ผมเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว หาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ ถ้าหากมีเวลาผมก็จะออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆอยู่เสมอ ครั้งนี้ผมจึงอยากที่จะแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆที่มีอุดมการณ์เดียวกันได้รับทราบกันครับ


เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า การเดินทางครั้งนี้ของผมจะว่าเป็นความบังเอิญก็ได้ เพราะตอนแรกเวียดนามใต้ไม่ได้อยู้ในสมองผมเลย ผมแถบจะไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับเวียดนามใต้ นอกจากโฮจิมินห์ ผมก็ลองหาข้อมูลไปเรื่อยๆจนคำว่าเวียดนามเข้ามาในสมอง แต่ด้วยความที่ชื่อเสียงของการโกงโด่งดังจนผมกลัวๆกล้าๆว่าจะไปดีไม่ดี สุดท้ายผมก็ตัดสินใจหาตั๋วไปโฮจิมินห์ และผมก็มาเจอตั๋วของ Jetstar ซึ่งก็ไม่ได้แพงอะไรมากนัก ราคา 3,315 บาท ผมก็เลยตัดสินใจเลือกเวียดนามใต้และทริปนี้จึงเกิดขึ้น


พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลยดีกว่า

การเดินทางของผมเริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 7 เมษายน ถึงวันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2558

แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะเมือง ญาจาง นะครับ

วันอังคารที่ 7 เมษายน 2558



ผมไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณบ่ายโมงเพราะเครื่องออกเกือบบ่ายสามครึ่งหลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ก็เดินเข้าไปที่หน้าเกท พอขึ้นเครื่องเรียบร้อย ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ผมก็เดินทางถึงสนามบินโฮจิมินห์ เรียกชื่อภาษาเวียดนามไม่ถูก กว่าจะจัดแจงเรื่องที่ ต.ม. และไปรับกระเป๋า ก้มดูเวลาก็หกโมงเย็นแล้ว



พอออกจากสนามบินผมก็ออกมาหารถเมล์ สาย 152 ที่ไปถนนฟามงูเหลา ตอนแรกก็หาไม่เจอไปถาม รปภ ก็ชี้ไปทางนึง ถามอีกคนก็ชี้ไปทางนึง เอาละสิ ทำผมงงเลย แต่โชคยังเข้าข้าง รถเมล์สาย 152 มาจอดพอดี ดูเหมือนจะเป็นเที่ยวสุดท้ายด้วย ผมก็ไม่รอช้าขึ้นรถทันที และจ่ายเงินให้คนขับคนละ 5,000 ด่อง และถ้ามีกระเป๋าคิดอีก 5,000 สรุปผมก็จ่ายไปคนละ 10,000 ด่องครับ และรถก็พาเรามาถึงจุดหมาย ถนน De tham


หน้าบริษัทเวียดซีครับ ที่หลายๆคนรู้จักดี

ภาพบรรยากาศถนน De tham

ภาพโรงแรมบริเวณถนน De tham

หลังจากที่ผมได้ไปจ่ายเงินและรับตั๋วที่เวียดซีแล้ว ยังพอมีเวลาสัก 1 ชม เพราะผมจองรถนอนไปญาจางไว้ตอน สามทุ่มครึ่ง ผมจึงตระเวนหาของอร่อยแถวๆนั้น และผมก็ได้เจอร้านอาหารเวียดนามที่อร่อยและราคาไม่แพง คือ Kim cafe ซึ่งอยู่ใกล้ๆเวียดซีเลยครับ



และนี่คือหน้าตาอาหารเวียดนามที่สั่งมาทาน น่าทานมั้ยครับ

บรรยากาศภายในร้าน

ทานเสร็จเรียบร้อยก็มาเจอขนมปังฝรั่งเศสสไตล์เวียดนามซึ่งที่นี่เค้าเรียกว่า แบ๋งหมี่ ถ้าเป็นที่ลาวตอนที่ผมไปวังเวียงที่นั่นจะเรียกว่า ข้าวจี่ บริเวณถนนนี้จะมีร้านแบ๋งหมี่หลายร้านเลยครับ สนนราคาอันละ 15,000 ด่อง หรือประมาณ 22 บาท ถือว่าไม่แพงเลยครับ



หลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับมาที่บริษัทเวียดซีเพื่อรอรถมารับเพื่อเดินทางต่อไปญาจาง



รถที่จะพาผมไปญาจาง หน้าตาแบบนี้ เป็นรถนอน ที่บ้านเราไม่มี ซึ่งเป็นของบริษัท Hanh cafe



บรรยากาศภายในรถที่จะต้องนอนอีก 12 ชั่วโมง สบายมากๆ เหมือนนอนบนเตียงที่บ้านเลย

ระหว่างทางจะมีด่านเก็บค่าทางด่วนเหมือนบ้านเรา

เดินทางมาได้สักพักรถก็จะจอดให้แวะเข้าห้องน้ำ คล้ายๆที่พักกลางทางมอเตอร์เวย์บ้านเรา

หลังจากรถออกจากจุดแวะพักผมก็หลับยาว เจอกันที่ญาจางนะครับ



ซินจ่าว ญาจาง

ตื่นเช้ามาประมาณ ตี5 ครึ่ง ผมสังเกตได้ว่าที่เวียดนามเค้าสว่างเร็วกว่าบ้านเรา ตี5 ครึ่งสว่างเหมือน 7 โมงเช้าเลยครับ นั่งรถมาเรื่อยๆ ผมก็มาถึงเมืองญาจางประมาณ 7 โมงเช้า รถก็มาส่งบริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง และผมก็หาแท็กซี่มายังโรงแรมที่ผมจองไว้ โรงแรมที่ผมจองไว้ลักษณะจะเป็นเหมือนตึกแถวบ้านเรา แต่ภายในห้องใหญ่โตและราคาไม่แพงเลยครับ ไม่จำเป็นต้องไปพักโรงแรมห้าดาวเลย โรงแรมที่เวียดนามเค้าสะอาด และกว้างขวางมาก โรงแรมชื่อ Thanh Duy ถ้าจะ walk in ไปก็ได้ ช่วงที่ผมไปพักไม่ใช่หน้าไฮ นักท่องเที่ยวเลยไม่เยอะเท่าไร และโรงแรมก็มีให้เลือกมากเหลือเกิน แต่ละ รร. ก็จะแข่งกันเรียกแขก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่พักเลย

หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ผมก็หาทัวร์ไปดำน้ำตามเกาะต่างๆ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองชายทะเล แต่จากการหาข้อมูลก่อนไป ผมแทบไม่ค่อยเจอข้อมูลคนไทยไปเที่ยวเมืองนี้เลย และจากที่ถามพนักงานที่ รร. ก็บอกว่าคนไทยมาน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนรัสเซีย คนจีน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เจอคนไทยที่เมืองนี้เลย กลับมาเรื่องทัวร์ดำน้ำ 4 เกาะ ผมหาข้อมูลก่อนไป บางคนก็บอกว่าให้ไปเดินหาทัวร์แถวญาจาง บางคนก็บอกให้จองเวียดซีไปเลย แต่ผมไม่มีเวลาได้เดินหาเลยติดต่อที่ รร.ให้ติดต่อให้ ราคาคนละ 200,000 ด่อง ต่อคน ซึ่งราคานี้ก็จะรวมอาหารกลางวันด้วย ถือว่าคุ้มมากเลยทีเดียว จากนั้นประมาณ 8โมงครึ่งก็จะมีรถมารับและไปตระเวนรับตาม รร.ต่างๆ จนครบและพาเราไปส่งที่ท่าเรือ ด้วยความที่รถตระเวนไปรับหลายที่ พอไปถึงท่าเรือก็ต้องลงเรือเลย ผมเลยไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปมาให้ชม แต่อารมณ์คล้ายๆท่าเรือบ้านเพ บ้านเราแหละครับ พอลงเรือเสร็จ ระหว่างทางก็จะผ่านกระเช้าข้ามทะเลที่ยาวที่สุด เพื่อจะข้ามไปเกาะ Vinpearl ซึ่งบนเกาะก็จะมีสวนสนุก มีที่พัก ซึ่งตอนแรกผมก็อยากจะข้ามไปแต่ด้วยเวลาไม่พอก็เลยอดไป



เกาะแรกที่มาถึงจะเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ให้เข้าไปชมสัตว์น้ำต่างๆ ค่าเข้าชมอยู่ที่คนละ 90,000 ด่อง ผมเลือกที่จะไม่เข้าไปเพราะเท่าที่เข้าๆมาทั้งในเมืองไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ ผมคิดว่ามันก็คงเหมือนๆกัน ผมจึงถ่ายรูปบริเวณด้านนอก ไกด์จะให้เวลาตรงนี้ประมาณ 40 นาที

เรือที่พาเราไปเที่ยวเกาะต่างๆ

หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อไปเกาะที่2 เกาะนี้จะเป็นบริเวณที่ปล่อยให้ทุกคนได้ดำน้ำ ดูประการังน้ำตื้นหรือจะเช่าเจ็ทสกี บาบาน่าโบ๊ท กิจกรรมทางน้ำต่างๆ เราอยู่ที่นี่กันประมาณ 1 ชม แต่ผมไม่ได้ลงเล่นนะครับแค่ชมวิวธรรมชาติก็คุ้มแล้ว และด้วยความที่ผมเพลิดเพลินกับธรรมชาติมากเกินไป ก็เลยลืมเก็บภาพเกาะนี้มาฝากทุกท่าน จินตนาการเอานะครับ 555+



ระหว่างทางเจอเรือที่เป็นเอกลักษณ์ของเวียดนามเลยเก็บภาพมาฝากครับ

เสร็จจากกิจกรรมต่างๆแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังเกาะที่ 3 ที่เป็นร้านอาหาร และเป็นกระชังปลา มีปลาและอาหารทะเลนานาชนิดไว้บริการ ขอคอนเฟิร์มว่าสดจริงๆครับ

หลังจากนั้นทางทัวร์ก็จัดอาหารกลางวันบริการอย่างอิ่มหนำสำราญ มาดูหน้าตาของอาหารกันดีกว่า

น่าทานมั้ยหล่ะครับ ทัวร์นี้ถือว่าคุ้มมากทีเดียว แต่ลืมบอกไปว่าเค้าเลี้ยงเฉพาะอาหารครับ น้ำเราต้องซื้อเอง



หลังจากอิ่มเรียบร้อยแล้วทางทัวร์ก็จัดมินิคอนเสิร์ต เพื่อให้ทุกคนได้สนุกร่วมกัน โดยไกด์ (เสื้อลาย) จะคอยเอ็นเตอร์เทนตลอดการเดินทาง ยอมรับว่าเก่งมาก ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ทั้งร้อง ทั้งเต้น

หลังจากนั้นเราก็เดินทางสู่เกาะสุดท้ายที่มีหาดส่วนตัวไว้ให้ทุกคนลงไปเล่นน้ำกัน ผมก็ไม่ได้ลงอีกเช่นเคย รู้สึกว่าจะมีค่าเหยียบเกาะ แต่ไม่แน่ใจว่าเท่าไร



บรรยากาศชายหาด

มีคนเก็บค่าเหยียบเกาะอยู่ในซุ้มนี้ครับ

หลังจากนั้นเรือก็จะพาเรากลับมายังฝั่ง ระหว่างทางก็จะมีกิจกรรมที่เรียกว่า floating bar ให้ทุกคนได้ร่วมสนุก คือ จะให้แต่ละคนว่ายน้ำแล้วจะมีไวน์ให้ดื่ม เปิดเพลงมันส์ๆ เล่นน้ำกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน



พอขึ้นฝั่งเสร็จรถก็จะมาส่งที่โรงแรม จากโรงแรมผมก็เรียกแท็กซี่ ไปยังวัดแห่งหนึ่ง ชื่อว่า Long Son วัดนี้มีความพิเศษอยู่ที่มีพระองค์ใหญ่สีขาว ซึ่งบริเวณบนวัดสามารถชมวิวเมืองญาจางได้รอบทิศ

บรรยากาศภายในวัด

พระปางไสยาสน์องค์นี้ ใต้ฐานมีภาษาไทยด้วยนะครับ ไม่รู้เป็นมายังไง


หอคอยนี้เหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ มีลักษณะเป็นรูปดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเวียดนาม

หลังจากนั่งสูดอากาศริมทะเลเสร็จ ผมก็มาเดินเที่ยวถนนคนเดินญาจางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากริมหาด สินค้าทีขายส่วนใหญ่ก็จะคล้ายๆบ้านเรา ราคานั้นต้องต่อกันสุดๆเลยนะครับ เพราะบอกผ่านมากๆ

ระหว่างทางที่เดินออกจากถนนคนเดินผ่านอาคารหลังนี้ คิดว่าน่าจะเป็นศาลาว่าการเมืองหรือสถานที่ราชการอะไรสักอย่าง

หลังจากนั้นผมก็ตระเวนหาของกินมื้อค่ำ ระหว่างทางที่ตระเวนหาของกิน ผมก็ได้เจอร้านหนึ่ง เป็นลักษณะคล้ายๆสเต็ก ก็เลยลองเข้าไปดู ร้านนี้มีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น เฝอ ข้าวหน้าหมูอย่างที่ผมทาน หรือข้าวหน้าเนื้อ ผมพยายามถามพนักงานในร้านว่าคือเนื้ออะไร เพราะปกติผมไม่ทานเนื้อวัว จึงทำให้ผมรู้ว่าเนื้อหมู ภาษาเวียดนามเรียกว่า Heo (เฮล)

หน้าตาอาหารของผม น่าทานมั้ยครับ ลักษณะเป็นข้าวหน้าหมูกับไข่ดาว เสิร์ฟพร้อมน้ำซุป

ระหว่างทางกลับโรงแรม ก็แวะซื้อเบียร์เวียดนามมาชิม Bia Saigon ราคาถูกมากๆๆ กระป๋องละ 10,000 ด่องเองครับ ประมาณ 15 บาท หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว รสชาดก็โอเคมากๆด้วย มีโอกาสอย่าลืมลองนะครับ

แล้วผมก็หลับสบายด้วยฤทธิ์ของเบียร์ไซ่ง่อน จบการผจญภัยในญาจาง...

ปล. เนื่องจากการเดินทางของผมอยู่ในช่วง ปี 58 ซึ่งยังไม่มีสายการบินตรงไปยังญาจาง แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีสายการบินเปิดเส้นทางบินตรงไปยังเมืองญาจาง ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี เหมาะแก่การไปพักผ่อนในช่วงวันหยุดสั้นๆนะครับ

ความคิดเห็น