สวัสดีครับ บทความนี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวนอกประเทศกันอีกเช่นเคยนะครับ เนื่องจากผมมีธุระต้องไปทำงาน "โฮจิมินห์ซิตี้" ประเทศเวียดนาม แต่ทำงานไม่ถึงวันก็เสร็จแล้ว เลยลองเดินเที่ยวในเมืองโฮจิมินห์ดูดีกว่า จึงเกิดรีวิวนี้ขึ้นนั่นเองครับ
โฮจิมินห์ หรือแต่ก่อนคือ เมืองไซ่งอน เดิมคือเมืองหลวงของเวียดนามใต้ก่อนท่านโฮจิมินห์จะรวมประเทศได้สำเร็จ จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นของท่านโฮจิมินห์แทน เมืองนี้ถือเป็นแหล่งรวมความเจริญและศิลปวัฒนธรรมตะวันตกอันดับต้นๆ ของอาเซียนเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และก่อนช่วงสงครามเวียดนาม ก็เป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติ (ส่วนใหญ่เป็นอเมริกัน) เดินทางเข้ามามากมาย เพราะช่วงนั้นเวียดนามใต้ปกครองด้วยประบอบประชาธิปไตย (เรื่องการเมืองเราจะข้ามๆ ไปนะครับ 555+) และในช่วงสงครามเวียดนามนั้นเอง เมืองนี้ก็เป็นสถานที่สุดท้ายก่อนทหารอเมริกาจะถอนกำลังออกจากเวียดนาม (ใครเคยชมละครบอร์ดเวย์เรื่อง Miss Saigon มาแล้วก็จะเข้าใจสถานการณ์และจะอินๆ นิดนึงครับ เอาตัวอย่างเวอร์ชั่นไทยไปแทนแล้วกันนะครับ 555+)
ปัจจุบัน โฮจิมินห์ถือได้ว่าเป็นเมืองที่ใหญ่และเจริญที่สุดของประเทศเวียดนาม มีอะไรให้ติดตามและค้นหามากมาย อีกทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อในการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศไปยังเมืองอื่นๆ ดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาแวะพักยังเมืองนี้เป็นจำนวนมาก เอาหล่ะ...เกริ่นมาซะยาว เข้าเรื่องเลยดีกว่า 555+
ผมไปแค่ 3 วัน 2 คืน ครับ คือไปคืนวันศุกร์กลับเย็นวันอาทิตย์ จริงๆ ก็แค่ 2 วันเนอะ ด้วยสายการบินนกแอร์ของเรานั้นเอง เที่ยวเวลาก็กำลังได้ที่เลยครับ ออกจากดอนเมืองช่วงรถติดสุดๆ เกือบตกเครื่องกันทีเดียว 555+
แต่ผมก็มาได้ทันแบบฉิวเฉียดพอดีครับ 55+ รีบผ่าน ตม. แล้วก็ขึ้นเครื่องได้เป็นที่เรียบร้อย
หน้าตาก็อาจจะโทรมๆ หน่อยๆ นั่งเตรียม Present ทั้งคืน มาได้นี่ก็บุญแล้วครับ 555+
ใช้เวลาแค่ 1 ชม. 30 นาที ก็มาถึงสนามบินเตินเซินเญิ้ต (Tân Sơn Nhất) โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามเป็นที่เรียบร้อย
ขณะนี้เป็นเวลา 20:00 น. แอร์โฮสเตสได้ประกาศแจ้งก่อนจะเข้าเทียบ ผมรีบวิ่งรีบผ่าน ตม. แล้วออกไปเรียกแท็กซี่บริเวณหน้าอาคารผู้โดยสารภายในประเทศอย่างไว (แนะนำให้เรียกตรงนี้จะได้ไม่ถูกโกงนะครับ) เพราะตอนนี้ผมง่วงมาก 555+ บอกชื่อโรงแรมพี่แท็กไป ไม่พูดพร่ำทำเพลง แกก็พาเราไปส่งโรงแรมเลย (มีเสียค่าธรรมเนียมสนามบิน 10,000 ดองนะครับ) ลืมบอกไปผมได้เงินมาประมาณ 1,200,000 ดอง (ประมาณ 1,600 บาท) กับอีก 200 $US (ประมาณ 6,500 บาท)
ไม่ถึงครึ่ง ชม. พี่แท็กก็พาผมมาถึงโรงแรม (ชื่ออะไรไม่รู้ผมอ่านไม่ออก ดูรูปเลยละกัน 55+) แต่ก็ตั้งอยู่ใกล้กับตลาด Ben Thanh (เบ็นถัน) ผมรีบ Check in จะได้รีบขึ้นไปอาบน้ำนอน แต่... ห้องที่จองไว้เต็ม เลยได้ Upgrade ห้องใหญ่เฉยเลย เยี่ยมจริงๆ พอขึ้นมา คิดในใจว่า... นี่คือห้องใหญ่แล้วเหรอ 555+ ช่างเหอะ ไปอาบน้ำเตรียมตัวนอนดีกว่า (อ้อ ลืมบอกไป โรงแรมที่ประเทสเวียดนามเขาจะให้เราฝาก Passport เรากับเขาไว้นะครับ ดีเหมือนกันจะไม่ต้องกลัวหาย 555+)
แต่... หลังอาบน้ำเสร็จ ดันตื่นซะงั้น ท้องถามหาอาหารอีก เลยจำต้องลงไปหาของกินให้ท้องมันหน่อย แถวๆ โรงแรมนั้นแหล่ะ เป็นชุดเฝอเนื้อ ชุดนี้ราคาอยู่ที่ 80,000 ดอง (ประมาณ 110 บาท)
กินเสร็จก็อิ่ม อิ่มแล้วก็ง่วง โอเค แบบนี้ค่อยนอนได้ 555+ กลับขึ้นไปนอน ราตรีสวัสดิ์
**** จบวันแรกแบบงงๆ ****
ตื่นนอนช่วงเช้าวันเสาร์ ก็ออกมาหาข้าวกินครับ แถวๆ ที่เดิม ตรงข้ามตลาด Ben Thanh (เบ็นถัน)
คราวนี้มีเป็นชุดครับ ผมก็สั่งไป พนักงานงานก้เสิร์ฟน้ำชามะนาวมาให้ก่อนเป็นอันดับแรก รอซักพักอาหารก็มาครบครับ ชุดนี้ราคาอยู่ที่ 90,000 ดอง (ประมาณ 125 บาท) ถือว่าไม่แพงครับ อร่อยด้วย
จากนั้นรีบกลับขึ้นไปอาบน้ำ แต่งตัว ไปทำงานซักหน่อย อุตสาห์ได้มาแบบฟรีๆ 555+ ช่วงพักเที่ยงก็ไปแวะแถวห้าง Parkson Plaza หรือ Vincon Center ก็ได้ (ถือว่าเป็นห้างใหญ่ของเมืองนี้เลยครับ) นั่งกินกาแฟเวียดนามเสียหน่อย ก็อร่อยดีครับ (เวียดนามได้ชื่อว่าเป็นประเทศปลูกกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลกเลยนะครับ)
บ่ายแล้วก็กลับไปทำงานต่ออีกหน่อย พระอาทิตย์ตกดิน ทีมงานแยกย้าย ผมก็เป็นอิสระแล้วสิครับ 555+ ระหว่างเดินกลับโรงแรมเห็นร้านขายขนมปังแซนวิสเวียดนาม น่าสนๆ
เลยสั่งไป 1 ชิ้น ใส่ทุกอย่าง ราคาถูกมากเลยครับ 15,000 ดองเอง กินแล้วก็อร่อยดีครับ ผมชอบนะ ต้องมีซ้ำ
จากนั้นก็เดินผ่านตลาด Ben Thanh (เบ็นถัน) ช่วงค่ำ ซึ่งช่วงนี้ เค้าจะนำของจากในตลาดออกมาขายตามถนน เหมือนตลาดเปิดท้ายแบบนั้นเลยครับ มีตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ (ผมก็พูดเว้อไปงั้น 555+) ผมก็สนใจพวกอุปกรณ์กีฬาที่เวียดนามเป็นฐานการผลิตให้กับแบรนด์ดังๆ เช่นรองเท้า กระเป๋า
ต้องดูดีๆ นะครับ ไม่งั้นซวย บอกเลย 555+
ดูเสร็จก็ต้องลอง ลองเสร็จถ้าโอเค ถึงเวลาเหนื่อยแล้วครับ คือต่อราคานั้นเอง แนะนำให้ต่อจนสุดทางเลยนะครับ 555+
หลังจากได้รองเท้าแล้ว ผมก็มาส่องดูกระเป๋าต่อ ดูๆ แล้วไม่เอาดีกว่า 555+
เดินเยอะ ต่อราคาเยอะ ก็เริ่มหิว ก็จบด้วยชุดเฝออีก 1 มื้อ (จะกินเฝอมันจนหายอยากเลย 555+)
จากนั้นก็กลับขึ้นห้อง ไปอาบน้ำ นอนพักเอาแรงซักหน่อย ก่อนเดินออกไปหาที่เที่ยวยามวิกาล 555+
ประมาณ 4 ทุ่ม ผมก็เดินออกมา ไปแถวย่าน "ฟามงูเหลา" (Pham Ngu Lao) ซึ่งเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวต่างชาติพักอยู่เยอะที่สุด (เป็นจุดขึ้นรถไปเมืองอื่นๆ) แล้วก็ไปจบที่ผับแห่งหนึ่ง ผมสั่งเบียร์มา 1 ขวด แล้วก็นั่งแช่ยาวๆ ไป 555+
นักร้องร้องเพลงแนว Hard rock ได้สุดยอดเลยครับร้านนี้
ที่สำคัญกว่านั้น สาวเสิร์ฟร้านนี้ "OK" มากเลย 555+
นั่งฟังเพลง นั่งเล่นไปจนถึงเที่ยงคืน ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปนอนเสียที แยกย้ายครับ 555+
**** จบวันที่ 2 ****
วันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนกลับ วันนี้จะเป็นวันเที่ยวของผม 555+
เริ่มจาก ตื่นปุ๊บ อันดับแรกคือ...หาของกินครับ อันนี้ผมเดินสุ่มไปมั่วแถวๆ โรงแรม เลยไม่ได้ถ่ายหรือจำชื่อร้านมาลงนะครับ มีแต่รูปอาหาร 555+
จากนั้นก็ดาวโหลดแผนที่นครโฮจิมินห์ มาไว้ในมือถือก่อนเช็คเอ้าท์
แต่ดูๆ แล้วยากจัง ใช้ Google Map เราดูจะง่ายกว่า 555+
ระหว่างทางเดินจากโรงแรมไปยังโซนแหล่งท่องเที่ยวของเมือง ก็เลยแวะร้านกาแฟที่แสนจะคุ้นเคยทั้งรสชาติและหน้าตากันก่อน "Starbucks" นั้นเอง (หมายเลข 4 ในแผนที่) จะได้นั่งวางแผนด้วยว่าจะไปไหนก่อนดีที่จะไม่ต้องเดินย้อนไปมา ซึ่งในโฮจิมินห์จะมีร้านกาแฟ Starbucks เยอะมากเลยครับ น่าจะมีความหน่าแน่นของจำนวนร้านพอๆ กับกรุงเทพเลยมั้ง (อันนี้เดานะครับ 555+)
ร้านนี้ค่อนข้างใหญ่กว่าทุกร้านละแวกนี้ครับ มีที่นั่งเพียบเลย นักคนเวียดนามเองและชาวต่างชาติอย่างเราๆ 555+
ของกินก็เยอะครับ เลือกไม่ถูกเลยทีเดียว >_<
และท้ายที่สุดเราก็ได้มา ที่นี้จัดร้านได้สวยดีครับ Focus ที่บรรยากาศในร้านนะครับรูปนี้ 555+
หลังจากนั่งดื่มด่ำกับกาแฟและบรรยาการของร้านได้เต็มที่แล้ว เราก็ออกเดินทางต่อกันดีกว่าครับ จากแผนที่ พิพิธภัณฑ์สงครามเวียดนาม "War Remnants Museum" จะอยู่บนสุดเลย (หมายเลข 5 ในแผนที่) เดินจากร้าน Starbucks มาไกลพอสมควรประมาณ 1 กม. ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที ครับ
ต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าชมด้วยนะครับ 15,000 ดอง ก่อนเข้าสู่ตัวอาคารจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ถูกนำมาจอดแสดงไว้เพียบเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นของกองทัพสหรัฐฯ ช่วงสงครามเวียดนามครับ
CH-47A Chinook ยุทโธปกรณ์ลำเลียงหลักในช่วงสงคราม
หลังจบสงครามเครื่องบินรบ F5-A ก็ถูกสหรัฐฯ ทิ้งไว้เวียดนามเยอะมากเช่นกันครับ
ลองเข้ามาดูด้านในกันบ้าง จะมีทั้งหมด 3 ชั้นนะครับที่มีการจัดแสดง ก็เดินดูเรื่อยๆ ครับ แต่เหลือบมาเห็นรูปนี้ คุ้นๆ ครับ เป็นรูปถ่ายขณะเด็กๆ กำลังวิ่งหนีจากการระเบิด ซึ่งรูปนี้เป็นรูปที่ดังมากเลยครับ ได้รางวัล Pulitzer ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติของนักหนังสือพิมพ์เลยทีเดียว
จากนั้นก็เดินดูเรื่อยๆ ครับ อันนี้เป็นเศษซากระเบิดที่กองทัพสหรัฐฯ ทิ้งลงมาครับ
เครื่องกระสุน อาวุธหนักต่างๆ ที่ใช้ในสงคราม
แต่ละตัว โหดๆ ทั้งนั้นเลย
ทางนี้เป็นอาวุธ ครับ
พอได้เดินดูได้อ่านดูแล้ว แอบเคืองกองทัพอเมริกาในช่วงสงครามฯ เลยทีเดียว โหดร้ายมาก (เข้าใจว่าทางเวียดนามต้องการบิ้วอารมณ์นักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมด้วยแหล่ะ) ส่วนรูปด้านล่าง เป็นการเก็บเศษของระเบิด ซึ่งเยอะมากๆ มาทำเป็นอนุเสารีย์ครับ ให้ความหมายลึกซึ้งดีแท้ รายละเอียดมีเยอะมากครับ ถ่ายมาไม่หมด ลองมาดูกันเองครับ >_<
จาก War Remnants Museum ก็จะเดินย้อนกลับไปยัง Independence Palace ต่อครับคราวนี้อยู่ไม่ไกลกันมา เดินออกมาซักพักจะเจอรั้วสีขาวยาวแบบในรูปครับ เดินไปเรื่อยๆ จะผ่านหน้าทางเข้าและจุดขายบัตรเข้าชมครับ (หมายเลข 6 ในแผนที่)
และแล้วก็เดินมาถึง "Independence Palace" เป็นอาคารทรงยุโรปสีขาว ซึ่งที่แหน่งนี้ เดิมเคยเป็นทำเนียบประธานาธิบดีของเวียดนามใต้มาก่อน ก่อนจะรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวเหมือนเช่นทุกวันนี้ โดยนั่งท่องเที่ยวจะเสียค่าเข้าชม 30,000 ดอง
ผ่านประตูเข้ามาแล้ว ดูยิ่งใหญ่ โอ๋อ่าเอาเรื่องเลยครับ
เข้ามาดูด้านในกันบ้าง มีหลายห้องมากครับ ก็เดินดูเกือบจะทุกห้อง แต่ถ่ายรูปมาเป็นบางจุดนะครับ อยากให้ทุกท่านมาดูเอง 555+ รูปล่างนี้จะเป็นห้องประชุมครับ
ห้องนี้จะเป็นโถงใหญ่ตรงกลางอาคาร เป็นห้องรับแขกขนาดใหญ่
ภาพวาดโบราณ
ชั้นใต้ดินของอาคารหลังนี้เหมือนเป็นห้องลับเพียบเลยครับ แต่ผมเอามาให้ชมแค่รถนะ ต้องไปดูเอง 555+
ชั้นบน ห้องคาสิโนก็มีครับ จริงๆ มีโรงหนังด้วยนะครับไม่ได้ถ่ายมา 555+
สิ่งบันเทิง เพียบเลยจริงๆ
ชั้นบนสุดจะเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เคยดูจากเรื่อง Miss Saigon ฉากสำคัญ ออของจริงเป็นแบบนี้เอง
มีรายละเอียดอธิบายไว้อยู่นะครับ แต่ผมไม่ได้ถ่ายหรอก 555+
ชั้นบนฝั่งด้านหน้า วิวนี้ก็สวยครับ
เดินดูพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาเดินไปสถานที่ถัดไป โดยเดินออกจาก Independence Palace ไม่ไกล แต่ระวังการข้ามถนนด้วยนะครับ ข้ามมาแล้วจะมาเจอสวนสาธารณะขนาดใหญ่ บรรยากาศดี
ประมาณ 200 ม. ก็จะมีถึง Notre Dame Cathedral ซึ่งเมื่อเดินมาถึงเราจะเห็นเป็นด้านหลังของตัวโบสถ์ครับ เราต้องเดินอ้อมไปด้านหน้าอีกทีครับ (หมายเลข 7 ในแผนที่)
มุมด้านหลัง
โดยโบสถ์แห่งนี้ ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2420 ใช้เวลาสร้างถึง 6 ปี ซึ่งรูปทรงตัวอาคารมีขนาดใหญ่และสวยงามมาก มีลักษณะเป็นรูปแบบสมัยอาณานิคม มีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านบนสูง 40 เมตร ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของพระแม่มารี (ถือเป็นจุดมหาชนเลยก็ว่าได้) และอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจของโบสถ์นี้คือ ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์อื่นๆ เนื่องจากได้รับความเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเอง
มุมด้านหน้า
มุมด้านข้างพระแม่
ภายในโบสถ์
สถานที่ถัดมา ซึ่งอยู่ติดกับโบสถ์ Notre Dame เลยคือ "Saigon Central Post Office" หรือ สำนักงานไปรษณีย์กลางเวียดนามใต้ (หมายเลข 8 ในแผนที่) โดยเป็นอาคารทรงฝรั่งเศส สวยงามมากครับ
ด้านในก็ตกแต่งสวยงาม ผู้คนกำลังเลือกซื้อโปสเตอร์กัน มีของที่ละลึกขายมากมายครับ เราสามารถซื้อโปสเตอร์แล้วส่งกลับมาให้ตัวเองที่ไทยได้นะครับ (แต่ผมไม่ได้ส่งนะ 555+)
จากนั้นก็เดินลงมาหน่อยตามถนน Dong Khoi ด้านซ้ายมือจะเป็นห้าง "Vincon Center และ Parkson Plaza" (หมายเลข 9 ในแผนที่) ที่ผมมาแวะเมื่อวานช่วงทำงาน ถ้าหิวเหรือเหนื่อยก็สามารถเข้าไปหาอะไรกินที่นี้ได้ครับ
เดินตามถนน Dong Khoi ต่อมาอีกซักหน่อยก็จะถึง "Saigon Opera House" (หมายเลข 10 ในแผนที่) อายุร้อยกว่าปีแล้วครับ สร้างเสร็จเมื่อปี 2402 นู่นนน ปัจจุบันยังใช้งานอยู่นะครับมีรอบการแสดงเรื่อยๆ เลย วันที่ผมไปมีคู่หนุ่มสาวมาถ่าย Pre-Wedding ด้วย ได้แต่อิจฉาเขาไป 555+
ตรงข้าม Opera House เยื่องๆ หน่อยจะมีร้ายขายเครื่องหนังไฮโซอยู่ครับ จริงๆ ก็โซนนี้ทั้งโซนเลยหล่ะ 555+
จากนั้นเดินลัดเลาะตามถนน Le Loi มาซักหน่อยก็จะมาโผล่ "Ho Chi Minh Square" แล้วครับ (หมายเลข 11 ในแผนที่) จุดนี้ก็ถือเป็นจุดถ่ายภาพมุมมหาชนอีกจุดนึงของโฮจิมินห์ซิตี้เลยครับ ด้านหน้าจะมีอนุเสาวรีย์ของท่านโฮจิมินห์ผู้รวมประเทศ ด้านหลังจะเป็นอาคาร Ho Chi Minh City Hall ไว้ว่าราชการครับ
ช่วงเย็นๆ จุดนี้จะมีคนออกมาเดินเยอะมาก เป็นลานกิจกรรมหลักๆ ของคนที่นี้เลยรวมถึงนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราด้วยครับ
ใกล้จะมืดแล้ว กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรมดีกว่า เดินจากจุดนี้ไปโรงแรม (หมายเลข 1 ในแผนที่) ประมาณ 900 ม. ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที ถึงโรงแรมก็ขอเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย รับกระเป๋าเสร็จก็เดินย้อยกลับมาอีกหน่อย จนถึงตลาด Ben Thanh (หมายเลข 2 ในแผนที่) ก็เลี้ยวขวาเดินข้ามถนนไปยัง "Bus Terminal" (ช่วงนี้กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างรถไฟใต้ดินโปรดระมัดระวังด้วย) เพื่อนั่งรถเมล์ไปสนามบิน (หมายเลข 12 ในแผนที่) เราจะไปรถเมล์สาย 152 (5,000 ดอง) หรือ 109 (20,000 ดอง) ก็ได้นะครับ ไปถึงเหมือนกัน แต่ 109 จะใหม่กว่านิดหน่อย ตามราคาครับ 555+ สถานที่นั่งรอก็ออกแบบมา OK ดีครับ บ้านเมืองเขาเริ่มเจริญแล้ว
ไม่นาน... ผมก็มาถึงสนามบินแล้วครับ เช็คอิน ทำนั้นนี่ให้เรียบร้อย ก็ไปนั่งรอแถว Gate ครับ มีร้านอาหารเยอะเลยครับ มองดูเครื่องบินขึ้นลง ก็ชิลล์ดีนะครับ 555+
คราวนี้ก็นั่งรอยาวๆ ไป คอเริ่มแห้งก็สั่งเบียร์มากินระหว่างรอ
พอเริ่มหิวก็สั่งอาหารมากินระหว่างรอ
พอเบื่อๆ มาก ก็ออกไปเดิน Duty Free หาของติดไม้ติดมือกลับบ้าน 555+
ก็จบลงไปแล้วนะครับกับทริปโฮจิมินห์แบบรวบรัดของผม 555+ หวังว่าคงพอเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่ชอบเที่ยวแบบเร่งรัดแบบนี้นะครับ แล้วไว้เจอกันใหม่ทริปหน้านะครับ
*********จบการเดินทาง*********
สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- ค่าเครื่องบิน (ไป-กลับ) ฟรี ครับ เนื่องจากไปทำงานเลยไม่ได้จ่ายเอง 555+ แต่ช่วงโปรก็จะถูกหน่อยนะครับ 2,000 บาท น่าจะอยู่
- ค่าที่พัก 2 คืน ก็ ฟรี เช่นกันครับ แต่แอบเห็นราคา ตกคืนละ 500-600 บาท รวมไม่น่าเกิน 1,200 บาท
- ค่าแท็กซี่จากสนามบินไปที่พัก ก็ ฟรี จริงๆ ก็ประมาณ 150,000 ดอง เป็นเงินไทยประมาณ 200 บาท
- ค่ารถเมล์สาย 109 ขากลับสนามบิน ราคา 20,000 ดอง เป็นเงินไทยประมาณ 27 บาท
- ค่าธรรมเนียมเข้า War Remnants Museum ราคา 15,000 ดอง เป็นเงินไทยประมาณ 21 บาท
- ค่าธรรมเนียมเข้า Independence Palace ราคา 30,000 ดอง เป็นเงินไทยประมาณ 42 บาท
- ค่าอาหาร+กาแฟ ทั้งทริป ประมาณ 600,000 ดอง เป็นเงินไทยประมาณ 825 บาท (หนักที่สนามบินตอนกลับ)
- ค่าอาหาร+เครื่องดื่มใน Seventeen Saloon Bar ประมาณ 200,000 ดอง เป็นเงินไทยประมาณ 275 บาท
- ซื้อรองเท้า+กระเป๋าเดินทางตลาดเบนถัน (รับเงินไทยเฉย) ต่อจนปากจะฉีก 55+ ได้ราคาอยู่ที่ 1,000 บาท
- ค่า Gold Label ที่ร้านสินค้าปลอกภาษี ลดราคาอยู่ที่ 45 US เป็นเงินไทยประมาณ 1,500 บาท (รูดไปครับ 555+)
รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ทั้งหมด ประมาณ 7,000 บาท ที่จ่ายเอง ประมาณ 3,700 บาท
******
ถ้าลดสินค้าฟุ้มเฟือยพวกเหล้า เบียร์ไป รองเท้ากระเป๋าไป ตั้งใจไปเที่ยวจริงๆ
เมืองนี้เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่าใช้จ่ายไม่แพงเลยครับ แต่ก็ต้องระวังตัวเหมือนกันนะครับ เมืองนี้ก็ขึ้นชื่อระดับนึงเลย (มันก็มีแทบบจะทุกประเทศหล่ะเนอะ) ถ้าเราระวังตัวเสียอย่างก็น่าจะปลอดภัยครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับสำหรับการเดินทางครั้งนี้ของผม
ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ที่
Blog : https://goalonetravel.blogspot.com/
FB Page : https://www.facebook.com/คนเดียวก็ไปเที่ยวได้-1238634139627858/
GoAloneTravel
วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 23.17 น.