องพัก ผมเดินไปตามท้องถนนที่มีรถราวิ่งอยู่บ้างแต่ไม่ได้มากมาย หนึ่งทุ่มสองทุ่มที่นี่เงียบเหงาเหมือนห้าทุ่มที่เมืองไทย ร้านรวงต่างๆเริ่มปิดกันบ้างแล้ว ที่นี่ไม่มีเซเว่นอีเลเว่นหรอกนะครับ ไม่มีร้านสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมง มีเพียงร้านมินิมาร์ทที่สองทุ่มก็ปิดแล้ว คงเป็นเพราะเรื่องของกฏระเบียบบ้านเมืองที่ต่างจากประเทศเสรีประชาธิปไตยของเรา......


เสียงนาฬิกาปลุกที่ผมตั้งปลุกเอาไว้ดังหนวกหูขึ้นในตอนตีห้าครึ่ง ปลุกร่างกายของผมให้ลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย ถึงเวลาต้องออกเดินทางและลาจากที่นี่แล้วสินะ แม้ใจอยากจะนอนต่อขนาดไหน แต่ก็ต้องทำตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ ผมลุกไปอาบน้ำเก็บของลงกระเป๋า รีบลงไปเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม แล้วคว้ารถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าคลิกสีแดงที่เช่ามาตั้งแต่เมื่อวานขับออกไปตามถนน...จุดหมายปลายทางตามโปรแกรมที่ตั้งใจไว้

ความไม่เคยชินของการขับขี่รถที่นี่คือ รถทุกคันจะวิ่งชิดเลนขวา..... ด้วยความเคยชินตอนอยู่เมืองไทย ที่จะต้องวิ่งชิดซ้าย ผมเผลอทะเล่อทะล่าวิ่งเข้าไปในเลนซ้ายอยู่สองสามครั้ง ต้องตั้งสติและย้อนกลับมาอยู่เลนขวา อยู่เมืองไทยคุณอาจจะชอบจอดล้ำเส้นขาวเวลาติดไฟแดง แต่ถ้าคุณไม่อยากถูกจราจรลาวโบกล่ะก็ คุณต้องเว้นอยู่ห่างหลังเส้นขาวตอนติดไฟแดง เป็นระยะพอๆกับหนึ่งช่วงคันรถ...

ผมพยายามมองหาร้านข้าวสักร้าน แต่ทว่า ผมกลับไม่ค่อยเจอร้านข้าวสักเท่าไหร่นัก เพราะหันไปทางไหนก็เจอแต่เฝอ ๆ ๆ แล้วก็เฝอ จนแอบเข้าใจไปว่า คนที่นี่คงไม่ค่อยกินข้าวกันเท่าไหร่ นอกเหนือจากเส้น และขนมปังบาร์แกต ด้วยความหิวผมแวะร้านอาหารเล็กๆร้านหนึ่งในปั๊มน้ำมันแบบหลอด เดินไปชี้เอาขนมปังแผ่นนึง เจ้าของร้านเป็นทอมใส่แว่นดูตี๋ๆ ผมพยายามสื่อสารเป็นภาษาลาว แต่ผิดคาดเพราะเขาพูดภาษาลาวได้นิดหน่อย แต่สนทนาด้วยภาษาเวียดนาม ..... นี่กระมัง ที่เคยอ่านเจอว่าแผ่นดินลาวครั้งหนึ่ง เป็นของพวกญวนหรือเวียดนาม ก็ไม่แปลกนักหรอก

อาหารมื้อแรกของเรา ผมพยายามถามว่ามันคืออะไรแต่หมือนบทสนทนาจะต้องชะงักลงเพราะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ผมเลยใช้ภาษากายพูดแทนเอาว่าเอาอันนี้ (ชี้ไปที่ขนมปัง) อันนึง

ข้าวจี่ปาเต๊ะ นั่นคือชื่อเรียกหลังจากมาค้นหาดู ลักษณะคือการนำขนมปังบาร์แกตแผ่นยาวๆ มาผ่าครึ่ง นำไปจี่ไฟให้กรอบข้างนอก แต่นุ่มข้างใน แล้วใส่ผักพื้นบ้านลาวอันได้แก่ ผักชี ต้นหอมหั่นยาว แครอท เมล็ดงา และเนื้อไก่ย่างลงไป รสชาติที่ได้คือความกรอบข้างนอกนุ่มข้างในของขนมปังบาร์แกต และมีความหอมของผักชีและผักนานๆชนิด มีเนื้อไก่ที่อุดมด้วยโปรตีนพอให้ไม่เลี่ยนผัก ทั้งก้อนนี้ ให้สารอาหารครบถ้วนและให้พลังงานพอที่จะทำกิจกรรมอื่นๆได้สบายๆ ราคาแค่ 5,000 กีบหรือ ก้อนล 20 บาทเท่านั้น เป็นการกินมื้อเช้าที่ประหยัดสุดๆ

หลังจากท้องอิ่ม รถก็ต้องวิ่งต่อ รถมอเตอร์ไซค์เช่าออโตเมติกสีแดงวิ่งไปบนถนน บนรถมีคนขับร่างหมีสะพายกระเป๋าแบคแพคสีเขียวขี้ม้า ท่าทางดูเก้ๆกังๆเหมือนไม่เคยขับรถทั้งที่อยู่เมืองไทยเขาเป็นสิงห์นักบิด สองข้างทางเต็มไปด้วยความร่มรื่นและเขียวขจี ถนนหนทางลาดยางไม่ได้ทำให้การขับขี่ลำบากนัก มีเพียงบางช่วงบางตอนที่เป็นหลุมบ้าง แดดเช้าให้ความอบอุ่นตัดกับอากาศเย็นในช่วงต้นฤดูหนาว มันเป็นความสุขที่บรรยายไม่ถูก เด็กนักเรียนชาวลาวตัวน้อยๆ ต่างเดินไปโรงเรียนกันสองฟากฝั่งถนนใจจริงก็อยากจะจอดถ่ายรูปแต่ก็กลัวจะโดนแจ้งจับจึงขอบายดีกว่า บันทึกไว้ด้วยตาก็พอ

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปผมก็เห็นป้ายโฆษณาของจุดหมายที่ตั้งเป้าไว้ ภาพคนสองคนกำลังนั่งจิบกาแฟบนห้างที่แขวนด้วยสลิง ด้วยความสูงของหุบเหวที่มองลงไปไม่เห็นด้านล่าง มีน้ำตกเป็นฉากหลังราวกับภาพในฝัน

ครับ ที่นี่คือน้ำตกตาดฟาน จุดหมายที่ปักหมุดไว้ เพราะผมจะมาทำกิจกรรมบางอย่างที่นี่.....

ผมขับรถเข้าไปในตัวรีสอร์ต ที่ด้านหน้าป้อม มีสาวชาวลาวนั่งเฝ้าอยู่
"เท่าไหร่?" ผมถาม เธอมองผมด้วยสายตาไม่ค่อยเป็นมิตร อาจเพราะรู้ว่าผมเป็นคนไทย อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม สาวลาวถึงไม่ยิ้มให้กับหนุ่มไทยเลยสักคน.....
"15,000 กีบ" เธอตอบ พร้อมฉีกตั๋ว แลกเปลี่ยนกับเงินกีบ ผมไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปข้างในตัวรีสอร์ตตาดฟาน ว่ากันว่าเจ้าของที่นี่คือคนไทย....

ข้างในบรรยากาศร่มรื่น รอบๆข้างมีไร่กาแฟรายล้อมรอบรีสอร์ต ด้านในเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นร่มรื่น ยังไม่มีใครมาสักคน และเป็นผมคนเดียวที่เดินเข้าไปเพียงลำพัง จริงๆผมชอบอะไรที่มันสงบเงียบแบบนี้นะ และแล้วเป้าหมายที่เราดั้นด้นตามหา ก็อยู่ตรงหน้าเราแล้ว......

ลมเย็นพัดผ่านช่องเขาเข้ามากระทบที่หน้า เป็นไอเย็นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น แดดยามเช้าที่ลอดผ่านกิ่งไม้กระทบลงมาให้เราอบอุ่น เสียงสายน้ำสองสายที่พุ่งทะยานลงจากยอดเขาลงสู่หุบเขาเกิดเป็นเสียงดังซู่ซ่าอยู่ตลอดเวลา หมอกจางๆของเช้าวันใหม่ยังไม่ทันจางหายไป มีฝรั่งสองคนนั่งจิบกาแฟลาวดูน้ำตกอยู่ในล็อบบี้ เป็นภาพที่ผมต้องอุทานออกมาว่ามันสวยจริงๆ

ที่นี่คือน้ำตกตาดฟาน น้ำตกที่พุ่งทะยานลงจากยอดเขาลงสู่หุบเขาที่สูงจากพื้นดินเป็นระยะกระจัดราวๆหนึ่งกิโลเมตร....

ผมสาวเท้าเข้าไปด้านในที่มีคนยืนอยู่ มีชายหนุ่มร่างเล็กหน้าตาท่าทางบ่งบอกว่าเป็นคนในท้องที่
"สะบายดี" ผมทักทาย เขายิ้มและทักทายตอบ รอยยิ้มกว้างดูเป็นมิตร
"สะบายดี มาคนเดียวหรอครับ?" เขาทักทายผมกลับมาเป็นภาษาไทยสำเนียงแบบชาวลาว คงเดาออกว่าผมเป็นคนไทย
"ครับ ผมจะมาเล่นซิปไลน์น่ะ" ผมตอบกลับไป เขากุลีกุจอพาผมไปนั่งคุยเพื่อทำความเข้าใจและทำสัญญาชำระเงิน เป็นเงินบาทไทย ทั้งหมด 1,400 บาท พร้อมมีเอกสารให้กรอก เช่นเลขหมายติดต่อฉุกเฉิน เลขที่กรมธรรพ์ประกันชีวิต ชายหนุ่มดูคล่องแคล่วว่องไว เขาพาผมไปซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเล่นซิปไลน์

กล่าวคือ เราจะต้องใส่ชุดเซฟตี้พร้อมหมวกกันน็อค และยึดตัวเรากับสลิงเส้นใหญ่ๆเพียงเส้นเดียว เพื่อโหนไปตามสายสลิงที่พาดผ่านน้ำตกตาดฟานด้วยความสูงที่สูงที่สุด ของน้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศลาวเป็นระยะทางเส้นแรก 400 กว่าเมตร และโหนอีกทั้งหมด 4 เส้น รวมทั้งหมดเป็น 5 เส้น ระยะทางรวมเกือบ 1 กิโลเมตร.....

เมื่อพร้อมแล้วหนุ่มชาวลาวพาผมไปยืนประจันหน้ากับความสูงที่เวิ้งว้างของหุบเขาตาดฟาน ผมสูดหายใจลึก ใจหนึ่งกล้า แต่อีกใจนึงก็รู้สึกเสียว มีเพียงสลิงเส้นเดียวและชุดเซฟตี้กับเชือก ที่ยึดตัวเราไว้....แค่คิดก็ใจหาย แม้จะเคยกระโดดหอตอนเรียน รด.มาแล้วก็ตาม

หนุ่มชาวลาว 2 คน ที่ตอนนี้ต้องกลายเป็นผู้ดูและและฝากชีวิตไว้ ให้สัญญาณผมปล่อยตัว ผมนับ 1 2 3 แล้วทิ้งน้ำหนักลง มือหนึ่งถือไม้เซลฟี่ อีกมือหนึ่งเกาะอยู่ที่เบรค

เราบินได้!!!!

นั่นคือความรู้สึกแรก มันคือความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ภาพน้ำตกที่อยู่ข้างหน้ามันสวยงามเหลือเกิน ลมเย็นที่พัดผ่านกายทำให้รู้สึกเย็นสบาย ผมร้องตะโกนแหกปากสุดเสียง แต่แล้ว เมื่อความเร็วเริ่มเพิ่มขึ้นจากแรงโน้มถ่วงโลก เริ่มมีความรู้สึกเหมือนทุกอย่างเหนือการควบคุม ลมปะทะเริ่มแรงขึ้นและทำให้เราหมุน แขนขาเริ่มสั่น ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม มือที่ถือไม้เซลฟี่กลับอ่อนแรงไปซะงั้น หันมองลงไปเบื้องล่างจากความสูงระดับนี้ ทุกอย่างข้างล่างดูเล็กจิ๋ว เผลอคิดแวบในใจ ด้วยความสูงระดับนี้ หากร่วงลงไปทุกสิ่งทุกอย่างคงแหลกเละไม่มีชิ้นดี

สติ!!! นั่นคือสิ่งที่คิด

ผมเริ่มกดเบรคเพื่อชะลอความเร็ว แต่เหมือนจะกดแรงไปหน่อยทำให้ผมลอยค้างอยู่กลางเส้นลวดสลิง สตาฟชาวลาวอีกคนต้องดึงตัวเองออกมาตามลวดสลิง แล้วลากผมให้ขึ้นไปยังฝั่งได้สำเร็จ เห็นตัวเล็ก แต่ก็แข็งแรงมากๆ


การโหนซิปไลน์ 5 เส้น ผ่านไปได้ด้วยดีและปลอดภัย ช่วงหลังๆพอเริ่มชินกับความสูง เราจะเริ่มไม่กลัวและกล้ามากขึ้น เป็นประสบการณ์ที่ผมบอกตัวเองว่า ครั้งเดียวในชีวิตที่ได้ทำแบบอะไรสุดๆแบบนี้ก็เพียงพอ.....



หลังจากทำกิจกรรมเอ็กไซท์ติ้งเสร็จแล้วผมนั่งจิบกาแฟ มองดูวิวทิวทัศน์และผู้คน ที่ตอนนี้เริ่มมีฝรั่งชาวต่างชาติเข้ามาบ้างแล้ว ไม่นานนักก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ ขาออกไปด้านหน้ารีสอร์ต นักท่องเที่ยวฝรั่งคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายผมด้วยภาษาอังกฤษ

"How are you?" เขาถาม
" The waterfall so very nice" ผมตอบ พูดพลางก็ยื่นวิดิโอที่อัดไว้ให้ดู เขาดูด้วยแววตาที่เป็นประกาย
"i have a gopro" ฝรั่งตาน้ำข้าวบอกเราว่าเขามีโกโปร
"Oh good"
"How much to play?" เขาถามกลับมาว่าค่าเล่นเท่าไหร่....
"About 1400 bath"
"How many about dollars?" เขาทำหน้างงงวยเพราะงงกับการแปลงค่าเงิน ทั้งเงินบาทเงินกีบเงินดอลล่าร์
"50 dollars" ผมตอบ
"Oh Good Ok thanks Nice to meet you."

หลังจากสนทนากันสั้นๆ รอบยิ้มของเราสองคนก็แบ่งปันให้กัน ในช่วงเวลาที่ต่างคนต่างโดดเดี่ยวในต่างแดน เท่านี่ก็อุ่นใจแล้ว.....

หลังจากตื่นเต้นหวาดเสียวกับกิจกรรมโหนซิปไลน์ข้ามน้ำตกตาดฟาน ผมขับรถมอเตอร์ไซค์เช่าไปตามถนนอีกไม่ไกลกันนัก ก็เจอกับจุดหมายจุดที่สอง "น้ำตกตาดเยือง"

บรรยากาศที่นี่ร่มรื่น มีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร อยู่หน้าทางเข้าน้ำตก มีไร่กาแฟปลูกไว้สองข้างทางที่ผ่านไป ค่าเข้าน้ำตกก็เช่นเคย 15,000กีบ หรือ 60 บาท ผมจอดรถแล้วรีบเดินลงไปเบื้องล่าง ตามเสียงน้ำตกซู่ซ่า ที่ดังมาแต่ไกล....


ภาพที่เห็นราวกับสวรรค์ สายน้ำมหึมาทิ้งตัวลงมาสู่ลำธารเบื้องล่าง ละอองน้ำที่ตกกระทบสาดกระสานซ่านเซ็นลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ กระทบกับใบหน้าแขนขาเราทำให้รู้สึกสดชื่น สีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า ตัดกับสายน้ำสีขาวที่ไหลผ่านโขดหินสีดำทะมึน มีดอกไม้ป่าสีชมพูขึ้นอยู่แซมต้นหญ้า ผลิวสไวด้วยแรงลมที่พัดเอื่อยเอาความชื้นและละอองน้ำมาสัมผัสกายเราอยู่ตลอดเวลา สวยงามแต่ทรงพลัง....

ผมรีบเดินลงไปยังลำธารเบื้องล่าง นักท่องเที่ยวฝรั่งที่เพิ่งเดินขึ้นมาจากลำธาร แต่งกายด้วยกางเกงขาสั้น ใส่หมวกพื้นเมือง หนวดเคราสีทองดกรุงรัง ทักทายกันด้วยคำเตือน
"Very slipperry Becareful!!" เขาตะโกนแข่งกับเสียงน้ำตกหมายให้ผมได้ยิน ว่าระวังด้วย ข้างล่างลื่นมาก
"Thankyou!!" ผมตะโกนแข่งกลับไปพร้อมส่งยิ้มให้ แล้วผมก็มายืนอยู่เบื้องล่าง ถึงเวลานี้ต้องถอดรองเท้า เอาเท้าจุ่มน้ำ นั่งแช่ปล่อยใจปล่อยกาย ลืมเรื่องร้ายๆ เรื่องปวดหัวที่เมืองไทย ปล่อยให้ธรรมชาติบำบัดรักษา ชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเอง ให้สมกับที่ทำงานเหนื่อยมาแรมปี รู้สึกได้ถึงความคุ้มค่าและความสำเร็จ ที่ดั้นดนลำบากเดินทางมาเพียงลำพัง เพียงเพื่อสิ่งนี้เท่านั้นเอง.....

เคยได้ยินคำพูดที่ว่า จุดหมายปลายทางมันไม่สำคัญเท่ากับระหว่างทางมั้ย และนี่คือคำนิยามที่ผมสัมผัสด้วยตัวเอง เราดื่มด่ำกับเป้าหมายของเราเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่เราเรียนรู้และพบเจอสิ่งใหม่ตลอดการเดินทาง.......


ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาบ่ายโมงครึ่ง คงต้องไปจุดหมายสุดท้ายแล้ว เพราะแพลนเดิมจะต้องออกจากปากเซในเวลาบ่ายสามโมงตรง ความสุขช่างสั้นเหลือเกิน.....

จุดหมายสุดท้าย คือ น้ำตกตาดถ้ำจำปี ตอนที่อยู่ที่ตาดฟาน เพื่อนสตาฟชาวลาวของเราแนะนำว่า ที่นี่เป็นที่นิยมของฝรั่ง เพราะมีชายหาดให้นอนอาบแดดอยู่ริมน้ำตก แค่เกริ่นมาแค่นี้ก็น่าสนใจแล้ว ผมจึงไม่รอช้า รีบขับรถไปยังจุดหมายสุดท้าย

เส้นทางเป็นดินลูกรังค่อนข้างขรุขระ ขับเข้าไปลึกห่างจากถนนใหญ่ราวๆสองกิโลเมตร ระหว่างทางนั้นนอกจากไร่กาแฟแล้วก็ไม่มีบ้านคนอยู่เลย รถเคลื่อนไปด้วยความเร็วช้าๆเพราะขับเร็วไม่ได้ ราวๆสิบห้านาที ผมก็มาถึง

กระท่อมหลังน้อยรายล้อมด้วยต้นไม้ร่มรื่น มีรถมอเตอร์ไซค์เช่าและรถตู้อยู่จำนวนหนึ่ง ด้านในกระท่อมเป็นร้านอาหาร ล้วนแล้วเต็มไปด้วยชาวต่างชาติตะวันตก บรรยากาศดูน่าอภิรมย์ มิน่าล่ะฝรั่งถึงได้ชอบที่นี่กันนัก ผมจอดรถไว้ใต้ต้นไม้เขียวขจี มีเจ้าหน้าที่เดินมาเก็บค่าเข้า 15,000 กีบเช่นเคย

ผมเดินเลยกระท่อมอบอุ่นนั้นไปเพราะคิดว่าคงเหลือเวลาไม่มากพอให้นั่งทอดหุ่ยอภิรมย์ในร้านอาหาร เดินลงเขาไปได้ไม่ไกลนักก็ได้ยินเสียงน้ำตก ทางเดินร่มรื่นเย็นสบาย ไม่นานนักสิ่งที่ผมหมายตาจุดหมายสุดท้ายก็ปรากฏ

แดดยามบ่ายกระทบกับละอองน้ำเกิดเป็นสะพานสายรุ้ง พาดผ่านบนน้ำตกที่ทิ้งตัวลงสู่ลำธารเบื้องล่าง ด้านล่างลำธารไกลออกไป มีชายหาดหิน มองเห็นชาวต่างชาติกำลังนั่งเล่นอาบแดด ผมรีบจ้ำลงไปตามแนวหุบเขา ต้องไต่ลงไปเล็กน้อย ไปยืนอยู่หน้าท่ามกลางเสียงน้ำตกและผืนน้ำที่มีสีเขียวอำพันด้วยพืชน้ำประเภทสาหร่ายจากธรรมชาติ หาใช่สีเขียวจากน้ำเน่าดังเช่นในเมือง

เหลือบมองไปตรงชายหาด แหม่มสาวสี่คนสวมบิกินนี่สีดำนั่งบนตอไม้ บางคนยืนเซลฟี่ ไม่มีทีท่าสนใจผมที่เป็นผู้ชายทั้งแท่ง ที่เดินลงมาอยู่ริมน้ำตกในเวลานี้

การแก้ผ้าอาบแดดคงถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาราวกับการนอนเล่นอยู่ในบ้าน กลายเป็นผมที่ค่อนข้างอายด้วยขนบธรรมเนียมที่ถูกเสี้ยมสอนให้ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัวและปกปิดของสงวนอย่างมิดชิด

แต่เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ผมกลั้นใจเดินผ่านหน้าพวกหล่อน ไปยังด้านในของน้ำตก ที่เป็นเวิ้งถ้ำกว้าง หลังม่านน้ำตก นี่กระมังคือที่มาของชื่อ "ตาดถ้ำจำปี"

ผมดื่มด่ำกับธรรมชาติได้ไม่นานนัก เหลือบมองนาฬิกา ก็หมดเวลาแล้วสิสำหรับที่ปากเซ ผมรีบขับรถกลับไปยังตัวเมืองปากเซ คืนรถเช่า แล้วรีบนั่งสกายแลปไปยังท่ารถตู้ ในเวลาบ่ายสาม คงต้องลาแล้วปากเซ แม้จะยังเที่ยวได้ไม่ครบทุกที่ แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะพาคนที่รักมาสัมผัสกับเมืองเล็กๆสงบเงียบที่นี่อีกสักครั้งให้ได้ เพราะยังเหลืออีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไป เช่นตาดผาส้วม วัดพู สี่พันดอน.....


เจ้าหน้าที่ด่านวังเต่าเก็บเงินค่าออกแผ่นดินอีก 100 บาท (จะกลับประเทศยังต้องเสียเงินอีก) ผมแวะซื้อของฝากที่ขึ้นชื่อจากที่ราบสูงโบลาเวน นั่นคือกาแฟดาว ว่ากันว่าที่ราบสูงโบลาเวน เป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการเพาะปลูกเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้าพื้นที่หนึ่งของโลก ด้วยแร่ธาตุจากดินภูเขาไฟโบราณและน้ำฝน ทำให้กาแฟของที่นี่มีรสชาติต่างออกไปจากอาราบิก้าที่ปลูกยังที่อื่นทุกมุมโลก เรื่องกลิ่นอาจจะไม่สู้โรบัสต้าที่ปลูกในภาคใต้ของไทย แต่รสชาติจะค่อนข้างนุ่มละมุนลิ้นกว่าอาราบิก้าที่ขายในบ้านเรา

นอกจากกาแฟแล้ว ก็มีเสื้อทอมือชนเผ่าพื้นเมือง ลายสวยเป็นเอกลักษณ์ เป็นงานแฮนเมดที่มีชิ้นเดียวในโลก กระดุมยังทำมาจากกะลามะพร้าว เนื้อผ้าหนาให้ความอบอุ่น เหมาะสำหรับใส่ในหน้าหนาวเป็นของฝากของแฟนสาว และผ้าไหมลาวสีชมพูทอมือ ของแม่

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่แผ่นดินไทย ผมรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด แม้เราจะพบเจอสิ่งมหัศจรรย์จากที่อื่นมากมายเท่าไหร่ แต่ที่ที่ทำให้เราอุ่นใจ สุดท้ายก็ยังเป็นบ้านเราอยู่ดี ผมเดินทางกลับแบบรีเวิร์สย้อนกลับจากขามา ทุกกระบวนการขั้นตอนนั่งรถตู้ไปอุบล นั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปสถานีรถไฟ แล้วนั่งรถไฟกลับโคราช ถึงบ้านในเวลาตีหนึ่ง หัวถึงหมอนก็ล้มตัวนอนหลับไหล เป็นค่ำคืนที่ผมโคตรมีความสุข

ถ้าจะถามผมว่าผมได้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้ สิ่งนั้นผมได้บรรยายไว้หมดแล้วในบทความที่ผ่านๆมา

นิยามของการออกไปท่องเที่ยวของผม มันไม่ใช่แค่การนั่งหลับบนรถ บนเครื่องบิน แล้วตื่นลงไปเช็คอินถ่ายรูป ทว่ามันคือการออกไปเผชิญกับสิ่งที่เราไม่รู้จัก พูดคุยกับคนที่ไม่รู้จัก การเดินทางในรูปแบบที่ไม่รู้จัก เส้นทางที่ไม่รู้จัก กินอาหารที่ไม่รู้จัก ทำอะไรๆที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน นี่แหละคือการท่องเที่ยว ในรูปแบบที่จุดหมาย ไม่ใช่สิ่งสำคัญ มากไปกว่าเรื่องราวระหว่างทาง

ส่วนใครคิดจะมาเที่ยวปากเซ ผมมีข้อแนะนำ ถ้าคุณรักสบาย ทนความลำบากไม่ได้ อย่ามา...เพราะคุณอาจไม่ enjoy ไปกับมันสักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าคุณคือนักเดินทางที่พร้อมจะรับมือกับประสบการณ์ใหม่ๆล่ะก็ ที่นี่ คือที่อีกที่ที่เหมาะกับคุณ....

สุดท้าย คงต้องจากลากันไปแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจติดตามอ่านบทความเรื่องเล่า ที่ผมเขียนถึงเมืองปากเซ ตั้งแต่ต้นจนจบ

มีฝัน ก็รีบลงมือทำ อย่ามัวแต่นอนฝัน เพราะมันคือฝัน ที่จะไม่มีวันเป็นจริง.....แล้วพบกันใหม่ ทริปหน้า

สะบายดี....

*****มีข้อความบางประเด็นที่ไม่สามารถออกอากาศได้ สนใจอ่านแบบ Uncensored ได้ที่ https://www.facebook.com/JS123Studio *****

ความคิดเห็น