เที่ยวก็มีหลายแบบนะ เดินภูเขา เดินป่า ทะเล แม่น้ำ ล่องแพ เข้าถ้ำ เดินห้าง เช่าบ้านปิ้งย่าง เที่ยวในเมือง และอีกมากมาย สำหรับผมแค่ออกไปก็คือเที่ยวละ ก็สนุกได้แล้ว การออกไปเที่ยวมันทำให้เราได้เจออะไรที่ใหม่ๆ บางทีถ้าเราไม่ได้ไปที่นั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าเราจะรู้สึกยังไงเวลาเจอะมันจริงๆ และทริปนี้ก็ตอบโจทย์ความใหม่ ความครั้งแรกได้ดีมาก ทั้งเที่ยวภูเขาไฟครั้งแรก กินเนื้อม้าครั้งแรก เดินสะพานแขวนที่โคตรสูง กับเมืองแถบ "Kyushu" ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เมืองหลักก็คือคุมาโมโต้ ข้อมูลที่จะเขียนก็อาจจะมีผิดพลาดบ้างนะครับ ก็อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเนอะ ก็เลยต้องทำความเข้าใจมั่วๆเอาเอง ฮ่าๆ
สำหรับการเดินทางรอบนี้เป็นเส้นทางที่ต่อมาจากทริปนี้ครับ NAGOYA ซึ่งก็ไม่ได้ไปไหนเท่าไหร่หรอก แต่ก็อยากเขียนไว้เฉยๆ แต่ที่นี้คือเที่ยวแบบเต็มที่
แล้ว Kyushu มันตรงไหนของญี่ปุ่น ก็ตามภาพด้านบนเลยครับ ไอ้สีแดงๆนั้นแหละส่วน Kumamoto ก็จะอยู่กลางๆของ Kyushu การเดินทางตรงจากกรุงเทพไปคุมาโมโต้นั้นไม่สามารถทำได้นะครับ ต้องไปลงที่เมือง Fukuoka ที่เป็นสนามบิน International ส่วนเดินทางมาคุมาโมโต้ ก็จะมีทั้งการขับรถ รถไฟ รถบัส และเครื่องบินซึ่งขามาผมมาทางเครื่องบิน ขากลับจะเป็นรถบัสเพราะง่ายกว่าเวลาเดินทาง เวลามีกระเป๋าแล้วขึ้นรถบัสมันจะไม่ค่อยเกะกะ
สรุปการเดินทาง
>> 26/10/2018
- เดินทางถึงคุมาโมโต้Hotel Route Inn Kumamoto Ōzu Ekimae
- ร้านอาหารอิซาคายะ 洋風居酒屋あじまん
>> 27/10/2018
- Kuamamoto Castel ปราสาทคุมาโมโต้
- Statue of Kato Kiyomasa รูปปั้น
- Kato Shrine ศาล
- Kumamotojoinari Shrine ศาล
- Shimotori ถนนช๊อปปิ้ง
- Kumamon Square ที่ทำงานคุมามง
- Suizenji Jojuen Garden สวนเมืองคุมาโมโต้
>> 28/10/2018
- Yume Suspension Bridge ( KOKONOE ) สะพานแขวน
- Kurokawa Onsen หมู่บ้านออนเซ็น
- Aso mount ภูเขาไฟ
ด้วยความที่ผมต่อเครื่องมาจากอีกเมืองของญี่ปุ่น นั่งมาลงที่สนามบินคุมาโมโต้เลยสามารถเข้าพักที่โรงแรมได้ง่ายหน่อย และโรงแรมก็มีบริการรถรับถึงสนามบินเลย เป็นรถตู้นั่งได้ 6-7 คนก็ทำให้ง่ายในการเข้าพัก วันนี้พักที่โรงแรม Hotel Route Inn Kumamoto Ōzu Ekimae ส่วนนี้จะไม่อยู่ในเมืองของคุมาโมโต้ จะเป็นชานเมือง แต่ก็ง่ายในการเดินทาเข้าเมือง ตัวโรงแรมก็โอเคนะครับ เป็นมาตรฐานโรงแรมญี่ปุ่น น้ำร้อน-เย็น เอาง่ายๆคือเราเอาแค่ชุดมาเปลี่ยนที่เหลือที่นี้มีหมดครับ ด้านล่างมีเค้าเตอร์กาแฟฟรี
อันนี้ห้องเดี่ยวก็ไม่กว้างไม่แคบ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ในตู้มีผ้าคลุมอาบน้ำด้วย ก่อนจะกลับสังเกตุเห็นว่ามีแช่น้ำร้อนด้วยนะ ไม่รู้ใช่หรือเปล่าไม่แน่ใจ
ถึงที่พักแล้วก็สบายใจ คราวนี้จะมาแนะนำอาหารทีเด็ดของเมืองคุมาโมโต้กันครับ เมืองนี้จะขึ้นชื่อเรื่องเนื้อม้า ซึ่งถามว่าที่อื่นมีม้าไหม ก็คงต้องว่ามี แต่ที่นี่เค้าเลี้ยงไว้เพื่อกิน
ด้านขวาบาซาชิ หรือ เนื้อม้านั่นเอง ทำมาแบบซาชิมิ รสชาติมันจะคล้ายเนื้อวัวบ้านเราแหละ แต่ไม่มีกลิ่นอะไรเลย สายดิบก็น่าจะถูกใจ ส่วนด้านซ้ายคือ มันคือรากบัวที่ช่องว่างของบัวจะเป็นของที่รสชาติเหมือนวาซาบิ ก็ไม่ได้กินง่ายเท่าไหร่เพราะมันจะออกแห้งๆ แต่รสชาติและสัมผัสก็แปลกๆดี กินได้
ตอนแรกเข้าใจว่าพิซซ่าที่ญี่ปุ่นไม่อร่อย เพราะเคยซื้อจากร้านที่ไทยแล้วรสชาติไม่ดี แต่เอาจริงๆ โอเคนะ
อันนี้ราเมงปิดท้าย รสชาติเจ๋งมาก มีรสกระเทียมแรงๆเลย อร่อยมาก เข้าใจว่าราเมงที่ญี่ปุ่นรสชาติจะไม่เหมือนกัน แต่อันนี้เจ๋ง เรียกว่าไงดีถูกปากคนอย่างผมอ่ะ
ก็จบวันมาถึงคุมาโมโต้วันแรก วันต่อมาเตรียมตัวเที่ยวแต่เช้า พอเช้ามาก็สามารถมองเห็นวิวจากโรงแรมได้เลย บอกเลยที่นี้คือชานเมือง วิวด้านหลังยังเป็นภูเขาอยู่เลย ผมมาช่วงเดือนตุลาคมก็จะเข้าหน้าหนาวของที่นี้บรรยากาศก็ประมาณ 20-24 องศา ใส่เสื้อกันหนาวตัวหนึ่งก็พอครับ วันนี้มีแผนนเข้าไปเที่ยวในเมือง อยากไปปราสาทคุมาโมโต้ ก่อนมาก็ตรวจสอบแล้วแหละว่าเข้าไมไ่ด้เพราะยังซ่อมไม่เสร็จ จากที่มีแผ่นดินไหวประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรของไปดูใกล้ๆก็พอ วันนี้จะเดินทางโดยใช้รถไฟจากสถานี Ozu เข้าไปในตัวเมืองคุมาโมโต้ และเดินทางต่อด้วยรถรางของเมือง ก็จะสามารถผ่านสถานที่สำคัญของเมืองได้แทบทั้งหมด
อันนี้วิวจากชั้นบนสุดของโรงแรม
มองเห็นสถานีรถไฟเลย ไม่มีหลงแน่นอน
อาหารเช้าที่นี้เป็นแบบบุฟเฟ่ญี่ปุ่น-ฝรั่ง ก็รถชาติใช้ได้ แต่ทีเด็ดคือซองผงที่คลุกกับข้าวรูปคุมะมง อร่อยถูกปาก แต่ก็ลืมถ่ายรูป
กินข้าวเสร็จก็ลุยต่อครับ เดินทางด้วยรถไฟ
ไม่ว่ายังไงญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่น การข้ามถนนที่นี้ รถยนต์จะต้องจอดให้กับคนเดินผ่านก่อนเสมอ ต่อให้เลี้ยวซ้ายผ่านตลอดก็เถอะนะ
อันนี้คือผังของรถไฟ เราจะเข้าไปที่สถานีคุมาโมโต้
การซื้อก็ไม่ยากอะไร เอาราคาสถานีที่เราจะไปมากดตามตัวเลขเลย แล้วจ่ายตัง ด้านข้างก็จะมีลุงคอยตรวจตั๋วก่อนเดินไปที่ชานชลา
ตอนแรกก็งงๆ ว่าต้องขึ้นฝั่งไหน สรุปคือฝั่ง ชานชลา2 เพื่อเข้าเมือง
ตั๋วกดมาก็ตามนี้ รถไฟโลคอลนะแต่ตั๋วก็เหมือนในเมืองแหละ
มาถึงก็งงเลยครับ ภาษาญี่ปุ่นเต็มไปหมดเลยยย
ไหนๆก็งงเดินเล่นไปเลยครับ สัญลักา์ประจำเมืองคือหมีดำ คุมะมงนี้แหละ มีทุกที่ครับ เห็นทุกมุม ถามว่าที่นี้หมีดำเยอะเหรอ ไม่ครับ มันคือมาสคอตเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และก็ทำได้ดีและปังมาก
เดินออกมาจนเจอสถานีรถรางครับ มันไม่ได้ใหญ่ถึงขั้นต้องหลงอะไรนะครับ ถ้าไม่ซ้ายก็ขวาเท่านั้นแหละครับ
รถรางของเมืองคุมาโมโต้จะมีสองสายด้วยกันนะครับคือ สาย A และ B ซึ่งเส้นทางจะไม่เหมือนกัน แต่ก็มีช่วงที่ใช้ทางร่วมกันครับ ก็ศึกษากันได้ สามารถซื้อตั๋วเหมาทั้งวันได้ที่สถานีคุมาโมโต้นะครับ ราคาผู้ใหญ่ 500¥ อันนี้สามารถเว็บไปดูครับ Tram Guide Load tram Map วิธีใช้ก็ทำสัญลักษ์ให้ตรงวันที่ขึ้นแล้วก็โชให้พนักงานดู ถ้าขึ้นแบบผมก็คือจ่ายทุกครั้งที่ขึ้นก็ราคา 170¥ ถ้าขึ้น3รอบขึ้นไปก็เหมาดีกว่านะครับ วิธีขึ้นรถของประเทศญี่ปุ่นนะครับ ส่วนใหญ่จะขึ้นประตูกลางหรือประตูหลังแล้วลงประตูหน้าครับ เพราะถ้าจ่ายตังบนรถเราจะได้ไปจ่ายด้านหน้ากับคนขับได้ง่ายๆ ส่วนการจะจ่ายตัง 170¥ ทุกครั้งต้องทำยังไง เราต้องเตรียมเหรียญให้พอดีแล้วใส่กล่องที่อยู่ด้านบนสุดตามภาพด้านล่างครับที่เขียนว่า Fare พอเราใส่ตังเสร็จคนขับก็จะกดตังให้หล่นลงไปอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้คนถัดไปมาจ่ายต่อ เอ่าแล้วถ้้ามีตังไม่พอดีทำไง แลกได้ครับช่องถัดมาจะเขียน Coin Change หยดลงไปเลยมันจะคืนให้ด้านล่างเอง ถ้าเราไปเที่ยวแล้วเราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ให้รอดูคนอื่นเค้าทำก่อนครับ อิอิ
การควบคุมรถรางนี้ดูน่าสนุกนะครับ คือมันไปตามรางไงคนขับเลยไม่ต้องหักเลี้ยวซ้ายขวา ทำหน้าที่เร่งความเร็วกับจอดเท่านั้นเอง ชิวเนอะ
ภาพรถรางชัดๆ
ผมนั่งจาก Kumamoto Station มาที่ Kumamoto Castle/citi Hall ก็คือมาลงที่หน้าปราสาทคุมาโมโต้เลย ดูป้ายครับจะได้ไม่หลงทาง
ผมเดินเรียบคลองรอบปราสาทเพื่อที่จะไปด้านหน้า
เริ่มเห็นส่วนที่ปราสาทเสียหายจากแผ่นดินไหว
Statue of Kato Kiyomasa ปากทางเข้า เป็นไดเมียวปกครองเมืองคุมาโมโต้นะครับคนนี้
เดินเข้ามาด้านในจะเจอตลาดครับ เป็นพวกของที่ละลึก และพวกขนม
คุมามง คุมามงเต็มไปหมดเลย ที่นี้มีทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งคือราเมงครับ ทำไมไม่รู้มันอร่อยกว่าที่อื่นที่กินมา มันหอมกระเทียมอ่ะ ลองหาซื้อดูครับ คิดว่าน่าจะเป็นรถชาติที่ทำแบบของที่นี้นะครับ
กลางตลาดจะเป็นพื้นที่สำหรับการแสดงนะครับ ถ้ามาจังหวะดีก็น่าจะได้เจอ เพราะผมก็ไม่รู้รอบแสดงของเค้าเหมือนกัน เป็นการโชรำดาบแบบของเค้าอ่ะครับ
เดินทะลุมาด้านหลังตลาดข้ามสะพานเพื่อนที่จะเดินรอบปราสาทนะครับ
อันนี้ไม่ใช่ปราสาทนะครับ มันไม่เล็กขนาดนี้ อันนี้ดูเหมือนป้อมยามประจำมุมของรั่วอ่ะครับ
อันนี้ปราสาทของจริง มองเห็นไกลๆ เหมือนว่าหลังเล็กจะซ่อมเสร็จแล้ว
สภาพกำแพงครับ น่าจะอีกหลายปีถึงจะซ่อมเสร็จนะ
"Kato Shrine" เดินรอบมาเรื่อยๆครับเข้าศาลเจ้า คิดว่าที่นี่น่าจะใกล้ปราสาทที่สุดแล้ว
ก่อนเค้าศาลเจ้าทุกที่เค้าจะมีกระบวยน้ำแบบนี้สำหรับล้างมือนะครับ จริงๆเหมือนจะมีสูตรสำหรับการล้างด้วยว่าทำแบบไหน ล้างข้างไหนอะไรแบบนี้ แต่เรานักท่องเที่ยวกพอประมาณคงไม่น่าเกลียดอะไร
หน้าศาลเจ้าเค้าจะมีกล่องแบบนี้ สำหรับโยนเหรียญลงไป ขอพรสักการะอะไรแบบนี้
สาวน้อยกับลูกโป่งแดง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของที่นี้เป็นญี่ปุ่นครับ เพราะมันไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของคนไทยแบบเรา
อันนี้ยังอยู่ในวัด Kato Shrine มองเห็นการก่อสร้างไม่ไกลเท่าไหร่ อันนี้ซูมๆเอา
"Kumamotojoinari Shrine" เดินต่อรอบปราสาทมาเรื่อยๆครับ ก็จะเจอวัดนี้ทางขวามือ ตกแต่งสีแดงแบบเด่นๆ คนไม่เยอะเท่าไหร่ เข้าไปสักการะ ถ่ายภาพได้
ซุ้มประตูสีแดง เด่นดี
ด้านตรงข้ามวัดก็จะมีรูปปั้นอยู่ ต้องขออภัยไม่ออกเหมือนกันครับ ว่าเค้าเป็นใครเนอะ อันนี้ภาษาญี่ปุ่นไปละกัน 横井小楠をめぐる維新群像の碑
ถ่ายภาพรูปปั้นนิดหน่อยก็เดินต่อครับ ต่อไปจะไปที่ Shimotori ย่านช๊ปปิ้งของเมืองกันใกล้ไปครับเดินไป โดยเดินข้ามสะพานมา ประมาณ 500 เมตรก็ถึงละครับ จุดสังเกตุคือห้าง Parco
ไปไหนก็มีแต่คุมามง
เมืองที่ดูสะอาดดี ขยะไม่มี ที่ไม่มีอีกอย่างก็คือถังขยะ
นี่ไง "Shimotori" ใครชอบช๊อปปิ้งก็สามารถมาได้ครับ เป็นย่านที่จะสามารถเห็นเด็กไวรุ่นเด็กนักเรียน ที่นี้เดินเต็มไปหมด จริงๆแล้วถนนหลายสาย ก็เป็นเส้นทางเดียวกันนี้แหละ แต่ผมไม่ได้เน้นซื้อของเท่าไหร่ก็เลยแวะซอยด้านข้างหาของกิน
อันนี้แวะร้านของทอด ผักทุกอย่างเนื้อทุกอย่างเอามาทอด กินๆไปก็โอเคนะ มะเขือเทศเอามาทอดงี้ อร่อยซะงั้น และที่ขาดไม่ได้คือเบียร์และเนื้อม้า เอาจริงๆเนื้อม้ารสชาติและสัมผัสไม่เหมือนที่กินเมื่อวานเลย เข้าใจว่ามันคือมีหลายๆส่วนที่เอามาทำ แต่วันนี้ไม่ผ่านจ้า
กินเสร็จก็ออกเดินต่อครับสถานที่ถัดไปก็ใกล้ๆอีกแล้ว
"Kumamon Square" เดินตาม GPS มาและครับแต่ว่าก็ใกล้มากๆ คุมามงสแคว ต้นตำหรับเค้าจะอยู่ที่นี้เลยครับ คือมีเจ้าคุมามงนี่ตัวจริงเลย โต๊ะทำงานเค้าจะอยู่ด้านในครับ จะเวลาออกมาโชตัว ผมรอไม่ไหวก็เลยต้องขอบาย
ด้านหน้า Kumamon Square
เด็กน้อยชอบบบ
ด้านในก็ขายของทุกอย่างที่เป็นคุมามง แต่ขนาดพื้นที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรครับ ของฝากน้อยกว่าที่ปราสาทอีก ถ้าเป็นไปได้ซื้อที่ปราสาทดีกว่ามีให้เลือกเยอะกว่า
อันนี้โต๊ะทำงานพี่แก สามารถไปเขียนข้อความถึงเค้าได้ที่บนโต๊ะ
เนื่องจากไม่ได้รอดูท่านคุมะมงเลยต้องเดินทางต่อครับ ครั้งนี้จำเป็นต้องใช้รถรางเพราะเส้นทางค่อยข้างไกล เดินไม่ได้ เสียเวลา รถรางนี่จะวิ่งกลางถนนเลยครับ เราก็ต้องข้ามถนนเพื่อมาขึ้น เทคนิคการขึ้นและหาเส้นทางของรถ คือเราควรสถานีที่เราจะไปก่อนครับ แล้วไปดูที่สถานี มันก็คลายๆดูสถานี BTS บ้านเรา ซึ่งจะสามารถสังเกตุได้ว่าเราขึ้นรถถูกฝั่งหรือเปล่าจากป้ายที่เขียน Next ชื่อสถานีถัดไป หรือสังเกตุจากหมายเลขสถานีก็ได้ ว่าไปทิศทางเดียวกับที่เราจะไปไหม
ผมขึ้นจาก Suidocho Station ไปลงที่ Suizenji Park Station อันนี้ขึ้นได้ทั้งสาย A และ B พอลงแล้วก็มองหาป้ายเขียวๆที่เขียนชี้ทางบอก หรือตาม GPS จะง่ายกว่า
"Suizenji Jojuen Garden" มาที่นี่เสียค่าเข้าด้วย 400¥ เป็นแบบซื้อที่ตู้ ถามว่ามีประตูกั้นไหม มีตรวจบัตรไหมก็ไม่มีนะครับ เรียกว่าวัดใจ หน้าตาบัตรเข้าก็คือภาพบนครับ
สภาพของสวนครับ สามารถเดินรอบได้ ระยะทางก็ประมาณ 1 กิโลครับ มีสระน้ำกลางสวน ใช้เวลาเดิน 30 นาทีเป็นอย่างต่ำ แบบถ่ายภาพด้วย เป็นสวนที่น่าจะมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้แล้ว เหมือนบางจุดจะเลียนแบบสถานที่สำคัญไว้ด้วย เช่น ภูเขาไฟฟูจิ
ผมเดินวนซ้าย ก็จะเจอวัดอีกครั้ง ก็แวะให้หมดครับ
พอเดินมาช่วงที่มีหญ้าสีเขียว มันสดชื่นดีนะ อีกอารมณ์หนึ่งก็เหมือนสนามกอล์ฟ
เดินทางกลับที่พักครับแล้ว
เย็นนี้มีนัดไปทำบาบีคิวบ้านพี่คนญี่ปุ่น เลยเอาภาพมาฝากเค้าทำแบบไหนกัน
28/10/2018 วันนี้เดินทางไกลครับ เพื่อเที่ยวโซนเขาซึ่งเดินทางด้วยรถยนต์ เรื่องการเช่ารถยนต์ขับที่ต่างประเทศคงไม่ได้เขียนแนะนำนะครับ แต่ที่แน่ๆถ้าจะขับรถต้องทำใบขับขี่สากลมาครับ ซึ่งทำบ้านเราเลย กฎการขับรถที่นี้ก็ไม่ยากเย็นอะไร ขับถนนทั่วไปไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บวกลบ 10 หรือตามความเร็วที่เขียนบอกข้างทาง ที่นี้เค้าจริงจังนะครับ และจอดให้คนข้ามก่อนเสมอ ที่เหลือไม่มีอะไรแล้วแหละ เห็นขับช้าๆแบบนี้เวลาเค้าเร่งเค้าจะไวมากครับ 0-60 นี่อย่างไว มันวัดกันได้แค่นี้แหละ ใครแรงกว่าช่วงต้น
"Yume Suspension Bridge ( KOKONOE )" สะพานแขวนสำหรับคนเดินที่ยาว อันดับสองของญี่ปุ่น 390 เมตร ระดับความสูง 170 เมตร ซึ่งระหว่างทางนี้โคตรดี ดูภาพละกัน
อันนี้คืออะไรไม่รู้ รู้แค่ตอนที่มองมันดูต่างประเทศดีนะ
ถึงแล้วสะพานแขวน เสียค่าด้วยนะถ้าจำไม่ผิด 500¥ ต่อคน
สาวน้อยน่ารักเว่อ
พอออกไปเดินวิวก็สุดยอดนะครับ แต่อากาศสุดยอดกว่า มันจะต่ำกว่าที่พักประมาณ 5 องศาได้ เนื่องลมพัดมาตลอด แต่วิวก็อย่างแจ่มแหละ ใบไม้เปลี่ยนสีด้วย จังหวะดีเลย ด้านล่างจะสามารถมองเห็นน้ำต 3 จุดด้วยกันนะครับ
กลางของสะพานจะมีป้ายอยู่ ชอบในการเปรียบเทียบความสูงของที่นนี้มาก ดูดิ๊พี่แกเอาไปเทียบกับก๊อตซิล่า
ส่วนกลางสะพานเหมือนกัน มองลงพื้นก็จะเจอตระแกรงสวยๆแบบนี้ ไปลองยืนเองแล้วจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
อันนี้คืออีกฝั่งของสะพาน มันสามารถเข้าชมได้ทั้งสองฝั่ง ซึ่งก็เดินไปกลับด้วยบัตรผ่านใบเดียวได้เลย แต่ว่าต้องปั๊มตราทั้งสองทางนะครับ สีจะไม่เหมือนกัน เดินขึ้นมาด้านบนสามารถมาชมวิวได้ด้วย
ปั๊มตรา 2 อันแล้ว
ใบแดงโดนไล่ออกแระ
เส้นทางต่อไป "Kurokawa Onsen" หมู่บ้านออนเซ็น เอาจริงๆก็อยู่ใกล้สะพานแหละครับ ที่นี้จะมีบ่อออนเซ็นหลายที่มาก สามารถเหมาแล้วเดินแช่ออนเซ็นได้ แต่ผมก็ไม่ได้ลองนะ แค่แช่เท้าเฉยๆ ใครชอบสายนี้ก็ศึกษาข้อมูลนะครับ อีกอย่างอาหารขึ้นชื่อคือชูครีม
ไปแช่น้ำ ร้อนชิบหาย แต่อยู่ไปซักพักกลับสบายแหะ
ไปกับต่อ "Aso mount" ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ บรรยากาศเส้นทางไปก็โอเคนะครับ มันเป็นสไตล์บ้านเค้าเลย แต่ขึ้นไปด้านบนจะหนาวกว่าปกติมากครับ น่าจะอยู่ที่ 10 องศาได้เลยลมพัดแรงมาก หนาวมือแข็งเลย คนขี้หนาวแบบผมนิ่งลูกเดียว อีกอย่างเสียค่าเข้าด้วยนะครับ แต่ลืมดูราคา ฮ่าๆ
แนวนำช่วงเวลาเดือนตุลาคม เพราะสองข้างทางจะมีแต่ทุ้งหญ้าสีขาวแบบนี้เลย
ที่จอดรถเหมือนจอดบนท้องฟ้าเลย
ควันจากปล่องภูเขาไฟ หรือกำมะถันนั้นแหละครับ กลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ
แถวๆปล่องด้านบนภูเขาไฟจะมีที่ขายหินแบบนี้ครับ ความเจ๋งคือไม่มีคนขาย ตอนที่ผมไป ถ้าจะซื้อก็วางตังเอาไว้ตามราคา ใจๆ
ทริปของวันนี้ก็จบเท่านี้ที่เหลือจะฝากอาหารและเที่ยวขากลับละครับ
ข้าวผัดไข่อร่อยนะลองดู
สำหรับใครที่อยากินเหล้าบ๊วยอร่อยๆ ลองอันนี้ครับ อร่อยสุดแล้ว น้องบอกมาอีกที เราลองเองก็โอเคร
สาเกคุมาโมโต้หน้าตาแบบนี้นะครับ ซื้อกลับมาเป็นของฝากได้
ขากลับต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินฟุกุโอกะการไปด้วยรถบัสก็สะดวกดีนะครับ การมาทำได้ตามแผนที่เลย หรือสะดวกแท็กซี่ก็ได้ ค่ารถ 2,060¥ ถึงสนามบินเลย แต่ต้องดูเทอมินอลดีๆนะครับ มันมีสองเทอมินอล ต้องลงจุดจอดที่ 2 ถ้าเดินทางไปต่างประเทศ
สรุปราคา
ที่พักประมาณ 1,900 บาทต่อวัน
ค่าเดินทางภาคพื้น 4,000 บาททั้งทริป
ค่าเครื่องบินแล้วแต่คนเนอะ ปกติช่วงไปกลับ 8000-20,000 บาทไปกลับ
อาหารแล้วแต่คนอีกนั้นแหละ ของผม 3,000 บาททั้งทริป
อย่าลืมเผื่อตังค่าของฝากนะครับ
สามารถเลี้ยงกาแฟครีเอเตอร์ผ่าน Ko-fi ผ่าน Link ด้านเพื่อเป็นกำลังใจครับ
ติดตามรีวิวอื่น อัลบัมภาพ ตามลิ้งเลย
https://www.facebook.com/Gtrip9/
หวังว่าจะชอบนะครับ
GIFT9 เลขเก้าไม่ออกเสียง
วันพฤหัสที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 01.03 น.