#ซัปโปโร(Sapporo) : เที่ยวตลาดปลา | เก็บแอปเปิ้ล | กินเนื้อเจงกิสข่าน | ขึ้นเขา Mt. Asahidake | ไปหาชนา - ชนาไม่อยู่!



อยากไปเที่ยว.. “ซัปโปโร”



ซัปโปโร เป็นเมืองหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ที่ผมมีความรู้สึกชอบมาก รู้สึกชอบแม้จะยังไม่ได้ไปเยือนสักครั้งเลยด้วยซ้ำ เพราะจากที่ได้ติดตามอ่านข่าวสารการท่องเที่ยวต่างๆ ในเมืองซัปโปโรตามช่องทางต่างๆ ก็รู้สึกว่าเมืองนี้.. มันมีเสน่ห์น่าสนใจอย่างมาก ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว และอาหารการกินโดยเฉพาะอาหารทะเลสดๆ ที่ทำอยากให้ไปลองชิมสักครั้ง ยิ่งช่วงหลังมานี้ ผมได้ติดตามดูฟุตบอลเจลีก และแอบเชียร์ทีม Hokkaido Consadole Sapporo ที่มี เจ ชนาธิป เล่นอยู่ด้วย จึงเป็นโอกาสดีที่จะลองไปสัมผัสบรรยากาศของเมืองนี้สักครั้งครับ

การเดินทางในทริปนี้.. ผมมีเวลาค่อนข้างที่จะจำกัด เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทำให้มีเวลาเที่ยวอยู่ที่ ซัปโปโร แค่ 4 วันเท่านั้น โดยเดินทางไปในช่วงเวลาของใบไม้เปลี่ยนสีในปลายเดือน ตุลาคม ที่ผ่านมา(2561) แม้จะเป็นระยะเวลาที่สั้น แต่ก็เที่ยวสนุก และได้กินอย่างเต็มที่เลย ลองตามมาเที่ยวด้วยกันครับ!



ติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ได้ที่..

>> https://www.facebook.com/chailaibackpacker/


ไป.. “ซัปโปโร” ไปไหนมาบ้าง?



  • ไป.. เที่ยวในเมืองซัปโปโร และ โอตารุ!



วนเที่ยวใน เมืองซัปโปโร ด้วย Subway โดยใช้ ตั๋ววัน(One Day Pass) เดินทางได้อย่างไม่จำกัด ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น SAPPORO TV Tower, โรงงานช็อคโกแลต Shiroi Koibito Park, ตลาดปลา Nijo Market เป็นต้น นอกจากนี้ ผมก็ได้นั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ อย่าง โอตารุ และไปเก็บแอปเปิ้ล ที่ สวนแอปเปิ้ล อีกด้วย


  • ไป.. กินของอร่อย ต้องลอง!



ซัปโปโร เป็นเมืองที่ของกินเยอะมาก ก็เลยได้ไปตะลุยกินมาหลายอย่างเลย เช่น อาหารทะเลสดๆ, เนื้อแกะ(เจงกิสข่าน), เนื้อย่าง, ซูชิปั้นสด, ซุปแกงกะหรี่ ฯลฯ ที่นี่ ของกินอร่อยทุกอย่างเลยจริงๆ


  • ไป.. เล่นหิมะ ที่ Mt.Asahidake!


ช่วงปลายเดือนตุลาคม ของทุกปี เกาะฮอกไกโด ก็เริ่มมีหิมะตกแล้ว โดยเฉพาะที่ยอดเขาของ Mt.Asahidake จะเป็นที่แรกๆ ที่มีหิมะตกเลยครับ ใครอยากมาสัมผัสหิมะก่อนใคร ก็ต้องลองมาที่นี่เลย


  • ไป.. ไปสัมผัสบรรยากาศสนาม(ซ้อม) Hokkaido Consadole Sapporo


มาถึง ซัปโปโร ก็อยากไปดูฟุตบอลเจลีก แต่ช่วงเวลาที่ผมมาเที่ยวนี้ ตรงกับวันแข่งขันของ ทีม Hokkaido Consadole Sapporo ซึ่งเป็นฝ่ายไปเยือนทีมของเมืองอื่น จึงรู้สึกเสียดายอยู่พอสมควร แต่ไหนๆ มาแล้วก็ขอมาเดินเที่ยวชมสนามซ้อมของสโมสรล่ะกันครับ ถ้ามาตรงกับเวลาที่มีการซ้อม ก็จะได้ชมการซ้อมอย่างใกล้ชิดด้วยครับ


ออกเดินทาง สู่ Sapporo!


เริ่มต้นเดินทาง จาก สนามบินดอนเมือง ผมมาถึงสนามบินในช่วงหัวค่ำ เพราะต้องออกเดินทางในช่วงดึก โดยใช้บริการ สายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์(Air Asia X) จาก สนามบินดอนเมือง สู่ สนามบินนิวชิโตเสะ(New Chitose Airport) ซึ่งมีเที่ยวบินให้บริการ ดังนี้


  • XJ620 DMK – CTS : 23.55 น.- 08.25 น.(+1)
  • XJ621 CTS – DMK : 09.40 น. – 15.35 น.


สำหรับเที่ยวบินขาไป เวลาค่อนข้างดีเลยครับ เพราะไปถึงช่วงเช้าของปลายทางแล้วเที่ยวต่อได้เลย ส่วนขากลับ อาจจะต้องตื่นแต่เช้าสักหน่อย เพื่อกลับไปสนามบิน ดังนั้น ทริปนี้ จึงมีเวลาเที่ยวเต็มๆ 3 วัน และ วันสุดท้ายเป็นวันที่ใช้เวลาในการเดินทางกลับครับ

ออกเดินทางใน เวลา 23.55 น. ก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว พอได้ขึ้นเครื่องก็เตรียมนอนหลับยาวๆ ได้เลยครับ

ใช้เวลาในการเดินทางราว 6 ชั่วโมงกว่าๆ พอใกล้จะถึงจุดหมาย พนักงานต้อนรับก็จะนำอาหารมาเสิร์ฟครับ ซึ่งผมได้ทำการจองอาหารเอาไว้ล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์เอาไว้ ก็ได้ราคาที่ถูกลงมาหน่อย เป็นเมนู ข้าวอบไก่ย่าง กินตุนไว้ก่อน พอลงเครื่องไปแล้วจะได้พร้อมเที่ยวต่อเลย


DAY #1
สนามบินนิวชิโตเสะ(New Chitose Airport)



เดินทางมาถึงจุดหมาย ที่ สนามบินนิวชิโตเสะ(New Chitose Airport) บรรยากาศภายในสนามบินขาเข้า ดูค่อนข้างจะเงียบดีเหมือนกันครับ ไม่ค่อยวุ่นวายเหมือนที่อื่นๆ

เมื่อผ่านการตรวจคนเข้าเมือง และ การตรวจจาก ศุลกากร เป็นที่เรียบร้อย ก็พร้อมเที่ยวต่อครับ ซึ่งถ้าหากต้องการข้อมูลท่องเที่ยวภายในสนามบินก็มี ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว อยู่ครับ

บริเวณใกล้เคียงกับ ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว มี ห้องแต่งตัว ด้วยนะครับ สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า ยิ่งมาไฟล์ทดึก มาถึงตอนเช้าได้ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า มันก็ทำให้รู้สึกสบายตัวดีเหมือนกัน


เดินทางเข้าเมือง ซัปโปโร ด้วยรถไฟ!



จาก สนามบินนิวชิโตเสะ(New Chitose Airport) ผมจะเดินทางเข้าเมืองซัปโปโรด้วยรถไฟ ก็เดินไปตามป้ายบอกทาง เพื่อไปขึ้นรถไฟ ซึ่งใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึง สถานีรถไฟ New Chitose Airport Station จากนั้นก็ซื้อตั๋วที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ

ราคาค่าโดยสาร ระหว่าง สถานีรถไฟ New Chitose Airport Station ไป สถานีรถไฟ Sapporo 1,070 เยน ใช้เวลาเดินทาง 37 นาที


เที่ยว “ซัปโปโร” ด้วยตั๋ว 1 Day Pass!



เมื่อเดินทางมาถึง สถานีรถไฟ Sapporo ผมก็จัดการซื้อ ตั๋วรถไฟใต้ดิน(Subway) โดยซื้อตั๋วแบบ 1 Day Pass ใช้นั่งรถไฟ Subway ทุกสาย ได้อย่างไม่อั้น ตลอดทั้งวัน ซึ่งก็นับว่าคุ้มค่ามากครับ ราคาอยู่ที่ 830 เยน แต่..ถ้าเป็นวันหยุด ราคา 520 เยน และโชคดีที่ผมก็จะใช้งานในวันหยุดพอดี ก็เลยได้ในราคาที่ถูกลงมาหน่อยครับ

ที่ สถานีรถไฟ Sapporo คนค่อนข้างเยอะมากครับ แต่ก็ไม่ค่อยสับสนกับการเปลี่ยนสายรถไฟ เท่ากับที่ โตเกียว 55+

บรรยากาศภายในรถไฟใต้ดิน มีตั๋วแบบ 1 Day Pass สามารถเดินทางไปได้ทุกที่

ผมเดินทางมาย่าน Susukino เป็นที่แรก เพราะต้องการนำสัมภาระมาฝากเอาไว้ที่โรงแรมก่อน และจะกลับมาเช็คอินอีกทีในช่วงเย็นๆ ครับ โดยเข้าพักที่ HOTEL MYSTAYS Sapporo Susukino ซึ่งเป็นที่พักสำหรับทริปนี้ครับ

ในช่วงสายของวัน บรรยากาศภายในเมืองซัปโปโรดีมากครับ ท้องฟ้าสดใส อากาศจะเย็นๆ หน่อย เหมาะที่จะเดินเล่น ที่มองเห็นไกลๆ อยู่นั่น คือ SAPPORO TV Tower ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับ สวนโอโดริ(Odori Park) สวนสาธารณะประจำเมือง ซึ่งเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอีกจุดหนึ่งที่น่าชม


ชิมอาหารทะเลสดๆ ในตลาดปลา Nijo Market!



ตลาดปลา เป็นจุดแรกที่ผมพุ่งตรงไปโดยทันที หลังจากที่นำสัมภาระไปฝากไว้ที่โรงแรมเป็นที่เรียบร้อย โดยมาที่ ตลาดปลานิโจ(Nijo Market) ที่รู้จักกันดีครับ ตลาดปลาที่นี่ เดินทางมาง่าย จะนั่ง Subway มาลงที่ สถานี Susukino หรือ สถานี Odori ก็ได้ จากสถานีรถไฟก็เดินต่ออีกประมาณ 300 เมตร ก็ถึงแล้ว

ผมตั้งใจจะมาหาอาหารทะเลสดๆ กินเป็นมื้อแรกของที่นี่ครับ ซึ่งภายในตลาดปลาก็มีอาหารทะเลที่หลากหลายให้ได้ลองชิม

พ่อค้า แม้ค้า ในตลาดปลาก็จะคอยยืนเรียกลูกค้าอยู่บริเวณหน้าร้านของตัวเองครับ ของแต่ละอย่างสดจากทะเลแน่นอน



ภายในตลาดปลา จะมีร้านอาหารอยู่หลายร้านครับ โดยสามารถสั่งอาหารทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา ต่างๆ เข้าไปทานในร้านได้เลย และนอกจากนี้ ก็ยังมีเมนูอาหารทะเลต่างๆ ให้เลือกตามความชอบ



ผมสั่ง ชุดข้าวหน้าทะเลสด ชามนี้มาครับ ราคา 2,500 เยน มี อูนิ(ไข่หอยเม่น) กับ ไข่ปลาแซลมอน



ข้าวหน้าทะเลสด ของสดมาก ไม่มีกลิ่นคาว อร่อยดีครับ




Ishiya Chocolate Factory โรงงานช็อกโกแลตแห่งเมืองซัปโปโร



ช่วงบ่ายของวัน อากาศเปลี่ยนแปลง เริ่มจะมีฝนโปรยปรายลงมา ยืนหลบฝนอยู่บริเวณ สถานีรถไฟใต้ดิน Odori อยู่สักพัก ไม่รู้จะไปไหนต่อดี 55+ เลยตัดสินใจ นั่งรถไฟสาย Tozai Subway Line ไปลงที่ สถานี Miyanosawa Station เพื่อไปเที่ยวที่ Ishiya Chocolate Factory หรือ โรงงานช็อกโกแลต Ishiya ซึ่งสภาพอากาศของที่นี่ก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน เช่นกัน



โรงงานช็อคโกแลต เป็นโรงงานของบริษัท Ishiya ซึ่งภายในบริเวณโดยรอบก็มีอาคาร และสวนสวยๆ แปลกตา เหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลก ภายในอาคารมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านค้าขายของที่ระลึก รวมไปถึง ผลิตภัณฑ์ช็อคโกแลต ของฝากขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย


มีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ มากมายเลยครับ โดยเฉพาะในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้



เดินเล่นชมบรรยากาศภายใน Ishiya Chocolate Factory ซึ่งวันนี้อาจจะดูชุ่มฉ่ำด้วยละอองฝนสักหน่อย



มาถึงที่นี่ ต้องไม่พลาดชิม Soft Cream ครับ หวาน หอม มัน มาก ต้องลอง!



Miyanosawa Football Stadium สนามซ้อมของทีม Hokkaido Consadole Sapporo!



ถ้าได้มา Ishiya Chocolate Factory แล้ว.. ก็ต้องไปชมสนามซ้อมของทีม Hokkaido Consadole Sapporo ด้วย อยู่ใกล้กัน เพียงแค่ข้ามถนนเท่านั้น ซึ่งสนามแห่งนี้มีชื่อว่า Miyanosawa Shiroi Koibito Football Stadium เป็นสนามฟุตบอลที่ โอบล้อมด้วยทิวเขา บรรยากาศดีจริงๆ ครับ


ตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติ มีลวดลายโลโก้ของสโมสร Hokkaido Consadole Sapporo สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองนี้



เดินเข้ามาภายในบริเวณสนาม จะเห็น รูปถ่ายของนักเตะของ สโมสร Hokkaido Consadole Sapporo ในแต่ละปีด้วยครับ


และ แน่นอนสำหรับ ปี 2018 ก็จะเห็นรูปของ เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์(เบอร์ 18) นักเตะไทย ร่วมอยู่ในทีมด้วย สุดยอดไปเลย!



ในช่วงที่ไม่มีการแข่งขัน สนามแห่งนี้ จะถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมครับ ซึ่งจะมีนักเตะ เข้ามาซ้อม และสามารถไปนั่งชมการซ้อมได้ แต่น่าเสียดายที่วันนี้มีการแข่งขันพอดี Hokkaido Consadole Sapporo เป็นทีมไปเยือนทีมจากเมืองอื่น ทำให้อดดูทั้งการแข่งขัน(ในบ้าน) และ การซ้อม เลยครับ 55+



ภายในมีร้านอาหารด้วยนะ ใครหิวก็เข้าไปหาอะไรกินได้



วันนี้ ก็เลยได้แค่ชมสนามซ้อมไปพลางๆ ก่อน เดี๋ยวมา ซัปโปโร รอบหน้า ไว้ไปเจอกันที่ Sapporo Dome แน่นอนครับ



ช่วงเข้าสู่หน้าหนาวแบบนี้ บรรยากาศจะดูมืดค่ำเร็วมากครับ ก็ได้เวลาที่จะกลับเข้าไปยังใจกลางเมืองดีกว่า..



ชม ใบแปะก๊วย ในเทศกาล Hokkaido University Golden-leaf Festival



ถ้าพูดถึง จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ใน ซัปโปโร ก็ต้องนึกถึง ใบแปะก๊วย สีเหลืองอร่าม ใน มหาวิทยาลัยฮอกไกโด ซึ่งช่วงที่ผมเดินทางมานี้ นับว่าโชคดีที่มาตรงกับ เทศกาลแสดงไฟ(Light Up) ของที่นี่พอดี ซึ่งเขาจะจัดงานเพียงแค่ 2 วัน เท่านั้น ในช่วงปลายเดือนตุลาคม



ผมนั่งรถไฟใต้ดิน มาที่ สถานี Kitajunijo Station และเดินเท้าต่ออีกหน่อย ก็ถึง มหาวิทยาลัยฮอกไกโด ซึ่งวันนี้คนเยอะมากๆ หลายคนก็เดินทางมาเพื่อเข้าชม เทศกาล Hokkaido University Golden-leaf Festival เช่นกัน



ต้นแปะก๊วย ที่ปลูกเป็นแนวยาว สองฝั่งถนน Ginkgo Avenue แต่ละต้นถูกฉายด้วยแสงไฟ จนทำให้มองเห็นใบแป๊ะก๊วยสีเหลืองสวยงาม จนหลายคนต้องมาตั้งกล้องรอเก็บภาพกันเลย โดยไฟจะเริ่มเปิดตั้งแต่ช่วงหกโมงเย็น ไปจนถึง สามทุ่ม



นอกจาก การแสดงไฟ(Light Up) แล้ว ภายในงานก็จะมีการออกร้าน ทั้งร้านจำหน่ายของที่ระลึก และร้านค้าต่างๆ ผมใช้เวลาเดินเล่นชมบรรยากาศโรแมนติคๆ แบบนี้ จนสุดถนน แล้วจึงเดินทางกลับครับ..


ปิ้งย่างเนื้อวากิว.. ตระเวนราตรีย่าน Susukino!



กลับมาถึง ย่าน Susukino ก็เข้าโรงแรมไปทำการเช็คอิน โดยผมได้เข้าพักที่ HOTEL MYSTAYS Sapporo Susukino อยู่แถวๆ ย่าน Susukino นี้เอง เมื่อเก็บกระเป๋าเข้าห้องพักเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาเดินเล่นตระเวนราตรีกันต่อ ซึ่งต้องบอกว่าย่านนี้ เป็นย่านที่บรรยากาศคึกคักมาก เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านกินดื่มมากมาย เต็มไปด้วยแสงสีเกือบตลอดทั้งคืนเหมือนไม่เคยหลับ

มื้อเย็นนี้ ผมตามมากินร้านปิ้งย่าง เนื้อวากิว A5 ที่หลายๆ คนชอบแวะมาทานกัน Sekai Yakiniku World Champion


เมนูเป็นแบบบุฟเฟต์ แบ่งเป็นครอสให้เลือก ในแต่ละครอสก็สามารถเลือกเนื้อในส่วนที่ต้องการได้ ทานได้ 90 นาที(3,300 เยน, 6,200 เยน)



พนักงานจะเสิร์ฟ ชุดเริ่มต้น มาให้ก่อน ซึ่งจะมี หมู ไก่ รวมๆ กันมา เมื่อทานชุดนี้หมด จึงสามารถเลือกเนื้อในส่วนที่ต้องการได้



เนื้อในส่วนต่างๆ ที่สั่งไปก็จะเสิร์ฟมาเรื่อยๆ ปิ้งย่างไป กินไป ฟินมากๆ เลยครับ



เนื้อในบางส่วน จำเป็นต้องสั่งล่วงหน้าก่อนหมดเวลาทาน 20 นาที เพราะต้องใช้เวลาในการย่างค่อนข้างนาน



เนื้อที่มีส่วนของไขมันแทรกซึมเป็นลายสวย อร่อย นุ่ม แทบละลายในปาก




ค่อยๆ ย่างไป กินไป ทีละชิ้น สองชิ้น



ถ้าต้องการข้าวก็สามารถสั่งได้ โดยรวมอยู่ในราคาบุฟเฟ่ต์ไปแล้วครับ เนื้อย่างทานกับข้าวร้อนๆ อร่อยดี



นอกจากนี้ ก็มี เมนูซูชิ เมนูทานเล่น และซุปแบบต่างๆ มาให้เลือกอีกด้วย โดยเฉพาะ ซูชิเนื้อ อร่อยมาก สั่งมาหลายรอบเลย กินได้ไม่อั้น 55+



และ สำหรับคอเบียร์ ก็มีบุฟเฟต์เบียร์เช่นเดียวกัน ราคา 1,500 เยน/คน 90 นาที ถ้าสั่งเป็นแก้ว แก้วละ 450 เยน ดื่มเกิน 3 แก้ว สั่งแบบไม่อั้นดีกว่า คุ้มกว่า อิอิ!



มื้อนี้ก็จัดได้ว่า.. เป็นมื้อที่อิ่มจนจุก แทบเดินไม่ไหว อยากจะล้มตัวลงนอนเลยทีเดียว..


DAY #2
Otaru เที่ยวตลาดปลา เก็บแอปเปิ้ล ในวันที่ฝนโปรยปราย!


เช้าวันใหม่ มีฝนตกโปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้ามืด บรรยากาศดูค่อนข้างจะอึมครึมสำหรับวันนี้ อากาศเย็นและมีลมหนาวโชย พร้อมเม็ดละอองฝน แบบเป็นฝอยๆ มันทำให้รู้สึกเย็นแบบแปลกๆ 55+ ตอนแรกผมกะจะรีบออกไปเที่ยวตั้งแต่เช้า แต่ก็ต้องนั่งมองออกนอกหน้าต่างให้อากาศข้างนอกมันดีขึ้นสักหน่อยก่อน จนผ่านไปสักพัก จึงสามารถเดินออกไปข้างนอกได้



ผมไปตั้งต้นเดินทาง ที่ สถานีรถไฟ JR Sapporo ซึ่งจะเดินทางไปเที่ยวที่ Otaru ครับ ซึ่งเป็นเมืองที่ใครมาซัปโปโรก็ต้องแวะไปเที่ยว เพราะใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง



เมื่อเดินทางมาถึงที่ สถานีรถไฟโอตารุ (JR Otaru)ก็พบว่า สายฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดดี เป็นฝนแบบหยุดๆ ตกๆ และน่าจะเป็นแบบนี้ตลอดทั้งวัน แผนที่วางไว้ว่าจะไปเดินเล่นริม คลองโอตารุ, Otaru Music Box Museum ฯลฯ เป็นอันต้องพับลงไปก่อน ต้องหาที่เที่ยวในร่มแทน และ ตลาดปลาซังคาคุ (Sankaku Market) ที่อยู่ใกล้ สถานีรถไฟโอตารุ ก็เป็นคำตอบที่ดี อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ เดินไปแค่ 100 เมตรเท่านั้น

ตลาดปลาซังคาคุ (Sankaku Market) เป็นตลาดปลาเล็กๆ ครับ ทางเข้าเป็นแค่ประตูเล็กๆ มองจากข้างนอก คงดูไม่ออกว่าเป็นตลาด 55+ เมื่อเดินเข้าไปด้านใน จะเจอกับร้านขายอาหารทะเลเล็กๆ อยู่นับสิบร้าน เรียงรายอยู่ทั้ง 2 ข้างทางเดิน โดยจะมีพ่อค้า แม่ค้า มายืนคอยเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน ตลอดระยะทางประมาณ 200 เมตร เอาเป็นว่าใช้เวลาแป้บเดียวก็เดินจนสุดตลาดแล้ว(เวลาเปิด : 08.00 น. – 14.00 น.)

เมืองโอตารุ มีชื่อเสียงด้านอาหารทะเล ที่นี่อาหารทะเลจึงมีคุณภาพ สดทุกอย่าง

หอย เป็นอีกเมนูหนึ่งที่น่าสนใจมากครับ


ปลา แบ่งเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ราคาไม่แพงเลย


นอกจาก จะมีอาหารทะเลแบบสดๆ ตัวเป็นๆ ขายแล้ว ในบางร้านก็จะเปิดเป็นร้านอาหารเล็กๆ อีกด้วย โดยสามารถสั่ง กุ้ง หอย ปู ปลา แบบเป็นๆ สดๆ จากหน้าร้าน มานั่งกินในร้านได้เลยครับ อยากกินอะไร ก็ชี้สั่งเอาได้เลย .. ทั้งแบบกินสด ซาซิมิ หรือ เมนูปิ้งย่าง ก็ทำได้หมด รับรองสดแน่นอน ที่สำคัญราคาไม่แพงด้วยครับ



หอย สามารถกินได้แบ ซาซิมิ หรือ บาร์บีคิว ก็ได้ (ราคา 350 เยน/ตัว)



ผมสั่ง หอย แบบ ซาซิมิ มาลองชิม ซึ่งทางร้านก็จะทำให้กินแบบสดๆ เลย



ซาซิมิหอย จิ้ม ซอส และ วาซาบิ เด็ดครับ!



ลองให้ทางร้านทำหอย แบบบาร์บีคิวให้ แต่ ผมรู้สึกชอบแบบกินสดมากกว่า แบบนี้มันดูแห้งๆ ไป 55+



อูนิ(ไข่หอยเม่น) ยกให้เป็นที่สุด …อย่างฟิน ^^




ข้าวหน้าทะเล เสิร์ฟมาเป็นชุด พร้อมน้ำซุป ชามนี้อร่อยจริงๆ ไม่มีกลิ่นคาว ของสดมากครับ ผมเลือกเป็นหน้า ไข่ปลาแซลมอน กับ เนื้อปู (ราคาชุดละ 1,800 เยน)





Masa Zushi ชิมซูชิปั้นสดจากเชฟ!



ดูทีท่าว่า.. มา โอตารุ ครั้งนี้ คงจะต้องหลบเข้าร้านอาหารอย่างเดียว ผมก็เลยเดินไปแวะชิมอีกร้านที่อยู่ไม่ไกล เป็นร้านซูชิที่มีเชฟมาปั้นซูชิแบบสดๆ ให้ทานแบบ Omakase ร้านนี้มีชื่อว่า Masa Zushi Honten Otaru เวลาเปิดจะมี 2 ช่วง คือ 11.00 น. – 15.00 น. และ 17.00 น. – 21.30 น.(ปิดวันพุธ)

ช่วงที่ผมมาถึงร้าน คนมาใช้บริการยังไม่เยอะ เลยได้มีโอกาสนั่งตรงหน้าบาร์ สามารถมองเห็นเชฟแสดงฝีมือการปั้นซูชิได้อย่างใกล้ชิด

ต้องยอมรับว่า.. สั่งเมนูซูชิไม่ค่อยจะเป็น ก็เลยต้องพึ่ง ชุดแนะนำ ชุดนี้ ราคา 3,500 เยน

ซูชิหน้าไข่ปลาแซลมอน อร่อย ไม่คาว

โดยรวมแล้ว รสชาติซูชิถือว่า อร่อยมากเลยครับ ของสดมากๆ เชฟพิถีพิถันในการปั้นซูชิแต่ละคำมาก และจะคอยถาม คอยคุย อยู่ตลอดเวลา แม้จะสนทนาไม่ค่อยจะรู้เรื่องก็ตาม 55+ สรุป คือ ชอบครับ ไว้ไปโอตารุคราวหน้าต้องแวะไปกินร้านนี้อีกแน่นอนครับ!



รายละเอียดร้านอาหาร



  • ชื่อ : Masa Zushi Honten Otaru
  • ที่อยู่ : 1 Chome-1-1 Hanazono, Otaru-shi, Hokkaidō 047-0024, Japan
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/nkvTQeZuVi52
  • เวลาเปิด : 11.00 น. – 15.00 น. และ 17.00 น. – 21.30 น.(ปิดวันพุธ)
  • โทร : +81 134-23-0011


เก็บ แอปเปิ้ล สดๆ จากสวน!



ด้วยความตั้งใจแรกว่า.. ช่วงเช้าจะเดินเล่นใน โอตารุ (แต่ฝนตก) และช่วงบ่ายจะแวะไปเก็บแอปเปิ้ล พอเข้าสู่ช่วงบ่าย ก็จึงจำเป็นจะต้องเข้าแผนเดิม คือ ไปเก็บแอปเปิ้ล ซึ่งจะต้องนั่งรถไฟจาก สถานีรถไฟ JR Otaru ไปลงที่ สถานีรถไฟ JR Niki ใช้เวลาประมาณ 30 นาที



วิว ใบไม้เปลี่ยนสี ระหว่างทาง



นั่งรถไฟมาถึง สถานีรถไฟ JR Niki ซึ่งก็ยังทิ้งร่องรอยความชุ่มฉ่ำไม่แพ้กัน ซึ่งรอบๆ บริเวณสถานีแห่งนี้ มีสวนผลไม้อยู่หลายสวน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนปลูกผลไม้ไปตามฤดูกาลต่างๆ และ วันนี้ผมตั้งใจที่จะไปสวนที่ชื่อว่า Tourist Farm – Cherry mountain (หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sakuranboyama.net/ ) มีส่วนลดเข้าสวน 10% ด้วยนะครับ เข้าไปปริ้นท์แล้วนำไปยื่นเป็นส่วนลดก่อนเข้าสวนได้ครับ



จากข้อมูลที่ได้มา เมื่อมาถึง สถานีรถไฟ JR Niki แล้ว ก็สามารถโทรให้ทางสวนออกมารับได้ครับ สามารถโทรได้จากตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าสถานีรถไฟ แต่.. ตู้มันดันเสีย 55+ เลยติดต่อเขามารับไม่ได้ ก็เลยต้องรอเผื่อรถของทางสวนจะวนมาส่งคนที่สถานี แต่รอนานมากจนไม่มีวี่แวว สุดท้ายก็ต้องพึ่ง Taxi ครับ นั่งมาประมาณ 5 นาที ก็ถึงสวนแล้ว




ในแต่ฤดูกาลก็จะปลูกผลไม้แตกต่างกันไปครับ เช่น



  • เชอร์รี่ Late June – Early August
  • พลัม Early August – Late August
  • พรุน Early September – Mid October
  • องุ่น Early September – Late October
  • แอปเปิ้ล Mid September – Late October



ซึ่งช่วงที่ผมมาเป็น ช่วงปลายเดือนตุลาคม จึงมีผลไม้ให้เก็บอยู่ 2 ชนิด คือ องุ่น กับ แอปเปิ้ล ครับ ผมเลือกเก็บแอปเปิ้ลอย่างเดียว ราคา 900 เยน เก็บกินได้ไม่อั้นเลย และสามารถเอากลับไปได้อีก 3 ลูก ครับ




เจ้าของสวน จะพามาที่สวนแอปเปิ้ล พร้อมอุปกรณ์การเก็บ และก็จะสอนวิธีการเก็บเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บตามสบายได้เลย



แอปเปิ้ล เก็บจากต้นสดๆ กรอบหวานมากครับ ใครอยากมีกิจกรรมสนุกๆ แบบนี้ลองแวะมาครับ



ตารางรถรับส่ง ระหว่าง สถานีรถไฟ JR Niki กับ สวนผลไม้ ครับ จะสัมพันธ์กันกับรอบรถไฟที่จะมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองซัปโปโร ควรดูรอบให้ดีนะครับ เพราะเที่ยวรถไฟ ผ่าน สถานีรถไฟ JR Niki ค่อนข้างน้อย พอเก็บแอปเปิ้ลจนจุใจแล้ว ก็นั่งรถรับส่ง กลับไปที่สถานีรถไฟครับ โดยลุงที่ดูแลสวนใจดีมาก ขับมาส่งด้วยตัวเองเลย..



เมื่อมาถึง สถานีรถไฟ JR Niki ก็รอรถไฟกลับเข้า เมืองซัปโปโร ต่อไป ครับ


ชิม ซุปแกงกะหรี่ .. ของดีซัปโปโร!



เขาว่ากันว่า.. มา ซัปโปโร ต้องชิม Soup Curry หรือ ซุปแกงกะหรี่ สักมื้อ ..ก็จัดไปครับ



หลังจากไปเก็บแอปเปิ้ล และกลับเข้าเมืองซัปโปโร เป็นที่เรียบร้อย ก็เป็นเวลาอาหารมื้อเย็นพอดี มื้อนี้จึงต้องลองชิม ซุปแกงกะหรี่ สักหน่อย โดยมาที่ ร้าน CoCo Ichibanya ซึ่งตั้งอยู่ตรงหัวมุม แยก Susukino เลยครับ(เวลาเปิด 11.00 น. – 05.00 น.)



ร้าน CoCo Ichibanya อาจจะเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีครับ เวลาช่วงหัวค่ำแบบนี้ คนมารอคิวเข้ามากินอาหารในร้านค่อนข้างเยอะครับ เมื่อถึงคิวก็เข้ามานั่งในร้าน เป็นที่นั่งแบบบาร์เล็กๆ พอให้ขยับตัวได้ ดูเมนู แล้วก็สั่งอาหารไปครับ




ผมสั่งเมนู Soup Curry หรือ ซุปแกงกะหรี่ เป็นชุด เสิร์ฟมาพร้อมข้าว ราคา 958 เยน



กลิ่นเครื่องเทศของ ซุปแกงกะหรี่ หอมมาก และ ซุปก็ร้อนมากเช่นกัน กินร้อนๆ ตอนนี้ช่วยให้คลายหนาวจากสภาพอากาศข้างนอกได้อย่างดีครับ




รายละเอียดร้านอาหาร



  • ชื่อ : CoCo Ichibanya
  • ที่อยู่ : Japan, 〒064-0804 Hokkaidō, Sapporo-shi, Chūō-ku, Minami 4 Jōnishi, 3 Chome−9番5 八のじビル
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/erG2xPsarRy
  • เวลาเปิด : 11.00 น. – 05.00 น.
  • โทร : +81 11-231-6267


Gindaco ร้านทาโกยากิ (Takoyaki) นั่งชิลๆ ปิดตี 4 !



Gindaco(Takoyaki) ร้านนี้ บังเอิญเจอตอนกำลังเดินผ่านเพื่อกลับที่พักครับ ร้านตั้งอยู่ใกล้ๆ กับแยก Susukino เดินผ่านหน้าร้าน กลิ่นหอมของ ทาโกยากิ โชยมาเตะจมูกจนต้องขอลองชิมดูสักหน่อย ซึ่งตอนแรกเห็นคนยืนออซื้อทาโกยากิกันที่หน้าร้าน ก็เข้าใจว่า คงเป็นร้านแบบเล็กๆ ให้ซื้อกลับไปกินที่บ้านอะไรประมาณนั้น แต่ที่จริงแล้วในร้านมีที่นั่งบนชั้น 2 ด้วยนะครับ แถมปิดตี 4 อีกด้วย (เวลาเปิด 17.00 น. – 04.00 น.)



มีบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลากหลายประเภทด้วย ราคาไม่แพง แถมมีที่นั่งให้นั่งดื่ม นั่งกิน แบบสบายๆ อย่างนี้ ก็ยาวสิครับ 55+



เครื่องดื่มต่างๆ ก็อยู่ที่ แก้วละ 450 เยน ขึ้นไปครับ นั่งดื่มเครื่องดื่ม พร้อมชมบรรยากาศของย่าน Susukino ไปด้วยเพลินเลย รู้ตัวอีกทีก็หมดไปหลายแก้วเหมือนกันมั้งเนี่ย อิอิ!



รายละเอียดร้านอาหาร



  • ชื่อ : Gindaco (Takoyaki) 築地銀燒
  • ที่อยู่ : Japan, 〒064-0805 Hokkaidō, Sapporo-shi, Chūō-ku, Minami 5 Jōnishi, 3丁目11-2 第23桂和ビル
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/qmeyr6HkZqv
  • เวลาเปิด : 17.00 น. – 04.00 น.
  • โทร : +81 11-552-7055



คืนนี้ ก็เป็นคืนที่รู้สึกว่าได้พักผ่อน ได้นั่งชิลดีจริงๆ ครับ เมื่อถึงเวลาอันพอสมควร ก็กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้าอีกเหมือนกัน โดยจะนั่งรถไฟออกไปนอกเมือง เพื่อไปสัมผัสหิมะที่ Mt.Asahidake กันครับ!


DAY #3
ไปสัมผัสหิมะก่อนใคร บน Mt.Asahidake!



เช้านี้.. จะออกนอกเมืองไปเล่นหิมะบน Mt.Asahidake



ช่วงปลายเดือนตุลาคมของทุกปี เกาะฮอกไกโด ก็เริ่มมีหิมะตกแล้ว โดยเฉพาะที่ยอดเขาของ Mt.Asahidake จะเป็นที่แรกๆ ที่มีหิมะตกเลยครับ ใครอยากมาสัมผัสหิมะก่อนใคร ก็ต้องลองมาที่นี่เลย



Mt.Asahidake เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด ซึ่งมีความสูงถึง 2,290 เมตร นักท่องเที่ยวที่ชอบความเป็นธรรมชาติจะต้องถูกใจที่นี่อย่างแน่นอน เพราะมีเส้นทางเดินชมศึกษาธรรมชาติ ทั้งแบบระยะใกล้ และระยะไกล โดยนิยมมาเที่ยวกันในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีใน เดือนกันยายน-เดือนตุลาคม และที่ยอดเขานี้จะเริ่มมีหิมะปกคลุมในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งจะมีหิมะตกเป็นที่แรกๆ ของฮอกไกโดเลยครับ




การเดินทาง ไป Mt.Asahidake



  • ช่วงที่ 1 JR Sapporo Station – JR Asahikawa Station นั่งรถไฟ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
  • ช่วงที่ 2 Asahikawa Station – Ropeway Station นั่งรถบัส ราคา 1,430 บาท/เที่ยว(รถบัสวิ่งวันละ 4 เที่ยว) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
  • ช่วงที่ 3 Ropeway Station – Mt.Asahidake ขึ้นกระเช้า ราคาไป-กลับ 2,900 เยน(ช่วงเดือนมิถุนายน – กลางเดือนตุลาคม) และ 1,800 เยน(ช่วงกลางเดือนตุลามคม – เดือนพฤษภาคม)


ออกเดินทาง ไป Mt.Asahidake



วันนี้.. อากาศยังคงดูอึมครึมอยู่เหมือนเดิม ไม่มีฝนตก แต่มีเมฆมาก ผมมาเริ่มต้นการเดินทางที่ สถานี JR Sapporo เพื่อไปยังจุดหมาย ที่ สถานี JR Asahikawa ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที



เมื่อถึง สถานี JR Asahikawa ก็เดินออกมาหน้าสถานี เพื่อไปยัง ป้ายจอดรถบัส หมายเลข 9



ป้ายจอดรถบัส หมายเลข 9 เป็นจุดจอดรถบัสที่จะพาไปยัง Mt.Asahidake Ropeway Station ซึ่งขณะนี้เริ่มมีคนมารอรถกันอยู่พอสมควรเลยครับ



ตารางรถบัส ระหว่าง สถานีรถไฟ JR Asahikawa – Mt.Asahidake Ropeway Station มีรถวิ่ง 4 เที่ยวต่อวัน ต้องบริหารเวลาให้ดี ทั้งขาไป และ ขากลับนะครับ โดยผมได้เดินทาง ขาไป เวลา 09.41 น. และ ขากลับ เวลา 15.30 น. มีเวลาเที่ยวอยู่ที่ Mt.Asahidake ประมาณ 4 ชั่วโมง ครับ (ใครอยากอยู่นานกว่านั้นก็รอกลับรถเที่ยวสุดท้ายก็ได้นะ) ราคาค่าโดยสาร 1,430 บาท/เที่ยว



รถบัสออกตรงเวลา พาไปยังจุดหมาย ค่อยๆ ไต่ระดับความสูงไปทีละนิด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที



พอเริ่มใกล้ถึงจุดหมาย ก็เริ่มจะเห็นหิมะปกคลุมตามถนน และรถก็มาส่งถึงที่ สถานีขึ้นกระเช้า Ropeway เป็นป้ายสุดท้าย



พอก้าวขาลงจากรถบัส ก็ได้สัมผัสกับความหนาวอย่างเต็มที่ บริเวณโดยรอบ สถานี Ropeway ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนเลย ได้ข่าวว่า.. ที่นี่เพิ่งเริ่มมีหิมะตกลงมาแค่ไม่กี่วันเองครับ



ขอเดินเล่นชมบรรยากาศบริเวณโดยรอบสักหน่อย




บรรยากาศแถวนี้ดูสงบเงียบดีครับ



เดินเล่นอยู่สักพัก ก็ขอเข้าไปในอาคารของสถานี ดีกว่าครับ ซึ่งภายในสถานี ก็มีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร มาหาอะไรรองท้องก่อนขึ้นกระเช้าก็ได้ครับ



พอดีผมเก็นเมนู ไส้กรอกเนื้อกวาง ตามที่แปลความหมายได้จากหน้าเมนู ก็เลยต้องขอชิมหน่อย อันใหญ่ดี รสชาติใช้ได้เลย!



จากนั้น ก็เดินขึ้นไปชั้น 2 เพื่อไปขึ้นกระเช้าครับ ระหว่างขึ้นบันไดไปชั้น 2 ก็จะเห็นตัวอักษรภาษาต่างๆ บนขั้นบันได เป็นข้อความต้อนรับ



มาที่ จุดจำหน่ายตั๋ว ขึ้นกระเช้าครับ ราคาไป-กลับ 2,900 เยน(ช่วงเดือนมิถุนายน – กลางเดือนตุลาคม) และ 1,800 เยน(ช่วงกลางเดือนตุลามคม – เดือนพฤษภาคม) ตรงจุดนี้จะมีป้ายติด แสดงอุณหภูมิ ความเร็วลม ความหนาของหิมะ และ จอแสดงทัศนวิสัยบนยอดเขา แบบ Realtime อีกด้วย



ช่วงนี้คนค่อนข้างน้อย ได้ขึ้นกระเช้าเหมือนได้เหมารอบเลย ซึ่งกระเช้าจะขึ้นลงทุกๆ 15-20 นาที(แล้วแต่ฤดูกาล)



กระเช้าจะค่อยๆ เคลื่อนผ่านยอดต้นสนที่ขณะนี้เริ่มมีหิมะปกคลุม



ยิ่งสูง ยิ่งหนาว ยิ่งเริ่มเจอหิมะมากขึ้น กระเช้ามาหยุดอยู่ที่สถานีบนสุด เดินออกมาข้างนอกนี่รู้สึกหนาวมากเลยครับ 55+



มาถึงด้านบน หิมะก็กำลังตกหนักพอดี พร้อมกับกระแสลมที่โชยมาเป็นระยะ



พนักงานที่ดูแล จะแนะนำเส้นทางเดินในบริเวณนี้ ซึ่งสามารถเดินได้ครบรอบในระยะเวลา 1 ชั่วโมง แต่ดูจากสภาพอากาศด้านนอก ท่าทางจะไม่ไหวแน่ๆ ขอแค่ออกไปเดินดูในระยะใกล้ๆ นี้ก็พอครับ



สามารถเดินไปตามทางเดินเส้นทางที่กำหนดไว้



หิมะโปรยปรายมาตลอดเวลา แถมมีลมแรงอีกต่างหาก พัดมาทีหน้าชาเลยทีเดียว




ลองเดินเล่นไปตามเส้นทางของเขาดูครับ เอาแค่ที่พอไปได้ มองไปทางไหนก็ขาวไปหมดเลย..




ขอสัมผัสหิมะสักหน่อย เป็นหิมะที่ตกเป็นที่แรกๆ ของฮอกไกโด



รู้สึกจะค่อยๆ ทับถมกันหนาขึ้นเรื่อยๆ



หิมะเกาะตามต้นไม้ระหว่างทาง



เดินเล่นหิมะจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็หลบหนาวเข้ามาหาไออุ่น ใน สถานี Ropeway เหมือนเดิมครับ มากดเครื่องดื่มร้อนๆ นั่งชมวิวหิมะตกข้างนอกอยู่สักพัก ก็ได้เวลาเดินทางกลับเข้าเมืองซัปโปโร ตามเดิม..


เจงกิสข่าน ปิ้งย่างเนื้อแกะ มาซัปโปโรต้องลอง!



เดินทางกลับมาถึงในเมือง ซัปโปโร ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี..



มื้อนี้.. จะไปลองชิมเมนู “เจงกิสช่าน” หรือ “เนื้อแกะ” ครับ ที่เขาว่ากันว่า.. เป็นเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ ใครมาเที่ยวซัปโปโรก็ต้องมาลองชิมครับ ซึ่งก็มีหลายร้านในซัปโปโร แต่ผมขอเลือก ร้าน Juttetsu ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรม HOTEL MYSTAYS Sapporo Susukino ที่ผมพักครับ



พอเข้ามาในร้านก็จัดการสั่งอาหารได้ตามต้องการเลย พนักงานของร้านนี้ดูแลดี และเป็นกันเองครับ มีแนะนำเมนูและบางจังหวะก็มาคอยช่วยปิ้งย่างอีกด้วย



หน้าตาของเนื้อแกะ เจงกิสข่าน ดูน่ากินดี..



ลองสั่ง เนื้อแกะ ในส่วนต่างๆ มาลองชิมดู ซึ่งก็เป็นการสั่งแบบมั่วๆ เหมือนเดิมครับ 55+



จะมีผักใส่ชามใบใหญ่ๆ มาให้ด้วย ไว้เป็นเครื่องเคียง



เนื้อแกะ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายเลยครับ 55+



จะให้ดี ต้องสั่งเบียร์ มาตบท้ายด้วยสักหน่อย เพื่อความฟิน!



ในส่วนของรสชาติ ก็อร่อย เนื้อนุ่มดีมาก




รายละเอียดร้านอาหาร



  • ชื่อร้าน : Juttetsu
  • ที่อยู่ : 5 Chome Minami 7 Jonishi, Chuo Ward, Sapporo, Hokkaido 064-0807, Japan
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/7uNcA2MRg6r
  • เวลาเปิด : 17.00 น. – 24.00 น.
  • โทร : +81 11-551-1011



“เจงกิสข่าน” ก็เป็นอีกมื้ออร่อย มื้อสุดท้าย ส่งท้ายทริปนี้ครับ ซึ่งคืนนี้ก็ต้องรีบเข้านอนพักผ่อน และรีบตื่นแต่เช้า เพราะต้องเตรียมเดินทางกลับสนามบินในไฟล์ทเช้าครับ


DAY #4
จาก Sapporo กลับ สนามบินนิวชิโตเสะ(New Chitose Airport) ด้วยรถบัส!



วันสุดท้ายที่ซัปโปโร ต้องตื่นเช้ามาก เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ ซึ่งไฟล์ทกลับจะเช้ามาก ด้วย สายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ (AirAsia X) เวลา 09.40 น. ต้องเผื่อเวลากลับไปสนามบินด้วย ตอนแรกผมกะว่าจะนั่งรถไฟกลับเหมือนตอนขาเข้ามาในเมือง แต่รถไฟเที่ยวแรกที่จะกลับไป สนามบินนั้น มีเที่ยวแรกสุดประมาณหกโมงเช้า และไหนต้องรอรถไฟใต้ดินวิ่งก่อนอีก เพราะต้องนั่งจาก สถานีรถไฟใต้ดิน Susukino ไป สถานี JR Sapporo ซึ่งค่อนข้างจะเสียเวลาพอสมควร



แต่.. ก็มีวิธีที่สะดวกและประหยัด คือ รถบัส ครับ สามารถนั่งจากย่าน Susukino ไปได้เลย ตื่นเช้า ออกจากโรงแรมสักตีห้า เดินไปแยก Susukino แป้บเดียว จะเห็นป้ายรถเมล์ที่คนมารอต่อแถวขึ้นรถกันเพียบเลยครับ



ผมรีบมาต่อแถวรอเพื่อจะให้ทันรถเที่ยวแรก เวลา 05.24 น. นอกจากนี้ ก็มีเที่ยวรถให้เลือกอยู่หลายเที่ยวเหมือนกัน ค่าโดยสาร 1,030 เยน/เที่ยว



ดูเหมือนว่า.. รถเที่ยวแรกจะได้รับความนิยมมาก ครับ ขึ้นมาจนเต็มคันรถ และ ก็เต็มเบาะเสริมด้วย ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมง ก็ถึงสนามบินแล้วครับ



เมื่อถึงสนามบินแล้ว ก็ไปทำการ เช็คอิน โหลดสัมภาระ ให้เรียบร้อย และยังเหลือเวลาให้พอซื้อของฝากในสนามบินก่อนขึ้นเครื่องอีกด้วย



ทริปนี้.. ก็ได้ไปเที่ยว “ซัปโปโร” แบบสั้นๆ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ได้เจอทั้งใบไม้เปลี่ยนสี และ หิมะ ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ ถ้ามีโอกาส ผมต้องไปเที่ยว ซัปโปโร อีกแน่นอน จากเหตุผลหลายๆ อย่าง ผมรู้สึกว่า.. ชอบเมืองนี้ครับ คงได้เจอกันอีกครั้งเร็วๆ นี้ครับ!


#ไปซัปโปโรไปกับแอร์เอเชีย

#ไปซัปโปโรไปกับไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์

#AirAsiaTravels

#CHAILAIBACKPACKER


การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

Instagram : CHAILAIBACKPACKER

Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9

E-mail : [email protected]

Website : www.chailaibackpacker.com



ความคิดเห็น